วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2013, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ธรรม ทั้งหลาย ล้วน อนัตตา
ตรงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมนั้นมีกี่อย่าง ซึ่งได้แก่ สังขตธรรม ๑ อสังขตธรรมมีอีก ๑
สังขตธรรมเป็นธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ อสังตธรรมเป็นธรรมที่บริสุทธิ์

เอามาจากไหนกัน มันมีด้วยหรือที่ว่า สังขตธรรมเป็นธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ อสังขตธรรม
เป็นธรรมที่บริสุทธิ์ ตาหมานอย่าเอาพุทธพจน์มาละเลงมั่วแบบนี้ มันไม่ดีน่ะ
ไม่รู้ก็อยู่เฉยๆ ยิ่งพูดยิ่งพาลงต่ำครับ
ธรรมมมันมีแต่ .....ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกับธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงเขาเรียกสังขตธรรม ธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเรียก อสังขตธรรม

ลุงหมาน เขียน:
ธรรมทั้งสองนี้พระพุทธเจ้ายกย่องอสังขตธรรมว่าดีกว่า
แต่นอกจากนี้ท่านยังบอกว่า
วิราคธรรมดีเลิศที่สุด พระนิพพานเป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม ตรงนี้จะเข้าใจได้ว่า
ถ้าอสังขตธรรม และวิราคธรรม ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์อีก พระพุทธเจ้าจะยกย่อง
ธรรมทั้งสองนี้ทำไมกัน

มั่วอีกแล้ว มีหรือพระพุทธองค์จะพูดแบบนี้ พระพุทธเจ้าไม่ยกธรรมมาเปรียบเทียบกันหรอกน่ะหมาน
การยกเอาธรรมขึ้นมาเปรียบเทียบกัน มันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นมานะ
พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ไมีมีกิเลสแล้ว เข้าใจมั้ยหมาน
ลุงหมาน เขียน:
ตรงนี้มักจะเกิดความสับสนเพราะมีคนไปแปลความว่า "อนัตตา" ว่าไม่มีตัวตน
ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ หากไปแปลว่า "ไม่มีตัวตน" ก็จะกลายเป็น อุจเฉททิฏฐิ ไปเสีย เพราะเมื่อตัวตนไม่มี
แล้วจะมี อะไร เป็นตัวไปแบกบุญแบกบาป หรือ อะไร จะมาคอยรับวิบากในภพถัดไป
การสั่งสมบารมีข้ามภพข้ามชาติก็จะเป็นไปไม่ได้ ตายแล้วก็สูญกันไปเท่านั้น

ก่อนจะผ่านประเด็นนี้ไป อยากให้วิเคราะห์ บาลี ที่ว่า "สัพเพ ธรรมมา อนัตตา"
ธรรมทั้งหมดไม่ใช่ตัว เพราะ "ธรรม" ก็อย่างหนึ่ง "ตน" ก็อีกอย่างหนึ่ง คนละอย่างกัน
ได้อธิบาย "ธรรม" ไว้แล้วว่ามีสองอย่าง คือ สังขตธรรม กับอสังขตธรรม

มันเป็นเพราะหมานเข้าใจไปว่า การท่องบัญญัติและแปลไปตามบัญญัติที่ตัวเองเข้าใจ
คิดว่าเป็นการถูกต้อง แท้จริงแล้วมันไม่ใช่

การรู้บัญญัติมันไม่ผิด แต่เราจำเป็นต้องรู้ว่าผู้พูดต้องการให้บัญญัติตัวนั้น
สื่อให้เห็นสภาวะธรรมตัวไหน
เราจะมาแปลบัญญัติตามอำเภอใจไม่ได้ ที่เห็นบ่อยๆคนที่ไม่มีปัญญามักจะ
แปลบัญญัติไปตามภาษาที่ใช้กันในทางสังคมโลก ตัวอย่างเช่น เข้าใจว่า
อัตตาเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับอนัตตา แท้จริงแล้วไม่ใช่ อัตตาเป็นสภาวะธรรม
อนัตตาก็เป็นสภาวะธรรม

แล้วที่หมานไปแย้งความเห็นเขาเรื่องอัตตา บอกว่าไม่ได้แปลว่า"ไม่มีตัวตน"
หมานเล่นคิดเองเออเอง แทนที่จะไปหาเหตุผลทำไมเขาถึงให้คำจำกัดความอัตตาว่า
ไม่มีตัวตน หมานเล่นแปลคำศัพท์ที่ละพยางค์ แบบนี้อีกหลายชาติครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2013, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
การที่ "อัตตา" เป็นที่จงเกลียดจงชัง ของหลายๆท่านเราน่าจะเข้าใจคำว่า "อัตตา" ผิดไปจากความเป็นจริง
เพราะมีอาจารย์บางท่าน สอนให้ปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นใน "ตัวกู-ของกู" ซึ่งที่ท่านสอนก็ถูกแล้ว
แต่สิ่งที่เราควรรังเกียจ คือ ตัว "อุปาทาน" ต่างหาก อุปาทาน เป็น กิริยาอาการ ที่เข้าไปยึด ว่าเป็นโน่นเป็นนี่
ส่วนอัตตา นั้น โดยความหมาย เป็นคำนาม ที่ยังไม่ได้แสดงอาการกิริยาอันใดเลย ยกตัวตัวอย่างเป็นภาษาไทย

เหมือนกล่าวว่า "ฉันอยาก...." ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "ฉัน" แต่ปัญหาอยู่ที่ อาการ "หยาก" ต่างหาก
เพราะหากเรา รังเกียจ "อัตตา" หรือ คิดว่า "อัตตา" ไม่มี
เวลา พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ใช้คำว่า "ตถาคต" หรือ "อาตมา" หรือ "เรา" ก็ย่อมไม่ได้ทั้งสิ้น
เพราะตราบใดที่เรายังใช้ คำว่า เรา ฉัน ฯ หรืออะไรก็แล้วแต่แทนตัว นั่นแสดงถึงความมี "อัตตา" ทั้งนั้น
เมื่อท่านอ่านใจความข้อนี้อย่างเข้าใจก็อาจจะพอมองออกได้บ้างว่า นิพพาน เป็น อนัตตา

หมานสนุกมั้ย เอาคำศัพท์มาจิ้มเล่น นี่เอาอีกแล้วเอา "อุปาทาน"มาเล่นอีกแล้ว
อุปาทานมันเกิดตามเหตุ มันเป็นกฎอิทัปจยตา มันมีรูปนามมันก็ต้องมี อุปาทาน
มันเป็นกฎของธรรมชาติ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ฉะนั้นการที่มีอุปานแล้วไม่ไปยุ่งหรือยึดกับตัวตัณหา อุปาทานขันธ์ย่อมไม่เกิด
ดังนั้นตัวที่เรียกว่า.....อัตตาก็คือ สภาวะที่จิตยึดเอาตัณหาจนเกิดเป็นอุปาทานขันธ์
นี่เขาเรียกสภาวะแบบนี้ว่า.....อัตตา เข้าใจมั้ยหมาน มั่วนั่งจิ้มคำศัพท์อยู่นั้นแหล่ะ

เมื่อพิจารณาหาเหตุปัจจัยแล้ว สรุปอัตตาก็ขันธ์ห้านั้นเอง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ตรงนี้มักจะเกิดความสับสนเพราะมีคนไปแปลความว่า "อนัตตา" ว่าไม่มีตัวตน
ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ หากไปแปลว่า "ไม่มีตัวตน" ก็จะกลายเป็น อุจเฉททิฏฐิ ไปเสีย


ในอดีต ผมเคย เข้าใจว่า อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน แต่ มีตัวตน

ปัจจุบัน ก้าวหน้าไปอีกขั้น คือ
อนัตตา นอกจากไม่ใช่ตัวตน แล้ว ยังไม่มีตัวตนอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งที่ตาเรามองเห็น ก็ล้วน ไม่มีตัวตน

อาจจะฟังเข้าใจยาก
เพราะส่วนใหญ่ มักจะเอาเหตุผล คือสิ่งที่มองเห็นเป็นเกณฑ์
สิ่งใดมองเห็น สิ่งนั้นมีตัวตน

เพราะเรามองเห็นคน คนจึงมีตัวตน
เพราะเรามองเห็นสัตว์ สัตว์จึง มีตัวตน
เพราะเรามองเห็นสิ่งของ สิ่งของจึง มีตัวตน

การที่ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ................... ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
" ข้าแต่พระเจ้าเป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มีวีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "


ไม่มีสัตว์
ไม่มีบุคคล
ไม่มีตัวตน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
" ข้าแต่พระเจ้าเป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มีวีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "


ไม่มีสัตว์
ไม่มีบุคคล
ไม่มีตัวตน

พิจารณาข้อความที่คุณยกมาดีๆ นะครับ ไม่อย่างนั้นบิดามารดาก็จะกลายเป็นไม่มีไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


พ. ดูกรอนุราธะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ เธอค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ใน
ปัจจุบันไม่ได้เลย ควรแลหรือที่เธอจะพยากรณ์ว่า พระตถาคตเป็นอุดมบุรุษ เป็นยอดบุรุษ ถึง
ความบรรลุชั้นเยี่ยม เมื่อจะบัญญัติ ย่อมบัญญัติเว้นจากฐานะ ๔ เหล่านี้ คือ สัตว์เบื้องหน้าแต่
ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ๑ ย่อมไม่เกิดอีก ๑ ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี ๑ ย่อมเกิดอีก
ก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ๑?
อ. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระเจ้าข้า.
พ. ถูกละๆ อนุราธะ ทั้งเมื่อก่อนและทั้งบัดนี้ เราย่อมบัญญัติทุกข์ และความดับทุกข์

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=2586&Z=2679&pagebreak=0

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 11:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูให้ดี....ทรงไม่บัญญัติในขันธ์ 5 ...นอกจากทุกข์..และความดับทุกข์

เวลาที่พระพุทธองค์..ทรงเทศน์โปรด...ไม่ว่าประชาชน...บิดา...ราหุล..ฯลฯ....ท่านโปรดขันธ์ 5...ของชนเหล่านั้น..หรือ.?

แล้วโปรดอะไร..เพื่ออะไร?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 11:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
" ข้าแต่พระเจ้าเป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มีวีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "


ไม่มีสัตว์
ไม่มีบุคคล
ไม่มีตัวตน

ความไม่มีตัวตน คือสังขาร
สิ่งที่อยู่นอกกายใจ มันมีอยู่
แต่สิ่งที่เกิดภายในกายใจเราจึงจะไม่มีตัวตน

สัตว์หรือบุคคลมีอยู่จริง แต่เมื่อเรามองไปที่บุคคลหรือสัตว์
บุคคลหรือสัตว์ที่เกิดเป็นภาพหรือรูปภายในกายใจ นั้นแหล่ะมันไม่ใช่ตัวตน
ภาพหรือรูปมันเกิดแล้วก็ดับ แต่บุคคลหรือสัตว์มันก็ยังอยู่ที่เดิมของมัน

ความเป็นอนัตตาของสังขตะและความเป็นอนัตตาของอสังขตะ
มันแตกต่างกันตรงนี้ อนัตตาของสังขตะเป็นเพราะการเกิดขึ้นและดับไป
ความเป็นอนัตตาของอสังขตะ ไม่เกิด ไม่ดับ(ของสังขาร)

บุคคลหรือสัตว์ที่ยืนอยู่นอกกายใจ เป็นอสังขตะ
รูปหรือภาพที่เข้ามาในกายใจ เป็นสังขตะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


din เขียน:
govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
" ข้าแต่พระเจ้าเป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มีวีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "


ไม่มีสัตว์
ไม่มีบุคคล
ไม่มีตัวตน

พิจารณาข้อความที่คุณยกมาดีๆ นะครับ ไม่อย่างนั้นบิดามารดาก็จะกลายเป็นไม่มีไป


ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ขอให้ชาวโยนกทั้ง ๕๐๐ นี้และพระภิกษุสงฆ์ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด พระนาคเสนนี้กล่าวว่า เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมาภาพว่า " นาคเสน " ก็แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคำว่า " นาคเสน " นั้น ดังนี้ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอยู่แล้ว บุคคลเหล่าใดถวายบาตร จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และวัตถุที่เก็บเภสัชไปแล้ว บุญกุศลก็ต้องไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นน่ะซิ ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่า จะฆ่าพระผู้เป็นเจ้า โทษปาณาติบาตก็เป็นอันไม่มีน่ะซิ ถ้าบุคคลตัวตนเราเขาไม่มีอยู่แล้ว ก็ใครเล่าจะถวายจีวร อาหาร ที่อยู่ ยา และที่ใส่ยา แก่พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะบริโภคสิ่งเหล่านั้น ใครเล่ารักษาศีล ใครเล่ารู้ไปในพระไตรปิฏก ใครเล่าเจริญภาวนา ใครเล่ากระทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล นิพพาน ใครเล่ากระทำปาณาติบาต ใครเล่ากระทำอทินนาทาน ใครเล่าประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ใครเล่ากล่าวมุสาวาท ใครเล่าดื่มสุราเมรัย ใครเล่ากระทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕ เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มีแล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มีผู้ทำหรือผู้ให้ทำซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มีผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น เมื่อถืออย่างนั้นก็เป็นอันว่าอาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีอุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี คำใดที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกเพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " อะไรเป็นนาคเสนในคำนั้น เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้ พระผู้เป็นได้ยินเสียงถามอยู่หรือไม่ ? "

ถามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียงถามอยู่ "
" ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คำว่า " นาคเสน " ก็มีอยู่ในชื่อนั้นน่ะซิ "
" ไม่มี มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นโยมขอถามต่อไปว่า ผมของพระผู้เป็นเจ้าหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ขนหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" เล็บหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" ฟันหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" หนังหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" เนื้อหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร สมองศีรษะ เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น รูป หรือเวทนา หรือสัญญาสังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น จักขุธาตุและรูปธาตุโสตธาตุและสัททธาตุ ฆานธาตุและคันธธาตุชิวหาธาตุและรสธาตุ กายธาตุและโผฏฐัพพธาตุ มโนธาตุ เหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่นอกจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความว่าอะไรเป็นนาคเสนเป็นอันว่า พระผู้เป็นเจ้าพูดเหละแหละพูดมุสาวาท "

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


din เขียน:
govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
" ข้าแต่พระเจ้าเป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มีวีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "


ไม่มีสัตว์
ไม่มีบุคคล
ไม่มีตัวตน

พิจารณาข้อความที่คุณยกมาดีๆ นะครับ ไม่อย่างนั้นบิดามารดาก็จะกลายเป็นไม่มีไป


ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น เมื่อถืออย่างนั้นก็เป็นอันว่าอาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 11:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s006
อ้างคำพูด:
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความว่าอะไรเป็นนาคเสนเป็นอันว่า พระผู้เป็นเจ้าพูดเหละแหละพูดมุสาวาท "

:b10:
ต่อให้จบหน่อยซิครับคุณโกวิท....พญามิลินทร์ตรัสถามแล้วพระนาคเสนยังไม่ทันได้แก้
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความว่าอะไรเป็นนาคเสนเป็นอันว่า พระผู้เป็นเจ้าพูดเหละแหละพูดมุสาวาท "

พระนาคเสน กล่าวแก้ด้วยราชรถ
เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระนาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ได้อบรมเมตตามาแล้ว จึงนิ่งพิจารณาซึ่งวาระจิตของพระเจ้ามิลินท์อยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า
" มหาบพิตรเป็นผู้มีความสุขมาแต่กำเนิด มหาบพิตรได้เสด็จออกจากพระนครในเวลาร้อนเที่ยงวันอย่างนี้ มาหาอาตมภาพได้เสด็จมาด้วยพระบาท ก้อนกรวดเห็นจะถูกพระบาทให้ทรงเจ็บปวด พระกายของพระองค์เห็นจะทรงลำบากพระหฤทัยของพระองค์เห็นจะเร่าร้อน ความรู้สึกทางพระวรกายของพระองค์ เห็นจะประกอบกับทุกข์เป็นแน่ เพราะเหตุไรอาตมภาพจึงว่าอย่างนี้ เพราะเหตุว่า มหาบพิตรมีพระหฤทัยดุร้าย ได้ตรัสพระวาจาดุร้าย มหาบพิตรคงได้เสวยทุกขเวทนาแรงกล้า อาตมาจึงขอถามว่า มหาบพิตรเสด็จมาด้วยพระบาท หรือด้วยราชพาหนะอย่างไร ? " พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสตอบว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้มาด้วยเท้า โยมมาด้วยรถต่างหาก "
พระนาคเสนเถระจึงกล่าวประกาศขึ้นว่า
" ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ กับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า คือพระเจ้ามิลินท์นี้ได้ตรัสบอกว่า เสด็จมาด้วยรถ ข้าพเจ้าจะขอถามพระเจ้ามิลินท์ต่อไป " กล่าวดังนี้แล้ว จึงถามว่า
" มหาบพิตรตรัสว่า เสด็จมาด้วยรถจริงหรือ ? " พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" เออ…ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมว่ามาด้วยรถจริง " พระเถระจึงซักถามต่อไปว่า
" ถ้ามหาบพิตรเสด็จมาด้วยรถจริงแล้วขอจงตรัสบอกอาตมภาพเถิดว่า งอนรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
" ถ้าอย่างนั้น เพลารถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเพลาหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น ล้อรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในล้อรถหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น ไม้ค้ำรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น กงรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น เชือกหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเชือกหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น คันปฏักหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
"ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในคันปฏักหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
"ถ้าอย่างนั้น แอกรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
"ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในแอกหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่เล็งเห็นว่า สิ่งใดเป็นรถเลย เป็นอันว่ารถไม่มี เป็นอันว่ามหาบพิตรตรัสเหลาะแหละเหลวไหล มหาบพิตรเป็นพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปนี้ เหตุไรมหาบพิตรจึงตรัสเหลาะแหละเหลวไหลอย่างนี้ ? "

เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกโยนกข้าราชบริพารทั้ง ๕๐๐ นั้น ก็พากันเปล่งเสียงสาธุการขึ้นแก่พระนาคเสนเถระแล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ขึ้นว่า
" ขอมหาราชเจ้าจงทรงแก้ไขไปเถิดพระเจ้าข้า "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละเหลวไหล การที่เรียกว่ารถนี้เพราะอาศัยเครื่องประกอบรถทั้งปวง คือ งอนรถ เพลารถ ล้อรถ ไม้ค้ำรถ กงรถ เชือกขับรถ เหล็กปฏัก ตลอดถึงแอกรถ มีอยู่พร้อม จึงเรียกว่ารถได้ "
พระเถระจึงกล่าวว่า
" ถูกแล้ว มหาบพิตร ข้อที่อาตมภาพได้ชื่อว่า " นาคเสน " ก็เพราะอาศัยเครื่องประกอบด้วยอวัยวะทุกอย่าง คือ อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันจำแนกแจกออกไปเป็นขันธ์ ธาตุอายตนะทั้งปวง ข้อนี้ถูกตามถ้อยคำของ นางปฏาจาราภิกษุณี ผู้เป็นพระอรหันต์ กล่าวขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
" อันที่เรียกว่ารถ เพราะประกอบด้วยเครื่องรถทั้งปวงฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ก็สมมุติเรียกกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาฉันนั้น " ดังนี้
ขอถวายพระพร "
พระเจ้ามิลินท์ทรงฟังแก้ปัญหาจบลง น้ำพระทัยของพระบาทท้าวเธอปรีดาปราโมทย์ออกพระโอษฐ์ตรัสซ้องสาธุการว่า
" สาธุ..พระผู้เป็นเจ้าช่างแก้ปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์ กล่าวปัญหาเปรียบเทียบอุปมาด้วยปฏิภาณอันวิจิตรยิ่ง ให้คนทั้งหลายคิดเห็นกระจ่างแจ้งถูกต้องดีแท้ ถ้าพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็จะต้องทรงสาธุการเป็นแน่ "

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สมมุติเรียกกันว่าเป็นสัตว์
สมมุติเรียกกันว่า บุคคล
สมมุติเรียกกันว่า ตัวตน
สมมุติเรียกกันว่า เรา
สมมุติเรียกกันว่า เขา

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
สมมุติเรียกกันว่าเป็นสัตว์
สมมุติเรียกกันว่า บุคคล
สมมุติเรียกกันว่า ตัวตน
สมมุติเรียกกันว่า เรา
สมมุติเรียกกันว่า เขา

สัตว์ เป็นบัญญัติ ใช้เรียกแทนสิ่งที่มีอยู่จริงที่เป็น....สมมุติสัจจะ
บุคคล เป็นบัญญัติ ใช้เรียกแทนสิ่งที่มีอยู่จริงที่เป็น...สมมุติสัจจะ

ตัวตน เป็นบัญญัติ ใช้เรียกแทน ธรรมะอันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นปรมัตถ์สัจจะ

เรา เป็นบัญญัติทางภาษาไม่เกี่ยวกับธรรมะหรือสภาวะธรรม
เขา เป็นบัญญัติทางภาษาไม่เกี่ยวกับธรรมะหรือสภาวะธรรม

ความหมายของสัจจะ คือความจริง ความมีอยู่จริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


แสดงว่า อนิจจัง ทุกขัง มีมาแล้ว ก่อนจะเกิดพระพุทธศาสนา
อ้างคำพูด:
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 174

จริงอยู่ ดาบสและปริพาชกทั้งหลายผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแม้มีสรภังคศาสดาเป็นต้น ย่อมสามารถกล่าวว่า อนิจจัง ทุกขัง ได้ แต่ไม่สามารถจะกล่าวว่าอนัตตาได้ แม้ถ้าพวกดาบสเป็นต้นเหล่านั้นพึงสามารถกล่าวคำว่า อนัตตาในบริษัทที่ประชุมกันแล้ว บริษัทที่ประชุมกันก็จะพึงแทงตลอดมรรคและผล เพราะการประกาศให้รู้อนัตตลักษณะไม่ใช่วิสัยของใคร ๆ อื่น เป็นวิสัยของพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น อนัตตลักษณะนี้จึงไม่ปรากฏแล้วด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น พระศาสดาเมื่อจะแสดงอนัตตลักษณะจึงทรงแสดง โดยความไม่เที่ยงบ้าง โดยความเป็นทุกข์บ้างโดยทั้งความไม่เที่ยงทั้งความเป็นทุกข์บ้าง แต่ในอายตนวิภังค์นี้ พึงทราบว่า ทรงแสดงอายตนะนั้นทั้งโดยความไม่เที่ยง ทั้งโดยความเป็นทุกข์ ดังนี้.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร