วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 20:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2013, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=10194&Z=10534

อ่านเอาเองนะโฮฮับ

แล้วไม่ต้องอธิบายอะไรออกมา นะโฮฮับ

ต้องอธิบาย ไม่งั้น"เช่นนั้น"ก็ตีเนียนหน้าตายซิครับ
ยกมาให้ดูเป็นบางบทเพราะมันยาว แต่บทสรุปมันเหมือนกัน
[๖๕๔] พ. ดูกรภารทวาชะ ได้ทราบกันดังนี้ว่า บรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย ไม่มีพราหมณ์
แม้คนหนึ่งจะเป็นใครก็ตาม ที่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่ ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า สิ่งนี้แหละจริง
สิ่งอื่นเปล่า ไม่มีใครแม้คนหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ เป็นปาจารย์ของอาจารย์ ตลอด ๗ ชั่วอาจารย์
ของพราหมณ์ทั้งหลาย ที่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่ ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า สิ่งนี้แหละจริง
สิ่งอื่นเปล่า แม้ฤาษีทั้งหลายผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ
ฤาษีวามเทพ ฤาษีเวสสามิตตะ ฤาษียมตัคคิ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ
ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้แต่งมนต์ เป็นผู้บอกมนต์ พราหมณ์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ขับตาม
กล่าวตามซึ่งบทมนต์เก่านี้ ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง
บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านได้กล่าวไว้ บอกไว้ แม้ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่
ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า สิ่งนี้แหละจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้. ดูกรภารทวาชะ เปรียบเหมือนแถว
คนตาบอด ซึ่งเกาะกันต่อๆ ไป แม้คนต้นก็ไม่เห็น แม้คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนหลังก็ไม่เห็น
ฉันใด ภาษิตของพราหมณ์ทั้งหลายเห็นจะเปรียบได้กับแถวคนตาบอด ฉะนั้น คือ แม้คนชั้นต้น
ก็ไม่เห็น แม้คนชั้นกลางก็ไม่เห็น แม้คนชั้นหลังก็ไม่เห็น ดูกรภารทวาชะ ท่านจะเข้าใจความ
ข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ความเชื่อของพราหมณ์ทั้งหลายย่อมหามูลมิได้มิใช่หรือ?
กา. ท่านพระโคดม ในข้อนี้ พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมเล่าเรียนกันมา มิใช่ด้วยความเชื่อ
อย่างเดียว แต่ย่อมเล่าเรียนด้วยการฟังตามกันมา.

เรื่องที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่กาปทิกมาณพ มันเป็นความเชื่อตามๆกันมา
สิ่งที่ภารทวาชะเชื่อตามๆกันมา มันเป็นความเชื่อที่ปราศจากปัญญา(สัมมาทิฐิ)
หมายความว่า พราหมณ์ทั้งหลายยังไม่เคยเห็นสภาวะธรรมตามจริง

สภาวะธรรมตามจริงที่ว่า ไม่ได้เกี่ยวกับความจริงหรือความเท็จ
แต่มันเป็น อวิชาคือความไม่รู้ในอริยสัจจ์ สิ่งที่พราหมณ์สอนตามกันมา
ไม่ใช่เป็นเรื่องเท็จ เพียงแต่ว่า สิ่งที่บรรดาพราหมณ์สอนไม่ใช่ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
จึงไม่สามารถบอกได้ว่า พราหมณ์เหล่านั้นสอนและเชื่อในสิ่งที่เป็นเท็จ

คำกล่าวที่เป็นเท็จ พราหมณ์จะต้องอ้างว่าธรรมที่สอนเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า
จึงเรียกว่าเป็นคำเท็จ
แต่ในจังกีสูตรที่เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้กล่าวหรือเกี่ยวข้องกับคำเท็จ คำจริง
มันเป็นเรื่อง อวิชาความไม่รู้ หรือจะกล่าวอีกนัยก็คือยังไม่มีสัมมาทิฐิ



ว่าไปแล้วธรรมบทนี้ก็คล้ายกับกาลามสูตรนั้นแหล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2013, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ไม่ให้อธิบาย ก็ดันทุรังอธิบายออกมา
ตามสบายนะโฮฮับ

:b9:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2013, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
...สัจจะในความหมายของความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คือสัจจธรรมจริงๆของสิ่งที่เกิดและดับ...
...เป็นสภาพจิตที่เกิดและที่ดับเท่านั้น จิตไม่มีเพศและวัย ภพภูมิเป็นสภาพสมมุติไม่ใช่สัจจะค่ะ...
:

ถ้าคุณให้ความหมายสัจจะเป็นความจริง แบบนี้จะเอาสภาพจิตที่เกิดดับ
มาใช้กับสัจจะที่แปลว่าความจริงไม่ได้ เพราะสภาพเกิดดับเป็นสังขาร
จิตหรือขันธ์ห้าเป็นสังขารเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาหาใช่ความจริงไม่

ภพภูมิเป็นสัจจะนะคับ เอางี้จะบอกให้ครับคุณกำลังสับสนกับคำว่า "สมมุติ"
คุณกำลังเอาสมมุติในทางธรรมมาใช้กับทางโลก มันเป็นคนละเรื่อง

สมมุติทางธรรมมีอยู่จริงในขณะที่พูด
แต่สมมุติทางโลกไม่มีอยู่จริงในขณะที่พูดครับ

Rosarin เขียน:

...เพราะในพระไตรปิฎกเป็นธรรมที่ทรงสอนมนุษย์และบัญญัติไว้เพียง 84000พระธรรมขันธ์...
...เพื่อแจกแจงให้ตรึกตรองสภาพที่ไม่เที่ยงคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข ตามภพภูมิ...
...สัจจะคือเที่ยงตรง แม่นยำ คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เป็นอริยสัจจธรรม...
:

คุณสับสนในบัญญัติ เลยเอาคำศัพท์ต่างมาผสมปนเปกันวุ่นวายไปหมด
แบบนี้เขาเรียกพูดทั้งๆที่ไม่เคยเห็นและไม่รู้สภาวะธรรมครับ

ธรรมทั้งหมดหรือธรรมชาติทั้งปวง มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลครับ
เพราะธรรมทั้งมวลเป็น อนัตตา

:b12:
...ในความหมายธรรมชาติในโลกของข้าพเจ้าคือธรรมชาติสิ่งที่เกิด-ดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...
...ไม่ใช่ธรรมชาติที่ว่าตัวข้าพเจ้าชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน ทำงานอะไรมีพ่อแม่ญาติมิตรอยู่ไหนอ่ะนะ...
...ขณะนี้มีเห็น คนครั้งพุทธกาลก็มีเห็น หรือคนเมื่อครั้งก่อนพุทธกาลก็มีเห็นเหมือนกัน อันนี้ที่คงที่...
...รึว่าคนที่ได้ยินในยุคนี้ก็มีได้ยิน ยุคพุทธกาลก็ได้ยิน ก่อนพุทธกาลก็ได้ยิน ก็ได้ยินเหมือนกันที่คงที่...
...ต่างกันที่ธรรมชาติในสมมุติบัญญัติที่จิตแต่ละดวงมาเสวยวิบากกรรมที่ตนได้รับไปตามยุคที่เกิด...
...คนที่เกิดในยุครัชกาลที่5ก็จะเห็นธรรมชาติบ้านเรือน และผู้คนตามสมมุติบัญญัติต่างจากคนยุคนี้...
...ที่คงที่คือขณะนี้มีเห็น คนไทยเห็น ต่างชาติเห็น แมวเห็น นกเห็น หนูเห็น มีเห็นในสมมุติเหมือนกัน...
...เห็นที่เป็นสัจจะคือเห็นเป็นปัจจุบันขณะ ไม่ใช่เห็นธรรมชาติของแม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขา คนฯลฯ...
:b16: :b27:
:b40:

ยิ่งพูดยิ่งเละ พูดกับคุณพูดยาวๆไม่ได้ เพราะคุณชอบเอาสิ่งที่เห็นไปปรุงแต่ง

ฟังนะครับ กายใจคนมันก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เพียงแต่สิ่งที่เกิดภายในกายใจ
มันไม่ใช่สิ่งที่จริงแท้ มันเป็นการปรุงแต่งด้วยการยึดเอาธรรมชาตินอกกายใจมาปรุงแต่ง


Kiss
...มีอะไรที่ข้าพเจ้าคิดปรุงแต่งไหม...ในเมื่อข้าพเจ้าพิจารณาสภาพธรรมที่เกิด ณ ปัจจุบันขณะจริงๆ...
...ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าเขียนให้อ่านง่ายที่สุดแล้วนะคะ...คิดไตร่ตรองดูให้ถ้วนถี่กว่านี้ก็ดีนะคุณโฮฮะ...
...ขณะนี้มีธรรมะ...ตัดตัวตนออก...ลองมองรอบตัวดูสิ...มีเห็นใช่ไหม...แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ...
...ก็มันมีจอคอมพิวเตอร์ใช่ไหมล่ะ...นั่นแหละเห็นเป็นกิเลสล้วนๆเลย...รู้ไหมว่าเห็นเป็นธรรมะ...
...เอ้าต่อไปหลับตา...จอคอมพิวเตอร์หายไปแล้ว...และก็นั่งคิดเอาว่าเคยมีจอคอมพิวเตอร์จริงม๊ะ...
:b17:
...เหตุปัจจัยให้เห็นหมดไปนี่ที่เรียกว่าจิตเห็นเกิดแล้วก็ดับไม่มีส่วนเหลือยังไงล่ะคุณโฮ...
...หรือจะบอกว่าไม่เห็นแล้วจับดูจอคอมฯก็อยู่ที่เดิม...เอ้าก็ตอนจับจอคอมฯเป็นเหตุปัจจัยอันใหม่...
...คิดตามอยู่หรือเปล่า...แล้วรู้ไหมว่าเกิดสภาพธรรมะอันใหม่แล้ว...ที่มือคุณสัมผัสจอคอมฯนะคะ...
...คือคุณแค่รู้สึกสัมผัสแค่อ่อนหรือแข็งเท่านั้น...จึงจะเรียกว่าพิจารณาสภาพธรรมตรงตามเป็นจริง...
...ขณะหลับตาก็คิดเอาค่ะว่าจอคอมพิวเตอร์ยังอยู่ที่เดิม....สภาพธรรมะเปลี่ยนแปลงไปแล้วรู้ไหมล่ะ...
:b20: :b39:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2013, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

...มีอะไรที่ข้าพเจ้าคิดปรุงแต่งไหม...ในเมื่อข้าพเจ้าพิจารณาสภาพธรรมที่เกิด ณ ปัจจุบันขณะจริงๆ...
...ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าเขียนให้อ่านง่ายที่สุดแล้วนะคะ...คิดไตร่ตรองดูให้ถ้วนถี่กว่านี้ก็ดีนะคุณโฮฮะ...
...ขณะนี้มีธรรมะ...ตัดตัวตนออก...ลองมองรอบตัวดูสิ...มีเห็นใช่ไหม...แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ...
...ก็มันมีจอคอมพิวเตอร์ใช่ไหมล่ะ...นั่นแหละเห็นเป็นกิเลสล้วนๆเลย...รู้ไหมว่าเห็นเป็นธรรมะ...
...เอ้าต่อไปหลับตา...จอคอมพิวเตอร์หายไปแล้ว...และก็นั่งคิดเอาว่าเคยมีจอคอมพิวเตอร์จริงม๊ะ...
:b17:
...เหตุปัจจัยให้เห็นหมดไปนี่ที่เรียกว่าจิตเห็นเกิดแล้วก็ดับไม่มีส่วนเหลือยังไงล่ะคุณโฮ...
...หรือจะบอกว่าไม่เห็นแล้วจับดูจอคอมฯก็อยู่ที่เดิม...เอ้าก็ตอนจับจอคอมฯเป็นเหตุปัจจัยอันใหม่...
...คิดตามอยู่หรือเปล่า...แล้วรู้ไหมว่าเกิดสภาพธรรมะอันใหม่แล้ว...ที่มือคุณสัมผัสจอคอมฯนะคะ...
...คือคุณแค่รู้สึกสัมผัสแค่อ่อนหรือแข็งเท่านั้น...จึงจะเรียกว่าพิจารณาสภาพธรรมตรงตามเป็นจริง...
...ขณะหลับตาก็คิดเอาค่ะว่าจอคอมพิวเตอร์ยังอยู่ที่เดิม....สภาพธรรมะเปลี่ยนแปลงไปแล้วรู้ไหมล่ะ...
:b20: :b39:
:b8:

ฟุ้งไปใหญ่แล้ว สภาพธรรมคอมพิวเตอร์หายอยู่อะไรของคุณ
สภาพธรรมตรงความเป็นจริง มันคืออารมณ์ข้างในใจ มันเกี่ยวกับหลับลืมตาที่ไหน
ตลกดีครับ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2013, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:

...มีอะไรที่ข้าพเจ้าคิดปรุงแต่งไหม...ในเมื่อข้าพเจ้าพิจารณาสภาพธรรมที่เกิด ณ ปัจจุบันขณะจริงๆ...
...ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าเขียนให้อ่านง่ายที่สุดแล้วนะคะ...คิดไตร่ตรองดูให้ถ้วนถี่กว่านี้ก็ดีนะคุณโฮฮะ...
...ขณะนี้มีธรรมะ...ตัดตัวตนออก...ลองมองรอบตัวดูสิ...มีเห็นใช่ไหม...แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ...
...ก็มันมีจอคอมพิวเตอร์ใช่ไหมล่ะ...นั่นแหละเห็นเป็นกิเลสล้วนๆเลย...รู้ไหมว่าเห็นเป็นธรรมะ...
...เอ้าต่อไปหลับตา...จอคอมพิวเตอร์หายไปแล้ว...และก็นั่งคิดเอาว่าเคยมีจอคอมพิวเตอร์จริงม๊ะ...
:b17:
...เหตุปัจจัยให้เห็นหมดไปนี่ที่เรียกว่าจิตเห็นเกิดแล้วก็ดับไม่มีส่วนเหลือยังไงล่ะคุณโฮ...
...หรือจะบอกว่าไม่เห็นแล้วจับดูจอคอมฯก็อยู่ที่เดิม...เอ้าก็ตอนจับจอคอมฯเป็นเหตุปัจจัยอันใหม่...
...คิดตามอยู่หรือเปล่า...แล้วรู้ไหมว่าเกิดสภาพธรรมะอันใหม่แล้ว...ที่มือคุณสัมผัสจอคอมฯนะคะ...
...คือคุณแค่รู้สึกสัมผัสแค่อ่อนหรือแข็งเท่านั้น...จึงจะเรียกว่าพิจารณาสภาพธรรมตรงตามเป็นจริง...
...ขณะหลับตาก็คิดเอาค่ะว่าจอคอมพิวเตอร์ยังอยู่ที่เดิม....สภาพธรรมะเปลี่ยนแปลงไปแล้วรู้ไหมล่ะ...
:b20: :b39:
:b8:

ฟุ้งไปใหญ่แล้ว สภาพธรรมคอมพิวเตอร์หายอยู่อะไรของคุณ
สภาพธรรมตรงความเป็นจริง มันคืออารมณ์ข้างในใจ มันเกี่ยวกับหลับลืมตาที่ไหน
ตลกดีครับ :b9:

huh
...พระธรรมของพระพุทธศาสนา...ถ้าคิดไม่ถูก...ก็เหมือนกรอกน้ำไม่ตรงปากขวดนะคุณโฮ...
...ถ้าแค่สภาพธรรมทางตาหมดไปยังกรอกไม่ถูกเนี่ยนะ...จะเกิดปัญญาแจ้งได้อย่างไร...
:b16:
...หรือคุณโฮ...จาปาตีเสกว่า...สภาพธรรมทางตาที่คุณเห็นว่ามีจอคอมฯอยู่ต่อหน้าคุณ...
...มันหมดไปตั้งแต่คุณหลับตาไปแล้ว...สิ่งของก็อยู่ที่เดิม...พอปิดตา แสงไม่มี รูปที่เห็นก็ไม่มี...
...ตลอกเวลาที่คุณหลับตาแม้คุณจะไม่ลุกจากหน้าจอคอมฯเลย...ก็คือตาไม่ได้เห็นรูปแล้ว...
:b22:
:b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2013, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ฟุ้งไปใหญ่แล้ว สภาพธรรมคอมพิวเตอร์หายอยู่อะไรของคุณ
สภาพธรรมตรงความเป็นจริง มันคืออารมณ์ข้างในใจ มันเกี่ยวกับหลับลืมตาที่ไหน
ตลกดีครับ :b9:

huh
...พระธรรมของพระพุทธศาสนา...ถ้าคิดไม่ถูก...ก็เหมือนกรอกน้ำไม่ตรงปากขวดนะคุณโฮ...
...ถ้าแค่สภาพธรรมทางตาหมดไปยังกรอกไม่ถูกเนี่ยนะ...จะเกิดปัญญาแจ้งได้อย่างไร...
:b16:
...หรือคุณโฮ...จาปาตีเสกว่า...สภาพธรรมทางตาที่คุณเห็นว่ามีจอคอมฯอยู่ต่อหน้าคุณ...
...มันหมดไปตั้งแต่คุณหลับตาไปแล้ว...สิ่งของก็อยู่ที่เดิม...พอปิดตา แสงไม่มี รูปที่เห็นก็ไม่มี...
...ตลอกเวลาที่คุณหลับตาแม้คุณจะไม่ลุกจากหน้าจอคอมฯเลย...ก็คือตาไม่ได้เห็นรูปแล้ว...
:b22:
:b30:

พูดแบบนี้แหละเขาเรียกฟุ้งคำศัพท์ ไม่ได้รู้เรื่องธรรมะเลย
ไม่รู้จักคำว่า มองธรรมไปตามความเป็นจริง ผมบอกว่าสิ่งที่หายไปเป็นอารมณ์ในใจ
มันใช่คอมพิวเตอร์ที่ไหน

ถามหน่อยรูปที่คุณเห็นด้วยตา กับคอมพิวเตอร์ที่มันวางอยู่ตรงหน้าคุณมันเหมือนกันหรือ
รูปมันรู้ด้วยวิญญาณเมื่อรู้แล้วก็ดับ
แต่คอมพิวเตอร์มันอยู่ของมันตามธรรมชาติ ถ้าไม่มีใครมายกมันไปมันก็ยังอยู่ที่เดิมนั้นแหล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2013, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...คนตาย วัตถุ สิ่งของ แม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขา สักว่าธาตุ4 ดิน น้ำ ลม ไฟ...
...ที่ใดมีธาตุ ที่นั่นก็จะมีสี มีกลิ่น มีรส แต่ไม่มีสัมผัส จะมีสัมผัส...
...จะมีสัมผัสต่อเมื่อมีจิตมาประชุมกับธาตุทั้ง4คือคนเป็นๆ...
...กายนั้นไม่รู้อะไรเลย แต่ที่รู้คือจิตรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ...
...เวลาที่คุณหลับสนิทและไม่ฝัน ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น...
...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหายใจหรือไม่หายใจ...
:b12:
...ทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายอยู่ในโลกของความคิดจำตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับ...
...ไม่รู้เลยว่าสภาพธรรมเกิดดับนับไม่ถ้วนเพราะจดจำเป็นทะเลเรื่องราวของชีวิตตัวเอง...
...เข้าไปเกี่ยวข้องกับชื่อของสิ่งสมมุติต่างๆตามภพภูมิ...โดยไม่รู้ว่ามีธรรมอยู่ตลอดเวลา...
...ถึงแม้ศึกษา อ่าน และท่องจำพระไตรปิกกได้หมดทุกคำ ก็เป็นแค่ความคิดความจำล้วนๆนะคุณโฮ...
...จะรู้ว่าเป็นธรรมะในชีวิตประจำวัน หรือจะจดจำแค่เรื่องราวของตัวเองกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวล่ะ...
:b32: :b32:
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2013, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนอย่างนี้นะคะคุณโฮ...
...สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น...
...แต่รู้สึกว่าคุณโฮจะยึดติดถือมั่นกับสิ่งที่ตัวเองเข้าใจว่าเป็นธรรมแล้วก็วางไม่ลงจริงๆ...
wink
...ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนอีกว่า
...พระธรรมไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ยกไว้สูงเพื่อกราบไหว้เท่านั้น...ธรรมคือสิ่งที่ช่วยให้รอด...
...พระธรรมคือความรู้และการปฏิบัติตามหน้าที่ที่ถูกต้องที่ดับทุกข์ได้...กระทำไว้ในใจอย่างถูกต้อง...
...ก็คือทำใจให้สงบสติอารมณ์เป็นสมาธิแม้กำลังเดินอยู่...การทำงานเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องทำเอง...
...การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรมแม้ทำงานหนักเหงื่อไหลให้เป็นน้ำมนต์รดกายอย่างไม่มีทุกข์
...แต่ต้องทำด้วยสติตื่นรู้สึกที่ใจอยู่ถูกต้องตามธรรมที่เป็นทางสายกลาง 8 ประการ...
...ก็คือแม้จะเป็นคนธรรมดางานที่ทำก็ถูกต้องตามอริยสัจจ์สี่ อริยมรรคมีองค์ 8...
:b8: :b8: :b8:
:b44:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร