วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 72 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2012, 04:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


conan123 เขียน:
ช่วยด้วยค่ะ ตอนนี้สงสัยจนตัน คิดว่าเราเข้าใจกฎแห่งกรรมผิดไปแน่ๆ

คือเราคิดว่า ถ้าชีวิตเราดำเนินไปตามกรรมที่ก่อไว้ ตั้งแต่ในอดีตชาติ นั่นแปลว่า กรรมก็จะส่งผลต่อการตัดสินใจของแต่ละคนด้วยสิคะ แบบนี้เราจะมีเจตจำนงเสรีได้ยังไง แบบนี้จะใช้ชีวิตไปทำไมคะ ใช้ไปงั้นๆเพราะชดใช้กรรม คิดแล้วท้อจัง

ที่ว่ากรรมส่งผลต่อการตัดสินใจ เป็นแบบนี้ค่ะ กรรมส่งผลให้เรามาเกิดในตระกูลไหน ยีนส์แบบไหน สมองแบบไหน (ฉลาด โง่ เป็นต้น) และยังส่งผลต่อสภาพแวดล้อมที่เราต้องเจออีกด้วย เช่น พ่อแม่เลี้ยงดีๆสอนให้เป็นคนดี อีคิวสูง มีเมตตากรุณา กับพ่อแม่เป็นโจรสอนลูกให้ขโมย หรือเพื่อนที่พบเจอ ครูที่พบเจอ นอกจากนี้ ยังมีคนทุกคนที่เราประสบพบเจอ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ หรือแม้แต่โอกาสที่จะศึกษาศาสนา ทุกอย่างก็เป็นเพราะกรรมเก่า และกรรมใหม่ที่เราตัดสินใจ มันก็มาจากผลของกรรมเก่า (เพราะสภาพร่างกายและสมอง และข้อมูลต่างๆที่ถูกป้อนลงสมอง ล้วนได้รับมาเพราะกรรมเก่า) เพราะถ้ากรรมเก่าให้เราเกิดมาในสมองดีๆ สภาพแวดล้อมดีๆ สมองเราก็จะตัดสินใจทำในเรื่องดีๆ แม้แต่ปริมาณออกซิเจนในที่ๆเราอยู่ก็มีผลต่อการทำงานของสมองต่างกัน ดังนั้นปริมาณออกซิเจนที่แต่ละคนได้รับก็เป็นกรรมเก่าด้วย

ดังนั้นมนุษย์ไม่มีเจตจำนงเสรีที่จะตัดสินใจอะไรด้วยตนเอง ทุกอย่างถูกชักจูงจากกฎแห่งกรรม แล้วแบบนี้มันต่างอะไรกับตัวละครในเกมส์ ที่่ดำเนินตามกฎของเกมส์นั้นล่ะคะ


ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นอนัตตาครับ จะเป็นผลของกรรมหรือไม่ ธรรมทั้งปวงก็เป็นอนัตตาอยู่ดี เช่น เสียงไม่มีสะสมไว้ก่อน เมื่อเสียงดับลง เสียงก็ไม่ได้สะสมไว้ที่ไหน นี่คือความเป็นอนัตตาของเสียงครับ เกี่ยวกับเราอย่างไร หากเรามีกรรมที่จะต้องได้ยินเสียงใดเสียงหนึ่งเพราะผลของกรรมส่งผลก็ตาม แต่ความเป็นอนัตตาของเสียงห้ามปัญญาจากวิปัสสนาภาวนาไม่ได้ นั่นคือ เราสามารถน้อมเสียงนั้นลงสู่ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นปัญญา ไม่ใช่ผลของกรรมครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2012, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
คุณโกวิทถ้าจะไม่รู้ว่า ปุถุชนก็สามารถมีอัพยากฤตธรรม


จิต ปุถุชน มี 4 ชาติคือ กุศลชาติ อกุศลชาติ วิบากชาติ กิริยาชาติ

วิบากชาติ และกิริยาชาติ รวมเรียกว่า อัพยากฤตธรรม


จิต พระอรหันต์ มีแค่ 2 ชาติคือ ชาติวิบาก และชาติกิริยา

จิต พระอรหันต์ จึงมีแต่เฉพาะ อัพยากฤตธรรม


จิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นจิตชาติวิบาก ......... ซึ่งมีทุกคน ไม่เว้นเลย

จิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย .....นี้รวมเรียกว่า วิญญาณห้า

วิญญาณที่6 คือมโนวิญญาณ

มโนวิญญาณ ของพระอรหันต์มีทั้งส่วนที่เป็นวิบากจิต และกิริยาจิต

มโนวิญญาณ ของปุถุชน มีทั้งส่วนที่เป็นวิบากจิต และกิริยาจิต กุศลจิต และอกุศลจิต

นี่คือความต่างของพระอรหันต์ และปุถุชน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แก้ไขล่าสุดโดย govit2552 เมื่อ 28 ธ.ค. 2012, 20:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2012, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณโกวิทถ้าจะไม่รู้ว่า ปุถุชนก็สามารถมีอัพยากฤตธรรม

จิต ปุถุชน มี 4 ชาติคือ กุศลชาติ อกุศลชาติ วิบากชาติ กิริยาชาติ
วิบากชาติ และกิริยาชาติ รวมเรียกว่า อัพยากฤตธรรม
จิต พระอรหันต์ มีแค่ 2 ชาติคือ ชาติวิบาก และชาติกิริยา
จิต พระอรหันต์ จึงมีแต่เฉพาะ อัพยากฤตธรรม
จิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นจิตชาติวิบาก ......... ซึ่งมีทุกคน ไม่เว้นเลย
จิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย .....นี้รวมเรียกว่า วิญญาณห้า
วิญญาณที่6 คือมโนวิญญาณ
มโนวิญญาณ ของพระอรหันต์มีทั้งส่วนที่เป็นวิบากจิต และกิริยาจิต
มโนวิญญาณ ของปุถุชน มีทั้งส่วนที่เป็นวิบากจิต และกิริยาจิต กุศลจิต และกิริยาจิต
นี่คือความต่างของพระอรหันต์ และปุถุชน

คุณโกวิทครับ ผมอยากแนะนำให้คุณไปทำความเข้าใจกับธรรมทั้ง๓ธรรมนี่ก่อนครบ
๑. มหากุศลจิต

๒. มหาวิบากจิต

๓. มหากิริยาจิต

ไปหาอ่านในหนังสืออภิธรรมไหนก็ได้ เอาที่คุณเคยศึกษามาก็ได้
หรือจะเอาเป็นของ มหาจุฬาฯ ผมเอาลิ้งมาให้ครับ
http://www.buddhism-online.org/ContentSect03A.htm

มีสมาธิก่อนอ่านนะครับ แล้วมีความเห็นอย่างไร ก็ขอเชิญแสดงความเห็นครับ
ส่วนผมเช้าๆจะเข้ามาอธิบายครับ เรื่องพระอภิธรรมต้องมีสมาธิครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2012, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


http://www.navagaprom.com/oldsite/con1.php?con_id=262

อ้างคำพูด:
จิตทั้งแปดดวงที่กล่าวมานี้เป็นกามาวจรกุศล เป็นมหากุศล
อย่างแรงกล้า เป็นลำดับ ๆ ขึ้นไป ที่เรียกว่ากามาวจรกุศล ก็
เพราะเป็นกุศลอยู่ในชั้นกาม จะล่วงพ้นชั้นกามไปไม่ได้ เมื่อ
แตกกายทำลายขันธ์ก็ได้รับความสุขอยู่ในชั้นกาม


อ้างคำพูด:
ชั้นจาตุมหาราชอยู่สูงขึ้นไปจากพื้นมนุษย์ 42,000 โยชน์
มนุษย์ที่จะไปอยู่ในชั้นนี้ได้ต่างสำเร็จด้วยจิตทั้งแปดดวงดังที่
กล่าวมาแล้ว จึงไปเสวยสมบัติอยู่ในจาตุมหาราชเป็นเทวดามี
สมบัติเป็นทิพย์วิมานสุขเกษมสำราญ ไม่มีการงานอันหนึ่งอัน
ใด บริโภคแต่กาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเท่านั้น ในชั้น
จาตุมหาราชยังมีอิจฉาริษยากันอยู่ เพราะฤทธิ์ของกามบังคับ
ให้เป็นไป ไม่เป็นไปก็ไม่ได้เพราะจิตมันติดแจอยู่กับกาม ตัวไป
ติดแจอยู่ตรงไหน คนอื่นมันก็ติดแจซ้อนตรงนั้นบ้าง มันก็โกรธ
กันขึงกัน มันก็ตบก็ตีก็ต่อยกัน ฆ่าฟันกัน แย่งกามกัน ต้องห้าม
กัน ถ้าว่ากันชัด ๆ ก็หวงก้างกันนั่นเอง หวงก้างกันเขาเทียบด้วย
สุนัขคือ หวงไม่ควรจะหวง ห้ามไม่ควรจะห้าม เลอะเทอะเหลว
ไหล จิตใจติดอยู่ในกาม เมื่อรู้จักหลักดังนี้แล้ว ต้องทำใจให้
ผ่องแผ่ว ตั้งใจหลีกออกจากกามให้ได้ แต่เทวดานั้นไม่เหมือน
มนุษย์คือ ตี ต่อย ฆ่า ฟันกันเต็มที่เหมือนมนุษย์ไม่ได้ เพราะ
เทวดานั้นถ้าปล่อยใจให้โกรธเต็มที่เมื่อไร แม้ไม่ถึงตี ต่อย ฆ่า
ฟันก็ต้องจุติอยู่ไม่ได้แล้ว หรือมัวบริโภคกามคุณ เพลิดเพลิน
ในกามคุณ จนเคลื่อนเลยเวลาบริโภคอาหารทิพย์ ร่างกายก็
เหี่ยวแห้งที่เดียว รัศมีสีสรรวรรณะก็ซีดเซียว

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2012, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตามที่ท่านโฮฮับให้ผมไปดู เรื่อง มหากุศลจิต

ก็ตามนั้นครับ ยืนยันว่า พระอรหันต์ ไม่มีจิต กุศล หรือ อกุศล เช่นเดิม

พระอรหันต์มีจิตเพียง 2 ชาติ คือ วิบากจิต และกิริยาจิต ................ เท่านั้น เหมือนเดิม

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2012, 23:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อุปมาด้วยกงรถ

“ พระนาคเสนจึงขีดเป็นกงรถลงที่พื้นดินแล้วถามพระเจ้ามิลินท์ว่า ที่สุดแห่งกงรถนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สมเด็จพระธรรมสามิสรตรัสไว้ว่า “ กงจักรเหล่านี้ได้แก่ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ” ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณ ย่อมเกิดพราะอาศัย จักขุ กับ รูป เมื่อสิ่งทั้ง ๓ นั้นรวมกันก็เป็น ผัสสะ ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา”
เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา
ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน
อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด กรรม
จักขุ ก็เกิดจาก กรรม อีก ที่สุดแห่งการสืบต่ออันนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยเสียงกับหู จมูกกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ มโนกับธรรมะ เมื่อสิ่งทั้ง ๓ รวมกันเข้าก็เป็น ผัสสะ แล้วทำให้เกิด เวทนา ตัณหา อุปทาน กรรม แล้ว โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เกิดจากกรรมนั้นอีก ที่สุดแห่งการสืบต่อนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ ไม่มี พระผู้เจ้าเป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ขอถวายพระพร ”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2012, 02:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ตามที่ท่านโฮฮับให้ผมไปดู เรื่อง มหากุศลจิต

ก็ตามนั้นครับ ยืนยันว่า พระอรหันต์ ไม่มีจิต กุศล หรือ อกุศล เช่นเดิม

พระอรหันต์มีจิตเพียง 2 ชาติ คือ วิบากจิต และกิริยาจิต ................ เท่านั้น เหมือนเดิม

ไม่ได้ให้คุณดูแค่มหากุศลจิตเพียงอย่างเดียว ให้ดูมหาวิบากและมหากิริยาจิตด้วย
แล้วที่บอกว่า พระอรหันต์ไม่มีจิตกุศลและอกุศล ก็ใช่ไงเพราะแบบนี้
พระอรหันต์จึงไม่มีกรรม เพราะกุศลและอกุศลเป็นกรรม
เมื่อไม่มีกรรมจึงไม่มีวิบาก เพราะผลของกรรมคือวิบาก

ส่วนเรื่อง อัพยากฤตธรรม ปุถุชนรู้ด้วยวิญญาณหรือทวารที่เป็นวิบาก
ถึงแม้สภาวะธรรมจะเป็นอัพยากฤต แต่ก็ยังเป็นจิตวิบาก เพราะยังมีการ
สั่งสมกรรมเก่าไว้

ส่วนอัพยากฤตธรรมของอรหันต์ ท่านรู้ด้วยมโนธาตุที่เป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล อกุศลและวิบาก อัพยากฤตธรรมนั้นจึงเป็น กิริยาจิต
เพราะจิตของอรหันต์ได้ตัดกรรม ไม่มีเจตนาในสมัยหรือชาตินั้นแล้ว

ดังนั้นจิตของพระอรหันต์จึงมีเพียงแต่.....กิริยาจิต เพียงอย่างเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2012, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


งั้นท่านโฮฮับติดอยู่ตรง วิบากจิต ............ ของพระอรหันต์

ข้อนี้เฉลยง่ายๆ

ท่านโฮฮับ ต้องเชื่อก่อนว่า

ภวังคจิต คือ วิบากจิต

เพราะว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย มีภวังคจิต เกิดคั่นวิถีจิต อยู่ตลอดคืนตลอดวัน

การที่ท่านโฮฮับ ปฏิเสธการมีวิบากจิต ของพระอรหันต์ ก็เท่ากับ หาว่าพระอรหันต์ไม่มีภวังคจิต เช่นกัน

จึงอยากให้ท่านยืนยัน เรื่อง

ภวังคจิต เป็นส่วนหนึ่ง ในจำนวนวิบากจิตทั้งหมด หรือไม่

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2012, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ภวังคจิต
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อ้างคำพูด:
ภวังคจิต ภวังคะ หรือ ภะ-วัง-คะ ภว+องฺคะ แปลตามพยัญชนะว่า "องค์ของภพ" มักใช้รวมกับจิต เป็นภวังคจิต ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า จิตมีลักษณะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการสืบต่อสันตติของจิต ย่อมอาศัยการถ่ายทอดข้อมูลจากภวังคจิตจิตดวงเดิม ไปสู่จิตดวงใหม่ ด้วยกระบวนการของการทำงานของภวังคจิต เพราะเหตุว่าภวังคจิตเป็นเหตุให้สร้างจิตดวงใหม่ตลอดเวลาก่อนจิตดวงเก่าจะดับไป จึงชื่อว่าเป็นเหตุแห่ง "ภพ" หรือเป็นเหตุสร้าง"ภพ"
จิต ในทางศาสนาพุทธแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ 1.วิถีจิต จิตสำนึก 2.ภวังคจิต จิตใต้สำนึก
ภวังคจิต คือจิตใต้สำนึกในทางศาสนาพุทธหมายถึงเป็นกระบวนการทำงานแบบอัตตโนมัติของจิต จิตใต้สำนึกในความหมายของภวังคจิตนี้จึงอาจแตกต่างจากทางจิตวิทยา
ภวังคจิต มี 3 อย่าง คือ
ภวังคบาท คือภวังคจิตที่ทรงอารมณ์เก่า อันเป็นอารมณ์ที่ได้มาจากภพหรือจิตดวงก่อน และกำลังกระทบอารมณ์ใหม่
ภวังคจลนะ คือ เป็นภวังคจิตที่ไหวตัว เพราะเหตุที่มีอารมณ์ใหม่ มากระทบ จึงน้อมไปในอารมณ์ใหม่(สร้างและถ่ายทอดข้อมูลสู่จิตดวงใหม่)
ภวังคปัจเฉทะ คือเป็นภวังคจิตที่ตัดกระแสภวังค คือ ปล่อยอารมณ์เก่า วางอารมณ์เก่า เพื่อรับอยู่กับอารมณ์ใหม่หรือจิตดวงใหม่
ภวังคจิต เป็น วิบากจิต คือ จิตใต้สำนึกส่วนลึกที่สุดของจิตเป็นที่สั่งสมอารมณ์จนกลายเป็นอุปนิสัย
ภวังคจิต จะเกิดคั่นระหว่างวิถีจิตในแต่ละวาระ ทำหน้าที่สืบต่อและดำรงภพชาติ
ภวังคจิต จะเกิดขึ้นเมื่อวิถีจิตดับ และเมื่อเกิดวิถีจิตภวังคจิตจะดับลง เมื่อวิถีจิตดับลงภวังคจิตจะเกิดขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่มีภวังคจิต พอขาดวิถีจิต จิตจะไม่มีการสืบต่อสันตติก็เท่ากับสิ้นชีวิต
ภวังคจิต ในขณะที่เปลี่ยนภพจุติใหม่สู่ชาติใหม่ จะใช้ชื่อว่า ปฏิสนธิจิตแทน ซึ่งเป็นขณะจิตแรกของแต่ละชาติ ภวังคจิตจึงสืบต่อภพในระดับเปลี่ยนชาติด้วย
ภวังคจิต คือมโนทวารเป็นอายตนะที่ ๖ อันเป็นวิบาก เป็นอัพยากฤต ซึ่งเป็นจิตตามสภาพปกติ เมื่อยังไม่ขึ้นสู่วิถีจิตรับรู้อารมณ์ จะเป็นเพียงมโน ยังไม่เป็นมโนวิญญาณ เมื่อรับอารมณ์คือเจตสิก จะกลายเป็นมโนวิญญาณ
มีพุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา" จิตที่ประภัสสรในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่าหมายถึงภวังคจิต


http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0% ... 4%E0%B8%95

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2012, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
งั้นท่านโฮฮับติดอยู่ตรง วิบากจิต ............ ของพระอรหันต์

ไม่ได้ติด จะไปติดอะไรครับ ก็ในเมื่อพระอรหันต์ไม่มีเหตุ ไม่มีกรรมแล้ว
ท่านจะมีวิบากได้ไง
ถ้าพูดตามหลัก ปฏิจสมุบาทและกฎแห่งอิทัปจยตา
ถ้าพระอรหันต์ยังมีจิตที่เป็นวิบาก วิบากย่อมส่งผลให้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิต่อไปนะซิครับ
อรหันต์หมดภพ หมดชาติแล้ว ท่านหมดเหตุแล้วครับ
คุณโกวิทครับ ที่ผมพูดก็พูดด้วยเหตุผล ด้วยการเทียบเคียงพระไตรปิฎกเป็นเรื่องไปเลยนะครับ
govit2552 เขียน:
ข้อนี้เฉลยง่ายๆ
ท่านโฮฮับ ต้องเชื่อก่อนว่า
ภวังคจิต คือ วิบากจิต
เพราะว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย มีภวังคจิต เกิดคั่นวิถีจิต อยู่ตลอดคืนตลอดวัน
การที่ท่านโฮฮับ ปฏิเสธการมีวิบากจิต ของพระอรหันต์ ก็เท่ากับ หาว่าพระอรหันต์ไม่มีภวังคจิต เช่นกัน

ผมเชื่อครับว่า ภวังคจิต เป็นวิบากจิต แต่มันต้องแยกแยะให้ดีก่อนครับว่า
เรากำลังกล่าวถึงใคร เรากำลังกล่าวถึงปุถุชนหรือพระอรหันต์

คุณโกวิทต้องพิจารณาธรรมด้วยเหตุผลซิครับ ถ้าขืนเอาตามบัญญัติผมว่า
ปัญหาธรรมของคุณโกวิทมันก็ติดแหง่กอยู่ที่เดิมครับ

ฟังชัดนะครับ ....ถ้าคุณโกวิทบอกว่า วิบากจิตกับภวังคจิตเป็นตัวเดียวกัน
แบบนี้ผมก็ต้องบอกว่า พระอรหันต์ไม่มีภวังคจิต เพราะพระอรหันต์ไม่มีวิบากจิต

แต่ถ้าบอกว่า ภวังคจิตมีทั้งวิบากจิตและกิริยาจิต อย่างนี่ผมก็จะบอกว่าพระอรหันต์
มีภวังคจิตครับ


จิตแรกที่เกิดจากทวารทั้งหกเป็นอย่างไร วิถีจิตและภวังคจิตย่อมเป็นอย่างนั้น
ปุถุชนมีจิตที่มีวิบาก วิถีจิตและภวังคจิตย่อมต้องเป็นวิบากไปด้วย

ส่วนพระอรหันต์ จิตที่เกิดจากทวารทั้งหก ท่านรู้ด้วยมโนวิญญาณธาตุ(เคยอ้างอิงพระสูตร)
มโนวิญญาณธาตุของอรหันต์ ปราศจากกุศลและอกุศล
มโนวิญญาณธาตุของพระอรหันต์จีงเป็นกิริยาจิต
วิถึจิตและภวังคจิตย่อมต้องเป็น กิริยาจิต ไม่ใช่วิบาก
govit2552 เขียน:
จึงอยากให้ท่านยืนยัน เรื่อง

ภวังคจิต เป็นส่วนหนึ่ง ในจำนวนวิบากจิตทั้งหมด หรือไม่

คุยกันตั้งนาน คุณยังไม่เข้าใจหรือว่าที่เรากำลังคุยกันอยู่ มันเป็นเรื่องของ
ปรมัตถ์ธรรม มันเป็นสภาวะที่เกิดดับภายในใจของเรา
ทุกอย่างในใจเรามันเป็นสภาวะทั้งนั้น ความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่เราจะเรียกมันว่าอะไร

การจะอธิบายสภาวะหรือปรมัตถ์ธรรม มันต้องพูดตามเหตุปัจจัย
เอาเหตุเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เอาบัญญัติเป็นที่ตั้ง

บัญญัติอย่างหนึ่งเอามาใช้กับบุคคลที่ต่างสถานะกัน
ความหมายมันก็เปลี่ยนไป อย่างเช่นคำว่า "สัตว์โลก" มันเป็นได้ทั้งมนุษย์และเดียรัจฉาน
เดียรัจฉานก็มีทวารรับรู้เหมือนคน แต่ทำไมสถานะทางธรรมมันแตกต่างกัน

ถ้าจะกล่าวอีกนัยก็คือ คนหนึ่งกำลังพูดถึง....วิชชา
แต่อีกคนกำลังพูดถึง...อวิชา มันเลยเป็นเส้นขนาน


ส่วนที่คุณถามผมว่า ภวังคจิต เป็นส่วนหนึ่งของวิบากจิตมั้ย
ผมขอตอบครับว่า สภาวะที่รักษาภพชาติให้คงอยู่เรียกว่า...วิบากจิต
แต่สภาวะที่เกิดตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นสภาวะที่รักษาภพชาติเรียกว่า......กิริยาจิต

แนะนำคุณโกวิทไปดู วัฎฎะของปฏิจสมุบาท ลองเอามาเทียบเคียงดูครับ
ถ้าพระอรหันต์ยังมี จิตที่คอยรักษาภพชาติ หรือวิบากจิตอยู่ ท่านจะตัดวัฏสงสารได้หรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2012, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ฟังชัดนะครับ ....ถ้าคุณโกวิทบอกว่า วิบากจิตกับภวังคจิตเป็นตัวเดียวกัน

ไม่เคยบอกครับ ว่าเป็นตัวเดียวกัน แต่บอกว่า

ภวังคจิต เป็นซับเซ็ต ของวิบากจิต

วิบากจิต มีหลายตัว แต่ส่วนหนึ่งในนั้นคือ ภวังคจิต

อ้างคำพูด:
อธิบายอีกที ก็คือ วิบากจิต มีหลายชนิด

เช่น
ทวิปัญจวิญญาณจิต
ปฏิสนธิจิต
จุติจิต
ภวังคจิต ................................... ถูกระบุว่า คือ จิตเดิมแท้ประภัสสร
สัมปฎิฉันนะจิต
สันตีรณะจิต
ตทาลัมพนะจิต


ข้อที่ต้องสังเกตุ คือ ภวังคจิต เป็นหนึ่งในนั้น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 02:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


นามขันธ์ที่วูบวาบๆ เกิดดับๆ เกิดขึ้นบริเวณศรีษะ ระหว่างคิ้วและดวงตา ส่วนตัวกำลังกำหนดรู้อยู่ จะว่าเป็นอารมณ์ก็ไม่ใช่ เรียกเป็นจิตอะไรครับ

แต่ก่อนก็ไม่เคยสงสัย พึ่งมาเห็นเด่นชัดขึ้นได้ไม่นานมานี้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 03:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
ฟังชัดนะครับ ....ถ้าคุณโกวิทบอกว่า วิบากจิตกับภวังคจิตเป็นตัวเดียวกัน

ไม่เคยบอกครับ ว่าเป็นตัวเดียวกัน แต่บอกว่า
ภวังคจิต เป็นซับเซ็ต ของวิบากจิต
วิบากจิต มีหลายตัว แต่ส่วนหนึ่งในนั้นคือ ภวังคจิต

สงสัยจะไม่เข้าใจคำว่า....."ถ้า"
ที่ผมตอบไปอย่างนั้นเป็นเพราะคุณ ตั้งคำถามชนิดบังคับให้ผมตอบในสิ่งที่คุณต้องการ
ผมเลยต้อง ขยายความให้คุณเข้าใจ แต่คุณก็ไม่เข้า มิหน่ำซ้ำยังตัดทอนคำพูดของผม
เอามาแสดงไม่หมด

ผมขอวิจารณ์คุณหน่อยนะครับ คุณโกวิท ไม่เข้าใจเรื่อง ปรมัตถ์ธรรม สมมุติสัจจะ
และสมมุติบัญญัติ การอธิบายธรรมมันต้องเป็นไปในลักษณะ เอาบัติญัติมาอธิบาย
ให้เห็นไปตามปรมัตถ์ แต่คุณโกวิทกำลังทำปรมัตถ์ให้เป็นไปตามบัญญัติ แบบนี้มันผิดหลักครับ

อย่างเช่นคุณกับผมมีความเห็นต่างกัน ในเรื่องอรหันต์มีวิบากหรือไม่
คุณมาบอกให้ให้ผมยอมรับก่อนว่า พระอรหันต์ก็มีภวังคจิต เมื่อยอมรับแล้ว
แสดงว่า พระอรหันต์ก็มีวิบาก เพราะภวังคจิตเป็นวิบาก มันตลกมั้ยล่ะ
เป็นเพราะแบบนี้ผมจึงแก้คำถามคุณให้มันถูกหลัก คุณเป็นคนถาม คำตอบต้องมาจากผม
ไม่ใช่มาบีบให้ผมตอบตามคุณ


หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้รู้ว่า เหตุทำให้เกิดผล
ผลมาจากเหตุ

ถ้าคุณบอกว่า...... ภวังคจิตเป็นหนึ่งในวิบากจิต
ในทางกลับกันถ้าผมบอกว่า......ภวังคจิตก็เป็นหนึ่งในกิริยาจิต
สิ่งที่เป็นปรมัตถ์ธรรม ท่านให้ดูที่เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาวะ
ผลที่ได้จะเป็นไปตามเหตุนั้น

สิ่งที่คุณโกวิทกำลังสับสนอยู่ก็คือ ไม่แยกแยะเหตุปัจจัย
หรือจะกล่าวตรงๆก็คือ ไม่ดูความแตกต่างระหว่างบุคคล
ปุถุชนหรือเสขะเป็นอย่างหนื่ง พระอรหันต์หรืออเสขะก็เป็นอย่างหนึ่ง
เหตุปัจจัยไม่เหมือนกัน จะให้เกิดผลเหมือนกันได้อย่างไร


เหตุปัจจัยมาจากการกระทำที่มีเจตนาผลย่อมต้องเป็น....วิบาก
ถ้าเหตุปัจจัยมาจากการกระทำที่ไม่มีเจตนาผลย่อมต้องเป็น ....กิริยา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 03:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
นามขันธ์ที่วูบวาบๆ เกิดดับๆ เกิดขึ้นบริเวณศรีษะ ระหว่างคิ้วและดวงตา ส่วนตัวกำลังกำหนดรู้อยู่ จะว่าเป็นอารมณ์ก็ไม่ใช่ เรียกเป็นจิตอะไรครับ

แต่ก่อนก็ไม่เคยสงสัย พึ่งมาเห็นเด่นชัดขึ้นได้ไม่นานมานี้


ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ เพราะผมไม่เก่งปฏิบัติ

คำถามแบบนี้ ท่านโฮฮับ น่าจะตอบได้นะครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 04:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เหตุปัจจัยมาจากการกระทำที่มีเจตนาผลย่อมต้องเป็น....วิบาก
ถ้าเหตุปัจจัยมาจากการกระทำที่ไม่มีเจตนาผลย่อมต้องเป็น ....กิริยา


พระอรหันต์ ไม่สร้างกรรมใหม่ ก็ถูกแล้ว
ในขณะที่ ปุถุชน สร้างกรรมใหม่ อยู่ตลอดเวลา

เห็นด้วยกับประโยคท่านโฮฮับ สองบรรทัดนี้

ขอ ขยายความเพิ่มเติม

ปุถุชน รับวิบาก ด้วยวิบากจิต แล้วมีการสร้างกรรมใหม่ เพื่อให้เกิดวิบากในอนาคต ด้วยกุศลจิต และอกุศลจิต

พระอรหันต์ รับวิบาก ด้วยวิบากจิต แล้วไม่มีการสร้างกรรมใหม่ ก็เลยไม่เกิดวิบากในอนาคต เพราะพระอรหันต์ไม่มีกุศลจิต และอกุศลจิต ซะแล้ว


กุศลจิต นี่แหละทำให้เกิดวิบาก ในอนาคต
อกุศลจิต นี่แหละทำให้เกิดวิบาก ในอนาคต

คนที่จะไม่มีกุศลจิต หรืออกุศลจิต โดยสิ้นเชิง ก็มีหนทางเดียว คือ บรรลุอรหัตผล

และหลังจากบรรลุอรหัตผล แล้ว ก็ยังจะต้องรับวิบาก ที่ได้เคยสร้างมาแล้วในอดีต ต่อไป ผ่านทางวิบากจิต ไปจนกว่าจะดับขันธ์นิพพาน

วงรอบจิต ของพระอรหันต์ ในกรณีนี้คือ วิบากจิต กิริยาจิต วิบากจิต แล้วกิริยาจิต สลับกันไปอย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืน .......... จนกว่าจะดับขันธ์นิพพาน

เจริญ ในธรรม

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 72 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร