วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 00:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2012, 23:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีคุณลูกพระป่า :b8: (ไม่ได้คุยกันนานคิดถึง :b32: ) ขอร่วมแสดงความคิดเห็นนิดหน่อย ตามภูมิปัญญาของตนเจ้าค่ะ
ปฏิฆะเป็นกิเลศสังโยชน์ ถ้ามีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก็จะกลายเป็นโทสะได้เช่นกัน รวมถึง อริยะบุคคลก็เกิดโทสะได้ เกิดโทสะในด้าน มานะทิฏฐิ สมมติง่ายๆนะเจ้าค่ะ มีคนมากล่าวหาคุนน้องขโมยตัง คุนน้องก็บอกว่าไม่ได้ขโมย สาบานได้ คุนน้องก็ยืนกรานว่าไม่ได้ขโมยสาบานได้ แต่ก็ไปเรียกตำรวจมาจับคุนน้องเข้าคุก นี่แหละเจ้าค่ะ เหตุปัจจัยทำให้เกิดโทสะ แล้วเราอาจจะบันดาลโทสะไปด้วยการ สาปแช่ง ด่าทอ ขอให้คนที่กล่าวหาว่าเรา ขอให้มันเป็นอย่างงั้นเป็นอย่างงี้ อะไรทำนองนี้เจ้าค่ะ คือมีการยึดผิดอยู่ นี่แหละเรียกว่า พยาบาท หรือมี โทสะ ถ้าเอาสังโยชน์ปฏิฆะออกไม่ได้ การกระทบกระทั่งในใจเราก็เกิดอยู่ แต่เราก็เห็นกระแส สติระลึกรู้หรือบางครั้งเราก็ส่งจิตออกนอกปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยเจ้าค่ะ :b1: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 02:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
สวัสดีคุนลูกพระป่า :b8: (ไม่ได้คุยกันนานคิดถึง :b32: )ขอร่วมแสดงความคิดเห็นนิดหน่อย ตามภูมิปัญญาของตนเจ้าค่ะ
ปฏิฆะเป็นกิเลศสังโยชน์ ถ้ามีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก็จะกลายเป็นโทสะได้เช่นกัน รวมถึง อริยะบุคคลก็เกิดโทสะได้ เกิดโทสะในด้าน มานะทิฏฐิ สมมติง่ายๆนะเจ้าค่ะ มีคนมากล่าวหาคุนน้องขโมยตัง คุนน้องก็บอกว่าไม่ได้ขโมย สาบานได้ คุนน้องก็ยืนกรานว่าไม่ได้ขโมยสาบานได้ แต่ก็ไปเรียกตำรวจมาจับคุนน้องเข้าคุก นี่แหละเจ้าค่ะ เหตุปัจจัยทำให้เกิดโทสะ แล้วเราอาจจะบันดาลโทสะไปด้วยการ สาปแช่ง ด่าทอ ขอให้คนที่กล่าวหาว่าเรา ขอให้มันเป็นอย่างงั้นเป็นอย่างงี้ อะไรทำนองนี้เจ้าค่ะ คือมีการยึดผิดอยู่ นี่แหละเรียกว่า พยาบาท หรือมี โทสะ ถ้าเอาสังโยชน์ปฏิฆะออกไม่ได้ การกระทบกระทั่งในใจเราก็เกิดอยู่ แต่เราก็เห็นกระแส สติระลึกรู้หรือบางครั้งเราก็ส่งจิตออกนอกปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยเจ้าค่ะ :b1: :b43:

สวัสดีครับคุณnongkong :b8:
ยินดีและขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณnongkong ด้วยครับ โดยเฉพาะการนำเอาเรื่อง ทิฏฐิมานะ มากล่าวในที่นี้...ผมเลยอยากถามถึงความเป็นไปได้ว่า...เป็นไปได้หรือไม่ที่โทสะไม่ได้มีเหตุมาจากปฏิฆะ แต่โทสะมีเหตุมาจากทิฏฐิมานะความถือตัวถือตน และเป็นไปได้หรือไม่ที่ปฏิฆะเองก็มีเหตุมาจากทิฏฐิมานะเช่นกัน...ผมเพียงถามถึงความเป็นไปได้เท่านั้นนะครับ ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นอย่างที่ผมตั้งคำถามเพราะตัวผมเองก็ยังมีอัตตามีทิฏฐิมานะอยู่เนืองๆครับ เลยไม่รู้ว่าปฏิฆะและโทสะจะดับสนิทมั้ยถ้าผมไม่มีอัตตาเหลืออยู่แล้ว ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8: :b8:
ขอบคุณมากครับสำหรับคำตอบและคำอธิบายที่ให้มาครับ รวมความแล้วผมเข้าใจความหมายของ โทสะ ที่พี่หมายถึงคือ ความไม่พอใจ ถูกต้องมั้ยครับ(ถ้าผมเข้าใจผิดช่วยแก้ไขด้วยนะครับ)...:

ประมาณนั้นแหล่ะครับ แต่เราต้องแยกให้ถูกระหว่างเวทนากับสังขาร
เพราะการใช้บัญญัติมันจะทำให้สับสน ความหมายมันใกล้เคียงกันแต่เป็นคนละอย่าง
ให้จำไว้เลยว่า เวทนามีเหตุมาจากผัสสะ สังขาร(โทสะ)มีเหตุมาจากสัญญา
ขอแนะนำครับว่า อย่าศึกษาแต่พระสูตรควรให้ความสำคัญกับพระอภิธรรมด้วย
ลูกพระป่า เขียน:
พูดถึงปฏิฆะสังโยชน์แล้วผมขอแลกเปลี่ยนความเห็นอีกลักษณะหนึ่งที่หลายๆท่านอาจจะยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนนะครับ คือหลายๆท่านอาจจะให้ความหมายของปฏิฆะว่า ความอาฆาตพยาบาท ความขุ่นข้องขัดเคืองใจ ซึ่งผมพิจารณาดูแล้วเห็นว่ามันเป็นอาการที่ดูหยาบๆดูเข้ากับโทสะมากกว่าที่จะเรียกว่าปฏิฆะ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมให้ความรู้สึกต่ออาการของปฏิฆะว่าเป็นความไม่สนิทใจ งุ่นง่านตะขิดตะขวงใจ มากกว่า ซึ่งดูเป็นอาการที่ละเอียดกว่า(อาจจะเข้าใจไปผิดเองก็ได้ครับ)

ความอาฆาตพยาบาท ก็เป็นส่วนหนึ่งของปฏิฆะครับ แต่จะเรียก
ปฏิฆะคือความอาฆาตพยาบาทไม่ถูกครับ เพราะความอาฆาตเป็นส่วนหนึ่งของปฏิฆะ
ความหมายที่แท้จริงของปฏิฆะ มันน่าจะเป็น"ความกระทบทางใจ"ครับ

ยกตัวอย่างให้ดูเพื่อความเขาใจ คุณรู้จักความกตัญญูหรือเปล่าครับ
ความกตัญญูเป็นกุศลและเป็นธรรมที่ตรงข้ามกับความพยาบาท
แค่คุณรู้มั้ยว่า มันก็เป็น"ปฏิฆะ"ครับ
ถ้ามีใครสักคนเคยให้การอุปถัมป์เรามา ยามเมื่อระลึกนึกถึงบุญคุณเขา
สิ่งนี้แหล่ะที่เรียกการกระทบทางใจ มันทำให้เกิดโลภะ อยากตอบแทนบุญคุณเขา
อย่าเอาปฏิฆะไปปนกันกับอกุศลจิตหรือโทสะครับมันเป็นคนละตัวกัน

ปฏิฆะเกิดอยู่ในวงปฏิจสมุบาทเกิดโดยธรรมชาติ
แต่อาการของจิตหรืออกุศลต่างๆเกิดที่กายใจเรา

ที่ต้องสังเกตุอีกอย่างก็คือที่คุณพระป่าว่า.........
ลูกพระป่า เขียน:
พูดถึงปฏิฆะสังโยชน์แล้วผมขอแลกเปลี่ยนความเห็นอีกลักษณะหนึ่งที่หลายๆท่านอาจจะยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนนะครับ คือหลายๆท่านอาจจะให้ความหมายของปฏิฆะว่า ความอาฆาตพยาบาท ความขุ่นข้องขัดเคืองใจ

ความอาฆาตพยาบาทและความขุ่นข้องขัดเคืองใจ มันเป็นคนละตัว
แต่เป็นเหตุปัจจัยแก่กันครับ ความอาฆาตพยาบาทเป็นปฏิฆะ(เหตุ)
ส่วนความขุ่นข้องขัดเคืองใจเป็น โทสะอาการของจิต(ผล)

ปัญหาของนักปฏิบัติมันอยู่ตรงการเอาบัญญัติมาใช้ผิดสภาวะ
มันมีสาเหตุมาจาก การใช้บัญญัติหรือการสมมุติขึ้นมาใหม่จนมากเกินเหตุ
ผู้นำมาใช้ขาดความเข้าใจ ไม่รู้ว่าผู้ที่ตั้งบัญญัติต้องการสื่อไปในทางใด

ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงต้องมีความรู้ในพระอภิธรรมด้วยครับ
ถ้ารู้อารมณ์ปรมัตถ์ก็จะไม่สับสนในบัญญัติครับ

ลูกพระป่า เขียน:
ยกตัวอย่างเช่น การที่เราพบเจอใครครั้งแรกแล้วเรารู้สึกไม่ถูกชะตา รู้สึกไม่สนิทใจที่จะเข้าไปพูดคุยหรือคบหาด้วย ทั้งๆที่เขาไม่เคยทำเหตุให้เราไม่พอใจ หรือมีอาการหงุดหงิดงุ่นง่านเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าว ประมาณนี้เป็นต้นครับ

ตัวอย่างของคุณอันนี้ไม่ใช่ "ปฏิฆะ" นะครับ
แบบของคุณเขาเรียกว่า "กามราคะ"ครับ

มันเป็นสังโยชน์คนละตัว แต่เป็นกิเลสที่อยู่ในระดับโสดาและสกิทาคาเหมือนกันครับ
สังเกตุให้ดี กามราคะเกิดจาก "กามคุณห้า" ผัสสะที่ได้รับมาจาก หู ตา จมูก ลิ้นและกาย
อย่างเช่น มองเห็นใครแล้วไม่ถูกชะตา ก็เกิดจากรูปที่เราไม่พอใจ
ถ้าเราเห็นใครแล้วพอใจ ก็เป็นกามราคะเช่นกัน

ถึงได้บอกว่า กิเลสสังโยชน์ก็ส่วนหนึ่ง อาการของจิตในกระบวนการขันธ์ก็
เป็นส่วนหนึ่ง การพอใจไม่พอใจมันอยู่ที่กระบวนการขันธ์ อันมีเหตุมาจาก
สัญญาขันธ์

ความแตกต่างของ"กามราคะ"กับ"ปฏิฆะ"
กามราคะเกิดจากกามคุณห้า
หรืออายตนะภายในทั้งห้า หู ตา จมูก ลิ้นและกาย

ส่วนปฏิฆะเกิดจากปฏิกิริยาทางใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 06:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b2: :b2:
แตกและแจกแจงความเห็นผิดของตนเองไปยกใหญ่แถมยังอ้างตำรา คัมภีร์มารับรองความเห็นผิดของตนเองเสียด้วยเพราะกลัวจะไม่ขลัง นะครับ ใช่ไหมครับคุณโฮฮับ
s006
คุณลูกพระป่า เขา รู้และเข้าใจถูกต้องแล้วตามธรรม ว่าปฏิฆะ คือโทสะอย่างละเอียด ดูตามรากศัพท์ซิครับ
:b39:
ปฏิฆะ.......ความขุ่นมัวของจิต.....เกิดจากความยินร้ายหรือโทมนัสสัง เป็นจุดเริ่มต้นที่จะขยายใหญ่ขึ้นไปสู่ความโกรธอย่างแรงหรือโทสะ พิจารณาโดยธรรมทุกคนจะเห็นได้พิสูจน์ได้เสมอ ลองสังเกตดูจิตของตนเองเวลากระทบกับสิ่งที่ขัดข้องไม่ชอบใจ แรกๆจะเกิดปฏิฆะก่อน หลังจากมีจิตสังขารกับความไม่พอใจนั้นมากเข้า ความขุ่นจะกลายใหญ่ขึ้นมาเป็นความโกรธ(โทสะ)ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ กับแรง น้ำหนัก และความปรุงแต่งที่มีต่อการกระทบสัมผัสและความไม่พอใจนั้นๆ
:b15:
คุณโฮฮับ ยึดติดอยู่กับเรื่องบัญญัติและสังโยชน์ 10 มาก จึง มีเรื่องอะไรก็ดึงโยงเข้าหาสังโยชน์ไปเสียทั้งหมด ติดบัญญัติ แต่ปฏิบัติและสัมผัสธรรมจริงๆในกายใจน้อยเกินไป ควรให้เวลากับการปฏิบัติจริงให้เยอะๆขึ้นจะช่วยกล่อมเกลาให้เกิดสัมมาวาจาได้ มากขึ้นๆ
:b12: :b12: :b12:
ฝากถึงน้องคงสักนิดว่า ตอนที่ตอบและสะกิดสะเกาน้องคงมานั้น หัวเราะก่อนเมื่อเห็นคำพูดในตัวหนังสือของน้องคง แล้วตอบมาด้วยใจยิ้มๆด้วยอยากลองดูว่าถ้าตอบกลับความกระแทกด้วยความกระทั้นแล้ว อริยบุคคลอย่างน้องคงจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? และแล้วก็ได้เห็นแล้วว่าอริยชั้นต้นอย่างน้องคงเป็นอย่างไร?แถมไม่พอยังได้พี่โฮมาช่วยปลอบใจสนับสนุนแสดงคุณสมบัติของโสดาบันตามตำราให้ดูด้วย กลัวคนเขาไม่เชื่อ ว่าโสดาบันก็ยังขี้โกรธอยู่ใช่ไหมจ๊ะ........
:b12: :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 07:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:

ผมเลยอยากถามถึงความเป็นไปได้ว่า...เป็นไปได้หรือไม่ที่โทสะไม่ได้มีเหตุมาจากปฏิฆะ แต่โทสะมีเหตุมาจากทิฏฐิมานะความถือตัวถือตน และเป็นไปได้หรือไม่ที่ปฏิฆะเองก็มีเหตุมาจากทิฏฐิมานะเช่นกัน...ผมเพียงถามถึงความเป็นไปได้เท่านั้นนะครับ ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นอย่างที่ผมตั้งคำถามเพราะตัวผมเองก็ยังมีอัตตามีทิฏฐิมานะอยู่เนืองๆครับ เลยไม่รู้ว่าปฏิฆะและโทสะจะดับสนิทมั้ยถ้าผมไม่มีอัตตาเหลืออยู่แล้ว ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


ผมเห็นว่า...โทสะ....ไม่ได้เกิดจากอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว...มันรวม ๆ กันขึ้นมาด้วย...โลภนิด..หลงหน่อย...เป็นเชื้อมูล...ขยายมาเป็นทิฏฐิ..มานะ..อัตตา..ราคะ...ปฏิฆะ...สุดท้ายก็แสดงออกมาทางกาย..ทางวาจา...เราจึงเห็นว่าคนผู้นั้นมีโทสะ

ตัดที่มูลเหตุได้....ก็ไม่น่าจะมีอะไรเหลือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 09:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับคำตอบและคำอธิบายที่แสดงให้ผมดูนะครับ และผมจะขอเก็บและจำสิ่งที่พี่แสดงมานี้เอาไว้ในใจ เพื่อนำเอามาพิจารณาในภายหน้าต่อไปครับ เพราะดังที่ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมเองก็ยังไม่รู้แจ้งในเรื่องของปฏิฆะ(ถ้ารู้แจ้งก็คงข้ามปฏิฆะได้แล้ว) ผมจึงไม่คิดปฏิเสธความรู้ที่พี่โฮฮับนำมาแบ่งบันผมตรงนี้นะครับ โดยเฉพาะที่ว่าปฏิฆะคือความกระทบทางใจ(ไม่ได้หมายถึงผัสสะนะครับ) ที่พิจารณาตามดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นได้เหมือนกันครับ

ขอบคุณครับ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกพระป่า เมื่อ 23 มิ.ย. 2012, 09:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 09:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:

ผมเลยอยากถามถึงความเป็นไปได้ว่า...เป็นไปได้หรือไม่ที่โทสะไม่ได้มีเหตุมาจากปฏิฆะ แต่โทสะมีเหตุมาจากทิฏฐิมานะความถือตัวถือตน และเป็นไปได้หรือไม่ที่ปฏิฆะเองก็มีเหตุมาจากทิฏฐิมานะเช่นกัน...ผมเพียงถามถึงความเป็นไปได้เท่านั้นนะครับ ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นอย่างที่ผมตั้งคำถามเพราะตัวผมเองก็ยังมีอัตตามีทิฏฐิมานะอยู่เนืองๆครับ เลยไม่รู้ว่าปฏิฆะและโทสะจะดับสนิทมั้ยถ้าผมไม่มีอัตตาเหลืออยู่แล้ว ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


ผมเห็นว่า...โทสะ....ไม่ได้เกิดจากอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว...มันรวม ๆ กันขึ้นมาด้วย...โลภนิด..หลงหน่อย...เป็นเชื้อมูล...ขยายมาเป็นทิฏฐิ..มานะ..อัตตา..ราคะ...ปฏิฆะ...สุดท้ายก็แสดงออกมาทางกาย..ทางวาจา...เราจึงเห็นว่าคนผู้นั้นมีโทสะ

ตัดที่มูลเหตุได้....ก็ไม่น่าจะมีอะไรเหลือ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมเห็นว่า...โทสะ....ไม่ได้เกิดจากอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว...มันรวม ๆ กันขึ้นมา


s004 s004 s004
ฮะ ก็น่าจะเป็นแบบนั้น โทสะไม่ใช่กิเลส แต่เป็นผลรวมของกิเลสหลายๆ ตัว...

แถมว่า... มีสิ่งหนึ่งที่มักจะเข้าใจผิดกันคือ อริยะบุคคล ไม่มีอัตตา
อันที่จริงมันคือ ละ ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา แปลว่า อัตตานั้นมี แต่ไม่ได้ยึดมันไว้

แล้วอัตตาคืออะไร จะเปรียบเทียบด้วยวิธีแบบใหม่... ร่างกายคนเรา (โดยเฉพาะสมอง) ก็เปรียบเสมือนหุ่นยนต์ ที่ทำงาน อัตโนมัติ วงจรในสมองสามารถที่จะสร้างและดับเจตสิกได้ ซึ่งก็แปลว่า สมองสามารถสั่งการให้จิตเกิดอารมณ์ต่างๆ ได้ ตามข้อมูลต่างๆ ที่สมองทำการประมวลผล... และสิ่งนี้คือ อัตตา

และเพราะจิตที่เข้ามาครองร่างกายนี้ แทบจะทั้งหมด ล้วนไม่ใช่อริยบุคคล... จิตที่เข้ามาครอง จึงมักเลื่อนไหลคล้อยตาม ไปตามสิ่งที่สมองสั่งมา เมื่อสมองสั่งให้พอใจ จิตก็พอใจ เมื่อสมองสั่งให้โกรธ จิตก็โกรธ เมื่อสมองสั่งให้เกิดราคะ จิตก็เกิดราคะ

อัตตานี้ แทบจะอยู่เหนือการควบคุมของจิต (เราสั่งการร่างกายได้น้อยมาก อาจจะแค่สั่งการให้เคลื่อนไหวไปมาได้เท่านั้น) จิตไม่สามารถสั่งให้สมองพอใจ ไม่พอใจ โกรธ เกลียด หรือรักได้ หากเราต้องการความพึงพอใจ เราต้องใช้สิ่งภายนอกมากระตุ้นเพื่อให้สมองได้รับข้อมูล เมื่อสิ่งที่มากระตุ้น ตรงกับสัญญาเก่าที่สมองมี สมองจึงจะสร้างเจตสิกขึ้นมา และจิตจึงค่อยคล้อยไปตามอารมณ์นั้น

ความเป็นอริยบุคคล จึงไม่ใช่การไม่มีอัตตา เพราะมันเป็นไปไม่ได้ การไม่มีอัตตาก็คือ การตาย เท่านั้น

กิเลสข้อแรก คือการ ละ สักกายทิฏฐิ เมื่อจิตไม่มีความยึดมั่นในอัตตา จิตจะสามารถวางเฉยต่ออัตตาได้อย่างรวดเร็ว น่าจะเคยได้ยินคำนี้ น้ำกลิ้งบนใบบัว
การไม่มีความรู้สึก จึงไม่ใช่การบ่งบอกว่า เป็นอริยะบุคคล หรือแม้แต่เป็นอุเบกขา แต่เป็นภาวะ ทรงฌาณ อัตตาถูกกดทับไม่ให้แสดงออก (ใช้คำให้เข้าใจง่าย จริงๆ คือ สมองสร้าง เอกัคคตาเจตสิก ตลอดเวลา จึงไม่เปิดโอกาสให้เกิดเจตสิกอื่น) ซึ่งเราก็มักจะเห็นว่า เมื่อมีคนฝึกฌาณ เกิดฌาณเสื่อมขึ้นมา ก็กลายเป็นคนธรรมดาๆ ทุกครั้งไป

อริยบุคคลชั้นโสดาบัน หรือแม้แต่ชั้นอรหันต์ จึงไม่ใช่บุคคลที่ไม่มีอัตตา ไม่มีความรู้สึก และอย่างหนึ่งที่ต้องรู้คือ อริยบุคคลไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในภาวะทรงฌาณ

ความเป็นอริยบุคคล จะเป็นลักษณะน้ำกลิ้งบนใบบัว คือ อัตตาไม่กระทบต่อจิต เมื่ออัตตาพอใจ จิตรู้ว่าอัตตาพอใจ เมื่อเหตุที่ทำให้เกิดความพอใจหมด (เจตสิกจากอัตตานั้นดับลง) จิตก็ไม่สานต่อความพอใจนั้น เช่น สานต่อด้วยความคิด (เป็นความฟุ้งซ่าน) สานต่อด้วยการกระทำ แสวงหาทางกาย (ก็เป็นกามราคะ) เป็นต้น

นอกเรื่องมายาวยืด โอเคไหมฮะ s007 s007 s007


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
nongkong เขียน:
สวัสดีคุนลูกพระป่า :b8: (ไม่ได้คุยกันนานคิดถึง :b32: )ขอร่วมแสดงความคิดเห็นนิดหน่อย ตามภูมิปัญญาของตนเจ้าค่ะ
ปฏิฆะเป็นกิเลศสังโยชน์ ถ้ามีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก็จะกลายเป็นโทสะได้เช่นกัน รวมถึง อริยะบุคคลก็เกิดโทสะได้ เกิดโทสะในด้าน มานะทิฏฐิ สมมติง่ายๆนะเจ้าค่ะ มีคนมากล่าวหาคุนน้องขโมยตัง คุนน้องก็บอกว่าไม่ได้ขโมย สาบานได้ คุนน้องก็ยืนกรานว่าไม่ได้ขโมยสาบานได้ แต่ก็ไปเรียกตำรวจมาจับคุนน้องเข้าคุก นี่แหละเจ้าค่ะ เหตุปัจจัยทำให้เกิดโทสะ แล้วเราอาจจะบันดาลโทสะไปด้วยการ สาปแช่ง ด่าทอ ขอให้คนที่กล่าวหาว่าเรา ขอให้มันเป็นอย่างงั้นเป็นอย่างงี้ อะไรทำนองนี้เจ้าค่ะ คือมีการยึดผิดอยู่ นี่แหละเรียกว่า พยาบาท หรือมี โทสะ ถ้าเอาสังโยชน์ปฏิฆะออกไม่ได้ การกระทบกระทั่งในใจเราก็เกิดอยู่ แต่เราก็เห็นกระแส สติระลึกรู้หรือบางครั้งเราก็ส่งจิตออกนอกปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยเจ้าค่ะ :b1: :b43:

สวัสดีครับคุณnongkong :b8:
ยินดีและขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณnongkong ด้วยครับ โดยเฉพาะการนำเอาเรื่อง ทิฏฐิมานะ มากล่าวในที่นี้...ผมเลยอยากถามถึงความเป็นไปได้ว่า...เป็นไปได้หรือไม่ที่โทสะไม่ได้มีเหตุมาจากปฏิฆะ แต่โทสะมีเหตุมาจากทิฏฐิมานะความถือตัวถือตน และเป็นไปได้หรือไม่ที่ปฏิฆะเองก็มีเหตุมาจากทิฏฐิมานะเช่นกัน...ผมเพียงถามถึงความเป็นไปได้เท่านั้นนะครับ ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นอย่างที่ผมตั้งคำถามเพราะตัวผมเองก็ยังมีอัตตามีทิฏฐิมานะอยู่เนืองๆครับ เลยไม่รู้ว่าปฏิฆะและโทสะจะดับสนิทมั้ยถ้าผมไม่มีอัตตาเหลืออยู่แล้ว ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:

ถ้าคุยถึงกระแสปฏิจสมุปปบาท ถ้ามีผัสสะมากระทบแล้วเราเห็นกระแส แล้วนิ่งรู้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ไม่ปรุงแต่งออกไปหรือที่เรียกกันว่าส่งจิตออกนอก ตัวปฏิฆะมันก็คือเวทนา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยภายนอก มานะทิฏฐิก็จะตามมาติดๆ เมื่อเกิดการกระทบกระทั่งในใจต่อเนื่องกันเรื่อยๆ ก็จะเกิด ความทะยานอันแรงกล้าด้วยมานะทิฏฐิ เพราะอัตตตาในความยึดมั่นถือมัน ถ้าเป็นอริยะบุคคลก็จัดเป็นสังโยชน์ ที่ละเอียด เพราะมานะทิฏฐิ คือ ความยึดมั่นในสิ่งที่ถูก ไม่ฟังไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่ามันผิด นี่คือ มานะทิฏฐิของ อริยะบุคคลขั้นต้นขึ้นไป แต่ถ้าเราไม่ส่งจิตออกนอก อัตตาของมานะทิฏฐิก็จะไม่เกิด อันนี้อธิบายจาก ภาคปฏิบัติของคุนน้องเจ้าค่ะ :b8: ส่วนความถือตัวถือตน ถ้าเป็นปุถุชนที่ไม่ได้สดับ ปฏิฆะ ก็เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้โทสะได้ง่ายมาก คือความใจร้อนหุนหันพลันแล่น สติไม่ทันต่อการปรุงแต่งไปทางสังขารขันธ์ เหมือนมีคนมาด่าเรา เราโกรธมากอยู่ๆมาด่าเราเสียๆหายๆ ก็เกิดการปรุงแต่งไปทาง สังขาร เมื่อผัสสะมากระทบ ไม่พูดมาก เดินไป เตะก้านคอก็มี ชักปืนมายิงกันตายคาที่ก็มีอะไรประมาณนี้เจ้าค่ะ ยังไม่ชัดเจนก็รอให้พี่โฮมาช่วยต่อ คุนน้องก็ไม่เก่งอธิบายแบบยึดบัญญัติ :b8: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 10:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่murano :b8:
การละหรือการปล่อยวางนั่นแหละครับที่เรียกได้ว่าคือ ความไม่มี...อุปมาเหมือนการถือเงินทองหรือของหนักไว้บนมือ เมือละแล้วปล่อยวางทิ้งเงินทองหรือของหนักที่อยู่บนมือไป...ที่อยู่บนมือก็คือ ความไม่มี นั่นเองครับ ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรม
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
การละหรือการปล่อยวางนั่นแหละครับที่เรียกได้ว่าคือ ความไม่มี...


หามิได้ขอรับ onion onion onion

การละในทางธรรม หมายถึงว่า มี... ดังนั้น พระอรหันต์จึงมีทั้งความพอใจ ไม่พอใจ ยินดี ไม่ยินดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อัตตาก่อให้เกิดขึ้น และตราบใดที่เรายังมีชีวิต เราก็ไม่สามารถตัดขาดจากอัตตาได้

จะยกเว้นก็แต่ความเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จิตแยกออกจากอัตตา (ไม่ใด้ใช้สัญญาจากสมอง แต่เป็นสัญญาในระดับโพธิญาณ จะเรียกว่า Singularity หรือพรหมโลกก็ได้) แต่ยังใช้เจตสิกตัวหนึ่งในการครองอัตตา รู้สึกจะชื่อ เจตสิกชีวิตินทรีย์ อะไรนี่แหล่ะ... ไม่แน่ใจ

อ้อ ส่วนผู้ที่ทรงฌาณตลอด 24 ชั่วโมงนั้น อันนั้นก็อย่างที่บอก อัตตาไม่มีโอกาสสร้างเจตสิกอื่น จึงกลายเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึก เมื่อเป็นสภาวะที่แปลกแยกจากคนปกติ จึงพากันคิดว่านี่แหล่ะคือการบรรลุธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้อ เพิ่มเติมนิดหน่อย เดี๋ยวจะเข้าใจคลาดเคลื่อน...
สมอง นอกจากจะรับข้อมูลภายนอกจากอายตนะต่างๆ แล้ว สมองยังมีอีกช่องทางหนึ่ง ที่ใช้รับข้อมูลจากจิต นั่นคือ ความคิด

การกระตุ้นอัตตาหรือกิเลสต่างๆ จึงไม่ได้มีแค่การกระตุ้นจากสิ่งภายนอกเท่านั้น แต่ยังสามารถกระตุ้นได้จากจิต โดยผ่านช่องทางความคิด

ไปแระ s004 s004 s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 11:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณnongkong :b8:
จริงๆแล้วผมนั่งทบทวนอยู่นานเพื่อจะหาคำพูดที่จะไม่ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่คุณnongkong เพื่อให้คุณnongkongได้พิจารณาธรรมด้วยใจที่สงบ แต่ก็ไม่รู้ว่าความเห็นของผมที่จะพูดต่อไปนี้จะดีพอมั้ย...
อ้างคำพูด:
เพราะมานะทิฏฐิ คือ ความยึดมั่นในสิ่งที่ถูก ไม่ฟังไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่ามันผิด นี่คือ มานะทิฏฐิของ อริยะบุคคลขั้นต้นขึ้นไป

พระอริยะบุคคลตั้งแต่โสดาไปจนถึงอนาคามี ต่างก็ยังมีสิ่งที่ไม่รู้อยู่ ซึ่งมากน้อยก็เป็นไปตามภูมิจิตภูมิธรรมของท่านเหล่านั้นครับ ดังนั้นท่านจึงไม่เชื่อความคิดความเห็นของตัวเองมากกว่าเชื่อในธรรม อันเกิดจากสัจญาณและกตญาณ
พระโสดาบันที่ท่านข้ามสังโยชน์ 3 ตัวได้แล้วจะทำให้ประกอบด้วยองค์คุณธรรม 6 อย่างดังนี้นะครับ
ถึงพระพุทธเจ้า
ถึงพระธรรม
ถึงพระสงฆ์
ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ถือโชคชะตา เชื่อในเรื่องของกรรม (เพราะข้ามวิจิกิจฉา)
ไม่ถือลัทธินอกจากพระพุทธศาสนา(เพราะข้ามสีลัพตปรามาส)
มีศีล 5 เป็นนิจศีล ไม่ยอมให้ศีลขาด(เพราะข้ามสักกายทิฏฐิ)
ส่วนทิฏฐิมานะอย่างที่คุณnongkong ยกมานั้นท่านไม่ได้แสดงไว้ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีอยู่ในพระอริยะเจ้าที่ยังมีกิจให้ทำอยู่เช่นกัน ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ

ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 11:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
อ้อ เพิ่มเติมนิดหน่อย เดี๋ยวจะเข้าใจคลาดเคลื่อน...
สมอง นอกจากจะรับข้อมูลภายนอกจากอายตนะต่างๆ แล้ว สมองยังมีอีกช่องทางหนึ่ง ที่ใช้รับข้อมูลจากจิต นั่นคือ ความคิด

การกระตุ้นอัตตาหรือกิเลสต่างๆ จึงไม่ได้มีแค่การกระตุ้นจากสิ่งภายนอกเท่านั้น แต่ยังสามารถกระตุ้นได้จากจิต โดยผ่านช่องทางความคิด

ไปแระ s004 s004 s004

เพราะพี่เข้าใจว่าอัตตานี้คือ ตัวตนที่เป็นไปในทางกายภาพ จึงนำความเห็นพี่เป็นไปในทางนี้...ส่วนผมเห็นว่าอัตตานี้คือ ความเห็นว่าตัวตน(เป็นนามธรรม) ถึงตัวตน(รูปธรรม)จะยังอยู่แต่ตัวตน(นามธรรม)ดับไปแล้ว (จึงนำความเห็นของผมไปในทางที่ผมกล่าวมา...ฝากไว้อีกนิดว่า ธรรมนี้หาประมาณมิได้ จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะเอาวิทยาศาสตร์มาครอบธรรม การพิจารณาธรรมให้พิจารณาโดยธรรม อย่าพิจารณาด้วยวิทยาศาสตร์ เพราะมันลึกซึ้งต่างกันมากครับ...ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมครับ

ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับคุณnongkong :b8:
จริงๆแล้วผมนั่งทบทวนอยู่นานเพื่อจะหาคำพูดที่จะไม่ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่คุณnongkong เพื่อให้คุณnongkongได้พิจารณาธรรมด้วยใจที่สงบ แต่ก็ไม่รู้ว่าความเห็นของผมที่จะพูดต่อไปนี้จะดีพอมั้ย...
อ้างคำพูด:
เพราะมานะทิฏฐิ คือ ความยึดมั่นในสิ่งที่ถูก ไม่ฟังไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่ามันผิด นี่คือ มานะทิฏฐิของ อริยะบุคคลขั้นต้นขึ้นไป

พระอริยะบุคคลตั้งแต่โสดาไปจนถึงอนาคามี ต่างก็ยังมีสิ่งที่ไม่รู้อยู่ ซึ่งมากน้อยก็เป็นไปตามภูมิจิตภูมิธรรมของท่านเหล่านั้นครับ ดังนั้นท่านจึงไม่เชื่อความคิดความเห็นของตัวเองมากกว่าเชื่อในธรรม อันเกิดจากสัจญาณและกตญาณ
พระโสดาบันที่ท่านข้ามสังโยชน์ 3 ตัวได้แล้วจะทำให้ประกอบด้วยองค์คุณธรรม 6 อย่างดังนี้นะครับ
ถึงพระพุทธเจ้า
ถึงพระธรรม
ถึงพระสงฆ์
ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ถือโชคชะตา เชื่อในเรื่องของกรรม (เพราะข้ามวิจิกิจฉา)
ไม่ถือลัทธินอกจากพระพุทธศาสนา(เพราะข้ามสีลัพตปรามาส)
มีศีล 5 เป็นนิจศีล ไม่ยอมให้ศีลขาด(เพราะข้ามสักกายทิฏฐิ)
ส่วนทิฏฐิมานะอย่างที่คุณnongkong ยกมานั้นท่านไม่ได้แสดงไว้ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีอยู่ในพระอริยะเจ้าที่ยังมีกิจให้ทำอยู่เช่นกัน ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ

ขอบคุณครับ :b8:

อนุโมทนากับความรู้ของคุนลูกพระป่า คุนน้องจะได้เอาไปสอบทานตัวเอง :b8: :b43:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร