42295.จิตไม่ปรุ่งแต่ง มันเป็นสภาวะอย่างไร

ฝึกจิต

กบนอกกะลา เขียน:

มีประเด็นมั้ยครับท่าน หรือให้ฟังเฉยๆ

ฝึกจิต

JANDHRA เขียน:

:b8:

.. จิตไม่ปรุงแต่ง เกิดจากการศึกษา และปฏิบัติจนเข้าใจถึงเหตุ และปัจจัยของการสืบเนื่องที่ก่อให้เกิดวิบากกรรมใหม่ เป็นเหตุใกล้ของการละอกุศลกรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และไม่ให้อกุศลกรรมที่เกิดขึ้นแล้วเจริญงอกงาม.. ด้วยการศึกษา..ฯ นี้ จะทำให้เข้าใจได้ว่า จิตจะถูกปรุงแต่งอันเกิดจากอายตนะภายใน กระทบกับอายตนะภายนอก โดยมีโลภะ โทสะ โมหะอันเป็นกิเลสทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง และกิเลสอย่างละเีอียดที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานเกิดร่วมด้วยหรือไม่.. แต่จะรู้ได้ด้วยการปฏิบัติมีการเจริญสมาธิเป็นต้น เพื่อให้รู้ตัวทั่วพร้อมตลอดว่า เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นได้รับรส จมูกได้กลิ่น หรือแม้แต่การคิดถึงสิ่งใดๆ ในขณะนั้นๆ มีโลภะ โทสะ หรือโมหะเกิดร่วมหรือไม่ หากพิจารณาแล้ว ไม่มีโลภะ โทสะ หรือโมหะเกิดร่วมด้วยแล้ว สภาวะนั้นแล คือสภาวะที่จิตไม่ได้ปรุงแต่ง เสวยไม่ทุกข ไม่สุข เวทนา ยังผลให้วิบากกรรมนั้นไม่ดำ ไม่ขาว หรือไม่มีผลแห่งกรรมสืบต่อไปในอนาคต.. การเจริญอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง หมั่นศึกษาพิจารณาให้ละเอียดด้วยโยนิโสมนสิการเนืองๆ ..จักเป็นเหตุใกล้ของการระงับซึ่งวิบากกรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น มีความดับไปแห่งเชื้อของการเกิดให้ดับไปเป็นปริโยสาน เป็นราก เป็นเหง้า ของการแก้กรรม อันควรแก้ได้ มีลำต้น แลกิ่งก้านเป็นมรรคสี่ ผลสี่ มียอดคือพระนิพพาน.. อันเป็นหนึ่งนั้น..

.. " สิ่งที่จริงไม่มี .. สิ่งที่มี..ไม่จริง.." เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเกิดมาด้วยความปรุงแต่งจากกองกิเลส เมื่อเกิดแล้ว ก็แตกทำลาย เสื่อมสูญ หาเป็นของเที่ยงแท้ไม่มี ผู้จะยึดอยู่ ก็ยึดด้วยกิเลส ผู้ถูกยึดอยู่ ก็ด้วยกิเลสที่เป็นผู้ยึดไว้ แต่ก็หารู้ไม่ว่า สิ่งนั้นหาได้มีตัว มีตนอยู่จริงแท้ไม่..ความเป็นไปแห่งภพ ชาติก็เกิดมาด้วยอย่างนี้ สัตว์ทั้งหลาย ภพภูมิทั้งหลายก็เกิดขึ้นด้วยความเป็นไปอย่างนี้ จะหาสิ่งจริงยั่งยืน สืบไปนั้นหามิได้ ผู้รู้แล้ว..จึงมีให้เห็นเ็ป็นเหล่าพระอริยทั้งหลายที่กระทำความเพียร สำรอกกิเลส คายกิเลส หลีกหนีชาติภพ ที่เวียนวนขัดข้อง อยู่ในภพภูมิต่างๆ .. เพื่อการไม่กล้บมาเกิดอีก.. ปุถชนคนธรรมดา แม้ว่าตั้งหน้า ตั้งใจปรารถนาจะศึกษาให้ได้ลิ้มรส ของสภาวะอันจิตไม่ปรุงแต่งนี้ ก็อาศัยรักษาศีลให้บริสุทธิ์เสียก่อน เพราะศีลนี้จะทำให้สมาธิได้มีที่ยึดเหนี่ยว เมื่อมีความท้อใจ สงสัย ฟุ้งซ่าน ระลึกถึงศึลแล้ว จะเกิดปิติอิ่มใจว่า เรานี้มีศีลบริบูรณ์ดี ความเพียรก็เจริญขึ้นตามลำดับ ยังสมาธินั้นให้เป็นที่ตั้งแห่งปัญญาทั้งหลาย อ้นสมาธิในระดับที่ละเอียดขึ้นจนถึง ฌาน นั้น ทำให้เกิดประโยคว่า ไม่มีฌาน ไม่มีปัญญา ..และปัญญานี้เองที่ทำให้ผู้รู้..เข้าใจว่า ขณะนี้จิตมีสภาวะปรุงแต่งอยู่หรือ ไม่มี.. เสวยอุเบกขาเวทนาอยู่หรือไม่..ความสืบเนื่องแห่งชาติ ภพ มีอยู่อีก หรือไม่มี..กิจที่ควรทำได้ทำสิ้นแล้วหรือยัง..ฯลฯ

ขอท่านทั้งหลายผู้ตั้งใจจะปลูกเมล็ดแห่งพระินิพพานทั้งหลาย พึงรักษาศีล สั่งสมการทำบุญให้ทานประมาณตามสถานะ และเวลาแห่งตนๆ มีความเป็นกัลยาณมิตรเป็นเผ่าพันธ์ เป็นทายาท เพื่อการอยู่ร่วมกันทั้งในปัจจุบัน และในชาติภพที่เหลือด้วยความสุขสงบเป็นเหตุอันใกล้เถิด ฯ

กบนอกกะลา

ฝึกจิต เขียน:

มีประเด็นมั้ยครับท่าน หรือให้ฟังเฉยๆ

ไม่มีครับ....

แต่อาจมีประโยชน์..กับบางคน

:b8:

ฝึกจิต

กบนอกกะลา เขียน:

ฝึกจิต เขียน:

มีประเด็นมั้ยครับท่าน หรือให้ฟังเฉยๆ

ไม่มีครับ....

แต่อาจมีประโยชน์..กับบางคน

:b8:

แต่ก็ระวังบางคนจับมาเข้าข้างตัวเองด้วยนะครับ

ฝึกจิต

มาปฏิบัติกันเถิด และ สัมมาทิฏฐิ
http://www.youtube.com/watch?v=RszGQjpdwss

nongkong

ฝึกจิต เขียน:

กบนอกกะลา เขียน:

ฝึกจิต เขียน:

มีประเด็นมั้ยครับท่าน หรือให้ฟังเฉยๆ

ไม่มีครับ....

แต่อาจมีประโยชน์..กับบางคน

:b8:

แต่ก็ระวังบางคนจับมาเข้าข้างตัวเองด้วยนะครับ

บอกตรงๆไม่ชอบ ความเห็นท่านฝึกจิต ท่านกบเอาธรรมทานมาเผื่อแผ่กัลยามิตร ท่านกบก็ได้กุศล
ฟังธรรมก็ฟังอย่างศรัธทราและเลื่อมใส ไม่ใช่มาพูดจากระแหนะกระแหนคนอื่น ระวังจะโดนวิบาก แค่วาจาผ่านตัวหนังสือ ก็เห็นขันธสันดารแล้ว อย่าพูดให้มันมาก ไปอ่านธรรมมะที่ตัวเองเอามาลงหน่อยสิ ธรรมมะแท้คือหุบปากไง ว่าแต่หุบปากแล้วใช้ปัญญาด้วยนะ :b32:

ฝึกจิต

ฝึกจิต

รู้จักกันไว้ ใช้ป้องกันตัวอุปกิเลส ท่านแสดงไว้ 16 ประการคือ
1. ความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่
2. ความพยาบาท
3. ความโกรธ
4. ความผูกเจ็บใจ
5. ความลบหลู่บุญคุณ
6. ความตีเสมอ
7. ความริษยา
8. ความตระหนี่
9. ความเจ้าเล่ห์
10. ความโอ้อวด
11. ความหัวดื้อถือรั้น
12. ความแข่งดี
13. ความถือตัว
14. ความดูหมิ่น
15. ความมัวเมา
16. ความประมาทเลินเล่อ

:b8:

ฝึกจิต

ฝึกจิต เขียน:

กบนอกกะลา เขียน:

มีประเด็นมั้ยครับท่าน หรือให้ฟังเฉยๆ

จาก หนังสือ แนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ หลวงพ่อฤษีลิงดำ
ฉะนั้นจึงขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติแค่เบื้องต้น ยึดอารมณ์ของพระโสดาบันเข้าไว้ เราจะเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามีหรือไม่นั้นไม่สำคัญ อย่าคำนึงถึงว่าเราจะต้องเป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นสกิทาคามีบ้าง ถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้นความประมาทจะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทคิดว่า " เราดีแล้ว" ถ้าบังเอิญเราไม่ได้เป็นจริงๆ ถ้าพลาดพลั้งตายไปอาจจะไปอบายภูมิได้
ฉะนั้นการปฏิบัติจริงๆ ให้ต้องการแต่ผล อย่าคิดว่าตนเป็นอย่างนั้น คิดว่าตนเป็นอย่างนี้ จะกลายเป็นคนมีมานะทิฏฐิ ซึ่งเป็นกิเลสหยาบทำปัญญาให้ถอยหลัง
:b8:

กบนอกกะลา

ฝึกจิต เขียน:

รู้จักกันไว้ ใช้ป้องกันตัวอุปกิเลส ท่านแสดงไว้ 16 ประการคือ
1. ความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่
2. ความพยาบาท
3. ความโกรธ
4. ความผูกเจ็บใจ
5. ความลบหลู่บุญคุณ
6. ความตีเสมอ
7. ความริษยา
8. ความตระหนี่
9. ความเจ้าเล่ห์
10. ความโอ้อวด
11. ความหัวดื้อถือรั้น
12. ความแข่งดี
13. ความถือตัว
14. ความดูหมิ่น
15. ความมัวเมา
16. ความประมาทเลินเล่อ

:b8:

ขอบคุณ....คุณฝึกจิต...ที่นำมาแสดง...
ทำให้รู้ว่า....ผมเหลือ..2..3 ข้อ..เอง :b32:

โฮฮับ

ฝึกจิต เขียน:

จาก หนังสือ แนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ หลวงพ่อฤษีลิงดำ
ฉะนั้นจึงขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติแค่เบื้องต้น ยึดอารมณ์ของพระโสดาบันเข้าไว้ เราจะเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามีหรือไม่นั้นไม่สำคัญ อย่าคำนึงถึงว่าเราจะต้องเป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นสกิทาคามีบ้าง ถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้นความประมาทจะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทคิดว่า " เราดีแล้ว" ถ้าบังเอิญเราไม่ได้เป็นจริงๆ ถ้าพลาดพลั้งตายไปอาจจะไปอบายภูมิได้
ฉะนั้นการปฏิบัติจริงๆ ให้ต้องการแต่ผล อย่าคิดว่าตนเป็นอย่างนั้น คิดว่าตนเป็นอย่างนี้ จะกลายเป็นคนมีมานะทิฏฐิ ซึ่งเป็นกิเลสหยาบทำปัญญาให้ถอยหลัง
:b8:

พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ แล้วบอกให้ยึดอารมณ์โสดาบัน มันหมายความว่าไงครับ :b32:

ฝึกจิต

โฮฮับ เขียน:

ฝึกจิต เขียน:

จาก หนังสือ แนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ หลวงพ่อฤษีลิงดำ
ฉะนั้นจึงขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติแค่เบื้องต้น ยึดอารมณ์ของพระโสดาบันเข้าไว้ เราจะเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามีหรือไม่นั้นไม่สำคัญ อย่าคำนึงถึงว่าเราจะต้องเป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นสกิทาคามีบ้าง ถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้นความประมาทจะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทคิดว่า " เราดีแล้ว" ถ้าบังเอิญเราไม่ได้เป็นจริงๆ ถ้าพลาดพลั้งตายไปอาจจะไปอบายภูมิได้
ฉะนั้นการปฏิบัติจริงๆ ให้ต้องการแต่ผล อย่าคิดว่าตนเป็นอย่างนั้น คิดว่าตนเป็นอย่างนี้ จะกลายเป็นคนมีมานะทิฏฐิ ซึ่งเป็นกิเลสหยาบทำปัญญาให้ถอยหลัง
:b8:

พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ แล้วบอกให้ยึดอารมณ์โสดาบัน มันหมายความว่าไงครับ :b32:

คงต้องถามทางหลวงพ่อหรือ ลูกศิษย์ท่านแล้วละครับ เพราะพระอาจารย์แต่ละท่าน ก็คนละแนวกัน ผมแค่หามาเสริมให้ท่านกบที่หามาให้ดูก็แค่นั้นครับ
สำหรับผู้มีปัญญา สัมมาทิฏฐิทั้งหลายคงเลือกที่ นำมาเป็นประโยชน์ได้ นะครับ ส่วนผม เลือกไม่ถูก เพราะปัญญาอ่อนๆ :b12:

ฝึกจิต

กบนอกกะลา เขียน:

ฝึกจิต เขียน:

รู้จักกันไว้ ใช้ป้องกันตัวอุปกิเลส ท่านแสดงไว้ 16 ประการคือ
1. ความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่
2. ความพยาบาท
3. ความโกรธ
4. ความผูกเจ็บใจ
5. ความลบหลู่บุญคุณ
6. ความตีเสมอ
7. ความริษยา
8. ความตระหนี่
9. ความเจ้าเล่ห์
10. ความโอ้อวด
11. ความหัวดื้อถือรั้น
12. ความแข่งดี
13. ความถือตัว
14. ความดูหมิ่น
15. ความมัวเมา
16. ความประมาทเลินเล่อ

:b8:

ขอบคุณ....คุณฝึกจิต...ที่นำมาแสดง...
ทำให้รู้ว่า....ผมเหลือ..2..3 ข้อ..เอง :b32:

สุดยอดท่านกบ ผมเองมีมากกว่า16ข้อนี้เสียอีก :b2:

กบนอกกะลา

ไอ้ที่เกิน...ไม่นับ :b32:

เพราะไม่ได้แสดงใว้นี้
:b9:

nongkong

คุนน้องมอบเพลงให้ท่านฝึกจิตโดยเฉพาะ คุนน้องจะช่วย ขัด ช่วยถู กิเลศแน่นหนาบึกของท่านออกให้ เชื่อมือคุนน้องไหม :b32:

คุนน้องจะคิดว่าท่านเข้ามาปลดทุกข์ กระทู้นี้เป็นที่ระบายทุกข์ของท่าน ดีไหมเจ้าค่ะ
ปล.เฉพาะเจาะจงท่านฝึกจิต เพียงคนเดียว คนอื่นอย่าหลวมตัวนะ เด่วจะหาว่าน้องคิงคองม่ายเตือน เด่วมันจะเกิดอุปทานขันธ์ :b29:

http://www.youtube.com/watch?v=oloGKxQ5 ... re=related

42295.จิตไม่ปรุ่งแต่ง มันเป็นสภาวะอย่างไร

ผู้ใช้งานขณะนี้