วันเวลาปัจจุบัน 14 มิ.ย. 2025, 11:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 186 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 23:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าเพิ่งเ็ชื่อพุทธศาสนาเพราะอ่านแล้วเชื่อย่อมเป็นศรัทธาของคนโง่

เมื่อก่อนผมก็นับถือพุทธศาสนาแค่ในใบเกิด (ตอนเด็กเคยอยากเปลี่ยนไปถือคริสต์ด้วยซ้ำ เท่ห์ดี)

แต่เมื่อมีทุกข์แล้วนำธรรมในศาสนานี้ไปปฏิบัติแล้วดับทุกข์นั้นๆได้จริงในปัจจุบันนี้ แล้วค่อยเชื่อ

ตอนนี้ผมเชื่อในศาสนาพุทธนี้อย่างสุดหัวใจ

และเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นแพทย์ทางวิญญานที่มอบยาวิเศษที่ชื่อว่าธรรมโอสถ ที่ใช้รักษาโรคที่ชื่อว่าความไม่รู้และดับผลของมันคือทุกข์ได้จริง

ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมบูชาพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ธรรมอันดี พระธรรมที่เป็นธรรมดี พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีแล้วด้วยเศียรเกล้า สาธุ สาธุ สาธุ :b8:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 23:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
คนบนเขา เขียน:
ผมกำลังศึกษาธรรมะยังไม่รู้อะไร ได้เคยได้ยินมาบ้างกับคำว่าพระไตรปิฏกและพอรู้งูๆปลาๆ แต่พอมาอ่านเจอข้อความข้างล่างนี้ผมไม่เข้าใจเลย ท่านผู้รู้ได้โปรดอธิบายให้ผมด้วย กราบขอบพระคุณครับ

"ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์ "


สวัสดีครับ "คนบนเขา"
ไม่ใช่คำของพระตถาคต หรือคำพระอรหันตเจ้าที่พระองค์รับรองด้วยพระองค์เอง
ไม่ต้องไปใส่ใจให้เสียเวลาครับ
เอาเวลาศึกษาพุทธวจนะ
มีประโยชน์กว่าเสียเวลาคิดเรื่องไร้สาระเยี่ยงนั้นครับ


เห็นด้วยครับแต่ขอเพิ่มเติมว่า ลองศึกษาและปฏิบัติในแนวทางแห่งธรรมวินัยนี้ เมื่อศึกษาแล้วเกิดความกระจ่างเป็นลำดับแล้วย่อมลดความสงสัยเป็นลำดับเช่นกัน

ส่วนข้อความนี้แสดงว่าผู้กล่าวเชื่อว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์(ตามความเห็นของผู้กล่าว)

แต่ความจริงคำกล่าวนี้อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ต้องลองปฏิบัติดู จึงจะรู้

หรือวิธีที่ง่ายกว่านั้นคือเลิกสงสัยไปเสีย เพราะความสงสัยเดี๋ยวก็หายไปเป็นธรรมดานั่นแล

แล้วเอาเวลาไปทำเรื่องที่เร่งด่วนมากกว่า เช่นการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขการดับทุกข์ เมื่อถึงจุดนั้นก็ถึงคำตอบเช่นกันเพราะการดับทุกก็คือการนำเอาธรรมในพระไตรปิฎกนั่นเหละไปปฏิบัติจนรู้จริงๆ :b16:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 23:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:


แล้วเอาเวลาไปทำเรื่องที่เร่งด่วนมากกว่า เช่นการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขการดับทุกข์ เมื่อถึงจุดนั้นก็ถึงคำตอบเช่นกันเพราะการดับทุกก็คือการนำเอาธรรมในพระไตรปิฎกนั่นเหละไปปฏิบัติจนรู้จริงๆ :b16:


:b17: :b17: :b17:
สาธุ... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
มีแต่คนบอกว่า...หลักกาลามสูตร...สอนคนว่าอย่าเชื่อเพราะอย่างนั้นเพราะอย่างนี้

ผมกลับคิดว่า..ท่านสอนคนให้เชื่ออย่างมีเหตุผลมากกว่า...อย่างมงาย

แค่...มีเหตุมีผล...มันก็ไม่งมงายแล้ว...

แต่...จะใช่สิ่งที่ถูกที่สุดหรือไม่นั้น...ยังตอบไม่ได้...จะรู้ได้ก็ตอนที่คนนั้นสิ้นกิเลสไปแล้ว...เท่านั้.

ผมไม่ได้เถียง...ว่ากาลามสูตร..ว่าอย่างไร..ซะหน่อยนี้โฮ..

ใช่ครับคุณไม่ได้เถียงหลักกาลามสูตร แต่คุณพูดผิดหลักกาลามสูตร
ผมก็เลยเถียงคุณด้วยหลักกาลามสูตรไงครับ
กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว..โฮ...เชื่อกาลามสูตร.ตัวมันเองว่ามันถูกต้องได้อย่างไร:

เพราะหลักกาลามสูตร ชี้ให้เราเห็นว่า สิ่งที่ไม่ถูกต้องคืออะไรไงเล่า
ส่วนไอ้ความถูกต้องมันอยู่ที่เรา
กบนอกกะลา เขียน:
โฮ..เชื่อเพราะ...มันมีในตำรา

เชื่อเพราะมันไม่มีในตำรา มันอยู่ที่กายใจเรา ไม่ได้อยู่ที่ตำรา
กบนอกกะลา เขียน:
รึ...เชื่อเพราะ...โฮ..คิดว่าเป็นคำของพระพุทธเจ้า:

พระพุทธบอกไม่ให้เชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา
กบนอกกะลา เขียน:
รึ...โฮ..เชื่อเพราะ..มันมีเหตุมีผล

ที่เข้ามาแย้งก็เพราะเรื่องนี้ไง อย่าเชื่อเพียงเพราะเหตุผล
กบนอกกะลา เขียน:
โฮเชื่อ...กาลามสูตร...เพราะอะไร?:

เพราะเห็นตามความเป็นจริง ด้วยตัวเราเองครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 02:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:
จะไม่ให้งุดงิดได้ไงพวกที่อวดอ้างสรรพคุณธรรมเก่งๆพูดดี น่านับถือ แต่แล้วทั้งสังคม ทั้งตัวเองไม่เคยมีสพรรคุณของธรรมเหล่านั้นเลย ฟังแล้วมันขายขี้หน้าอ่ะ พระบางรูปนะที่ออกทีวีบ่อยๆอ่ะ มาสอนความเป็นกลางพูดดี มีเหตุผล น่าเชื่อถือ แต่ตัวเองกลับไปยืนอยู่อีกข้างหนึ่งแต่มาสอนความเป็น แก่คงคิดว่าคนอื่นเขาโง่มั้ง หลงว่าตัวเองฉลาดอยู่คนเดียว

อยากถามเป็นงานเป็นการ "หลวงพี่มืดห่มเหลืองหรือห่มแดงครับ หรือว่าห่มหลากสี"
อย่าพูดการเมืองครับ มันยั่วยุคนอื่นเดียวกระทู้โดน คนห่มเหลืองตัวจริงมาล็อกนะครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 02:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
โฮฮับ เขียน:
สัมมาทิฐิคือการรู้เห็นตามความเป็นจริง
รู้ตามความเป็นจริงของตน(แต่ขัดคอชาวบ้าน) ปล่อยวางด้วยเพราะถ้ารู้แล้วไม่ปล่อย ยิ่งเพิ่มกิเลสให้ตัวเอง คืออัตตาสูงมาก รู้มากกว่าปถุชน วางตัวยากเพราะรู้เยอะรู้ไปหมด แยกแยะผิดถูกออกจากกันได้หมด ทำให้วางตัวลำบากในทางโลกเจอคนเหม็นขี้หน้าบ้าง หมั่นไส้ อิจฉาบ้าง เพราะปถุชนยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏทิ กิเลศหนาด้วย มักจะทนฟังคนอื่นพูดความจริงที่มันสวนทางกับตัวเองไม่ได้ พูดง่ายๆ คนที่เป็นอริยะบุคคล วางตัวในสังคมต้องมีสติเยอะๆ รู้เยอะก็ไม่ใช่พูดมันไปหมดทุกเรื่อง เด่วเค้าหาว่าบ้า เพราะมันเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน อิอิ :b9:

ว่าเราหรือชมเราหนอ ชมเราเราไม่สนใจ
แต่ถ้าว่าเรา เดี๋ยวได้เจอกลับเป็นชุดแน่ๆ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 02:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สวัสดี Nongkong
เพราะเขากำลังศึกษาล่ะครับ ถึงยังไม่ต้องสงสัยก่อน
ศีกษาไปก่อน ความสงสัย จะคลายลงเอง

มัวแต่สงสัย ก็อาจจะตายก่อนได้ศึกษา ล่ะครับ ^ ^

ผมก็สงสัยครับว่า คุณไม่เข้าใจ ปฏิจสมุบาท ไม่เข้าใจกิเลส
ไม่รู้จักอวิชชา

ความสงสัยมันเป็นกิเลสครับ เราต้องรู้จักมันเสีญก่อน
มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ในอวิชายังบอกไว้ว่า เพราะความไม่รู้อริยสัจจ์
ในส่วนของความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์เลย

อย่ามั่วท่องตำราแล้วก็พร่ำสวดว่าห้ามสงสัยอยู่เลยครับ
มันอาจตายก่อนที่จะพบของจริงนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 03:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ตั้งที่ใจก่อน...ว่าสิ่งที่เราจะทำต่อไปนี้...ทำเพื่อกุศล

ขณะที่ทำ....ก็ดูใจว่า...ที่กำลังพูด..กำลังทำนี้...กระพื้มออกจากใจแบบไหน

หากออกจาก..กุศล...ก็ทำต่อไป

หากออกจากใจ...ที่กำลังโกรธ...ก็กลับมาแก้ที่ใจตนก่อน

เคยเห็นพ่อแม่ที่ตีลูกมั้ย

ตีด้วยความโกรธ...กะ..ตีด้วยความรัก...มันต่างกัน

แต่ก็ตีเหมือนกัน...

อธิบายหน่อยดิ ตีลูกด้วยความโกรธกับตีลูกด้วยความรักต่างกันอย่างไร
แล้วลูกล่ะจะคิดกับคนที่ตีอย่างไร ทำอย่างไรให้คนที่โดนตีเข้าใจ
ว่ารักว่าโกรธ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 06:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อุตส่าเลี่ยงไม่ตอบแล้ว...ก็ย้าง...จะวกมาจนได้ :b13: :b13:

มี 2 ครอบครัว

ครอบครัวแรก...พ่อแม่..มีทรัพย์สมบัติมาก...แต่ก็บอกลูกให้ไปหัดหาการหางานทำ

ครอบครัวที่ 2 ...พ่อแม่ไม่มีทรัพย์สมบัติติดธนาคารใว้เลย....ได้บอกให้ลูกไปหาการหางานทำ

ลูกทั้ง สองบ้านนี้..ต่างก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน...แต่...ใครจะสบายกว่ากัน

พ่อแม่ที่มีจิตใจเปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรม...ก็เหมือนครอบครัวที่พ่อแม่มีทรัพย์สมบัติมาก...นั้นแหละ

ลูกจะรู้ได้อย่างไร?.....ความรู้สึกว่าสบายก็เหมือนกับลูกของครอบครัวที่มีทรัพย์มากรู้ว่าเขาจะได้รับมรดก...

โฮ..จะสบายใจมั้ยถ้ารู้ว่าในอนาคตเดียวก็จะได้รับมรดกมหาศาลแล้ว.. :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อุตส่าเลี่ยงไม่ตอบแล้ว...ก็ย้าง...จะวกมาจนได้ :b13: :b13:

มี 2 ครอบครัว

ครอบครัวแรก...พ่อแม่..มีทรัพย์สมบัติมาก...แต่ก็บอกลูกให้ไปหัดหาการหางานทำ

ครอบครัวที่ 2 ...พ่อแม่ไม่มีทรัพย์สมบัติติดธนาคารใว้เลย....ได้บอกให้ลูกไปหาการหางานทำ

ลูกทั้ง สองบ้านนี้..ต่างก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน...แต่...ใครจะสบายกว่ากัน

พ่อแม่ที่มีจิตใจเปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรม...ก็เหมือนครอบครัวที่พ่อแม่มีทรัพย์สมบัติมาก...นั้นแหละ

ลูกจะรู้ได้อย่างไร?.....ความรู้สึกว่าสบายก็เหมือนกับลูกของครอบครัวที่มีทรัพย์มากรู้ว่าเขาจะได้รับมรดก...

โฮ..จะสบายใจมั้ยถ้ารู้ว่าในอนาคตเดียวก็จะได้รับมรดกมหาศาลแล้ว.. :b12: :b12: :b12:

ถามว่าพ่อแม่ตีลูก ดันตอบว่ามาให้ลูกทำงาน

ตีลูกด้วยความรักและทำให้ลูกรู้ว่ารัก ตีเสร็จมันก็ต้องสอน บอกเหตุผลว่าทำไมถึงตี
แล้วตะโกนกรอกหูมันว่า "ลูกเจ็บมั้ยลูก ลูกรู้มั้ยพ่อเจ็บกว่าลูกหลายเท่านะ"

ส่วนตีลูกด้วยความโกรธ ตีไปด่ามันไปว่า"ไอ้ลูกเลว ไม่ได้เรื่อง"
พอตีเสร็จก็คาดโทษว่า ถ้าคราวหน้าทำผิดอีกเพิ่มโทษเป็นสองเท่า
"ไปให้พ้นหน้าเลยเจ้ากะลา" :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อธิบายหน่อยดิ ตีลูกด้วยความโกรธกับตีลูกด้วยความรักต่างกันอย่างไร
แล้วลูกล่ะจะคิดกับคนที่ตีอย่างไร ทำอย่างไรให้คนที่โดนตีเข้าใจ
ว่ารักว่าโกรธ
ขออนุญาติ อธิบาย เพราะดิฉันมีลุกชายอายุ 1ปีกับ6เดือน (ดื้อสุดๆ)เวลาเราจะตีลูกความรู้สึกดิฉันคือโมโห หรือไม่พอใจ ที่ลุกทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือสวนทางของดิฉันแม้ห้ามหรือเตือนก็ยังไม่ฟัง แบบนั้นถึงจะตี(ตีเพราะบอกแล้วไม่ฟังแต่จิตกุศลเพราะสติเราคิดแล้วว่าตีเพราะลูกผิดจริง) ส่วนในกรณีกับบุคคลบางจำพวก คือ ตี เพราะไร้สติ คือพอลูกทำอะไรที่ผิดหรือสวนทางกับความรู้สึกตน ใส่พั๊วะ โดยไม่พูดไม่ชี้แจงก่อน จะทำให้เด็กกายเป็นคนไม่มีเหตุผล ตัดสินผิดถูกด้วยอารมณ์เหมือนคนตีนั่นแหละ ส่วนตีด้วยความรักไม่มีในโลก (นอกจากพวกจิตวิปลาศ)หรือผิดปกติซาดิส หวังว่าท่านโฮจะพอใจในคำตอบนะเจ้าค่ะ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 13:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

แล้วตะโกนกรอกหูมันว่า "ลูกเจ็บมั้ยลูก ลูกรู้มั้ยพ่อเจ็บกว่าลูกหลายเท่านะ"


เลี่ยงคน....เสียคน

เลี้ยงลูกหมา....ก็เสียหมา
:b12:
แน่... :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมเห็นว่า คำพูดของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ เป็นคำจริง เป็นสิ่งที่ควรเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยอะไรเลย


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 05 เม.ย. 2012, 23:45, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ผมเห็นว่า คำพูดของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ เป็นคำจริง เป็นสิ่งที่ควรเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยอะไรเลย


กราบเรียนท่าน FLAME ผู้แจ้งในพระธรรม

การทีคุณกล่าวมาเช่นนี้ พลันทำให้ดิฉันฉุกคิดขึ้นมาได้พอดีเลยค่ะ ในเรื่องของหลักกาลามสูตร

ดิฉันใคร่ขอความกรุณาให้ท่าน FLAME โปรดชี้แนะดิฉันในเรื่องนี้ด้วยค่ะ

ดิฉันจะถามเป็นข้อๆ เพื่อง่ายแกการอ่านนะคะ

1.หลักกาลามสูตร เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าคะ ถ้าตอบว่าไม่ใช่ เป็นคำสอนใครคะ

2.โปรดอธิบายขยายความ ในเรื่องของ กาลามสูตร 10 ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งได้มั้ยคะ

คือตามที่ดิฉันอ่านๆมา มักจะมีแต่การแปลความที่แปลไว้สั้นๆ น่ะค่ะ จึงอยากรบกวนท่านFLAME
ผู้แจ้งในธรรมข้อกาลามสูตรช่วยกรุณาขยายหรือบรรยายความเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย

หวังว่าท่านFLAME คงไม่รังเกียจที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับดิฉันสักเล็กน้อยนะคะ

ขอขอคุณท่านFLAME ล่วงหน้านะคะ


แก้ไขล่าสุดโดย หญิงไทย เมื่อ 05 เม.ย. 2012, 20:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ผมเห็นว่า คำพูดของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ เป็นคำจริง เป็นสิ่งที่ควรเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยอะไรเลย

ท่านFLAME เจ้าค่ะ ดิฉันอยากให้ท่านใช้สติคิดนิดนึงให้ดี ดิฉันขอทำความเข้าใจกับคำพูดท่านสักหน่อย เพื่ออยากให้ท่านฉุดคิดนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเสด็จปรินิพพานไป 2000กว่าปีแล้ว แล้วที่ท่านบอกว่า
คำพูดของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือแบบนี้พวกมิจฉาทิฏฐิที่เป็นมารศาสนารุมบี้ท่านเละแน่ท่านก็รุ้พวกมิจฉาทิฏฐิมีความคิดอคติ เอาความคิดตนเป็นใหญ่ถ้ามีคนถาม "ท่านได้ยินคำพูดพระพุทธเจ้าสอนตั้งแต่เมื่อไหร่พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว" ท่านจะตอบคำถามพวกนั้นว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้เชื่อง่ายๆอย่างไม่ต้องสงสัย พราะพุทธเจ้าให้เชื่อในสิ่งที่เป็นไปตามความจริง แค่อยากสะกิดท่านนิดหนึ่งเจ้าค่ะ ท่านจะได้เข้าใจธรรมอย่างถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 186 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร