วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 13:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 184 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 03:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
สิ่งที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฏก เป็นเรื่องที่เกิดสมัยพุทธกาล และหลังจากพระพุทธองค์ดับขันธ์ฯ ไปเล็กน้อย สมัยนั้น ผู้ที่รับฟังความจริงของโลกและชีวิต จนรู้ว่า ที่คนเราต้องเสียนว่ายตายเกิดก็เพราะทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเอง ดับทุกข์ได้ ก็ดับชาติดับภพได้ ฯ เกิดมีดวงตาเห็นธรรม บุคคลเหล่านี้ รู้แล้วว่าอะไรจริงแท้ อระไรจริงเทียม ข้ามความเป็นสมมุติได้แล้ว ก็คือ ล่วงภูมิปุถุชนแล้ว ไม่ใช่ปุถุชน เป็นโสดาบัน

ที่ไม่บวชก็เป็นอุบาสกอุบาสิกา ที่ได้บวช ก็เป็นพระอริยสงฆ์ ในสมัยนั้น ผู้ที่บวช ก็คือ ต้องการบรรลุอรหันต์ผล ดับชาติดีบภพให้ได้ในชาตินี้ ก็จะปฏิบัติธรรมเต็มรูปแบบ ที่ไม่บวช ก็ยึดบุญกริยาวัตถุ ๔ เป็นหลักในการดำเนินชีวิต

เพราะฉะนั้น ในพระไตรปิฏก ส่วนมาก เกินกว่าร้อยละ ๙๐ เป็นเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์สอนพระอริยสงฆ์ ไม่ได้สอนบุคคลธรรมดา ไม่ได้สอนฆราวาสให้ปฏิบัติ ถ้าอ่านพระไตรปิฏก แล้วไม่เช้าใจจุดนี้ ไม่เข้าใจฐานะความแตกต่างระหว่างบุคคลธรรมดา เสขะบุคคล อเสขบุคคล และพระพุทธเจ้า จะทำให้ตีความพระไตรปิฏกผิดได้ กลายเป็นไปเอาหลักสูตรพระอริยมาให้ปุถุชนปฏิบัติ

พระโสดาบันบุคคล คือ อริยะบุคคลที่ทรงคุณอย่างน้อยเป็นโสดาปัตติผลแล้วบวช เป็นผู้มีปัญญาประกอบการการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว พระพุทธองค์จะตรัสสอนมรรคเบื้องสูง เพื่อให้พระโสดาบันบรรลุอรหันต์ผลเร็วขึ้น

ยกตัวอย่าง;
ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วย่อมรู้ตามความเป็นจริง ฯลฯ

สูตรนี้ ขึ้นต้นระบุกลุ่มผู้ฟังชัดเจนว่า เป็นพระภิกษุสงฆ์ สมาธิที่พระพุทธองค์ตรัส หมายถึง ความตั้งใจมั่นในมรรค ๘ ไม่ได้มีข้อความที่ใหนในสูตรนี้ระบุว่าเป็นอัปนาสมาธิเลย

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ..
สูตรนี้ก็สอนพระอริยสงฆ์ "ฯลฯ" ที่หายไป คือข้อความที่บอกว่า เพราะอาศัยอุปธิวิเวก

อุปธิวิเวก หมายถึง วิเวกจากอุปธิ แปลว่า ว่างจากการยึดมั่นถือมั่นและการปรุงแต่ง หมายความชัดเจนว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเป็นอริยบุคคลแล้ว จึงเกิดอัปนาสมาธิได้ เพราะผู้ที่ละความยึดมั่นถือมั่นได้ มีแต่อริยบุคคลเท่านั้น

อุปธิวิเวก มีปัญญาสัมมาทิฐิเป็นเหตุเป็นปัจจัย ไม่ได้มีอย่างอื่นเป็นเหตุเป็นปัจจัย

เพราะฉะนั้น สมาธิจึงเป็นผล ไม่ใช่เหตุของการได้ปัญญาที่จะเอามาดับทุกข์ได้ ต่อเมื่อเกิดปัญญาแล้ว เกิดสมาธิตามมา ก็เกิดธรรมเอกผุดขึ้นมาได้ มีตาทิพย์ หูทิพย์ ฯ ก็จะเห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงชัดเจนขึ้น

สัทธรรมปฏิรูปมั่วแบบ บราๆๆๆๆ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 03:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
รูปภาพ

ไม่มีอะไรเกี่ยวกับมวยหรอกนะคราบบ...

แค่อยากจะบอกว่า..ผมเป็นผู้ชม...ผู้ติดตาม...ด้วยอีกคน
:b9: :b9: :b9:





ดูให้ดี :b9: smiley




แบบนี้เท่กว่า :b13:



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อทุกขมสุขเวทนา ยังเป็นสุข เป็นทุกขอยู่ เพราะยังไม่บรรลุอรหันต์

แม้แต่ไม่ทุกขไม่สุขก็ยังถือว่าเป็นกิเลสอยู่

ต่อเมื่อสติตามทันรู้ลึกทุกข สติตามทันรู้ลึกสุข สติตามทันสภาวะรู้ลึกไม่ทุกขไม่สุข ทุกขณะจิต จึงหลุดพ้น แมัอทุกขมสุขเวทนา


.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาช่วยตอบคำถามนะครับ ขอบพระคุณครับ
:b8: :b8: :b8: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


[๑๐๒] ดูกรจุนทะ ก็ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่
วิเวกอยู่
ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ
แต่ธรรมคือปฐมฌานนี้ เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่า
เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ในวินัยของพระอริยะ

อนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงบรรลุทุติยฌาน
มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจาร
สงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรม
เครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคือทุติยฌานนี้ เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา
ในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ในวินัยของพระอริยะ
อนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงมีอุเบกขา มีสติ-
*สัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญ
ว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อม
อยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคือตติยฌานนี้เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรม
เครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ใน
วินัยของพระอริยะ
อนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงบรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสในก่อนเสียได้ มีอุเบกขาเป็น
เหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส
ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคือจตุตถฌานนี้เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ
เรากล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ในวินัยของพระอริยะ
[๑๐๓] ดูกรจุนทะ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้
พึงบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน โดยมนสิการว่า อากาศไม่มีที่สุดเพราะก้าวล่วงรูปสัญญา ดับ
ปฏิฆสัญญา ไม่มนสิการนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวงอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคืออากาสานัญจายตนฌานนี้ เรา
ไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลาในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องอยู่สงบ
ระงับ ในวินัยของพระอริยะ
อนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงล่วงอากาสานัญจาย-
*ตนฌานเสียโดยประการทั้งปวง แล้วมนสิการว่า วิญญาณไม่มีที่สุด พึงบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน
อยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ แต่-
*ธรรมคือวิญญาณัญจายตนฌานนี้เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ
เรากล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องอยู่สงบระงับ ในวินัยของพระอริยะ
อนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงล่วงวิญญาณัญจาย-
*ตนฌานโดยประการทั้งปวง แล้วมนสิการว่า ไม่มีอะไรเหลือสักน้อยหนึ่ง พึงบรรลุอากิญจัญญายตน
ฌานอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ
แต่ธรรมคืออากิญจัญญายตนฌานนี้ เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลาในวินัยของพระอริยะ
เรากล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่สงบระงับ ในวินัยของพระอริยะ
อนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แลที่ ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงล่วงอากิญจัญญาย-
*ตนฌานเสียโดยประการทั้งปวง แล้วพึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ ภิกษุนั้นพึงมีความคิด
อย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคือเนวสัญญานาสัญญาย-
*ตนฌานนี้ เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลาในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่า เป็นธรรม
เครื่องอยู่สงบระงับ ในวินัยของพระอริยะ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 29 มี.ค. 2011, 22:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 21:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระสงฆ์..ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก..โกนหัว..ห่มเหลือง..เด้อ!

พ่อค้าวานิช..ข้าราชการ...ชาวสวนชาวนา..นุ่งขาวบ้าง..ไม่ขาวบ้าง

หากกำลังอยู่ใน..มรรค4..ผล4..ก็เรียก..สงฆ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


จูฬวิยูหสุตตนิทเทสที่ ๑๒ ว่าด้วยทิฏฐิ
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... agebreak=0

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


สงฆ์ หรือ สังฆะ คือ อริยสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แก่ บุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ คือ อริยบุคล ตั้งแต่ โสดาปัตติมรรคเป็นต้นไป ถ้าบวชแล้ว ถึงเป็นพระสงฆ์ หรือ เป็นภิกษุสงฆ์ ... ที่สำคัญ พวกท่าน ไม่ได้อยู่ในทางสู่นิพพาน ไม่ได้อยู่ในมรรค

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ฯลฯ

ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากนิจจสัญญา เพราะ
เหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป
พ้นจากอภินิเวสสัญญา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ สัญญาวิโมกข์ ๑
เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑๐ สัญญาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถ
แห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ฯลฯ
ในสังขาร ฯลฯ ในวิญญาณ ฯลฯ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ พ้นจากนิจจสัญญา
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่า
ในชราและมรณะ พ้นจากอภินิเวสสัญญา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์
สัญญาวิโมกข์ ๑ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑๐ สัญญาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑
ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ นี้สัญญาวิโมกข์ ฯ

[๔๘๑] ญาณวิโมกข์เป็นไฉน ญาณวิโมกข์ ๑ เป็นญาณวิโมกข์ ๑๐
ญาณาวิโมกข์ ๑๐ เป็นญาณวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึง
มีได้ ฯ

คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร อนิจจานุปัสนายถาภูตญาณ
พ้นจากความหลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็น
ญาณวิโมกข์ ทุกขานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความเป็นสุข จาก
ความไม่รู้ ... อนัตตานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความเป็นตัวตน
จากความไม่รู้ ... นิพพิทานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความ
เพลิดเพลิน จากความไม่รู้ ... วิราคานุปัสนายถาภูตญาณพ้นจากความหลงโดย
ความกำหนัด จากความไม่รู้ ... นิโรธานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลง
โดยเป็นเหตุให้เกิด จากความไม่รู้ ... ปฏินิสสัคคานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจาก
ความหลงโดยความถือมั่น จากความไม่รู้ ... อนิมิตตานุปัสนายถาภูตญาณพ้นจาก
ความหลงโดยความเป็นนิมิต จากความไม่รู้ ... อัปปณิหิตานัสนายถาภูตญาณ
พ้นจากความหลงโดยความเป็นที่ตั้ง จากความไม่รู้ ... สุญญตานุปัสนายถาภูตญาณ
พ้นจากความหลงโดยความยึดมั่น จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์
ญาณวิโมกข์ ๑ เป็นญาณวิโมกข์ ๑๐ ญาณวิโมกข์ ๑๐ เป็นญาณวิโมกข์ ๑
ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากความหลง
โดยความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ ฯลฯ
ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป พ้นจากความหลงโดยความ
ยึดมั่น จากความรู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ ญาณวิโมกข์ ๑ เป็นญาณ
วิโมกข์ ๑๐ ญาณวิโมกข์ ๑๐ เป็นญาณวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดย
ปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ใน-
*สัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ พ้นจากความ
หลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์
ฯลฯ ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ พ้นจาก
ความหลงโดยความยึดมั่น จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์
ญาณวิโมกข์ ๑ เป็นญาณวิโมกข์ ๑๐ ญาณวิโมกข์ ๑๐ เป็นญาณวิโมกข์ ๑ ด้วย
สามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นญาณวิโมกข์ ฯ

[๔๘๒] สีติสิยาวิโมกข์เป็นไฉน สีติสิยาวิโมกข์ ๑ เป็นสีติสิยา-
*วิโมกข์ ๑๐ สีติสิยาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ
โดยปริยาย พึงมีได้ ฯ

คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร ฯ

อนิจจานุปัสนา เป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความ
เดือดร้อน
ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะ
เหตุนั้นจึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ ทุกขานุปัสนา ... โดยความเป็นสุข ... อนัตตา-
*นุปัสนา ... โดยความเป็นตน ... นิพพิทานุปัสนา ... โดยความเพลิดเพลิน ...
วิราคานุปัสนา ... โดยความกำหนัด ... นิโรธานุปัสนา ... โดยความเป็นเหตุเกิด
ปฏินิสสัคคานุปัสนา ... โดยความถือมั่น ... อนิมิตตานุปัสนา ... โดยมีนิมิต
เครื่องหมาย ... อัปปณิหิตานุปัสนา ... โดยเป็นที่ตั้ง ... สุญญตานุปัสนา
เป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อน
และความกระวนกระวายโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้นจึงเป็น สีติสิยาวิโมกข์
สีติสิยาวิโมกข์ ๑ เป็นสีติยาวิโมกข์ ๑๐ สีติสิยาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ๑
ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป เป็นญาณอันมีความเย็นอย่างเยี่ยม
พ้นจากความเดือดร้อน
ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพ
เที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ ฯลฯ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดย
ปริยายพึงมีได้อย่างนี้ ฯ

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ในสังขาร ใน
วิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ เป็นญาณอันมีความเย็นอย่างเยี่ยม พ้น
จากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพไม่
เที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ ฯลฯ สีติสิยาวิโมกข์ ๑ เป็นสีติสิยา
วิโมกข์ ๑๐ สีติสิยาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ
โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ฯ

[๔๘๓] ฌานวิโมกข์เป็นไฉน เนกขัมมะเกิด เผากามฉันทะ เพราะ
เหตุนั้นจึงเป็นฌาน เนกขัมมะเกิดพ้นไป เผาพ้นไป เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน-
*วิโมกข์ ธรรมเกิด ย่อมเผา ฌายีบุคคลย่อมรู้กิเลสที่เกิดและที่ถูกเผา เพราะ
เหตุนั้นจึงเป็นฌานวิโมกข์ ความไม่พยาบาทเกิด เผาความพยาบาท เพราะเหตุนั้น
จึงเป็นฌาน ความไม่พยาบาทเกิดพ้นไป เผาพ้นไป ... อาโลกสัญญาเกิด เผา
ถีนมิทธะ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน ความไม่ฟุ้งซ่านเกิด เผาอุทธัจจะ ... การ
กำหนดธรรมเกิด เผาวิจิกิจฉา ... ญาณเกิด เผาอวิชชา ... ความปราโมทย์เกิด
เผาอรติ ... ปฐมฌานเกิด เผานิวรณ์ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน ฯลฯ อรหัต-
*มรรคเกิด เผากิเลสทั้งปวง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน เกิดพ้นไป เผาพ้นไป
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌานวิโมกข์ ธรรมเกิด ย่อมเผา ฌายีบุคคลย่อมรู้กิเลสที่เกิด
และที่ถูกเผา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌานวิโมกข์ นี้เป็นฌานวิโมกข์ ฯ

[๔๘๔] อนุปาทาจิตตวิโมกข์เป็นไฉน อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ เป็น
อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ ด้วย
สามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้ ฯ

คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร ฯ

อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ทุกขานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่น
โดยความเป็นสุข ... อนัตตานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นตัวตน
... นิพพิทานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความเพลิดเพลิน ... วิราคา
นุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความกำหนัด ... นิโรธานุปัสนาญาณ พ้น
จากความถือมั่นโดยความเป็นเหตุเกิด ... ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ พ้นจากความ
ถือมั่นโดยความถือผิด ... อนิมิตตานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยนิมิต ...
อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยเป็นที่ตั้ง ... สุญญตานุปัสนาญาณ
พ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์
อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐
เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากความถือมั่นโดย
ความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ
การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป พ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่น เพราะ
เหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ เป็นอนุปาทาจิตต-
*วิโมกข์ ๑๐ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถ
แห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ใน
สังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะพ้นจากความถือมั่นโดย
ความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ญาณ คือ การ
พิจารณาเห็นความว่างเปล่า ในชราและมรณะ พ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่น
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ เป็น
อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑
ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

[๔๘๕] อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทานเท่าไร ทุกขานุ-
*ปัสนาญาณ อนัตตานุปัสนาญาณ นิพพิทานุปัสนาญาณ วิราคานุปัสนาญาณ
นิโรธานุปัสนาญาณ ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ อนิมิตตานุปัสนาญาณ อัปปณิ-
*หิตานุปัสนาญาณ สุญญตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทานเท่าไร ฯ

อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อม
พ้นจากอุปาทาน ๑ อนัตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ นิพพิทา-
*นุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ วิราคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑
นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อม
พ้นจากอุปาทาน ๔ อนิมิตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ อัปปณิหิตา
นุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ สุญญตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจาก
อุปาทาน ๓ ฯ

[๔๘๖] อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เป็นไฉน อนิจจา-
*นุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน
อัตตวาทุปาทาน อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เหล่านี้ ฯ

ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ เป็นไฉน ทุกขานุปัสนาญาณ
ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือ กามุปาทาน ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจาก
อุปาทาน ๑ นี้ ฯ

อนัตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เป็นไฉน อนัตตานุปัสนา
ญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน
อนัตตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เหล่านี้ ฯ

นิพพิทานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ เป็นไฉน นิพพิทา-
*นุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือ กามุปาทาน นิพพิทานุปัสนาญาณ ย่อม
พ้นจากอุปาทาน ๑ นี้ ฯ

วิราคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ เป็นไฉน วิราคานุปัสนาญาณ
ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือ กามุปาทาน วิราคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจาก
อุปาทาน ๑ นี้ ฯ

นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ เป็นไฉน นิโรธานุปัสนาญาณ
ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวา-
*ทุปาทาน นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ เหล่านี้ ฯ

ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ เป็นไฉน ปฏินิสสัคคา
นุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพ
ตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔
เหล่านี้ ฯ

อนิมิตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เป็นไฉน อนิมิตตา-
*นุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวา-
*ทุปาทาน อนิมิตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เหล่านี้ ฯ

อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ เป็นไฉน อัปปณิหิตา
นุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือ กามุปาทาน อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ
ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ นี้ ฯ

สุญญตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เป็นไฉน สุญญตา-
*นุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวา-
*ทุปาทาน สุญญตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เหล่านี้ ฯ

ญาณ ๔ เหล่านี้ คือ อนิจจานุปัสนาญาณ ๑ อนัตตานุปัสนาญาณ ๑
อนิมิตตานุปัสนาญาณ ๑ สุญญตานุปัสนาญาณ ๑ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือ
ทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพตุปาทาน ๑ อัตตวาทุปาทาน ๑ ญาณ ๔ เหล่านี้ คือ
ทุกขานุปัสนาญาณ ๑ นิพพิทานุปัสนาญาณ ๑ วิราคานุปัสนาญาณ ๑ อัปปณิหิตา
นุปัสนาญาณ ๑ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือ กามุปาทาน ญาณ ๒ เหล่านี้ คือ
นิโรธานุปัสนาญาณ ๑ ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ๑ ย่อมพ้นจาก อุปาทานทั้ง ๔
คือ กามุปาทาน ๑ ทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพตุปาทาน ๑ อัตตวาทุปาทาน ๑ นี้เป็น
อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ฯ

ฯลฯ


ส่วนหนึ่งที่พระสารีบุตรได้อธิบายไว้ เรื่องวิปัสสนา แสดงไว้ว่า เนกขัมมะและฌาน เกิดหลังญาน หรือเกิดหลังปัญญา ปัญญาหรือญาน คือ สัญญาอย่างหนึ่ง (สัญญาวิโมกข์ ฯลฯ) เกิดจากการใช้อนิจสัญญา ทุกขสัญญาอนัตสัญญา ดับนิจสัญญา อภินิเวสสัญญา ฯ ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 23:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่สำคัญ พวกท่าน ไม่ได้อยู่ในทางสู่นิพพาน ไม่ได้อยู่ในมรรค


ไม่เข้าใจ.. :b14: :b14:

พวกท่าน...นะพวกไหน??? :b7: :b7: :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 23:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็พวกที่หาปัญญายังไม่เจอ แล้วไปสร้างมโนมติว่า ปัญญาน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างโน้น อย่างนี้ ตามตรรกปรัญชา หรือ ตามความพอใจไม่พอใจและความหลง ที่เป็นพื้นฐานของปุถุชน

Quote Tipitaka:
การเว้นขาดกาม โดยเหตุ ๒ ประการ คือ โดยการข่มไว้อย่าง ๑ โดยการตัดขาดอย่าง ๑.

ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้อย่างไร? บุคคลผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยโครงกระดูก เพราะอรรถว่าเป็นของมีความยินดีน้อย ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ ผู้เห็นอยู่ว่ากามทั้งหลายเปรียบด้วยชิ้นเนื้อ เพราะอรรถว่าเป็นของสาธารณ์แก่ชนหมู่มาก ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยคบเพลิง เพราะอรรถว่าเป็นของตามเผา ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง เพราะอรรถว่าเป็นของให้เร่าร้อนมาก ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยความฝันเพราะอรรถว่าเป็นของปรากฏชั่วเวลาน้อย ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ ผู้เห็นอยู่ว่ากามทั้งหลาย เปรียบด้วยของขอยืม เพราะอรรถว่า เป็นของเป็นไปชั่วกาลที่กำหนด ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยต้นไม้มีผลดก เพราะอรรถว่าเป็นของให้กิ่งหักและให้ต้นล้ม ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยดาบและมีด เพราะอรรถว่าเป็นของฟัน ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยหอกหลาว เพราะอรรถว่าเป็นของทิ่มแทง ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ ผู้เห็นอยู่ว่ากามทั้งหลายเปรียบด้วยหัวงู เพราะอรรถว่าเป็นของน่าสะพึงกลัว ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยกองไฟ เพราะอรรถว่าเป็นดังไฟกองใหญ่ให้เร่าร้อน ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ แม้ผู้เจริญพุทธานุสสติ ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ แม้ผู้เจริญธัมมานุสสติ ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้ แม้ผู้เจริญสังฆานุสสติ ... แม้ผู้เจริญสีลานุสสติ ... แม้ผู้เจริญจาคานุสสติ ... แม้ผู้เจริญเทวตานุสสติ ... แม้ผู้เจริญอานาปานัสสติ ... แม้ผู้เจริญมรณานุสสติ ... แม้ผู้เจริญกายคตาสติ ... แม้ผู้เจริญอุปสมานุสสติ ... แม้ผู้เจริญปฐมฌาน ... แม้ผู้เจริญทุติยฌาน ... แม้ผู้เจริญตติยฌาน ... แม้ผู้เจริญจตุตถฌาน ... แม้ผู้เจริญอากาสานัญจายตนสมาบัติ ... แม้ผู้เจริญวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ... แม้ผู้เจริญอากิญจัญญายตนสมาบัติ ... แม้ผู้ เจริญเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้. ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้อย่างนี้.

ย่อมเว้นขาดกามโดยการตัดขาดอย่างไร? แม้บุคคลผู้เจริญโสดาปัตติมรรค ย่อมเว้นขาดกามอันให้ไปสู่อบายโดยการตัดขาด แม้บุคคลผู้เจริญสกทาคามิมรรค ย่อมเว้นขาดกามส่วนหยาบโดยการตัดขาด แม้บุคคลผู้เจริญอนาคามิมรรค ย่อมเว้นขาดกามอันเป็นส่วนละเอียดโดยการตัดขาด แม้บุคคลผู้เจริญอรหัตมรรค ย่อมเว้นขาดกามโดยอาการทั้งปวง โดยประการทั้งปวงหมดสิ้น มิได้มีส่วนเหลือ โดยการตัดขาด. ย่อมเว้นขาดกามโดยการตัดขาดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ใดย่อม เว้นขาดกามทั้งหลาย

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 23:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ..
สูตรนี้ก็สอนพระอริยสงฆ์ "ฯลฯ" ที่หายไป คือข้อความที่บอกว่า เพราะอาศัยอุปธิวิเวก


โปรดระวัง !!!

การจะบอกว่า..พระไตรปิฎก...มีส่วนที่..ขาดหายตกหลนไม่ครบ...ไม่ใช่หน้าที่

หากกลายไปเป็นปรามาสพระธรรม..เข้า..มันจะซ..วยยย

ใครเป็นคนบอก???..ว่าหาย :b14: :b14:

ไหน..ว่ายึดในพระไตรปิฎก..หนักหนางั้ย??? :b14: :b14: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 23:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมขอเชื่อพระพุทธเจ้า..ก่อนนะครับผม
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... A=1273&w=0
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

คาถาธรรมบท ภิกขุวรรคที่ ๒๕


ดูกรภิกษุ เธอจงเพ่ง และอย่าประมาท จิตของเธอ
หมุนไปในกามคุณ เธออย่าเป็นผู้ประมาทกลืนก้อนโลหะ
อย่าถูกไฟเผาคร่ำครวญว่านี้ทุกข์ ฌานไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา
ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้น
แลอยู่ในที่ใกล้นิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 23:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กำลังสอนภิกษุ..อยู่

แล้วภิกษุที่กำลังฟัง...เป็นพระอริยสงฆ์ทั้งหมด..รึ???

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณจะวิปัสสนาหรือจะมีปัญญาเห็นธรรมชั้นสูงในจิตที่เป็นกามาวจรจิต
สมาธิ ถึงเนวสัญญาฯ ก็ยังอยู่ในกามวจรมหากุศลจิต จิตของอริยสาวกในอดีตที่ได้ฟังธรรมจนบรรลุธรรม ก็เป็นกามาวจรฯ อยู่ในโลกียะทั้งนั้น ถ้าสมาธิเปลี่ยนจิตให้เป็นโลกุตตระได้ ที่อินเดียจะมีพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล มาจนถึงปัจจุบัน เพราะทำสมาธิกันมาก่อน

ขนาดเจ้าชายสิทธถะ บำเพ็ญมา ๔ อสงไขย์แสนกัป ยังปั่นปัญญาในสมาธิเพื่อเอามาดับทุกข์ไม่ได้ แล้วใครหน้าใหนจะทำได้ละครับ? ทำจิตให้สงบให้มีกำลังก่อนแล้วค่อยไปวิปัสสนา มีสอนไว้ที่ใหนในพระไตรปิฏกบ้างละครับ?

อ้างคำพูด:
ใครเป็นคนบอก???..ว่าหาย
ที่หายไป ไม่ได้หมายความว่า ในพระไตรปิฏกใรอะไรหายไป แต่ท่านที่เอาพระสูตรมาแสดงในกระทู้นี้ก่อนหน้า ตัดข้อความสำคัญไป (แสดงไม่ครบก็เข้าข่ายแก้ไขพระวินัย) แล้วเอาเครื่องหมาย ฯลฯ ใส่เข้าไปแทน ผมก็เลยเอากลับมาใส่ให้ครบ เลยถือโอกาศอธิบายเรื่อง อุปธิวิเวกด้วย ท่านก็บอกกลับมาว่า ผมแสดงสัทธรรมปฏิรูป ...

ในคาถาธรรมบท เป็นการตรัสสอนพระอริยสงฆ์นะครับ ในบทนี้ ท่านให้วิปัสสนา คือ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตั้งแ่ต่นบท

ไม่มีสมมุติสงฆ์อยู่ในสำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอกนะครับ ผู้ที่มาบวช ล้วนแ่ต่มีดวงตาเห็นธรรมแล้วมาบวชทั้งนั้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 184 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร