วันเวลาปัจจุบัน 11 มิ.ย. 2025, 01:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 19, 20, 21, 22, 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 15:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2012, 12:36
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
เป็นไปได้ไหม ที่ในจิตเรานั้น จะรู้สึกว่า ขันธ์แต่ละขันธ์แยกกันออกอย่างชัดเจน ที่ถามเพราะดิฉันรุ้สึกอย่างนี้ ไม่มีขันธ์ไหนเกี่ยวข้องกันในความรู้สึกนะค่ะ

เนื่องจากดิฉันเป็นผู้ฝึกผู้เรียนรู้ ดิฉันเลยไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ดิฉันรู้นั้นถูกหรือไม่ จึงต้องมาขอความเมตตาจากท่านผู้รู้ในนี้นะค่ะ ดิฉันจะยกตัวอย่างความรุ้สึกให้ดูนะค่ะ จะได้เข้าใจกันได้ตรงกัน

เราสามารถเห็นได้ชัดเจน ถึงการแยกออกจากกันถึง รูปขันธ์ และนามขันธ์
ส่วนนามขันธ์ การแยกความเจือกันของนามขันธ์ทำได้ยากมาก
เช่น เรารู้ว่า นี่เวทนา แต่เราไม่อาจกำหนดเพียงเวทนาเท่านั้นได้ เพราะ วิญาญาณก็ตั้งอยู่พร้อมกับเวทนานั้น ขณะที่เรารู้สัญญา เราก็ไม่อาจกำหนดเพียงสัญญาอย่างเดียวได้ เพราะขณะรู้สัญญานั้นก็มีวิญญาณกับเวทนาเจืออยู่เช่นกัน
เวทนา สัญญา กับวิญญาณ มักจะเจือกันเสมอ ดังนั้นในการเข้าเวทยิตนิโรธสมาบัติจึงดับจิตสังขาร คือเวทนากับสัญญา
สังขารขันธ์ เช่นสติ กับปัญญา จะดับลงพร้อมกับวิญญาณ
การเข้าไปรู้แยกแยะขันธ์ทั้ง 5 ออกจากกันอย่างชัดเจน ต้องอาศัยฌานและปัญญาที่มีกำลังมาก
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
- เมื่อเห็นรูป ใจมันตัด รูปก็คือรูป ใจไม่ติดไม่สนใจ เห็นรูป ก็คือเห็นรูป ไม่มีความรู้สึกต่อ มันหยุดที่เห็นรูปเท่านั้น

เมื่อเห็นรูป แต่รูปนั้น ไม่เป็นที่รักที่ยินดี จิตโดยธรรมชาติแม้ไม่ตัด ก็ไม่หน่วงเอาอารมณ์นั้นมาสู่จิต
เช่น เราเดินเล่นไประหว่างทาง เราเห็นรูปผ่านเข้ามามากมาย แต่เราก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะรูปที่ผ่านมาไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีพอใจหรือสนใจอย่างไรเลย

เมื่อเห็นรูปอันเคยเป็นที่รักที่น่ายินดี ยินร้าย หรือรูปอันมีความเคยชินที่จะเข้าไปรักเข้าไปยินดี เข้าไปยินร้าย การเห็นรูปเช่นนี้แล้วไม่ใส่ใจไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ด้วยกำลังสติ และความรู้ึึสึกตัว ก็ทำได้ ทำบ่อยๆ ทำเนืองๆ จนความยินดียินร้ายต่อรูปนั้นสิ้นไปหมดไป จางคลายไปในทีสุด

ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
- มีไหม ที่ทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่มี มีแต่ความเฉย และมีรำคาญกับสิ่งที่กระทบภายนอกบ้าง ในใจนั้นจะมีอารมณ์เดียว คือ คือนิ่งอยุ่กับตัวไม่ได้สนใจรูป ไม่ได้สนใจสังขาร ไม่ได้สนใจวิญญาณ

ความวางเฉยต่ออารมณ์อันจิตเข้าไปพัวพัน มีลักษณะอยู่ 2 อย่างคือ วางเฉยด้วยความไม่รู้ และวางเฉยด้วยความเห็นแจ้ง

วางเฉยด้วยความไม่รู้ คือไม่รู้จะต้องไปทำอะไรกับอารมณ์นั้นต่อ จึงหลีกอารมณ์นั้นวางเฉยเสียมีความพอใจที่จะอยู่กับอทุกขมสุขเวทนา แทนที่จะไปตั้งอยู่ในทุกขเวทนานั้น กล่าวง่ายๆ คือหนีอย่างหนึ่งเพื่อจะไปสู่อีกอย่างหนึ่ง

วางเฉยด้วยความเห็นแจ้ง
วางเฉยด้วยความรู้สึกถึงสภาพธรรม ถึงความเป็นไปตามกรรมของสัตว์นั้น ถึงความเห็นแจ้งต่อความเป็นเหตุเป็นปัจจัยของสังขารต่างๆนั้นเป็นความวางเฉยที่ทำความเห็นแจ้งชัดต่ออารมณ์ที่จิตเข้าไปพัวพันด้วย อย่างนี้เป็นความวางเฉยตั้งมั่นอยู่
ส่วนกรณีที่จิตเข้าสู่ ความตั้งมั่นมีอารมณ์เดียวคือ ความกำหนดอยู่ในอารมณ์เดียวนั้น ก็ทำได้ แต่ไม่ใช่ไม่สนใจสังขาร ไม่สนใจรูป ไม่สนใจวิญญาณ เช่นการกำหนดรูปสัญญา เป็นอารมณ์จิตตั้งมั่นอยู่ในรูปสัญญานั้น ไม่กำหนดรูปสัญญาอื่นใด
หรือการกำหนดอรูปสัญญา ในขณะแห่งจตุถฌาน จิตละรูปสัญญาไม่ใส่ใจในรูปทั้งหลาย ใส่ใจอรูปสัญญาไม่สนใจรูป ก็ยังมี แต่สังขารกับ วิญญาณต้องดำเนินต่อไป

หากวางเฉยแล้วยังมีความรำคาญกับสิ่งกระทบภายนอกบ้าง ไม่ได้วางเฉยครับ แต่เป็นความยินร้ายครับเกิดทุกขเวทนาครับ เมือรำคาญย่อมมีรูปเป็นอารมณ์ สังขารปรุงคิดไปตามดำริต่อรูปต่อเวทนา วิญญาณก็แล่นไปตามรูป เวทนา สัญญา สังขารนั้นครับ

เจริญธรรม


สาธุค่ะแจ้งแก่ใจมากขึ้นค่ะ

ถามต่อนะค่ะ ในความรำคาญที่เกิดขึ้น เกิดจาก เราเห็นความวุ่นวายของโลก เห็นความวุ่นวายของจิตที่ส่งออก ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่..ทำให้เรารู้สึกรำคาญ อยากหลีกหนี ความวุ่นวายของจิตของสิ่งแวดล้อมที่ไม่จบสิ้นอาการแบบนี้เรียกว่า จิตปรุงแต่งใช่ไหมค่ะ

..การหลีกหนีที่ทำได้คือ การสงบอยู่กับจิต อยู่กับธรรม ไม่ส่งจิตออก อยู่กับอารมณ์เดียว (แต่ไม่ได้ทำสมาธิ ไม่ได้เข้าทั้งรุปและอรูป อยู่เฉยๆ แต่สงบอยู่กับตัวแบบมีสติ ไม่ได้ตั้งท่า แต่ทุกอย่างเป็นธรรมชาติของตัวเรา จิตที่รู้สึกถึงความวุ่นวาย จิตอยากสงบเองนะค่ะ..อย่างนี้เขาเีรียกว่าอะไรค่ะ..ไม่ได้ทำสมาธิมาเป็นเดือนแล้ว มีแต่ดูความเป็นไปในธรรมดาของโลก


ตอบคุณขนมจีบซาลาเปา ช่วงที่ดิฉันเป็นเช่นคุณในขณะนี้การที่เราไม่ส่งจิตออกนอก จิตจะสนใจเพียงเรื่องของกายและใจเท่านั้นนี้ตัวดิฉันก็พยายามที่จะให้จิตมองเรื่องทั่วๆ ไป ของโลกเช่นกัน การที่จิตจะสนใจเพียงกายและใจ เท่านั้น เป็นเพราะเป็นไปตามขั้นตอนของการปฎิบัติสติปัฎฐาน การเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ตัวดิฉันก็เคยเป็นเช่นคุณค่ะอย่ากังวลกับสภาวะนี้เลยนะคะ เดี๋ยวสภาวะอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นมาแทนค่ะ การที่เราเข้าสู่การวิปัสสนาบางครั้งการทำสมาธิจะลดลงไปก็จริงแต่จิตที่สงบจากสมาธิที่ปฎิบัติมายาวนานก็สงบอยู่แล้วด้วยตัวของมันเองอย่าวิตกกังวลอะไรไปเลยสติก็เป็นสติสัมโพชฌงค์ สมาธิก็เป็นสมาธิสัมโพชฌงค์อยู่แล้ว เดี๋ยวถ้าคุณเริ่มอยากทำสมาธิคุณก็จะกลับไปทำเองค่ะ ทั้งสมาธิและวิปัสสนาจะเกื้อหนุนกันอยู่ทั้งสองอย่าง การดูความเป็นไปของโลกและวิปัสสนาไปก็จะเป็นส่วนของธรรมในธรรม นี่ก็คือทางที่ถูกต้องแล้วนี่คะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 15:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2012, 12:36
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การเข้าเวทยิตนิโรธสมาบัติจึงดับจิตสังขาร คือเวทนากับสัญญา
สังขารขันธ์ เช่นสติ กับปัญญา จะดับลงพร้อมกับวิญญาณ


ขออนุญาติถามต่อน่ะค่ะ การเข้าเวทยตนิโรธสมาบัตินี้ อย่างที่ท่านอธิบาย ว่า สังขารซึ่งแปลภาษาชาวบ้านแปลว่าสิ่งปรุงแต่ง กับวิญญาณ ซึ่งแปลว่า ประสาทสัมผัสนี้นะค่ะ มันดับลงพร้อมกัน....การดับลงพร้อมกัน มันมีอาการยังไงค่ะ ไม่รู้สึกตัวเหรอค่ะ ...อยากทราบนะค่ะ หรือว่า มันเป็นลักษณะ ของ ขันธ์แยกจิต คล้าย คนที่เข้าฌาน4 ที่จะไม่รับรู้อาการทางกายนะค่ะ


ในจุดนี้ยังไม่มีโอกาสปฎิบัติค่ะ แต่มีให้ศึกษาใน

“...เรื่องสัญญาเวทยิตนิโรธ
[๕๑๐] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอย่างไร?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจัก
เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าเรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ว่าเราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว
ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วตั้งแต่แรก.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ธรรม คือ กายสังขาร วจี
สังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน ย่อมดับไปก่อน?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้น
กายสังขารก็ดับ จิตตสังขารดับทีหลัง.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เป็นอย่างไร?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มิได้มีความคิดอย่าง-
*นี้ว่า เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ว่าเรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติว่าเรา
ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อัน
ท่านให้เกิดแล้วแต่แรก.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ธรรมคือกายสัง-
*ขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน เกิดขึ้นก่อน.
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จิตตสังขารเกิด
ขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ผัสสะเท่าไร ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ผัสสะ ๓ ประการ คือ ผัสสะชื่อสุญญตะ (รู้สึกว่าว่าง)
ผัสสะชื่ออนิมิตตะ (รู้สึกว่าไม่มีนิมิต) และผัสสะชื่ออัปปณิหิตะ (รู้สึกว่าไม่มีที่ตั้ง) ย่อม
ถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ. มีจิตน้อมไปใน
ธรรมอะไร โอนไปในธรรมอะไร เอนไปในธรรมอะไร?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มีจิตน้อมไปใน
วิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก….”
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๙๔๒๐ - ๙๖๐๑. หน้าที่ ๓๘๗ - ๓๙๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... &pagebreak


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 15:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2012, 12:36
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
ถามต่อนะค่ะ ในความรำคาญที่เกิดขึ้น เกิดจาก เราเห็นความวุ่นวายของโลก เห็นความวุ่นวายของจิตที่ส่งออก ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่..ทำให้เรารู้สึกรำคาญ อยากหลีกหนี ความวุ่นวายของจิตของสิ่งแวดล้อมที่ไม่จบสิ้นอาการแบบนี้เรียกว่า จิตปรุงแต่งใช่ไหมค่ะ

..การหลีกหนีที่ทำได้คือ การสงบอยู่กับจิต อยู่กับธรรม ไม่ส่งจิตออก อยู่กับอารมณ์เดียว (แต่ไม่ได้ทำสมาธิ ไม่ได้เข้าทั้งรุปและอรูป อยู่เฉยๆ แต่สงบอยู่กับตัวแบบมีสติ ไม่ได้ตั้งท่า แต่ทุกอย่างเป็นธรรมชาติของตัวเรา จิตที่รู้สึกถึงความวุ่นวาย จิตอยากสงบเองนะค่ะ..อย่างนี้เขาเีรียกว่าอะไรค่ะ..ไม่ได้ทำสมาธิมาเป็นเดือนแล้ว มีแต่ดูความเป็นไปในธรรมดาของโลก

ความฟุ้งซ่านรำคาญใจที่เกิดขึ้น เพราะจิตไปหน่วงรั้งเอาอารมณ์นั้นไว้กับจิต จิตปรุงแต่งด้วยอำนาจของปฏิฆานุสัย ราคานุสัย ทิฏฐานุสัย ไปตามความวิตกความตรึกในขณะแห่งการรับอารมณ์นั้นอยู่ ความทุกข์คือความรู้ว่าประสพกับสิ่งที่ไม่ยินดีจึงเกิดขึ้น

ความฟุ้งซ่านรำคาญใจนี้เอง คือเครื่องกั้นจิตอันทำให้จิตวุ่นวายเห็นสิ่งไรไม่ชัดแจ้ง จิตจะแล่นไปทางอคติทั้งหลาย เป็นรัก ชอบ ชัง หลง เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด

การที่จะขจัดความฟุ้งซ่านรำคาญใจในขณะนั้น ก็ต้องทำด้วยจิตอันเป็นสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ หน่วงจิตไว้กลับมาในภายใน ไม่ปรุงแต่งยินดี ยินร้าย ต่ออารมณ์ภายนอกที่จิตรู้
การที่ดึงจิตกลับมาอยู่ที่อารมณ์เดียว โดยรู้อยู่ที่อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นการทำสมาธิประการหนึ่ง
เพียงแต่เป็นสมาธิที่ยังไม่ได้บำรุงขึ้นให้แข็งแรงขึ้น เพราะขาดความเพียร จึงไม่อาจเป็นบาทเป็นเท้าให้ปัญญาทำหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถ ดังนั้นอย่าประมาทในการบำรุงสมาธิให้มีกำลังให้มีพละมากขึ้น
ท่านอาจจะสงบได้ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะกำลังสมาธินั้นอ่อน ไม่เพียงพอต่อการกำจัดได้เด็ดขาด

สัมมาสมาธิ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน
สัมมาสมาธิในขณะแห่งปฐมฌาน ย่อมกำจัดความฟุ้งซ่านรำคาญที่เกิดขึ้นได้แล้วครับ

เจริญธรรม

เช่นนั้น เขียน:
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
ขออนุญาติถามต่อน่ะค่ะ การเข้าเวทยตนิโรธสมาบัตินี้ อย่างที่ท่านอธิบาย ว่า สังขารซึ่งแปลภาษาชาวบ้านแปลว่าสิ่งปรุงแต่ง กับวิญญาณ ซึ่งแปลว่า ประสาทสัมผัสนี้นะค่ะ มันดับลงพร้อมกัน....การดับลงพร้อมกัน มันมีอาการยังไงค่ะ ไม่รู้สึกตัวเหรอค่ะ ...อยากทราบนะค่ะ หรือว่า มันเป็นลักษณะ ของ ขันธ์แยกจิต คล้าย คนที่เข้าฌาน4 ที่จะไม่รับรู้อาการทางกายนะค่ะ


เช่นนั้น ยังเข้าสัญญาเวยิตนิโรธสมาบัติไม่ได้ครับ

เพียงแต่ทราบว่า การเข้าสัญญาเวยิตนิโรธสมาบัติ เข้าได้ด้วยกำลังอธิษฐาน ให้จิตสังขารดับไปในเวลาที่กำหนด ทำความดับแห่ง จิตตสังขาร คือสัญญา และเวทนา แต่ไม่ได้ดับสังขารขันธ์ คือตัวสติและปัญญาครับ เป็นคนละเรื่องกัน

เพราะถ้าดับสติ และปัญญา อันเป็นสังขารขันธ์ ก็คงจะเข้าและออกจากสมาบัตินี้ไม่ได้ครับ

ส่วนอาการ ความรู้สึกเป็นอย่างไร ตอบไม่ได้ครับ เพราะกำลังสมาธิและกำลังปัญญาไม่แข็งแรงเพียงพอจึงอธิบายไม่ได้ครับ

เจริญธรรม


กราบของพระคุณค่ะที่ให้ความรู้

ขออนุญาติถามต่อได้ไหมค่ะ ท่านรำคาญดิฉันหรือยัง

วันก่อน ดิฉันมีอาการอย่างหนึ่งที่ไม่รู้จัก ว่าคืออะไร ดิฉันจึงอยากจะมาเรียนถามนะค่ะ

เนื่องจากวันก่อน ดิฉันป่วย กายเหนื่อยล้าสะสมมาหลายวัน ตอนเช้าก็ยังปกติดี คือกายป่วยแต่จิตไม่ป่วย ก็ยังทำอะไรได้ปกติ พอตอนสายๆ จิตเห็นความวุ่นวายในโลก เกิดอาการเหนื่อยหน่ายในจิต แต่ก็ำทำตัวปกติ แต่เมื่ออาการทางจิตเกิดหน่ายมากๆ..อยู่มันก็เกิดอาการดับค่ะ คือ มันไม่รู้สึกอะไรในจิต คือนิ่งเฉย ไม่ว่างเปล่า มันเป็นอาการนิ่ง เหมือนว่า เราได้ตายไปแล้วแต่ยังต้องไหลไปกับกระแสโลก

พอเห็นอาการแปลกๆ ดิฉันก็อยากหลุดจากอาการนี้ เลยหาหนังสือมาธรรมที่ชอบมาอ่าน จนมันก็ไม่ติด ไม่เอา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเอาหนังสือกำลังภายในที่กำลังติดตามกำลังสนุกขึ้นมาอ่านแทน แต่จิตมันก็กลับไม่ติดไม่เอา..คือมันจะอยู่กับอารมณ์ดับ เหมือนไม่รู้สึก แต่มีสติทุกอย่าง เหมือนเรามีแต่ร่างกาย ทำอะไรได้ปกติ ไม่มีอาการรู้สึกลอยๆ มีสติครบ แค่รู้ว่ามันไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกว่ามันเกิดอาการเหมือนคนตายที่ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ทั้งๆที่เรายังลืมตาอยู่ ยังต้องทำงานและใช้ชีวิตประจำวัน อยู่

เมื่อพยายามจะให็หลุดจากอาการนี้ มันก็ไม่หลุด เลยบอกตัวเองว่าช่างมัน ก็เลยปล่อยไป เป็นอาการนี้ตั้งแต่บ่ายจนไปถึงนอน ที่หลุดได้เพราะต้องสวดมนต์ก่อนนอน เลยได้หลุดอาการนี้ออกมา อาการนี้เขาเรียกว่าอะไรค่ะ ดิฉันเข้าอรูปหรือค่ะ อรูปดิฉันรู้จัก อยู่มีไม่กี่อย่างคือ ความว่างที่ไม่มีสิ้นสุด กับการที่ไม่จำอะไรเลย สามารถตัดให้ไม่จำมันได้คือสั่งให้มันลืมก็ลืมได้ กับอีกอย่างคืออาการลอยๆ เหมือนว่างๆไม่มีที่สิ้นสุด เว้งว้างนะค่ะ อาการที่ว่าดิฉันไม่รู้จัก จึงมาถามว่า มันคืออาการอะไรค่ะ กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ




การที่ การนิ่งเฉย ไม่ว่างเปล่านี้ อาจจะเป็นจุดเริ่มแรกของการก้าวไปสู่สภาวะของจิตเฉย และจิตว่างที่ผัสสะไม่กระทบก็ได้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังฌาณวิปัสสนาที่สูงขึ้นมาน่ะค่ะ อย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว สภาวะต่างๆ นี้ทุกสภาวะจะมีลักษณะเกิดขึ้นตั้งอยู่และก็ดับไปอย่าวิตกกังวลให้มากนัก
สำหรับการเข้าอรูปฌาน อากาศไม่มีที่สิ้นสุด จะเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้สภาวะที่ออกนอกตัวของเราไปนั่นเองสภาวะที่คุณขนมจีบซาลาเปาเป็นว่างเวิ้งว้างไปหมดว่างไม่สิ้นสุดนั้นก็ค่อยๆ เรียนรู้มันไปนะคะ แต่มีพระสูตรหนึ่งที่ดิฉันอยากให้คุณอ่านและนำมาวิปัสสนาก็คือ
อัฏฐกนาครสูตร ที่ ๒.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


ในความคิดเห็นคิดว่า มันจำเป็นมากสำหรับนักสมถที่ก้าวสู่การวิปัสสนาอย่างยิ่ง มันจำเป็นและสำคัญมากกับการปฎิบัติของพวกเราคือไม่ว่าจะก้าวเข้าสู่สมาธิในขั้นไหนๆ ก็ตาม สมาธิทุกๆ ขั้นจนถึงอากิญจัญญายตนะ นี้ อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุ
ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้ เธอตั้งอยู่
ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น เพราะ
ความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอัน
ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา. ยกมาให้อ่านทั้งหมดเพราะเห็นว่าสำคัญมากเหมาะกับนักปฎิบัติเช่นเราที่ยังยึดติดทั้งรูปฌานและอรูปฌานนะคะ

“...อรูปฌาน ๔
[๒๒] ดูกรคฤหบดี อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการ
ว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญา
โดยประการทั้งปวงอยู่ เธอพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมรู้ชัดว่า แม้อากาสานัญจายตนสมาบัตินี้
อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น
สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้ เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น
ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความ
ยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา.

ดูกรคฤหบดี แม้ธรรมอันหนึ่งนี้แล ที่เมื่อภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่
จิตที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่สิ้น ย่อมถึงความสิ้นไป ย่อมบรรลุถึงธรรม
ที่ปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบไว้ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ยังไม่บรรลุ อันพระผู้มี
พระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น ตรัสไว้.

ดูกรคฤหบดี อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณ
หาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวงอยู่ เธอพิจารณาอยู่อย่างนี้
ย่อมรู้ชัดว่าแม้วิญญาณัญจายตนะสมาบัตินี้ อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้
เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึง
ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น
เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอัน
ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา.

ดูกรคฤหบดี แม้ธรรมอันหนึ่งนี้แล ที่เมื่อภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่
จิตที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่สิ้น ย่อมถึงความสิ้นไป ย่อมบรรลุถึง
ธรรมที่ปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบไว้ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ยังไม่บรรลุ อัน
พระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น ตรัสไว้.

ดูกรคฤหบดี อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร
เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะได้โดยประการทั้งปวง เธอพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมรู้ชัดว่า แม้
อากิญจัญญายตนสมาบัตินี้ อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุ
ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้ เธอตั้งอยู่
ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น เพราะ
ความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอัน
ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา.

ดูกรคฤหบดี แม้ธรรมอันหนึ่งนี้แล ที่เมื่อภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่
จิตที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่สิ้น ย่อมถึงความสิ้นไป ย่อมบรรลุถึง
ธรรมที่ปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบไว้ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ยังไม่บรรลุ
อันพระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น ตรัสไว้.”


คำสอนของพระพุทธองค์คือสิ่งมีค่ามากสำหรับนักปฎิบัติดิฉันเห็นเช่นนั้นค่ะคุณขนมจีบซาลาเปามีความเห็นอย่างไรคะ และอีกพระสูตรหนึ่งคือ ฌานสูตร เป็นพระสูตรที่ตัวดิฉันให้ความสำคัญอย่างยิ่งนำมาใช้ในการวิปัสสนาคือพระไตรลักษณ์ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับคุณบ้างนะคะ
ที่สาระสำคัญย่อๆที่อาจสรุปได้ก็คือ สมาธิทุกๆ อย่างนั้นพระพุทธองค์สอนให้มอง “...โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา…” ดูรายละเอียดทั้งหมดตามอ้างอิงด้านล่างนี้นะคะ

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ บรรทัดที่ ๙๐๔๑ - ๙๑๔๕. หน้าที่ ๓๙๐ - ๓๙๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

ส่วนวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด และอะไรอะไรน้อยหนึ่งไม่มีเท่าที่เคยประสบจะเป็นสภาวะที่ย้อนเข้ามาแทรกในกลางตัวเราเพียงแต่วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดจะรู้ถึงตัวรู้ตำแหน่งของวิญญาณตัวรู้ในตัวที่ชัดเจนเผอิญวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดนี้เมื่อครั้งที่ปฎิบัตินั้นไม่ได้บันทึกถึงสภาวะไว้เอาเท่าที่จำได้ก็แล้วกันนะคะ สำหรับอะไรอะไรน้อยหนึ่งไม่มีหรืออากิญจัญญายตนะ เป็นไปเพื่อรู้สภาวะสุญญตาจะเป็นสภาวะว่างกลางอกกลวงๆ ไม่มีอะไรๆ เลยในกลางอกกลวงๆ นี้ คุณขนมจีบซาลาเปาลองปฎิบัติดูนะคะแล้วจะรู้ในสภาวะอรูปนั้นๆ ด้วยตัวของตัวเอง หลังจากออกจากอรูปนี้แล้วอาจจะได้เรียนรู้ถึงสภาวะสุญญตะว่าเป็นอย่างไรอีกทั้งสังโยชน์ที่คุณขนมจีบซาลาเปานำมาเป็นตัววัดการปฎิบัติก็อาจมาแสดงให้ทราบได้อย่างชัดเจนเพราะเป็นสภาวะที่สติรู้ชัด สังโยชน์ที่จะมาแสดงให้รู้สึกชัดเจนก็คือมานะและการยึดติดกับอรูปที่ได้นั่นเอง และอะไรอะไรน้อยหนึ่งไม่มีนี้จะทำให้ผู้ปฎิบัติอรูปรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอรูปคืออะไรด้วยตัวของตัวเอง สิ่งสำคัญยิ่งที่จำเป็นคือเมื่อเจอสภาวะนี้แล้วอย่าลืมคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า
สมาธิต่างๆ เหล่านี้ อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุ
ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา
ก็แล้วกันนะคะ จะทำให้ตัดสังโยชน์สองข้อนี้ได้ อีกทั้งสักกายทฎฐิที่ติดค้างหลงเหลืออยู่ของเราที่ละเอียดติดกับตัวเรามายาวนานซึ่งก็คือจิตหรือวิญญานก็อาจดับไปด้วยในขณะนั้น
การพัฒนาอรูปแต่ละขั้นนั้นเท่าที่เคยปฎิบัติมาอรูปแต่ละขั้นจะพัฒนาเมื่อกำลังสมาธิที่ปฎิบัติพอจะโน้มน้อมไปเพื่ออรูปนั้นๆ น่ะค่ะ สำหรับดิฉันสมาธิจะพัฒนาจนโน้มไปเพื่ออรูปแต่ละอย่างต้องใช้ระยะเวลาประมาณหกเดือนน่ะค่ะ ดิฉันคิดว่าสภาวะที่คุณขนมจีบซาลาเปาเป็นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องของอรูปในเบื้องต้นแล้วค่ะ

ที่สำคัญท่านที่ได้ทั้งรูปฌานและอรูปฌานด้วย แล้วเจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุมัคคผล เรียกว่า อุภโตภาควิมุตติ เหมือนกันทั้ง ๘ บุคคล ปฎิบัติโดยเน้นที่สมาธิเป็นหลักจนถึงอรูปฌาณจึงจัดในกลุ่มอุภโตภาควิมุตติบุคคลและจะเป็นผู้ที่เห็นทุกขัง



อธิบายเพิ่มเติม( ระหว่างกุมภาพันธ์-ต้นเดือนมีนาคม 2555 )ต้องขอออกตัวก่อนว่าในการอธิบายนี้ตัวดิฉันกลัวว่าจะทำให้ธรรมะของพระพุทธองค์ที่ดิฉันเพิ่งปฎิบัติมาไม่นานนักนี้อาจทำให้อธิบายผิดพลาดไปถ้าอธิบายผิดอย่างไรก็ขอความกรุณาผู้รู้ ครูบาอาจารย์ช่วยให้ความอนุเคราะห์แก้ไขให้ด้วยกราบขอบพระคุณค่ะ ทั้งนี้เพราะตัวดิฉันเองศึกษาธรรมะและปฎิบัติธรรมมาเพียงสองปีกว่าๆ ยังไม่ครบสามปีเลยความรอบรู้ในธรรมก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ทุกๆท่าน ณ. ที่แห่งนี้บางท่านมีความรู้กว้างขวางยิ่งกว่าดิฉันมากมายนัก การปฎิบัติของดิฉันๆ ปฎิบัติตามที่มีอธิบายไว้ในพระไตรปิฎกตลอดมา ตัวดิฉันเองอ่านพระสุตันตปิฎกแทบจะทุกๆ หน้าในทุกๆ เล่ม พระอภิธรรมบางเล่ม บทไหนที่ดิฉันเห็นว่าตัวดิฉันปฎิบัติตามได้เป็นไปตามจริตของดิฉันๆ ก็นำมาเป็นแบบอย่างในการปฎิบัติ พอปฎิบัติเกิดสภาวะอะไรขึ้นมาดิฉันก็เขียนมาขอความร้จากกัลยาณมิตร และครูบาอาจารย์ ณ ที่แห่งนี้(กราบขอบพระคุณอย่างที่สุดนะคะ) และอีกทางหนึ่งก็ค้นคว้าอ่านเอาจากพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฎก ดังนั้นความรอบรู้ทางธรรมจึงอยู่ในขั้นของนักปฎิบัติเท่านั้น ความรอบรู้ชนิดที่อธิบายธรรมต่างๆ ได้อย่างชัดเจนถูกต้องนั้นผู้ทรงธรรมและผู้รอบรู้ทางธรรม ณ. ที่แห่งนี้ย่อมอธิบายได้มากกว่าดิฉันอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามถ้าสภาวะที่เกิดปรากฎขึ้นกับตัวดิฉันจะเป็นประโยชน์กับกัลยาณมิตรบางท่านบ้างดิฉันก็จะพยายามอธิบายตอบเท่าที่พอรู้นะคะ และอีกประการหนึ่งเรื่องการเปิดเผยตนเองตัวดิฉันต้องกราบขอโทษด้วยนะคะในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นตัวดิฉันยังมีกรอบชีวิตที่ไม่พร้อมค่ะ และในการสมัครสมาชิกที่นี่ทุกครั้งดิฉันไม่ได้สมัครด้วยตัวเองถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขอรับผิดและน้อมรับความผิดพลาดอันนั้นกราบขอโทษอย่างยิ่งด้วยค่ะ
การติดในอรูป การติดในมานะ และการยังมีอัตตาตัวตนอยู่หนึ่งวันกับหนึ่งคืนหลังจากการผ่านอากิญจัญญายตนะ

ช่วงที่เกิดสภาวะว่างกลางอกกลวงๆและมีมานะติดค้างในใจอยู่นั่นแหละว่าเรารู้แล้วว่าอรูปคืออะไรไม่ว่าจะไปไหนไปทำอะไรก็เกิดมานะและเกิดการยึดติดในอรูปที่พึ่งได้ รู้สึกอยู่ทุกขณะจิต พร้อมๆ กันนั้นก็รู้สึกถึงความว่างที่อยู่ในกลางอกว่าความรู้สึกที่ปราศจากรูปคืออย่างนี้นะ และเข้าใจว่าทำไมถึงเรียกว่าอรูปแล้ว การติดในอรูปและมานะ ติดสองตัวนี้พร้อมๆ กัน อยู่หนึ่งวันกับหนึ่งคืนจะรู้สึกชัดเจนเพราะเป็นความรู้สึกท่ามกลางสภาวะที่สติรู้ชัด จนกระทั่งต้องเปิดคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสสอนไว้ว่าอรูปทุกอย่างนั้นก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์และเป็นอนัตตาไม่ใช่ของเราไม่ใช่ตัวตนของเราทุกสิ่งมีเกิดขึ้นตั้งอยู่และก็ดับไปพอวิปัสสนาพระไตรลักษณ์ การติดอรูปและมานะนี้ก็หลุด มันหลุดผึงออกไปเลยค่ะ
การรู้อนัตตาเป็นดังนี้ (เกิดขึ้นหลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไปที่สติจับสังโยชน์ทั้งสองตัวอยู่ทุกขณะจิตและวิปัสสนาพระไตรลักษณ์แก้ไปทำให้รู้อนัตตา)

ความรู้สึกในเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็ชัดเจนขึ้น สิ่งที่เดิน กิน นั่งคิดนี้ก็เป็นเพียงการประชุมรวมกันของธรรมเหล่านี้เท่านั้น ความรู้สึกที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนที่อ่านมานานที่รู้จากสัญญามานาน มารู้ชัดประจักษ์จริงด้วยตัวเองก็ขณะนั้น ต่อจากนั้นมาความรู้สึกทุกๆ ขณะคือรู้ถึงความว่างที่อยู่กลางอก ไม่มีเราอยู่ในความว่าง ไม่มีเราอยู่ในรูป และในรูปไม่มีเราเป็นความรู้สึกที่เด่นชัดที่เกิดขึ้น การหวงจิตที่เคยมีมาแต่เดิม ความรู้สึกเดิมที่เคยรู้สึกว่ามีจิตของเราอยู่ตรงกลางอกเรานั้น ก็หลุดออกไปเลย เดิมจะรู้สึกถึงการมีจิตอยู่ในอกอยู่ตลอดเวลาที่ตื่นขึ้นมาจนหลับไปและรู้สึกว่าจิตที่มีอยู่นั้นคือตัวตนของเรารู้อย่างนั้นอยู่ตลอด แต่ขณะนี้เวลานี้จะรู้สึกถึงความว่างที่อยู่กลางอกรู้สึกถึงความรู้สึกความไม่มีจิตอยู่ในนั้นเหมือนที่เคยรู้สึก จะมีเพียงความรู้สึกว่างเปล่า เหมือนไม่มีที่ตั้ง ไร้ซึ่งตัณหาใดๆ มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้นไม่ว่าอะไรๆ มากระทบก็ไม่กระทบ เหมือนผัสสะได้ดับไปหรือสูญไปจากตัวตนของเรา ตัวจิตก็เช่นกันเอาจากความรู้สึกที่แต่เดิมรู้สึกว่ามีจิตอยู่แต่เวลานี้เห็นแต่ความไม่มี ความรู้สึกที่เคยมีจิตอยู่ในกลางอกนั้นได้สูญไปจากตัวตนของเราถ้าตามความเข้าใจของตัวเองก็คิดว่าเป็นเพราะวิญญาณดับ ผัสสะดับไป (ทั้งนี้เพราะวิญญาณหรือจิตที่เคยรู้สึกว่ามีอยู่กลางอกได้สูญหายไป ( ความรู้สึกในก่อนนั้นที่แรกๆคือตั้งแต่เกิดมาจนถึงสองปีกว่าที่ผ่านมา ก็คิดว่าเราคือร่างกายนี้มาเปลี่ยนเป็น เราคือจิตเมื่อปีที่แล้ว และในปัจจุบันมาเป็นไม่รู้สึกว่ามีจิตอยู่ มันจะดับไปหรือสูญไปหรืออะไรก็ไม่รู้รู้แต่ว่ามันทำให้รู้สึกถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหมดที่ประกอบกันอยู่นี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา จึงทำให้รู้สึกถึงความไม่ยึดสังขารทั้งรูปและนามไม่รู้ว่าจะถูกหรือผิดถ้าจะคิดว่านี่คือการละอวิชชา) ทำให้สัมผัสกับความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรืออนัตตานั่นเอง การเดินการคิดการทำทุกๆ อย่างเป็นเพียงเหมือนหุ่นที่ทำทุกอย่างไปตามปกติเท่านั้น อนัตตาชัดมากๆในรู้สึกทุกๆ ลมหายใจเข้าออก ความรู้สึกเป็นอย่างนี้นี่คงเรียกว่ารู้อนัตตา มีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่ดิฉันเคยอ่านมาและอยากนำมาใช้ประกอบก็คือคำสอนที่ว่า
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณคืออะไร วิญญาณ ๖ หมวดนี้ คือ ความรับรู้อารมณ์ทางตา...ทางหู...ทางจมูก...ทางลิ้น..ทางกาย...ทางมโน...นี้เรียกว่าวิญญาณ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป ความดับแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความดับแห่งนามรูป อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ.... เป็นปฏิปทา ให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ”

ปริวัฏฏสูตร ขันธ. สํ. (๑๑๒-๑๑๗)


กิเลสที่วิปัสสนาให้หมดไปจากจิตได้อย่างยากลำบากในครั้งก่อนนั้นก็หมดไปพร้อมกับการรู้อนัตตา ความรู้สึกในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าไม่ใช่เรา ไม่มีอยู่ในเรากิเลสที่มีอยู่จะเป็นเราเป็นของเราได้อย่างไรพอรู้สึกได้เช่นนี้กิเลสก็ค่อยๆ หมดไปจนถึงรู้สึกว่าไม่มีกิเลสที่เป็นของเราเหลืออยู่อีกแล้ว นี่คงเป็นอาสวะขยญาณกิเลสจะค่อยๆ หมดไปพร้อมกับความรู้อนัตตา การละอวิชชาจึงทำให้สามารถวิปัสสนาตัดกิเลสออกไปได้ด้วยการรู้ชัดในอนัตตารู้สึกถึงความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คงจะเป็นคำตอบที่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลซึ่งอาจจะคล้ายกันหรือไม่เหมือนกันในผู้ปฎิบัติแต่ละท่านก็ได้นะคะ ( อาสวักขยญาณ รู้วิชาที่ทำให้สิ้นกิเลสและอาสวะ คือสามารถดับ กามสวะ (กิเลสที่หมกหมมในกาม) ภวาสวะ (กิเลสที่หมกหมมในภพ) และอวิชชาสวะ (กิเลสที่หมกหมมในความมืดบอดของจิต)ลงได้) พอจะตอบได้แค่นี้เองค่ะ เพราะตัวดิฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องในพระอภิธรรมเท่าไหร่ ที่เข้ามาตอบสองท่านที่ติดขัดในสมาธินั้นเพราะเป็นสิ่งที่ดิฉันปฎิบัติผ่านมาจึงมาตอบให้น่ะค่ะ อย่างไรก็ตามดิฉันเคยอ่านเจอคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสสอนไว้ดังนี้ค่ะ
อาสวะไม่สิ้นไปเป็นรายวัน

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รอยนิ้วมือย่อมปรากฏ หรือรอยนิ้วหัวแม่มือย่อมปรากฏที่ด้ามมีดของนายช่างไม้ หรือลูกมือของนายช่างไม้แต่นายช่างไม้ หารู้ไม่ว่า วันนี้ด้ามมีดของเขาสึกหรอไปประมาณเท่านี้ วานนี้สึกไปประมาณเท่านี้ วันก่อน ๆ สึกไปประมาณเท่านี้ นายช่างไม้... มีความรู้แต่ว่ามันสึกไปแล้ว ๆ แม้ฉันใด
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบความเพียรในภาวนาอยู่ หารู้ไม่ว่า วันนี้อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ วานนี้สิ้นไปประมาณเท่านี้ วันก่อน ๆ สิ้นไปประมาณเท่านี้ ถึงอย่างนั้นเมื่ออาสวะสิ้นไปแล้ว เธอก็มีความรู้แต่ว่าสิ้นไปแล้ว ๆ ฉันนั้นเหมือนกันแล”
นาวาสูตร ขันธ. สํ. (๒๖๒)


และผัสสะสูญหายไปจากตน ที่รู้สึกว่าว่างนี้ว่างจากตัวตนรู้สึกตลอดเวลา รู้สึกถึงความรู้สึกที่อยู่เหนือสิ่งที่มากระทบมันอยู่เหนือออกไปจากทั้งทุกข์และสุข สิ่งที่เกิดขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างมันคือโลก กับธรรม ซึ่งอยู่ด้วยกันง่ายๆ ไม่มีอะไรยาก รู้สึกได้เช่นนั้น ทุกลมหายใจเข้าออกในขณะนั้นไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมาเกิดได้อย่างไรคือจะคิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกและพร้อมกันนั้นทุกลมหายใจเข้าออกก็รู้สึกถึงความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน รู้ว่าเราไม่มีอยู่ในรูป รูปไม่ใช่เราอย่างขัดเจนทุกลมหายใจเข้าออกรวมทั้งเวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ..นั้นไม่ใช่เรา ไม่มีอยู่ในเรา ไม่ใช่ของเราอย่างชัดแจ้งรู้สึกถึงว่างและอนัตตาชัดมากๆ รู้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออกและทุกลมหายใจเข้าออกที่สติระลึกรู้ก็คือมรณานุสติ ลมเข้าก็คิดถึงความตายลมออกก็คิดถึงความตายแต่เป็นการรู้สึกถึงเรื่องตายในลักษณะอริยสัจเป็นสัจธรรมไม่กลัวไม่ได้อยากตายหรืออยากอยู่รู้แต่ว่ามันเป็นอริยสัจนี่คงเป็นที่เขาเรียกมีมรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออก รู้สึกว่าถ้าการปฎิบัติธรรมได้สุขเพียงแค่นี้เพียงแค่อยู่เหนือทุกข์และสุข ผัสสะที่สูญไป อยู่กับว่าง และอะไรบางอย่างได้หายหรือว่างไปจากตัวตน ซึ่งก็น่าจะเป็นผัสสะได้หายไปจากความรู้สึกของขันธ์นี้ไปมันไม่กระทบ มันไม่รู้สึกว่ามีผัสสะ มันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ สังขารกายที่ตั้งอยู่นี้เฉยๆ ภายในสังขารกายนี้มันจะมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ผัสสะไม่กระทบผัสสะดับหรือผัสสะได้สูญไป รู้สึกเช่นนั้น มันเหมือนกับผัสสะได้หายไปจากขันธ์สูญไปจากขันธ์ หรือจะเป็นอย่างที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ เรื่องสุญญตะ ตัวเรานี้ผัสสะได้ดับไปได้สูญไปจากตัวเราเป็นผัสสะสุญตะ มโนวิญญาณได้สูญไปจากตน คิดเช่นนั้น ลองศึกษาพระสูตร สุญกถานี้และวิเคราะห์ด้วยตัวเองก็แล้วกันนะคะ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


การเห็นอริยสัจ ๔ หรือการรู้อริยสัจ๔และมีอารมณ์จิตอยู่ที่นิพพาน(สองสัปดาห์ต่อมาหลังจากรู้อนัตตา)
หลังจากอยู่กับความว่างที่ผัสสะไม่กระทบและรู้สึกเป็นสุขกับชีวิตมากๆ ที่ทั้งโลกและธรรมลงตัวในชีวิตผ่านไปประมาณสองสัปดาห์ ประมาณสองวันที่อริยสัจ ของพระพุทธองค์มาแสดงให้เห็นชัดๆ คือรู้สึกเป็นไข้ปวดกระดูกทั้งตัวทั้งๆ ที่เวทนาที่เกิดกับกายกับเวทนาจิตไม่กระทบกันแต่ก็ทำให้รู้สภาวะทุกข์อริยสัจที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนมากยิ่งขึ้นตราบใดที่เรายังมีกายสังขารอยู่นี้เราจะหนีจากสภาวะทุกข์เป็นไปไม่ได้ ทุกข์ที่เกิดจากกายที่เจ็บป่วยซึ่งเป็นไปตามสังขารกายนั้นมนุษย์ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว อริยสัจที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบจึงเป็นสัจธรรมที่เป็นจริงอย่างยิ่งทำให้รู้จักทุกข์อันเกิดจากสังขารกายที่เจ็บป่วย เห็นในทุกข์เข้าใจในทุกข์ในสังขารกายก็เกิดขึ้นอยู่ประมาณสองวันอย่างหนัก รู้เหตุแห่งทุกข์ และคิดถึงทางที่จะดับทุกข์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ ทำให้เรียนรู้มากกว่าครั้งก่อนๆ อีกประการหนึ่งก็คือเริ่มจะนึกถึงสภาวะนิพพานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสภาวะที่พ้นไปจากสังขารทั้งหลาย ทำให้นึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว แต่อารมณ์จิตก็ยังเป็นสภาวะว่างที่ทุกลมหายใจเข้าออกยังเป็นมรณานุสติ และสภาวะว่างที่อนัตตามาปรากฏชัดให้รู้สึกอย่างชัดเจนทุกย่างก้าว


แก้ไขล่าสุดโดย joomla เมื่อ 28 มิ.ย. 2012, 13:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ว้าว กระทู้ฮิตสุดๆอ่ะ ปลื้มสุดๆอ่ะ จุ๊ย์ๆๆๆๆ เข้ามาช่วยกันขุดๆๆๆ กระทู้เยอะๆนะค๊าฟฟฟฟ สะสมโพสต์ได้สัก 1,000 เมนต์ต์ล่ะคุณแม่ปลื๊มปลื้มอ่ะ รีบเข้ามาช่วยกันโพสต์ด้วยนะทุกโค้นนนนนน อย่าลืมกดไลค์ให้ด้วยนะ บ๊ะเจ้าาาาา สมสมเมนต์ไว้แลกรางวัลประจำปีเจ้าฆ่ะ ดุ๊กดุ๋ย ดุ๊กดุ๋ย
รูปภาพ
ฮานะเจ้ามะฮะ กั๊ก กั๊ก กั๊ก

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 16:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2012, 12:36
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
อ้างคำพูด:
สาธุค่ะ ดิฉันเข้าใจในสิ่งที่คุณเช่นนั้นได้เขียน แต่ดิฉันผิดเองที่เขียนสั้นๆ มันเลยคนละความหมาย ในความหมายของดิฉันคือ เป็นไปได้ไหม ที่ในจิตเรานั้น จะรู้สึกว่า ขันธ์แต่ละขันธ์แยกกันออกอย่างชัดเจน ที่ถามเพราะดิฉันรุ้สึกอย่างนี้ ไม่มีขันธ์ไหนเกี่ยวข้องกันในความรู้สึกนะค่ะ

เนื่องจากดิฉันเป็นผู้ฝึกผู้เรียนรู้ ดิฉันเลยไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ดิฉันรู้นั้นถูกหรือไม่ จึงต้องมาขอความเมตตาจากท่านผู้รู้ในนี้นะค่ะ ดิฉันจะยกตัวอย่างความรุ้สึกให้ดูนะค่ะ จะได้เข้าใจกันได้ตรงกัน

- เมื่อเห็นรูป ใจมันตัด รูปก็คือรูป ใจไม่ติดไม่สนใจ เห็นรูป ก็คือเห็นรูป ไม่มีความรู้สึกต่อ มันหยุดที่เห็นรูปเท่านั้น

- มีไหม ที่ทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่มี มีแต่ความเฉย และมีรำคาญกับสิ่งที่กระทบภายนอกบ้าง ในใจนั้นจะมีอารมณ์เดียว คือ คือนิ่งอยุ่กับตัวไม่ได้สนใจรูป ไม่ได้สนใจสังขาร ไม่ได้สนใจวิญญาณ

ยกตัวอย่างแบบนี้นะค่ะ เพราะจริงๆดิฉันไม่ใช่ผู้รู้ ดิฉันเป็นเพียงผู้ฝึก และยังต้องเรียนรู้อีกมาก เลยต้องมาถามผู้รู้ กราบขอบพระคุณค่ะ

สวัสดีครับพี่ขนมจีบซาลาเปา
ขันธ์ 5 โดยนัยและหน้าที่ของตัวมันเองนั้นก็แสดงความจริงอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นเอกเทศต่อกัน ผู้ปฏิบัติที่มีกำลังสมาธิ กำลังสติ มากขึ้นย่อมจะเห็นการแสดงตัวและอาการของขันธ์ 5 ได้ชัดเจนมากขึ้น อย่างที่พี่รู้สึกได้ครับ...เพียงแต่ว่าตามธรรมดาแล้วอาการของขันธ์ 5 นั้นมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเร็วมาก จากขันธ์หนึ่งต่อไปสู่ขันธ์หนึ่ง ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ปฏิบัติจนถึงขึ้นที่จิตละเอียดที่สุดแล้วจะมองออกอย่างชัดเจนไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเห็นใครกำลังกินมะขามอยู่ แล้วเราน้ำลายสอขึ้นมา...อธิบายได้ว่า เมื่อตากระทบรูปเห็นคนกำลังกินมะขาม(จักษุวิญญาณ)นั้น ทันทีทันใดจิตสังขารก็ทำหน้าที่ของมันปรุงแต่งให้เกิดชิวหาสัญญา(ความจำรส)ขึ้นต่อเนื่องตามมาแล้วต่อออกมาเป็นเวทนาคือน้ำลายสอและอาจจะต่อไปถึงตัณหาความอยากจนต้องไปหาซื้อมะขามมากิน...ซึ่งกระบวนการเหล่านี้มันเกิดขึ้นต่อเนื่องและรวดเร็วมากจนอยากที่สติของคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกฝนมาเพียงพอจะตามรู้ได้ทันครับ...และไอ้ตัวการที่ตัวต้นเรื่องก็คือตัว(จิต)สังขารนั่นเองครับที่ที่คอยทำตัวเป็นผู้ยุแยงคอยชี้นำให้เราหลงไปตามผัสสะหรืออารมณ์ต่างๆ เพราะจิตสังขารตัวนี้มันประกอบไปด้วยอวิชชานั่นเองครับ
สิ่งที่เป็นคู่ปรับกับจิตสังขารที่มีอวิชชาประกอบก็คือตัวสตินั่นเองครับ สตินี้เมื่อตามรู้ที่ตรงไหนมันก็จะผลิตอาวุธคือปัญญาขึ้นมาฟาดฟันที่ตรงนั้น ถ้าปัญญาเป็นฝ่ายชนะอวิชชาตรงเวทนา ตัณหาก็ต่อออกมาไม่ได้ แต่ถ้าสติปัญญาแพ้ตัณหาก็เกิดขึ้นได้ตามมาครับ
ดังนั้นพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เจ้าทั้งหลายจึงยกย่องสติอย่างยิ่งและยกให้มหาสติปัฏฐานเป็นธรรมเครื่องต่อสู้กับอวิชชาครับถ้าพี่ขนมจีบซาลาเปาต้องการความเจริญในธรรมยิ่งขึ้นก็ขอให้ยกเอามหาสติปัฏฐานขึ้นมาพิจารณาอย่างต่อเนื่องและเป็นนิจนะครับ
ขอบคุณครับ


สาธุค่ะ ที่มาแนะนำและบอกกล่าว...แต่ดิฉันสงสัยอย่างหนึ่งว่า(จริงๆสงสัยมานานแล้วนะค่ะ) การทำตัมยำชิมแล้วก็รู้ว่าเป็นต้มยำ เหตุใดต้องชี้แจงว่า ในนั้นมี ข่า มีพริก มีตะไคร้ มีน้ำมะนาว ฯลฯ

เหตุใดไม่ว่า จะรู้ว่ากระทบอายตนะอะไรสืบต่อมาที่ไหน ผ่านระบบทุกอย่างมา 108 แต่ทั้ง108 ประการนี้เกิดที่จิตไม่ใช่หรือค่ะ นี่คือสงสัยนะค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะกวนประการใด เมื่อจิตเรามีราคะก็รู้ว่ามีราคะ จิตเรามีปิติก็รู้ว่าจิตเรามีปิติ จิตเราลังเลสงสัยก็รู้ว่าจิตเราลังเลสงสัย คือดูที่ผลของจิตที่ปรากฏขึ้นแก่จิต เหตุใดถึงไปดุเหตุละเอียดปลีกย่อยเยอะแยะไปหมดทั้งๆที่ผลออกมาก็อันเดียวกันคือ จิตลังเลสงสัย เราก็รู้ว่าจิตลังเลสงสัย

เมื่อเรารู้ผลของการเกิดทุกข์เกิดอวิชชาแก่จิตแล้วเราก็แก้ที่ผลที่เกิดแก่จิตเลย เช่นว่า จิตมีราคะ เมื่อเรารู้ว่าจิตเรามีราคะ เราก็เอา ปฎิกูลบรรพมาใช้ เอาธาตุ 4 และนวสี มาใช้มาพิจาณาเลย เหตุใดทำไมต้องตามไปดูอายตนะ12 ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงว่าจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ เราสามารถลัดขั้นตอนการทำก็ได้ไม่ใช่หรือค่ะ

นี่ยกตัวอย่างให้ดูนะค่ะ ถ้าเราดูทีละขั้นตอนไป เมื่อไหรมันถึงจะถึงจุดที่จิตรู้ว่า จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ เราแก้อวิชชาที่สังโยชน์ เดินตามและเกาะตามสังโยชน์ ดิฉันคิดอย่างนี้ ฆ่าตัวแม่ ตัวจิ๊บตัวจ้อยมันก็ตายไปเองน่ะค่ะ

นี่คือความคิดเห็นส่วนตัว ถือว่าแลกเปลี่ยนความรู้กันนะค่ะ




ตอบคุณขนมจีบซาลาเปา
การวิปัสสนานักปฎิบัติแต่ละคนย่อมใช้คำสอนของพระพุทธองค์แต่ละอย่างตามแต่ที่ตนถนัดเข้าสู่การวิปัสสนาเมื่อจิตเห็นจิตแล้ว คุณก็ใช้ได้ถูกต้องแล้วคะจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะเป็นต้นน่ะค่ะ สำหรับดิฉันดิฉันถนัดในคำสอนของพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ในปัญหานิทเทสนะค่ะเช่น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0
คุณขนมจีบซาลาเปาสนใจลองอ่านดูและนำไปใช้วิปัสสนาเมื่อเราเห็นกิเลสต่างๆ ก็ได้ถ้าสนใจ และการที่คุณคิดว่าเราแก้อวิชชาที่สังโยชน์เดินตามและเกาะตามสังโยชน์นั้นดิฉันไม่รู้ว่าเราจะเหมือนกันไหมทั้งนี้เพราะเมื่อปฎิบัติดิฉันไม่เคยมองเรื่องสังโยชน์เลย จนกระทั่งสังโยชน์แต่ละอย่างมาปรากฏให้เห็นชัดในจิต จึงใช้วิปัสสนาพระไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์วิปัสสนาแก้ไปน่ะค่ะ โดยเฉพาะมานะและการติดในอรูปดิฉันติดอยู่หนึ่งวันกับหนึ่งคืนจนกระทั่งวิปัสสนาพระไตรลักษณ์ถึงหลุดออกไปจากจิตได้น่ะค่ะและพอสังโยชน์ทั้งสองตัวนี้หลุดสังโยชน์อีกตัวหนึ่งก็จะหลุดออกไปจนหมดสิ้นก็คือสักกายทิฎฐินั่นเอง
การรู้อริยสัจจ์ก็จะเป็นก้าวต่อไปค่อยๆ ปฎิบัติไปนะคะวิปัสสนาฌานในรอบหลังนี้จะทำให้รู้ชัดทุกๆ อย่างตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้เองค่ะ การปฎิบัติในการใช้สมถจนถึงอรูปเข้าสู่วิปัสสนานั้นสภาวะที่ผู้ปฎิบัติจะต้องเจอก็คือผัสสะสุญญตะ แล้วคุณขนมจีบซาลาเปาจะรู้สภาวะที่ไม่มีเป็นอย่างไร สภาวะสุญญตะ สิ่งที่ปรากฏชัดก็คือผัสสะสุญญตะ และจิตที่ลอยเหนือออกไปจากทุกข์และสุข
ญาณทัสสนวิสุทธิ มัคคญาณ ปหานกิเลสเป็นสมุจเฉท
เป็น ปหานปริญญา
จัดเป็น ญาณทัสสน ผลญาณ เสวยอารมณ์พระนิพพานตามมัคค
วิสุทธิ โดยอนุโลม ปัจจเวกขณญาณ พิจารณามัคคผล นิพพาน และกิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่ยังคงเหลือ
จะชัดเจนให้เห็นในวิปัสสนาฌานรอบต่อๆ มา ซึ่งการพิจารณามัคคผล นิพพานและกิเลสที่ยังคงเหลือนี้อนุสัยกิเลสจะหมดไปเมื่อละอวิชชาได้แล้วแล้วจะพบว่าจิตที่ไม่มีกิเลสเหลืออยู่เป็นเช่นไร เมื่อก่อนนี้เมื่อจิตเห็นกิเลสเราก็วิปัสสนาไปตามที่จิตเห็นเช่นมีราคะก็รู้ว่ามีราคะ มีโทสะก็รู้ว่ามีโทสะ เป็นต้น เราจะงงมากว่าจะวิปัสสนาอย่างไรกิเลสเหล่านี้ถึงจะหมดไปได้มันทำไมยังไม่หมดสักทีทำไมยากจังจะให้กิเลสหมดไปนี่ แต่เมื่อเราละอุปทานในขันธ์ 5 ได้ละสักกายทิฎฐิทั้งหมดสิ้นได้แล้วเราจะรู้ว่ามันละง่ายเพราะขันธ์5 ที่เรารู้สึกว่าไม่ใช่เราแล้วโดยเฉพาะตัวจิตหรือวิญญาน กิเลสที่รู้สึกที่หลงเหลือจะเป็นเราได้อย่างไรแค่นั้นการวิปัสสนาจะง่ายมากในการตัดกิเลสที่เหลือทั้งหมด ก็เป็นไปอย่างง่ายๆ และในที่สุดก็หมดไป
ทำไมต้องทิ้งแพทั้งๆ ที่คุณอยากปฎิบัติแต่ถ้าคุณไม่มีในโลกนี้ คุณจะเอาอะไรปฎิบัติทั้งนี้เพราะเราปฎิบัติกันที่จิต เมื่อคุณไม่มีคุณจะพบเพียง
ความรู้สึกว่างกลางอกกลวงๆ รู้ถึงความไม่มี ความรู้สึกที่พยายามมองความรู้สึกว่างกลางอกกลวงๆ ออกมา ผ่านอกถึงผิวหนังหน้าอก ผ่านท่อนแขนถึงผิวหนังรอบๆ แขน คือความรู้สึกถึงความไม่มี ทำให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสสอนท่านพระพาหิยะที่ว่า “...ท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ...”

ขณะนี้คุณขนมจีบซาลาเปายังรู้สึกถึงความมีตัวตนของตัวเองอยู่ ยังรู้สึกถึงจิตและการหวงจิตอยู่ การที่จะทิ้งจิตเลิกหวงจิต เลิกคิดว่าจิตคือตัวตนของเรา.จะมีสภาวะที่จะเกิดขึ้นอีกหลายอย่าง คุณขนมจีบซาลาเปาค่อยๆ ปฎิบัติไปคุณเป็นคนที่มีความตั้งใจสูงมาก ถ้าติดขัดตรงไหน ณ. ที่แห่งนี้มีครูบาอาจารย์เยอะมากตัวดิฉันเองก็ได้ครูบาอาจารย์ท่านเหล่านั้นให้ความเมตตา ยังระลึกถึงพระคุณของผู้มีพระคุณทุกท่านอยู่เสมอ ขอกราบนะคะ ถ้าภาษาที่เขียนอธิบายผิดพลาดบกพร่องอย่างไรขอครูบาอาจารย์และผู้รู้ช่วยแก้ไขให้ด้วยนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ว้าว กระทู้ฮิตสุดๆอ่ะ ปลื้มสุดๆอ่ะ จุ๊ย์ๆๆๆๆ เข้ามาช่วยกันขุดๆๆๆ กระทู้เยอะๆนะค๊าฟฟฟฟ สะสมโพสต์ได้สัก 1,000 เมนต์ต์ล่ะคุณแม่ปลื๊มปลื้มอ่ะ รีบเข้ามาช่วยกันโพสต์ด้วยนะทุกโค้นนนนนน อย่าลืมกดไลค์ให้ด้วยนะ บ๊ะเจ้าาาาา สมสมเมนต์ไว้แลกรางวัลประจำปีเจ้าฆ่ะ ดุ๊กดุ๋ย ดุ๊กดุ๋ย
รูปภาพ
ฮานะเจ้ามะฮะ กั๊ก กั๊ก กั๊ก

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 16:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: กราบขอบพระคุณ คุณ joomla ที่ให้ความรู้ค่ะ :b8: :b8:

ดิฉันอ่านทุกโพสเลย กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ ดิฉันจะนำไปคิดพิจารณาทบทวนในสิ่งที่คุณ joomla ได้แนะนำ..ทุกตัวอักษรดิฉันจะไม่ให้ผ่านไปโดยเสียเปล่า..จะพิจารณาเรื่อง อรูปฌานเป็นพิเศษ เพราะดิฉันกลัวติดอรูปฌานเป็นที่สุด..จุดมุ่งหมายของดิฉันคือ พระนิพพาน..กราบขอบพระคุณที่เตือนสติ และจะได้ระมัดระวังในส่วนนี้มากขึ้นค่ะ... :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 310


 ข้อมูลส่วนตัว


..b8:


แก้ไขล่าสุดโดย แสงแห่งพระธรรม เมื่อ 22 ก.ค. 2013, 13:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
หลักจากที่เข้ามาเว็บนี้ได้สักพักทำให้ผมรู้อย่างหนึ่งว่าผู้ที่มีความรู้ทางปริยัติมากๆนอกจากจะไม่ช่วยให้พ้นทุกข์แล้วมีแต่จะเพิ่มทุกข์และกิเลส ดังนั้นต่อให้ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์อย่างเราก้ไม่สามารถช่วยใครได้ เพราะคนเหล่านั้นพากันหลง หลงคิดว่าตนนั้นเก่งกว่าใคร ...มันช่างน่าสงสารจริงๆๆๆๆ :b8: :b8:


ทุเรศว่ะ อ้างว่าตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะอวกรดหน้ามันจริงๆ ถ้าสัตว์ อย่างเดียวล่ะใช่เลย สัตว์เซล์ลเดียวไม่มีกระดูกสันหลังซะด้วยสิ่

รูปภาพ

ฮาได้อีกเจ้าฆ่ะ

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 310


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้ว่าเป็นตัวอัปปมงคลยังไม่พอยังมาป่วนกระทู้คนอื่นไปทั่ว เดียวก้ถูกล๊อกหรอก ชื่อปลงชะแต่ไม่ยอมปลงชักที ที่เรายอมลดตัวมาเถียงกับเองก็ถือว่าบุญมากแล้วนะ แต่ขอจบไว้เพียงเท่านี้แหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
รู้ว่าเป็นตัวอัปปมงคลยังไม่พอยังมาป่วนกระทู้คนอื่นไปทั่ว เดียวก้ถูกล๊อกหรอก ชื่อปลงชะแต่ไม่ยอมปลงชักที ที่เรายอมลดตัวมาเถียงกับเองก็ถือว่าบุญมากแล้วนะ แต่ขอจบไว้เพียงเท่านี้แหละ

อู๊ยย ลดตัวเลยเหรอ ตัวสูงมากสิ่ท่า ตัวสูงๆน่ะก็มีแต่พวกเปรตน่ะแหล่ะนะ ถึงได้บอกไงว่าเอ็งน่ะตัวอัปมงคล เสนียด จัญไร

อ่ะๆ แล้วใครบอกว่าเราไม่ปลง เรานี่ปลง ปล๊ง ปลง ปลงสุดๆแล้วนะเนี่ย ปลงกว่านี้ไม่มีอีกแล้วนะ
ขอบอก

ฮาได้อีกเจ้าฆ่ะ :b32:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
ถึง คุณโฮฮับ

เราว่าคุณอาจจะยังไม่ได้อ่าน...เราจะรอถึงวันพุธน่ะ...ถ้าถึงวันนั้นเราจะมาลบคำตอบที่คุณถาม ถ้าคุณยังไม่อ่าน คุณเข้ามาอ่านน่ะ เราเขียนคำตอบที่คุณต้องการแล้ว อยู่หน้า 19...เมื่อคุณเขียนเสร็จเราค่อยมาถกปัญหาธรรมกัน แบบสร้างสรร

ผมไม่อ่านหรอกครับ เรื่องมากครับ ห้ามโน้นห้ามนี้
การจะดูความเห็นคุณแต่ละที่ เหมือนเด็กอายุต่ำกว่า18
กำลังจะแอบดูเว็บโป๊ยังไงยังงั้น คุณจะลบก็ลบไปเถอะครับ
ถ้าอยากคุยธรรมเรื่องนี้ เอาธรรมที่ผมแสดง แล้วแย้งมาก็ได้ครับ
ผมไม่เรื่องมากครับ วาจาที่ใช้กับผมไม่ต้องสำรวมหรือพูดจาเพราะๆเป็นคุณหญิง
คุณนายอะไรก็ได้ เพราะใครมาพูดหวานๆกับผมผมถือว่า ไม่ให้เกียรติ์ครับ

เอาอย่างตาเฒ่ากรัขกายนั้นแหล่ะครับ แบบนั้นเขามีสัมมาคารวะในตัวผมครับ :b9:


ปล.ความเห็นผมเสร็จแล้วครับ เนื้อหาคงได้แค่นั้นครับ เพราะคุณกำหนดโน้นนี่นั้น
แบบมัดมือชกครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
ถึง คุณโฮฮับ

เราว่าคุณอาจจะยังไม่ได้อ่าน...เราจะรอถึงวันพุธน่ะ...ถ้าถึงวันนั้นเราจะมาลบคำตอบที่คุณถาม ถ้าคุณยังไม่อ่าน คุณเข้ามาอ่านน่ะ เราเขียนคำตอบที่คุณต้องการแล้ว อยู่หน้า 19...เมื่อคุณเขียนเสร็จเราค่อยมาถกปัญหาธรรมกัน แบบสร้างสรร

ผมไม่อ่านหรอกครับ เรื่องมากครับ ห้ามโน้นห้ามนี้
การจะดูความเห็นคุณแต่ละที่ เหมือนเด็กอายุต่ำกว่า18
กำลังจะแอบดูเว็บโป๊ยังไงยังงั้น คุณจะลบก็ลบไปเถอะครับ
ถ้าอยากคุยธรรมเรื่องนี้ เอาธรรมที่ผมแสดง แล้วแย้งมาก็ได้ครับ
ผมไม่เรื่องมากครับ วาจาที่ใช้กับผมไม่ต้องสำรวมหรือพูดจาเพราะๆเป็นคุณหญิง
คุณนายอะไรก็ได้ เพราะใครมาพูดหวานๆกับผมผมถือว่า ไม่ให้เกียรติ์ครับ

เอาอย่างตาเฒ่ากรัขกายนั้นแหล่ะครับ แบบนั้นเขามีสัมมาคารวะในตัวผมครับ :b9:


ปล.ความเห็นผมเสร็จแล้วครับ เนื้อหาคงได้แค่นั้นครับ เพราะคุณกำหนดโน้นนี่นั้น
แบบมัดมือชกครับ



โอเค งั้นถือว่าเรื่องที่คุณกับเราโต้แย้งกันถือว่าจบไป..เรานะคุยกันธรรมดาน่ะ เราคุยได้น่ะ แบบที่คุณกำลังคุยกับเราอยู่นี่น่ะ เราคุยได้ แต่คุณคุยแบบแรกๆน่ะ เราปวดหัว เราอาจเรื่องมากก็ได้ แต่ช่างมันเถอะ เรายังคุยกับท่านอื่นๆอีกหลายท่านได้ ยังไม่มีปัญหา ....เดี๋ยวเราจะไปลบ หวังว่าคราวหน้า เราคงได้คุยกันแบบดีๆบ้าง แต่ถ้าคิดว่า คุณจะคุยแบบเดิมบอกเราต่อจากกระทู้นี้เลยน่ะ เราจะได้อยู่ห่างๆคุณไว้น่ะ..คือเราเป็นคนพูดอ้อมค้อมไม่เป็น เล่นสำนวนก็ไม่เป็น เป็นแต่คุยทื้อๆแบบนี้แหละ ใจคิดอย่างไรก็พิมพ์ไปอย่างนั้น เอางี้ เพื่อความตัดปัญหา เราขออ่านบทความของคุณอย่างเดียวดีกว่า เพราะเราคงไม่มีความสามารถและมีความรุ้ที่จะคุยกับคุณได้...โมทนาในธรรมทานที่คุณได้ให้ไว้ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 23:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
ถึง คุณโฮฮับ

เราว่าคุณอาจจะยังไม่ได้อ่าน...เราจะรอถึงวันพุธน่ะ...ถ้าถึงวันนั้นเราจะมาลบคำตอบที่คุณถาม ถ้าคุณยังไม่อ่าน คุณเข้ามาอ่านน่ะ เราเขียนคำตอบที่คุณต้องการแล้ว อยู่หน้า 19...เมื่อคุณเขียนเสร็จเราค่อยมาถกปัญหาธรรมกัน แบบสร้างสรร

ผมไม่อ่านหรอกครับ เรื่องมากครับ ห้ามโน้นห้ามนี้
การจะดูความเห็นคุณแต่ละที่ เหมือนเด็กอายุต่ำกว่า18
กำลังจะแอบดูเว็บโป๊ยังไงยังงั้น คุณจะลบก็ลบไปเถอะครับ
ถ้าอยากคุยธรรมเรื่องนี้ เอาธรรมที่ผมแสดง แล้วแย้งมาก็ได้ครับ
ผมไม่เรื่องมากครับ วาจาที่ใช้กับผมไม่ต้องสำรวมหรือพูดจาเพราะๆเป็นคุณหญิง
คุณนายอะไรก็ได้ เพราะใครมาพูดหวานๆกับผมผมถือว่า ไม่ให้เกียรติ์ครับ

เอาอย่างตาเฒ่ากรัขกายนั้นแหล่ะครับ แบบนั้นเขามีสัมมาคารวะในตัวผมครับ :b9:


ปล.ความเห็นผมเสร็จแล้วครับ เนื้อหาคงได้แค่นั้นครับ เพราะคุณกำหนดโน้นนี่นั้น
แบบมัดมือชกครับ



โอเค งั้นถือว่าเรื่องที่คุณกับเราโต้แย้งกันถือว่าจบไป..เรานะคุยกันธรรมดาน่ะ เราคุยได้น่ะ แบบที่คุณกำลังคุยกับเราอยู่นี่น่ะ เราคุยได้ แต่คุณคุยแบบแรกๆน่ะ เราปวดหัว เราอาจเรื่องมากก็ได้ แต่ช่างมันเถอะ เรายังคุยกับท่านอื่นๆอีกหลายท่านได้ ยังไม่มีปัญหา ....เดี๋ยวเราจะไปลบ หวังว่าคราวหน้า เราคงได้คุยกันแบบดีๆบ้าง แต่ถ้าคิดว่า คุณจะคุยแบบเดิมบอกเราต่อจากกระทู้นี้เลยน่ะ เราจะได้อยู่ห่างๆคุณไว้น่ะ..คือเราเป็นคนพูดอ้อมค้อมไม่เป็น เล่นสำนวนก็ไม่เป็น เป็นแต่คุยทื้อๆแบบนี้แหละ ใจคิดอย่างไรก็พิมพ์ไปอย่างนั้น เอางี้ เพื่อความตัดปัญหา เราขออ่านบทความของคุณอย่างเดียวดีกว่า เพราะเราคงไม่มีความสามารถและมีความรุ้ที่จะคุยกับคุณได้...โมทนาในธรรมทานที่คุณได้ให้ไว้ :b8:


ท่านขนมจีบซาลาเปา ครับ ผมขอออกความเห็นนิดนึงนะครับ

ทุกอย่าง ในสิ่งที่เห็นว่าไม่ดี มันก็ยังมีดี อยู่ด้วยเสมอนะครับ หากเป็นนักปฏิบัติธรรม ท่านโฮ จะเป็นผู้สอบ อารมณ์ เราได้ดีนักแล เมื่ออ่านข้อความที่ขัดแย้งกับที่เราคิดแล้ว ท่านเพียร ดูจิต ที่มันวิ่งไป ตามกระบวนการขันธ์ 5 ดู(ซึ่งปฏิกิริยาอาจออกมาที่รูป ร่างกายด้วย)และปฏิจจสมุปบาท จนกลายเป็นทุกข์ ที่เป็นโทสะ เพียรดู เพียรละ อุปทาน แล้วโทสะจะค่อยๆคลายลง และอย่าลืมว่า เราเองก็เป็นเหมือนคนตาบอดคลำช้างกันอยู่ จงอย่ายึดมั่นถือมั่น เลย ความคิด นะ (ผมเองก็เคยเป็นแบบท่าน หนีหายไปพักนึง เลยกลับมาทดสอบตัวอีกที )

หากทำให้ท่านเคือง ก็ขอโทษด้วยครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2012, 00:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
หากทำให้ท่านเคือง ก็ขอโทษด้วยครับ
:b8:

ข้อความก็ไม่หยาบ...หวังก็หวังดี

แล้วทำไม...ถึงกลัวเขาเคืองด้วย? :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 19, 20, 21, 22, 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร