วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 01:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 18, 19, 20, 21, 22, 23, 24 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_20130419_181203_resize_resize_resize.jpg
IMG_20130419_181203_resize_resize_resize.jpg [ 81.41 KiB | เปิดดู 3228 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

กรัชกายไม้แก่ดัดยากท่านอโศกะ ยิ่งทำตัวเป็นผู้รุ้แล้วละก้อยากที่จะหันมาปฎิบัติ


ปฏิบัติยังไง ทั้งสองท่านก็ช่วยกันแนะนำกรัชกายสิขอรับ :b32: สำหรับผู้ที่่ไม่เคยปฏิบัติไม่เคยทำมาเลยเนี่ย เริ่มต้นยังไงครับ


เป็นยังงี้ เราจะแก้ยังไงครับ



:b13: :b13: :b13:
ถ้าสังเกตและพิจารณาให้ดีๆ มีคำแนะนำที่ทำให้ง่ายบอกมาเป็นลำดับๆโดยตลอดแล้ว ถ้าท่านกรัชกายจะลองกลับไปทบทวน ประมวล สรุปและจับประเด็นดูให้ดีๆ ที่เป็นหลักปฏิบัติอันได้สรุปมาให้เป็นงานและหน้าที่ของชาวพุทธตรงๆก็นำมาให้อ่านดูแล้วหลายครั้งแต่ท่านกรัชกายอาจมีงานยุ่ง กระทู้ที่จะต้องรับผิดชอบมากเลยไม่มีเวลาทำความละเอียด ขอยกมาให้ดูอีกสักครั้งนะครับ แล้วท่านกรัชกายลองแกะออกมาวิเคราะห์วิจัย เป็นคำๆเป็นประโยคเลยนะครับว่า มีอันใดเป็นไปตามคำสอนของพระบรมศาสดา อันใดไม่ตรงกับคำสอนของพระบรมศาสดา อันใดยากเกินไป จะได้ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นครับ

งานและหน้าที่ของชาวพุทธ

สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกต
ปัจจุบันอารมณ์ จนละความเห็นผิดว่า
กาย ใจ นี้ เป็นอัตตาตัวกู ของกู
พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่ากาย ใจ นี้
เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู ทุกวัน เวลา นาที วินาที
ที่ระลึกได้และมีโอกาส



หัวใจวิปัสสนาภาวนา

ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ
มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย
กู จะถอยหรือตายดับ ไปจากใจ




สรุปวิธีปฏิบัติที่คุณอโศกแนะนำ ก็คือ อ่านๆและก็จับประเด็นเอา จับประเด็นได้ บรรลุธรรม หมดกู ถูกมั้ยครับ

รวมทั้งคำพูดเป็นโคลงเป็นกลอนนี่ด้วย
อ้างคำพูด:
ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ
มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย


ถ้าหายตะบอย ไม่ตะแบงก็หมดกู ถูกมั้ยครับ

แล้วจะแก้ปัญหาผู้ทำกรรมฐานง่วงโงกเงกๆ นั่นยังไงครับ :b1:

:b12: :b12: :b12:
สำคัญตรงคำสรุปของท่านกรัชกายท่อนนี้หละครับ ที่ทำให้ท่านกรัชกาายยังคงเป็น กรัชกายคนปัจจุบัน

"จับประเด็นได้ บรรลุธรรม หมดกู ถูกมั้ยครับ"

:b13: :b13: :b13:
ผิดอย่างจังเบอร์เลยที่เดียวครับ

แค่จับประเด็นได้ ยังไม่ถึงการเริ่มต้นของงานพิชิต "กู" เลยครับ
ยังเป้นแค่เพียงการปรับมรรคข้อที่ 1 คือทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิเสียก่อน เท่านั้นเอง ที่ว่าเป็นสัมมาเพราะไม่เห็นเป็นอย่างอื่น นอกจากเห็นว่า เพราะ สักกายทิฏฐิ นี่แหละเป็นด่านแรก เป็นประเด็นธรรมที่สำคัญ เป็นงาน ที่จะต้องใช้ ปัญญามรรค ศีลมรรค และสมาธิมรรคเข้าไประดมช่วยกัน ค้นหาให้พบแล้วขุดถอนความเห็นผิดอันนี้ออกให้ได้เป็นอันดับแรก ชาวพุทธที่แท้ต้องคิดถึงประเด็นนี้ และงานนี้เป็นงานหลักของผู้ที่ต้องการถึงความเป็นพุทธะ ชาตินี้ทำได้แค่นี้ ก็ถือว่านั่งแท่นทางธรรม ส่วนที่เหลือเขาจะเป็นโอโตเมติก เจริญและสิ้นสุดไปเองตามธรรม

พูดยาวไปหน่อย แต่สั้นๆ คือ

จับประเด็นได้แล้วต้องลงมือปฏิบัติจริงๆอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาพอสมควร จึงจะได้เข้าถึงจุดหรือที่ท่านกรัชกายพูดเอา คิดเอาว่า


"จับประเด็นได้ บรรลุธรรม หมดกู ถูกมั้ยครับ"
smiley smiley

"ธรรมใดก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ"

"คิดให้จนถึงนิพพานนั้นไม่มี ต้องลงมือปฏิบัติอย่างเต็มที่ และถูกทาง จึงจะถึง"

"ปริยัติมากมาย ใช้ไม่เป็นย่อมรั้งดึง รู้เพียงหนึ่ง อาจถึงได้ไวกว่าเอย"

onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

กรัชกายไม้แก่ดัดยากท่านอโศกะ ยิ่งทำตัวเป็นผู้รุ้แล้วละก้อยากที่จะหันมาปฎิบัติ


ปฏิบัติยังไง ทั้งสองท่านก็ช่วยกันแนะนำกรัชกายสิขอรับ :b32: สำหรับผู้ที่่ไม่เคยปฏิบัติไม่เคยทำมาเลยเนี่ย เริ่มต้นยังไงครับ


เป็นยังงี้ เราจะแก้ยังไงครับ



:b13: :b13: :b13:
ถ้าสังเกตและพิจารณาให้ดีๆ มีคำแนะนำที่ทำให้ง่ายบอกมาเป็นลำดับๆโดยตลอดแล้ว ถ้าท่านกรัชกายจะลองกลับไปทบทวน ประมวล สรุปและจับประเด็นดูให้ดีๆ ที่เป็นหลักปฏิบัติอันได้สรุปมาให้เป็นงานและหน้าที่ของชาวพุทธตรงๆก็นำมาให้อ่านดูแล้วหลายครั้งแต่ท่านกรัชกายอาจมีงานยุ่ง กระทู้ที่จะต้องรับผิดชอบมากเลยไม่มีเวลาทำความละเอียด ขอยกมาให้ดูอีกสักครั้งนะครับ แล้วท่านกรัชกายลองแกะออกมาวิเคราะห์วิจัย เป็นคำๆเป็นประโยคเลยนะครับว่า มีอันใดเป็นไปตามคำสอนของพระบรมศาสดา อันใดไม่ตรงกับคำสอนของพระบรมศาสดา อันใดยากเกินไป จะได้ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นครับ

งานและหน้าที่ของชาวพุทธ

สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกต
ปัจจุบันอารมณ์ จนละความเห็นผิดว่า
กาย ใจ นี้ เป็นอัตตาตัวกู ของกู
พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่ากาย ใจ นี้
เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู ทุกวัน เวลา นาที วินาที
ที่ระลึกได้และมีโอกาส



หัวใจวิปัสสนาภาวนา

ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ
มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย
กู จะถอยหรือตายดับ ไปจากใจ




สรุปวิธีปฏิบัติที่คุณอโศกแนะนำ ก็คือ อ่านๆและก็จับประเด็นเอา จับประเด็นได้ บรรลุธรรม หมดกู ถูกมั้ยครับ

รวมทั้งคำพูดเป็นโคลงเป็นกลอนนี่ด้วย
อ้างคำพูด:
ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ
มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย


ถ้าหายตะบอย ไม่ตะแบงก็หมดกู ถูกมั้ยครับ

แล้วจะแก้ปัญหาผู้ทำกรรมฐานง่วงโงกเงกๆ นั่นยังไงครับ :b1:

:b12: :b12: :b12:
สำคัญตรงคำสรุปของท่านกรัชกายท่อนนี้หละครับ ที่ทำให้ท่านกรัชกาายยังคงเป็น กรัชกายคนปัจจุบัน

"จับประเด็นได้ บรรลุธรรม หมดกู ถูกมั้ยครับ"

:b13: :b13: :b13:
ผิดอย่างจังเบอร์เลยที่เดียวครับ

แค่จับประเด็นได้ ยังไม่ถึงการเริ่มต้นของงานพิชิต "กู" เลยครับ
ยังเป้นแค่เพียงการปรับมรรคข้อที่ 1 คือทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิเสียก่อน เท่านั้นเอง ที่ว่าเป็นสัมมาเพราะไม่เห็นเป็นอย่างอื่น นอกจากเห็นว่า เพราะ สักกายทิฏฐิ นี่แหละเป็นด่านแรก เป็นประเด็นธรรมที่สำคัญ เป็นงาน ที่จะต้องใช้ ปัญญามรรค ศีลมรรค และสมาธิมรรคเข้าไประดมช่วยกัน ค้นหาให้พบแล้วขุดถอนความเห็นผิดอันนี้ออกให้ได้เป็นอันดับแรก ชาวพุทธที่แท้ต้องคิดถึงประเด็นนี้ และงานนี้เป็นงานหลักของผู้ที่ต้องการถึงความเป็นพุทธะ ชาตินี้ทำได้แค่นี้ ก็ถือว่านั่งแท่นทางธรรม ส่วนที่เหลือเขาจะเป็นโอโตเมติก เจริญและสิ้นสุดไปเองตามธรรม

พูดยาวไปหน่อย แต่สั้นๆ คือ

จับประเด็นได้แล้วต้องลงมือปฏิบัติจริงๆอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาพอสมควร จึงจะได้เข้าถึงจุดหรือที่ท่านกรัชกายพูดเอา คิดเอาว่า


"จับประเด็นได้ บรรลุธรรม หมดกู ถูกมั้ยครับ"
smiley smiley

"ธรรมใดก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ"

"คิดให้จนถึงนิพพานนั้นไม่มี ต้องลงมือปฏิบัติอย่างเต็มที่ และถูกทาง จึงจะถึง"

"ปริยัติมากมาย ใช้ไม่เป็นย่อมรั้งดึง รู้เพียงหนึ่ง อาจถึงได้ไวกว่าเอย"

onion



บอกมาชัดๆ เลยเถอะครับงั้น ทุบเปรี้ยวไปเลย :b1: ทำยังไง ดังๆชัดๆ


นั่งโงกง่วงแก้ยังไง ไม่เห็นตอบเลยครับ :b1: ชัดๆเลยครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว





อโศกเป็นเจ้าสำนักสอนการปฏิบัติกรรมฐาน เขาเป็นอะไร จะแก้ยังไงครับน่ะ :b1:


เมสซิ่งด้วยช่วยกันครับ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 21:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:



อโศกเป็นเจ้าสำนักสอนการปฏิบัติกรรมฐาน เขาเป็นอะไร จะแก้ยังไงครับน่ะ :b1:

:b8:
อโศกะ คงโชคดีดีมั้งครับ ที่ไม่เคยได้ทำกรรมร่วมกับบุคคลอย่างที่กรัชกายเห็น จึงไม่ค่อยได้พบกับผู้ปฏิบัติที่มีปัญหาอย่างในยูทูป แต่ถ้าเจอก็แก้ไขได้ ดังอธิบายให้ท่านกรัชกายฟังในตอนก่อนนี้ครับ

ผู้คนในโลกนี้มีตั้ง 8-9 พันล้านคน เราจะไปเที่ยวโปรดเสียทุกคนหรือมากๆย่อมเกินกำลัง

สำเภาลำน้อย ก็รื้อขนกันไปน้อยๆ ตามขนาดน้ำหนักที่สำเภาจะรับได้

จะเอาอะไรมากมายนักหนา

ถ้าไม่ฉลาด งานก็ทำเรา

ถ้าเมตตาด้วยความเขลา ก็อาจดึงเราจมในโอฆะ

ทุกอย่างต้องใช้ สติ ปัญญา

มีเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง

แต่ก็ต้องประมาณซึ่งกำลัง

อาจจะพังเพราะแบกเกิน เดินไม่ไป

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:



อโศกเป็นเจ้าสำนักสอนการปฏิบัติกรรมฐาน เขาเป็นอะไร จะแก้ยังไงครับน่ะ :b1:

:b8:
อโศกะ คงโชคดีดีมั้งครับ ที่ไม่เคยได้ทำกรรมร่วมกับบุคคลอย่างที่กรัชกายเห็น จึงไม่ค่อยได้พบกับผู้ปฏิบัติที่มีปัญหาอย่างในยูทูป แต่ถ้าเจอก็แก้ไขได้ ดังอธิบายให้ท่านกรัชกายฟังในตอนก่อนนี้ครับ

ผู้คนในโลกนี้มีตั้ง 8-9 พันล้านคน เราจะไปเที่ยวโปรดเสียทุกคนหรือมากๆย่อมเกินกำลัง

สำเภาลำน้อย ก็รื้อขนกันไปน้อยๆ ตามขนาดน้ำหนักที่สำเภาจะรับได้

จะเอาอะไรมากมายนักหนา

ถ้าไม่ฉลาด งานก็ทำเรา

ถ้าเมตตาด้วยความเขลา ก็อาจดึงเราจมในโอฆะ

ทุกอย่างต้องใช้ สติ ปัญญา

มีเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง

แต่ก็ต้องประมาณซึ่งกำลัง

อาจจะพังเพราะแบกเกิน เดินไม่ไป



คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ายังงั้นว่าแบกเกินกำลัง ก็เอาเพลาๆลงมาหน่อยนี่ เขาเป็นอะไร จะแก้ยังไง


อ้างคำพูด:
คือ ตอนที่ผมนั่งสมาธิพอจิตสงบไม่คิดอะไร อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมารัดที่คอ หรือ ไม่ก็เหมือนถูกอะไรปาดคอ พักหลังๆเป็นอย่างนี้แทบทุกครั้งครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถ้ายังงั้นว่าแบกเกินกำลัง ก็เอาเพลาๆลงมาหน่อยนี่ เขาเป็นอะไร จะแก้ยังไง


อ้างคำพูด:
คือ ตอนที่ผมนั่งสมาธิพอจิตสงบไม่คิดอะไร อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมารัดที่คอ หรือ ไม่ก็เหมือนถูกอะไรปาดคอ พักหลังๆเป็นอย่างนี้แทบทุกครั้งครับ

:b12: :b12: :b12:
นี่แหละ อุปาทานขันธ์ ตัวจริงละ

วิธีแก้

นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ความรู้สึกที่ว่านั้น ตอนที่มันกำลังเกิด (ปัจจุบั้นอารมณ์) จนความรู้สึก (ปัจจุบันอารมณ์)นั้น ดับไปต่อหน้าต่อตา

มันจะมาปรากฏขึ้นให้รู้สึกอีกไม่เกิน 3 ครั้ง แล้วจะหายขาดไปเลยจากใจไม่มาอีก

นี่เรียกว่าวิธีลบอุปาทาน ด้วยวิปัสสนาภาวนา

ไม่ต้องทำอะไรอื่น ให้มีเพียงแต่ความนิ่งรู้ นิ่งสังเกต จนปัจจุบันอารมณ์นั้นดับไปต่อหน้าต่อตา

นี่คือสรุปวิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา หรือความจริงของวิปัสสนาภาวนาที่สั้นเกือบจะที่สุด

กรัชกายลองทำดูซิ ทำได้ไหม?

ลองแล้วมาเล่าให้กันฟังด้วยนะครับ


"นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา"
:b11: :b11:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:



"นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา"



ปัจจุบันอารมณ์ คือยังไงครับ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว





คุณอโศกเคยเห็นมั้ยครับ แล้วจะแก้ยังไง :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2014, 21:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:



"นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา"



ปัจจุบันอารมณ์ คือยังไงครับ :b10:

:b12: :b12: :b12:
สิ่งที่กำลังรู้อยู่ในจิต นั่นแหละคือปัจจุบันอารมณ์

เป็นตัววิญญาณ ตามด้วยปัญญา....รู้ ......ปัญญา....อันเดียวกัน

ผู้ที่ไปรู้ทันการรู้นั้นคือ สติ

:b38:
:b37:
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2014, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:



คุณอโศกเคยเห็นมั้ยครับ แล้วจะแก้ยังไง :b12:

:b12: :b12: :b12: :b12:
ไม่เคยเห็นอย่างในภาพ แต่เคยทำด้วยตัวเองโดยใช้คำบริกรรมที่ต่างกัน และไม่ผูกกับลมหายใจ

"นะ มะ พะ ทะ นะ มะ นุ ลุ"

แต่เอาจิตไปผูกอยู่กับพระเครื่องที่อยู่ในอุ้งมือ แล้วก็ปลุกตัวเองขึ้นเหมือนกัน สั่นพับๆจนตัวลอย สนุกดี

ตอนที่มันขึ้นถึงที่สุดมีอาการเหมือนเราหลับตาปี๋ ไม่มีความคิดนึกอะไร ใจเป็นหนึ่งรู้อยู่เฉยๆ หลังจากนั้นตัวก็หนา ซ่านซ่า สบาย

เป็นเพียงประสบการณ์ครั้งหนึ่งตอนวัยรุ่น

วิธีแก้ ก็อย่าสอนทำสมาธิแบบเร่งรัดกันอย่างนี้ มันจะมีอาการแปลกของคนที่เกิดปีติเป็นไปได้มากมายรูปแบบ

มาสอนให้ถูกวิธีดีกว่านี้ ที่สงบ ร่มเย็น ไม่ตื่นเต้น ผาดโผนแปลกแหวกแนว สร้างความน่าทึ่งและงงงวยให้กับสังคม

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 05:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:



คุณอโศกเคยเห็นมั้ยครับ แล้วจะแก้ยังไง :b12:


ไม่เคยเห็นอย่างในภาพ แต่เคยทำด้วยตัวเองโดยใช้คำบริกรรมที่ต่างกัน และไม่ผูกกับลมหายใจ

"นะ มะ พะ ทะ นะ มะ นุ ลุ"

แต่เอาจิตไปผูกอยู่กับพระเครื่องที่อยู่ในอุ้งมือ แล้วก็ปลุกตัวเองขึ้นเหมือนกัน สั่นพับๆจนตัวลอย สนุกดี

ตอนที่มันขึ้นถึงที่สุดมีอาการเหมือนเราหลับตาปี๋ ไม่มีความคิดนึกอะไร ใจเป็นหนึ่งรู้อยู่เฉยๆ หลังจากนั้นตัวก็หนา ซ่านซ่า สบาย

เป็นเพียงประสบการณ์ครั้งหนึ่งตอนวัยรุ่น

วิธีแก้ ก็อย่าสอนทำสมาธิแบบเร่งรัดกันอย่างนี้ มันจะมีอาการแปลกของคนที่เกิดปีติเป็นไปได้มากมายรูปแบบ

มาสอนให้ถูกวิธีดีกว่านี้ ที่สงบ ร่มเย็น ไม่ตื่นเต้น ผาดโผนแปลกแหวกแนว สร้างความน่าทึ่งและงงงวยให้กับสังคม



เบื้องต้น ถ้าไม่เข้าใจธรรมชาติหรือชีวิตด้านปรมัตถ์แล้ว ไม่ควรทำการภาวนาจะ "นะ มะ พะ ทะ นะ มะ นุ ลุ" หรืออะไรก็แล้วแต่

พึงทำบุญตักบาตรตอนเช้าๆ ไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ สวดอิติปิโส พาหุง มหากา ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยปู ปล่อยเต่า ทอดกฐิน ทอดผ้า สร้างวิหารลานเจดีย์ ทาสีกำแพงวัด-โรงเรียน...แล้วเข้าใจศีล 5 ถูกต้องตามหลัก เท่านี้สังคมก็พอจะอยู่กันสงบสุขได้ หลังจากกายแตกทำลายย่อมเข้าถึงสุขติโลกสวรรค์

ถ้าอดรนทนไม่ไหว จะทำการภาวนาจริงๆ ก็ต้องได้ผู้รู้จริง (ไม่ใช่รู้แต่วิธีปฏิบัติ) แนะนำ (ลองเสริชหาคนทำกรรมฐานเพี้ยนดูิสิเต็มไปหมด) กรัชกายไม่อยากเห็นศรัทธาสาธุชนทำๆแล้ววิปลาส เสียหายถึงพระพุทธศาสนาด้วย

อย่างคุณอโศกคิดคาดเดาเอาว่า นี่ๆเป็นนี่เป็นนั่นใช่นั่นไม่ใช่นี่ คิดเป็นช่องเป็นฉากไป ก็ไม่สู้กระไรนัก ได้คิดแล้วสบายใจก็คิดไป :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2014, 21:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:



คุณอโศกเคยเห็นมั้ยครับ แล้วจะแก้ยังไง :b12:


ไม่เคยเห็นอย่างในภาพ แต่เคยทำด้วยตัวเองโดยใช้คำบริกรรมที่ต่างกัน และไม่ผูกกับลมหายใจ

"นะ มะ พะ ทะ นะ มะ นุ ลุ"

แต่เอาจิตไปผูกอยู่กับพระเครื่องที่อยู่ในอุ้งมือ แล้วก็ปลุกตัวเองขึ้นเหมือนกัน สั่นพับๆจนตัวลอย สนุกดี

ตอนที่มันขึ้นถึงที่สุดมีอาการเหมือนเราหลับตาปี๋ ไม่มีความคิดนึกอะไร ใจเป็นหนึ่งรู้อยู่เฉยๆ หลังจากนั้นตัวก็หนา ซ่านซ่า สบาย

เป็นเพียงประสบการณ์ครั้งหนึ่งตอนวัยรุ่น

วิธีแก้ ก็อย่าสอนทำสมาธิแบบเร่งรัดกันอย่างนี้ มันจะมีอาการแปลกของคนที่เกิดปีติเป็นไปได้มากมายรูปแบบ

มาสอนให้ถูกวิธีดีกว่านี้ ที่สงบ ร่มเย็น ไม่ตื่นเต้น ผาดโผนแปลกแหวกแนว สร้างความน่าทึ่งและงงงวยให้กับสังคม



เบื้องต้น ถ้าไม่เข้าใจธรรมชาติหรือชีวิตด้านปรมัตถ์แล้ว ไม่ควรทำการภาวนาจะ "นะ มะ พะ ทะ นะ มะ นุ ลุ" หรืออะไรก็แล้วแต่

พึงทำบุญตักบาตรตอนเช้าๆ ไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ สวดอิติปิโส พาหุง มหากา ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยปู ปล่อยเต่า ทอดกฐิน ทอดผ้า สร้างวิหารลานเจดีย์ ทาสีกำแพงวัด-โรงเรียน...แล้วเข้าใจศีล 5 ถูกต้องตามหลัก เท่านี้สังคมก็พอจะอยู่กันสงบสุขได้ หลังจากกายแตกทำลายย่อมเข้าถึงสุขติโลกสวรรค์

ถ้าอดรนทนไม่ไหว จะทำการภาวนาจริงๆ ก็ต้องได้ผู้รู้จริง (ไม่ใช่รู้แต่วิธีปฏิบัติ) แนะนำ (ลองเสริชหาคนทำกรรมฐานเพี้ยนดูิสิเต็มไปหมด) กรัชกายไม่อยากเห็นศรัทธาสาธุชนทำๆแล้ววิปลาส เสียหายถึงพระพุทธศาสนาด้วย

อย่างคุณอโศกคิดคาดเดาเอาว่า นี่ๆเป็นนี่เป็นนั่นใช่นั่นไม่ใช่นี่ คิดเป็นช่องเป็นฉากไป ก็ไม่สู้กระไรนัก ได้คิดแล้วสบายใจก็คิดไป :b1:

:b12: :b12: :b12:
ท่านกรัชกาย จมลึกลงไปในเรื่องที่ยกมาเป็นตัวอย่างเกิดนไปแล้วครับ นั่นมันอดีตเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ดังคำพูดที่ว่า

"แต่ก่อนคนเรายังโง่มาก"

จนมาถึงปัจจุบันนี้ ไม่มีมนุษย์คนไหนย่ำเท้าอยู่ที่เดิมเป็นแน่ ต้องก้าวกันไปไม่ใช่น้อยทั้งทางโลกและทางธรรม

อันเรื่อง....ทำบุญตักบาตรตอนเช้าๆ ไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ สวดอิติปิโส พาหุง มหากา ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยปู ปล่อยเต่า ทอดกฐิน ทอดผ้า สร้างวิหารลานเจดีย์ ทาสีกำแพงวัด-โรงเรียน...แล้วเข้าใจศีล 5 ถูกต้องตามหลัก เท่านี้สังคมก็พอจะอยู่กันสงบสุขได้ หลังจากกายแตกทำลายย่อมเข้าถึงสุขติโลกสวรรค์

นั้นเป็นเรื่องธรรมะขั้นพื้นฐาน อันได้ประกอบการทำมากันแล้วอย่างมากมายและโชกโชนทั้งในปัจจุบันชาตินี้และอดีตชาติอันยาวนานจนนับไม่ได้ ทำไมจะต้องมานับหนึ่งทุกชาติๆไปเพราะความไม่รู้

สอบศีลของตน

สอบกำลังสมาธิของตน โดยเครื่องชี้วัด

ต่อยอดเจริญปัญญาวิปัสสนาภาวนาต่อไปเลยทันที ถ้าทดสอบพื้นฐานแล้วพบว่ามีเพียงพอ

นี่คือสิ่งที่ผู้มีสติปัญญา เชื่อเรื่องกรรมเก่า และการสะสมบารมีข้ามภพข้ามชาติ
ท่านกรัชกายเคยคิดหรือมองในแง่มุมนี้บ้างไหมเอ่ย? หรือจะต้องกำหนดไว้เป็นสูตรตายตัวว่า

"ทุกคนต้องมาเริ่มต้นด้วยการนับ 1 ในชาตินี้"......ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะต่อยอดนับจำนวนที่ยังเหลือค้างเพื่อจะให้ถึงจุดจบ

:b10:
s006
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 20:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27: :b27:
เมื่อคลื่นลมสงบ ฟ้าแจ่มใส ไร้มรสุม ก็คงได้โอกาสที่จะสนทนาธรรมตามกาลกันต่อไปนะครับ

ลองมาฟังข้อสังเกตเรื่องนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 จากสำนวนนักปฏิบัติลูกทุ่งกันดูนะครับ

นิวรณ์ธรรมทั้ง 5

1.กามฉันทะ....ความยินดีพอใจในสัมผัสทางทวารทั้ง 6

2.พยาบาท .....ความยินร้าย ไม่พอใจในสัมผัสทางทวารทั้ง 6

3.อุทธัจจะ กุกุจจะ.....ข้อนี้มีกิเลส 2 ตัวรวมในข้อเดียว และเป็นผลกระทบจากนิวรณ์ ข้อที่ 1 และ 2
เพราะ...ถ้ามีกามฉันทะเกิดขึ้น อุทธัจจะ ความนึกคิด ฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจความยินดีจะตามมาทันที
ถ้ามีพยาบาท หรือความยินร้าย กุกุจจะ ความหงุดหงิดงุ่นง่าน รำคาญ ขุ่นมัว โทสะ จะเกิดตามมาทันที
แล้วจะตีกลับไปกลับมาเป็นเหตุ ปัจจัย และผลซึ่งกั้นและกันระหว่าง กามฉันทะ พยาบาท อุทธัจจะ กุกุจจะ

4.ถีนะ มิทธะ......กิเลสสองตัวนี่ก็เป็นคู่หูกันอีก อิงอาศัยกันปิดกั้นผู้คนไม่ให้ถึงความดี

ถีนะ......หดหู่ ห่อเหี่่ยว เกียจคร้าน เซื่องซึม

มิทธะ.....ง่วงเหงา หาวนอน

ถ้าถีนะเกิด มิทธะก็จะตามมาทันที......เกียจคร้าน ก็ ง่วงนอน ....ง่วงนอน ก็ พาลให้เกียจคร้าน

5.วิจิกิจฉา....ความลังเลสงสัย เพราะรู้ไม่จริง ไม่รู้ ขาดกัลยาณมิตร ไม่พบหรือไม่ได้คบบัณฑิต

กิเลสตัวนี้ร้ายกาจนัก ถือได้ว่าเป็นแม่ของกิเลสทั้งปวง เพราะเมื่อแต่งงานกับ สักกายทิฏฐิ แล้ว จะได้ลูกเป็นตัณหาออกมา 108 ทั้งพ่อแม่ลูกผสมพันธ์กันมั่ว เกิดหลานมาอีก 1,498

ใครไม่ฉลาด หลงไปสู้กับลูกหลานของกิเลส สู้จนตายก็ไม่ชนะ ลองคิดดูสู้กับคน 108 คน หรือ 1498+2 คน มันจะชนะไหวไหม แค่มันช่วยกันรุมคนละตุุ๊บสองตุ๊บก็ตายแล้ว

คนมีสติปัญญาดีฝึกฝนมาจนเป็นสัมมาสติสัมมาปัญญา โดยมีสัมมาศีลและสัมมาสมาธิเป็นกองหนุน เขาจะไปเลือกสู้ที่ต้นเหตุ หรือคน 2 คน คือ พ่อหรือแม่ของกิเลสอันได้แก่ สักกายทิฏฐิ (กู) หรือวิจิกิจฉา (ความรู้มาผิดๆหรือรู้ไม่จริง ไม่ตรงกับคำสอนอั้นถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแปลความหมายคำสอนของพระองค์มาผิดๆ)

ถ้ากู ตาย ความลังเลสงสัยก็จะตายตามทันที เหมือนนกเงือก

ในทางกลับกัน ถ้า วิจิกิจฉา แม่กิเลสตาย สักกายทิฏฐิหรือ กู ก็จะตายตามเช่นกั้น แต่ผู้ที่จะทำลายแม่กิเลสตายได้ก่อนนั้นมักเป็นอัครสาวก มหาสาวก.....

ส่วนปกติสาวกอย่างเราๆท่านๆทั้งหลายนั้นต้องสู้ที่พ่อของกิเลส คือสักกายทิฏฐิ หรือ กู ให้ตาย เพราะสู้ง่าย ค้นหาให้พบได้โดยง่าย เนื่องจาก

สักกายทิฏฐิ หรือความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นกู เป็นเรา มันมีอยู่ในจิตของปุถุชนทุกคน ทั้งๆที่ กู อัตตา หรือ สักายทิฏฐิมันมิได้มีอยู่จริง

จะนึกให้ไม่มีกู ไม่มัทางสำเร็จ ต้องปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา จึงจะพบความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเรา อัตตา

ทำให้กูถอยได้ ก็จะได้สัมผัสสภาวะอนัตตา ถ้าฆ่า กู ตายได้ ก็จะได้อยู่อย่าง อนัตตา

:b8:
:b36: ปีใหม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่อ้างตำราก้ได้ เอาของจริงเลยเอ้า





คุณอโศก ถ้าธาตุขันธ์ศิษย์ถูกถีนมิทธะครอบงำหัวทิ่มหัวตำยังงี้ จะแก้ไขยังงัยขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 18, 19, 20, 21, 22, 23, 24 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร