วันเวลาปัจจุบัน 14 ก.ย. 2025, 07:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2018, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สีลัพพตุปาทาน หรือว่า ยึดถือในสีลัพพตปรามาส ทำให้เป็นทุกข์เปล่าๆ เรื่องสมมติเราอย่าไปติด ไม่มีอะไร เนื้อแท้มันก็คือธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เรียกว่า ๓ ขณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ศัพท์บาลี เรียกว่า อุปปัตติ (อุปาทะ ก็ว่า) - เกิดขึ้น ฐีติ - ตั้งอยู่ ภังคะ - ดับไป เหมือนกันหมด ๓ มิติ ๓ อย่างนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตลอดเวลา พูดกันโดยความจริง

ไอ้ตัวเราหายใจเข้านี่มันคนหนึ่งนะ หายใจออกคนหนึ่ง ไม่มีหยุดยั้ง ถ้าหยุดเมื่อใด ก็เข้าโลงเมื่อนั้น หยุดเปลี่ยนแล้วมันก็เข้าโลงไปเลย เพราะฉะนั้น เราจะไปเอาตรงไหนว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเนื้อแท้อะไรได้
เราควรพิจารณาให้เห็นว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นเนื้อแท้ ที่เราจะไปยึดมันว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเราเป็นเขา มันเป็นแต่เรื่องของปรุงแต่งตามธรรมชาติ เกิดขึ้นไหลไปตามอำนาจเท่านั้น แล้วก็คงแตกดับไป คิดอย่างนี้ไว้บ้าง จะเป็นเครื่องปลอบโยนจิตใจให้คลายจากความทุกข์ ความเดือดร้อน ไม่สร้างปัญหา ให้แก่ชีวิตมากเกินไป
แต่ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์ เป็นอะไรไปหน่อยก็เป็นทุกข์ ยึดมั่นอยู่ในเรื่องนั้น เรื่องยึดถือเป็นทุกข์ทั้งนั้น เรียกว่า อุปาทานทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ เพราะฉะนั้น ให้คิดให้ดีในสิ่งเหล่านี้
อุปาทานสี่ เป็นเรื่องทีเกิดขึ้นในจิตใจของเราเสมอ ทำให้เกิดความวุ่นวายในชีวิตด้วยประการต่างๆ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

เกิดกามุปาทาน ใจก็หมกมุ่นในทางกาม อยากได้ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่น่าปรารถนา น่าพึงใจ ได้มาสมใจก็มัวเมา พอมันหายไป เอ้า นั่งเป็นทุกข์ เป็นอย่างนี้ ในเรื่องกามุปาทาน

เกิดทิฏฐุปาทาน ก็ยึดมั่นในความคิด ความเห็น ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ใครเขาอย่างไรก็ช่าง ไม่ยอมเปลี่ยน ฉันยอมตายกับความเห็นนี้ วุ่นวายสร้างปัญหาแล้วก็ทุกข์

เกิดสีลัพพตุปาทาน ยึดมั่นในพิธีรีตอง ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้

เห็นเขาเล่าว่าคนแก่คนหนึ่งในสมัยโบราณ เมื่อบ้านเมืองมันเจริญ แกไม่อยากใช้ของฝรั่ง ไม่อยากนั่งรถแบบฝรั่ง ไม่อยากทำอะไรๆทั้งนั้นเลย ไปอยู่ในสวน ใช้เรือแจว เรือพาย อยู่ตามสบายในสวน
วันหนึ่งไปงานแต่งงานหลานชาย ลูกชายก็บอกให้พ่อไปด้วย จะแต่งงานหลาน ก็แต่งตัวนุ่งผ้าม่วง ใส่เสื้อราชปะแตน ไม่ใส่รองเท้า มานั่งรออยู่ที่ท่าน้ำ ลูกชายเอาเรือยนต์มารับ แกก็บอกว่าไอ้เรือนี่มันเรือฝรั่งนี่หว่า กูไม่ไปเว้ย แล้วก็ขึ้นบ้านไปเลย ไม่ได้ไปในวันแต่งงาน เพราะไปเรือยนต์ไม่ได้ มันต้องไปเรือพาย หรือเรือแจว อย่างนี้ เรียกว่ามันมากไปหน่อย ไม่รู้จักหมุนให้มันเหมาะแก่กาลแก่เวลา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2018, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธบริษัทเรานั้น เป็นคนรู้จักเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสิ่งทั้งหลายให้เหมาะแก่คนแก่เหตุการณ์ เพราะเราไม่ใช่พวกยึดมั่นถือมั่นในอะไรๆ เราจะกิน จะใช้ ทำอะไรก็ตามทำด้วยปัญญา ไม่ใช่ทำด้วยความเขลา
ถ้าทำด้วยความเขลามันก็ไปติดอยู่ในความเขลา มัวเมาอยู่ในความเขลา มัวเมาอยู่ในสิ่งนั้น จนไม่ยอมเปลี่ยน
คนไทยเรานี้ นับถือพุทธศาสนา เข้ากับใครๆก็ได้ รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่แข็งเหมือนเสาคอนกรีต แต่อ่อนได้ หมุนได้ เราจึงเอาตัวรอดปลอดภัยมาได้ทุกยุค ทุกสมัย ไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อน

ยกตัวอย่าง เช่น ญี่ปุ่นขึ้นเมืองไทย ขึ้นตั้งแต่บางปูจนถึงนราธิวาส จอดเต็มไปหมด
พวกเรือรบนี่ ที่สงขลามันขึ้นจนเต็มถนน ถนนในเมืองสงขลามีกี่สาย มันขึ้นเต็มหมดเลย ชั่วโมงเดียวเต็มหมดเลย ถ้าจะเลื่อนรถสักคันต้องเลื่อนหมดทั้งเมืองจึงจะไปได้ ญี่ปุ่นเดินเต็มไปหมด กลางดึกตีสามคนตื่นขึ้นมา งงเลย ว่าเฮ้ย ทหารมาแต่ไหนกัน ไม่ใช่ทหารไทย เสียงพูดฟังไม่รู้เรื่อง พอตื่นเช้ามันก็เต็มเมืองแล้ว สู้อะไรมันไหว

ทหารไทยอยู่หาดใหญ่ คอหงส์ พอมันขึ้นก็เดินทัพเลย ไปมาเลเซีย ผ่านหาดใหญ่ คอหงส์ ทหารเราออกมายิงเปาะแปะ ๒-๓ นัดแล้วก็หยุดสู้ รัฐบาลบอกว่าอย่าสู้เลย ปล่อยให้ญี่ปุ่นไปตามสบายเถอะ แล้วมันก็ไปตีมาเลเซียแล้วก็มาขึ้นเรื่อย ไทยเรารู้จักผ่อนลมพายุใหญ่ พัดมาลู่ไปตามสายลมก่อน ให้มันพัดไปเถอะ ผลสุดท้ายญี่ปุ่นแพ้ ไทยไม่แพ้ ไทยประกาศสงครามเป็นโมฆะ ใช้ไม่ได้ ผู้สำเร็จราชการ ๓ คน เซ็นชื่อ ๒ คน ไม่สมบูรณ์ เลยอยู่ได้ เขาเรียกว่าผ่อนสั้นผ่อนยาว รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว รู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จึงเอาตัวรอด
เราก็เหมือนกัน สึกไปแล้วอยู่บ้านอย่าเป็นคนมีทิฏฐิมานะ ทำงานกับใครพอถูกเขาดุสักคำ ทนไม่ได้ เรามันต้องอดทน นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร แล้วก็เอาตัวรอด อยู่กับใครก็ต้องใจเย็น หนักแน่น มีเหตุมีผล รอบคอบ ก็พอไปได้
แต่ถ้าใครใจร้อน พอเขาดุหน่อยก็ร้องว่า อือ มันดูหมิ่นกัน ไม่อยากจะทำกับมันต่อไปแล้ว หางานอื่นต่อไป พอเจอะอะไรแข็งอีกก็ออกอีกแล้ว ออกจนกระทั่งตาย เพราะฉะนั้น มันต้องใช้ธรรมะ อย่าเอา “ตัว” เข้าไปใช้ แล้วมันก็สบาย ทำอะไรอย่าเห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ธรรมะ แล้วก็ดีเอง ชีวิตเรียบร้อย.

(จบตอนจากหนังสือนี้ http://g-picture2.wunjun.com/6/full/9d4 ... s=614x1024 หน้า ๒๓๕)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร