วันเวลาปัจจุบัน 14 มิ.ย. 2025, 22:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2018, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สำนักที่บรรลุธรรมอีกแห่งหนึ่ง :b1: อวิชชาขาดผึงก้นกระแทกเลย :b32: โชคดีที่หัวไม่ฟาดพื้น


ตอดเล็กตอดน้อย...เป็นนิสัยเสีย...ประจำเลย



ที่เขาพูดนั่นกบเชื่อว่าเป็นความจริงรึ

นี่แหละบ้านเรา บรรลุนั่นบรรลุนี่เพียงอ้างศัพท์ทางธรรมมาพูดแล้วมโนเอาวาดภาพเอาว่าเป็นนั่นเป็นนี่ :b1:


หนูเชื่อค่ะ ว่าการบรรลุธรรม และสภาวะธรรมในขณะนั้น เป็นความจริง

แต่ไม่ทราบว่า บรรลุในจุดไหน เพราะการบรรลุธรรมในแต่ละจุด มีมากมายกว่าจะถึงอรหัตตผล

ตั้งแต่จุดในปุถุชน จนก้าวไปเป็นโสดาบันมรรค โสดาบันผล และอริยะบุคคลระดับต่างๆ จนถึงอรหันตตผล

และอีกอย่างหลวงตาท่าน ก็เป็นพระปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ และปฎิบัติ มามาก มาช้านานกว่าพวกคุณ
ท่านก็คงไม่กล่าวเช่นนั้น ถ้าไม่เป็นความจริงค่ะ


การปรามาส วาจาทุจริต มโนทุจริต ส่อเสียดไม่เกิดผลดีค่ะ ยิ่งถ้าท่านได้อริยะบุคคลขึ้นไปแล้ว กรรมปรามาสพระธรรม พระอริยะบุคคลยิ่งหนักหนา ลงนรกได้ยาวนานค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2018, 02:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ดูความหมายของ อวิชชา หน่อยว่าไม่รู้อะไร

อวิชชา ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี ๔
คือ
ความไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์)

อวิชชา ๘ คือ อวิชชา ๔ นั้น และเพิ่ม ๕ ไม่รู้อดีต ๖. ไม่รู้อนาคต ๗. ไม่รู้ทั้งอดีตทั้งอนาคต ๘. ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท

อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา, กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง (ข้อ ๓ ในอาสวะ ๓ ข้อ ๔ ในอาสวะ ๔)


พอรู้มันก็หลุดแล้ว ไม่น่าจะทำให้ถึงก้นกระแทกหัวฟาดแต่ประการใด หรือกบนอกกะลาจะเถียง


ชาวพุทธที่ ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรมด้วย ก็จะไม่รู้ว่าจริงว่า
อวิชชานั้น ยังมี

อวิชชานิวรณ์ด้วยค่ะ

อวิชชานิวรณ์ จะแยกละเอียดออกมาจากพระสูตร เป็นเป็นพระอภิธรรม เพื่อเห็นในปัจจบันขณะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2018, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อภิธรรม ธรรมอันยิ่ง, ทั้งยิ่งเกิน (อภิอติเรก) คือมากกว่าธรรมอย่างปกติ และยิ่งพิเศษ (อภิวิเสส) คือ เหนือกว่าธรรมอย่างปกติ, หลักและคำอธิบายธรรมที่เป็นเนื้อหาสาระแท้ๆ ล้วนๆ ซึ่งจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบและเป็นลำดับ จนจบความอย่างบริบูรณ์ โดยไม่กล่าวถึง ไม่อ้างอิง และไม่ขึ้นต่อบุคคล ชุมชน หรือเหตุการณ์ อันแสดงโดยเว้นบัญญัติโวหาร มุ่งตรงต่อสภาวธรรม ที่ต่อมานิยมจัดเรียกเป็นปรมัตถธรรม ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน, เมื่อพูดว่า "อภิธรรม" บางทีหมายถึงพระอภิธรรมปิฎก บางทีหมายถึงคำสอนในพระอภิธรรมปิฎกนั้น ตามที่ได้นำมาอธิบายและเล่าเรียนกันสืบมา เฉพาะอย่างยิ่ง ตามแนวที่ประมวลแสดงไว้ในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ, บางที เพื่อให้ชัดว่าหมายถึงอภิธรรมปิฎก ก็พูดว่า "อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์"



อภิธรรมปิฎก ชื่อปิฎกที่สาม ในพระไตรปิฎก, คำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนที่แสดงพระอภิธรรม ซึ่งได้รวบรวมรักษาไว้เป็นหมวดที่สาม อันเป็นหมวดสุดท้ายแห่งพรไตรปิฎก ประกอบด้วยคัมภีร์ต่างๆ ๗ คัมภีร์ (สัตตัปปกรณะ, สดับปกรณ์) คือ สังคณี (หรือ ธัมมสังคณี) วิภังค์ ธาตุกถา บุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก และปัฏฐาน, ในอรรถกถา (เช่น สงฺคณี.อ.20/16) มีความเล่าว่า พระอภิธรรมเป็นพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโปรดพุทธมารดาตลอดพรรษา ณ ดาวดึงสเทวโลก ในปีที่ ๗ แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2018, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่รู้จึงติด - พอรู้ก็หลุด

@ ความยึดมั่น ในความไม่ยึดมั่น

กระบวนธรรมฝ่ายก่อทุกข์ อาจเรียกชื่อตามองค์ธรรมที่เป็นตัวการสำคัญว่า กระบวนการฝ่าย อวิชชา ตัณหา

ส่วนกระบวนธรรมฝ่ายดับทุกข์ ก็อาจเรียกชื่อตามองค์ธรรมที่สำคัญว่า กระบวนการฝ่าย วิชชา วิมุตติ

ถ้าเรียกอย่างง่ายๆ ฝ่ายแรก คือ ไม่รู้ จึงติด

ฝ่ายหลังเป็น พอรู้ ก็หลุด

ในฝ่ายอวิชชา - ตัณหา องค์ธรรมที่เป็นขั้วต่อ ซึ่งพาเข้าไป หรือ นำไปสู่ชาติภพ ก็ คือ อุปาทาน ที่แปลว่า ความถือมั่น ความยึดมั่น หรือความยึดติดถือมั่น

ส่วนในฝ่าย วิชชา -วิมุตติ องค์ธรรมที่เป็นขั้วต่อ ซึ่งพาออกไป หรือ เป็นจุดแยกออกจากสังสารวัฏ ได้แก่ นิพพิทา แปลกันว่า ความหน่าย คือ หมดใคร่ หายอยาก หรือ หายติด องค์ธรรมฝ่ายนี้ มาจับคู่ตรงข้ามกัน เป็นอุปาทาน กับ นิพพิทา

อุปาทาน เกิดจาก อวิชชา ที่ไม่รู้จักสิ่งนั้นๆ ตามสภาวะที่แท้จริง เปิดทางให้ตัณหา อยากได้ใคร่จะเอามาครอบครองเสพเสวย แล้วเอาตัวตนเข้าผูกพันถือมั่นถือหมายว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ที่เรียกว่า อุปาทาน

ส่วนนิพพิทา เกิดจากความรู้เข้าใจ สิ่งที่เคยยึดติดถือมั่นไว้นั้นตามสภาวะ ว่ามีข้อเสียข้อบกพร่อง ไม่ปลอดภัยอย่างไรๆ เป็นสิ่งที่ไม่น่า และไม่อาจจะเอาตัวเข้าไปผูกพันไว้ แล้วเกิดความหน่าย หมดความเพลิดเพลินติดใจ อยากจะผละออกไปเสีย


จะเห็นว่า อุปาทาน เกิดสืบเนื่องมาจากอวิชชา ความไม่รู้สภาวะ

ส่วนนิพพิทา เกิดจากความรู้ เข้าใจตามเป็นจริง ซึ่งท่านมีศัพท์เฉพาะว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ

ข้อที่พึงย้ำในที่นี้ก็คือ การที่นิพพิทาจะเกิดขึ้น หรือ การที่จะถอนทำลายอุปาทานได้นั้น เป็นเรื่องที่เกิดจากความรู้ความเข้าใจ คือ เมื่อรู้เข้าใจสภาวะแล้ว นิพพิทาก็เกิดเอง อุปาทานก็หมดไปเอง เป็นเรื่องของกระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย หรือ ภาวะที่เป็นไปเอง ตามเหตุปัจจัยของมัน * (* ยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นความรู้ขั้วต่อที่ตัดแยก ยังไม่ใช่ความรู้ขั้นสุดท้ายที่เรียกกว่าวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นธรรมดาว่า เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะเกิดขึ้นแล้ว นิพพิทาก็จะเกิดตามมาเอง ดู องฺ.ทสก. 24/2/2...ดูพุทธพจน์ที่ว่า เมื่ออวิชชาจางคลาย วิชชาเกิด ก็ไม่ยึด ที่ ม.ม.12/158/135 รู้แค่ไหนจึงจะเลิกยึดถือ เช่นที่ ม.อุ. 14/41/40)



บางทีเราสอนกันว่า จงอย่ายึดมั่นถือมั่น หรือว่า อย่ายึดมั่นกันไปเลย หรือว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นเสียเท่านั้น ก็หมดเรื่อง * (* พุทธพจน์หนึ่ง ที่อ้างกันมากเกี่ยวกับความไม่ยึดมั่นคือ สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย แปลว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น หรือ สิ่งทั้งปวงไม่อาจยึดมั่นไว้ได้ (ม.มฺ.12/434/464 ฯลฯ ) อภินิเวส เป็นไวพจน์หนึ่งของอุปาทาน (เช่น อภิ.วิ.35/312/200)
การสอนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดี และควรสอนกัน แต่พร้อมนั้นก็จะต้องระลึกถึงหลักการ ที่กล่าวแล้วข้างต้นด้วย คือ จะต้องพยายามให้ความที่จะไม่ยึดมั่นนั้น เกิดขึ้นโดยถูกต้อง ตามทางแห่งกระบวนธรรม มิฉะนั้น ก็อาจกลายเป็นการปฏิบัติผิดพลาดและมีโทษได้ โทษที่จะเกิดขึ้นนี้ คือ “ความยึดมั่น ในความไม่ยึดมั่น

การปฏิบัติ ด้วยความยึดมั่น ในความไม่ยึดมั่นนั้น ย่อมก่อให้เกิดโทษได้ เช่นเดียวกับการกระทำ ด้วยความยึดมั่น โดยทั่วไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2018, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

(ข้างบน พึงเข้าใจด้วยข้ออุปมาอุปไมย)

สมมุติว่า มีห่อของอยู่ห่อหนึ่ง ห่อด้วยผ้าสีสวยงาม วางไว้ในตู้กระจก ที่ปิดใส่กุญแจไว้

มีชายผู้หนึ่ง เชื่ออย่างสนิทใจว่า ในห่อนั้นมีของมีค่า เขาอยากได้ ใจจดจ่ออยู่ แต่ยังเอาไม่ได้ เขาพะวักพะวงวุ่นวายอยู่กับการที่จะเอาของนั้น เสียเวลาเสียการเสียงาน
ต่อมา มีคนที่เขานับถือมาบอกว่า ในห่อนั้นไม่มีของมีค่าอะไร ไม่น่าเอา และการที่เขาอยากได้ อยากเอา วุ่นวายอยู่นั้นไม่ดีเลย ทำให้เกิดความเสียหายมาก
ใจหนึ่งเขาอยากจะเชื่อคำบอกของคนที่นับถือ และเขาก็เห็นด้วยว่า การพะวงอยู่นั้นไม่ดี มีโทษมาก แต่ลึกลงไปก็ยังเชื่อว่า คงต้องมีของมีค่าเป็นแน่

เมื่อยังเชื่ออยู่ เขาก็ยังอยากได้ ยังเยื่อใย ยังตัดใจไม่ลง แต่เขาพยายามข่มใจ เชื่อตามคนที่เขานับถือ และแสดงให้คนอื่นๆ เห็นว่า เขาเชื่อตามเห็นตามคำของคนที่เขานับถือนั้นแล้ว เขาจึงแสดงอาการว่า เขาไม่อยากได้ เขาไม่ต้องการเอาของห่อนั้น

สำหรับคนผู้นี้ ถึงเขาจะยืนตะโกน นั่งตะโกนอย่างไร ๆ ว่า ฉันไม่เอาๆ ใจของเขาก็คงผูกพัน เกาะเกี่ยวอยู่กับห่อของนั้นอยู่นั่นเอง และบางทีเพื่อแสดงตัวให้คนอื่นเห็นว่า เขาไม่ต้องการเอาของห่อนั้น เขาไม่อยากได้ เขาจะไม่เอาของนั้น เขาอาจแสดงกิริยาอาการที่แปลกๆ ที่เกินสมควร อันนับได้ว่ามากไป กลายเป็นพฤติกรรมวิปริตไปก็ได้ นี้เป็นตอนที่หนึ่ง


ต่อมา ชายผู้นั้น มีโอกาสได้เห็นของที่อยู่ในห่อ และ ปรากฏว่า เป็นเพียงเศษผ้าเศษขยะจริง ตามคำของคนที่เขานับถือเคยพูดไว้ ไม่มีอะไรมีค่าควรเอา เมื่อรู้แน่ประจักษ์กับตัวอย่างนี้แล้ว เขาจะหมดความอยากได้ทันที ใจจะไม่เกาะเกี่ยว ไม่คิดจะเอาอีกต่อไป

คราวนี้ ถึงเขาจะพยายามบังคับใจของเขาให้อยากได้ ข่มฝืนให้อยากเอา ถึงจะเอาเชือกผูกตัวติดกับของนั้น หรือหยิบของนั้นขึ้นมา ร้องตะโกนว่า ฉันอยากได้ ฉันจะเอา ใจก็จะไม่ยอมเอา

ต่อจากนี้ไป ใจของเขาจะไม่มาวกเวียนติดข้องอยู่กับห่อของนั้นอีก ใจของเขา จะเปิดโล่งออกไป พร้อมที่จะมองจะคิดจะทำการอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่สืบไป นี้เป็นตอนที่สอง

ความเทียบเคียงในตอนที่หนึ่ง เปรียบได้กับพฤติกรรมของปุถุชน ผู้ยังมีความอยาก และความยึดอยู่ด้วยตัณหา อุปาทาน เขาได้รับคำสั่งสอนทางธรรมว่า สิ่งทั้งหลายที่อยากได้มั่นหมายยึดเอานั้น มีสภาวะแท้จริง ที่ไม่น่าอยาก ไม่น่ายึด และความอยากความยึดถือก็มีโทษมากมาย เขาเห็นด้วย โดยเหตุผลว่า ความอยากได้และความถือมั่นไว้มีโทษมาก และก็อยากจะเชื่อว่า สิ่งทั้งหลายที่อยากได้ล้วนมีสภาวะ ซึ่งไม่น่าฝันใฝ่ใคร่เอา แต่ก็ยังไม่มองเห็นเช่นนั้น ลึกลงไปในใจ ก็ยังมีความอยากความยึดอยู่นั่นเอง แต่เพราะอยากจะเชื่อ อยากจะปฏิบัติตาม หรือ อยากแสดงให้เห็นว่า ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำทางธรรมนั้น เขาจึงแสดงออกต่างๆ กระทำการต่างๆ ให้เห็นว่า เขาไม่อยากได้ไม่ยึดติด ไม่คิดจะเอาสิ่งทั้งหลายที่น่าใคร่น่าพึงใจเหล่านั้น

ในกรณีนี้ ความไม่อยากได้ไม่อยากเอา หรือไม่ยึดติดของเขา มิใช่ของแท้จริงที่เป็นไปเองตามธรรมดาธรรมชาติ เป็นเพียงสัญญาแห่งความไม่ยึดมั่น ที่เขาเอามายึดถือไว้ เขา เข้าใจความหมายของความไม่ยึดมั่นนั้นอย่างไร ก็พยายามปฏิบัติ หรือ ทำการต่างๆไปตามนั้น ความไม่ยึดมั่นของเขา จึงเป็นเพียง ความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น และการกระทำของเขา ก็เป็นการกระทำด้วยความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น

การกระทำเช่นนี้ย่อมมีโทษ คือ อาจกลายเป็นการกระทำอย่างเสแสร้ง หลอกตนเองหรือเกินเลยของจริง ไม่สมเหตุผล อาจถึงกับเป็นพฤติกรรมวิปริตไปก็ได้

ความเทียบเคียงในตอนที่สอง เปรียบได้กับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยถูกต้องตามธรรมดา แห่งกระบวนธรรม เป็นธรรมชาติ เป็นไปเองตามเหตุปัจจัย คือ เกิดจากความรู้แจ้งประจักษ์ ตามหลักการที่ว่า เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว ผลก็เกิดขึ้นเอง จำเป็นจะต้องเกิด ถึงฝืนก็ไม่อยู่ คือ เมื่อรู้สภาวะของสังขารทั้งหลายแท้จริงแล้ว จิตก็หลุดพ้น หมดความยึดติดเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2018, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิมุตติ ความหลุดพ้น, ความพ้นจากกิเลสมี ๕ อย่าง
คือ
๑. ตทังควิมุตติ - พ้นด้วยธรรมคู่ปรับหรือพ้นชั่วคราว

๒. วิกขัมภนวิมุตติ - พ้นด้วยข่มหรือสะกดไว้

๓. สมุจเฉทวิมุตติ - พ้นด้วยตัดขาด

๔. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ - พ้นด้วยสงบ

๕. นิสสรณวิมุตติ - พ้นด้วยออกไป

๒ อย่างแรก เป็น โลกิยวิมุตติ ๓ อย่างหลัง เป็น โลกุตรวิมุตติ


วิมุตติญาณทัสสนะ ความรู้เห็นในวิมุตติ, ความรู้เห็นว่าจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย


ยถาภูตญาณ ความรู้ตามเป็นจริง, รู้ตามที่มันเป็น (ไม่ใช่รู้ตามที่เราอยากให้มันเป็นหรือไม่อยากให้มันเป็น หรือไปทำให้มันเป็นนั่นเป็นนี่แล้วดู ไม่ใช่ รู้ตามที่มันเป็นของมัน)

ยถาภูตญาณทัสสนะ ความรู้ความเห็นตามเป็นจริง



ตย.เบาๆ

อ้างคำพูด:
เวลานั่งสมาธิกำหนดคำภาวนา พร้อมไปกับลมหายใจ นั่งทำสมาธิไปสักพักจะต้องเริ่มมีอาการคันคอ ทุกครั้ง พยามยามฝืนไม่สนใจ แต่จะคันคอจนต้องไอออกมาทุกครั้ง บางครั้งน้ำลายกระเด็นออกมาเลอะปาก พร้อมน้ำตาไหล พอไอออกมา สักครั้ง สองครั้ง แล้วจะหายไป แล้วไม่คันคออีกเลย อยากรบกวนสอบถามถึงอาการที่เกิด และทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดอาการคันคอได้ เพราะตอนนั่งพอจะเริ่มสงบนิ่งจะเป็นทุกครั้ง ทำให้เกิดความรำคาญ



ตย.แรงขึ้นไปอีกหน่อย

อ้างคำพูด:
ขณะสวดมนต์แล้วได้เอนตัวลงนอนอย่างมีสติ...ได้บริกรรมพอง กับ ยุบ ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไร...จนหลับไปไม่รู้ตัว...ระยะหนึ่ง...จิตได้เกิดกลางดึก คือ มีสติรู้ขึ้นมาทันทีของการพองยุบของท้อง และรู้สึกว่ามีนิ้วมือมากดที่สะดือแรงมาก เวลาที่พองออก ท้องก็จะพองออกมาก มือที่กดก็จะแรงไปตามการพองและยุบ จนรู้สึกกลัวมากเหมือนไส้จะหลุดออกมา.. แต่ผมก็พยายามดึงสติให้อยู่กับคำบริกรรมพอง ยุบอีก แต่พยายามแล้วจิตก็ทนไม่ได้ จิตสั่นไปหมดเหมือนท้องจะแตก จิตคิดตอนนั้นครับ


เลียงหนีความสภาวธรรม ความจริงหมด

กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่รู้เห็นตามที่ตนเองยึดตนเองอยากหรือไม่อยากให้มันเป็น หรือไปทำนั่นทำนี่ให้มันเป็นเพื่อจะดู ไม่ใช่ ให้รู้ตามที่มันเป็น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เลียงหนีความสภาวธรรม ความจริงหมด

กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่รู้เห็นตามที่ตนเองยึดตนเองอยากหรือไม่อยากให้มันเป็น หรือไปทำนั่นทำนี่ให้มันเป็นเพื่อจะดู ไม่ใช่ ให้รู้ตามที่มันเป็น

.....................................................
http://group.wunjun.com/whatisnippana


...................................................................................................................


การแนะนำในการปฎิบัติ


ในระดับทั่วๆไปแรก สำหรับผู้ที่ไม่ได้พื้นฐานที่ดีในการปฎิบัติ ผู้ที่ไม่ได้เคยปฎิบัติมา หรือผู้ศึกษาแต่ตำราถ่ายเดียว
คนเหล่านั้น ก็มักตอบกันไปว่า กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น............................ เพราะว่ามีความเข้าใจเพียงแค่นั้น


แต่สำหรับผู้ที่ได้เคยเริ่มต้นปฎิบัติอย่างถูกต้องตามพระธรรม ตามพุทธพจน์ แล้ว
ก็มักจะตอบว่า........... ให้คอยดูอย่างสมำเสมอ เหมือนแม่วัวชำเลืองดูลูกวัว

เพราะจุดสำคัญ ที่สุด ที่จะเดินทางผิดปฎิบัติไม่ก้าวหน้า คือ ได้รับพื้นฐานที่ผิด ๆ

การปฎิบัติธรรม จะนับเริ่มจากโลกีย์ธรรม ไม่ใช่นับจากโลกธรรม
และจนไปต่อถึงโลกุตรธรรม


การกำหนด แบบโลกธรรม การกำหนด แบบโลกียธรรม และการกำหนด แบบโลกุตรธรรม
จะแตกต่างกันลิบลับ
การกำหนดเหล่านี้ มีน้ำหนักที่ต่างกันอย่างมหาศาล

ถ้าเปรียบให้ชัดขึ้น

เหมือนว่า การกำหนด แบบโลก น้ำหนัก ระหว่าง เจ็ดสิบถึงร้อย ร้อยคือเต็มที่

แต่ ในโลกียธรรม น้ำหนัก น้ำหนักจะน้อยลง จากเจ็ดสิบ ถึงสี่สิบ แต่ความกำหนดเต็มที่คือสี่สิบไม่ใช่เจ็ดสิบ

และในโลกุตรธรรม น้ำหนักในการกำหนด เช่น สามสิบ จนเหลือ ศูนย์ และศูนย์นี่เองคือความเต็มที่


การกำหนตามดู กับการชำเลืองแบบแม่วัวคอยดูลูกวัว นั้นจะต่างกันลิบลับค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
เลียงหนีความสภาวธรรม ความจริงหมด

กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่รู้เห็นตามที่ตนเองยึดตนเองอยากหรือไม่อยากให้มันเป็น หรือไปทำนั่นทำนี่ให้มันเป็นเพื่อจะดู ไม่ใช่ ให้รู้ตามที่มันเป็น

.....................................................
http://group.wunjun.com/whatisnippana


...................................................................................................................


การแนะนำในการปฎิบัติ


ในระดับทั่วๆไปแรก สำหรับผู้ที่ไม่ได้พื้นฐานที่ดีในการปฎิบัติ ผู้ที่ไม่ได้เคยปฎิบัติมา หรือผู้ศึกษาแต่ตำราถ่ายเดียว
คนเหล่านั้น ก็มักตอบกันไปว่า กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น............................ เพราะว่ามีความเข้าใจเพียงแค่นั้น


แต่สำหรับผู้ที่ได้เคยเริ่มต้นปฎิบัติอย่างถูกต้องตามพระธรรม ตามพุทธพจน์ แล้ว
ก็มักจะตอบว่า........... ให้คอยดูอย่างสมำเสมอ เหมือนแม่วัวชำเลืองดูลูกวัว

เพราะจุดสำคัญ ที่สุด ที่จะเดินทางผิดปฎิบัติไม่ก้าวหน้า คือ ได้รับพื้นฐานที่ผิด ๆ

การปฎิบัติธรรม จะนับเริ่มจากโลกีย์ธรรม ไม่ใช่นับจากโลกธรรม
และจนไปต่อถึงโลกุตรธรรม


การกำหนด แบบโลกธรรม การกำหนด แบบโลกียธรรม และการกำหนด แบบโลกุตรธรรม
จะแตกต่างกันลิบลับ
การกำหนดเหล่านี้ มีน้ำหนักที่ต่างกันอย่างมหาศาล

ถ้าเปรียบให้ชัดขึ้น

เหมือนว่า การกำหนด แบบโลก น้ำหนัก ระหว่าง เจ็ดสิบถึงร้อย ร้อยคือเต็มที่

แต่ ในโลกียธรรม น้ำหนัก น้ำหนักจะน้อยลง จากเจ็ดสิบ ถึงสี่สิบ แต่ความกำหนดเต็มที่คือสี่สิบไม่ใช่เจ็ดสิบ

และในโลกุตรธรรม น้ำหนักในการกำหนด เช่น สามสิบ จนเหลือ ศูนย์ และศูนย์นี่เองคือความเต็มที่


การกำหนตามดู กับการชำเลืองแบบแม่วัวคอยดูลูกวัว นั้นจะต่างกันลิบลับค่ะ




การปฏิบัติขั้นลึกถึงตัวจิตตัวความคิดเลยเนี่ย ไม่วาดภาพแม่วัวลูกวัว แม่วัวห่วงลูกวัว เป็นต้น :b1:

ริมไกรลาศ :b32:

https://www.youtube.com/watch?v=zSXRDQ0k4qk

ไม่สร้างภาพวาดภาพโลกียะ โลกุตระ ไม่วาดภาพธรรมะ อะไรทั้งนั้น ฯลฯ แต่ให้ดูรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น แล้วกำหนดจิตตามที่รู้สึกตามที่มันเป็น เกิดปุ๊บ รู้สึกปุ๊บ กำหนดปั้บ ไม่ต้องถามหาอะไรที่ไหน

เช่น ๒ ตย. นี้


อ้างคำพูด:
คือ เวลาที่นั่งสมาธิสักพัก จิตเริ่มสงบแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นคนหรือวิญญาณไม่แน่ใจค่ะ นั่งก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ข้างๆเรา เจอหลายครั้ง บางทีก็มากันหลายคน มีอยู่ครั้งหนึ่งชัดเจนมาก มาด้วยกัน 4 คนค่ะ ผู้ชาย 2 คนหญิงอุ้มลูกเล็กๆอีกหนึ่ง เกิดจากอะไรคะ และทำอย่างไรคะหากเจอแบบนี้ แค่แผ่เมตตาพอหรือเปล่า


อ้างคำพูด:
เมื่อเช้ามีเหตุการณ์ที่ทำให้หนูตกใจมากๆ คือว่า ในตอนเช้าหนูจะฟังเทปเกี่ยวกับการทำสมาธิ แล้วหนูก็กำลังตามลมหายใจ เข้าออก ตามซักครู่ หนูรู้สึกเมื่อมีแสงสว่าง (ใหญ่มาก) วิ่งเข้าใส่ตัวหนู จนทำให้หนูตกใจ แต่ก็ยังสามารถกำหนดรู้ว่า ตกใจหนอ อยากรู้จังค่ะว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำหน่อยนะค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เลียงหนีความสภาวธรรม ความจริงหมด

กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่รู้เห็นตามที่ตนเองยึดตนเองอยากหรือไม่อยากให้มันเป็น หรือไปทำนั่นทำนี่ให้มันเป็นเพื่อจะดู ไม่ใช่ ให้รู้ตามที่มันเป็น

.....................................................
http://group.wunjun.com/whatisnippana


...................................................................................................................


การแนะนำในการปฎิบัติ


ในระดับทั่วๆไปแรก สำหรับผู้ที่ไม่ได้พื้นฐานที่ดีในการปฎิบัติ ผู้ที่ไม่ได้เคยปฎิบัติมา หรือผู้ศึกษาแต่ตำราถ่ายเดียว
คนเหล่านั้น ก็มักตอบกันไปว่า กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น............................ เพราะว่ามีความเข้าใจเพียงแค่นั้น


แต่สำหรับผู้ที่ได้เคยเริ่มต้นปฎิบัติอย่างถูกต้องตามพระธรรม ตามพุทธพจน์ แล้ว
ก็มักจะตอบว่า........... ให้คอยดูอย่างสมำเสมอ เหมือนแม่วัวชำเลืองดูลูกวัว

เพราะจุดสำคัญ ที่สุด ที่จะเดินทางผิดปฎิบัติไม่ก้าวหน้า คือ ได้รับพื้นฐานที่ผิด ๆ

การปฎิบัติธรรม จะนับเริ่มจากโลกีย์ธรรม ไม่ใช่นับจากโลกธรรม
และจนไปต่อถึงโลกุตรธรรม


การกำหนด แบบโลกธรรม การกำหนด แบบโลกียธรรม และการกำหนด แบบโลกุตรธรรม
จะแตกต่างกันลิบลับ
การกำหนดเหล่านี้ มีน้ำหนักที่ต่างกันอย่างมหาศาล

ถ้าเปรียบให้ชัดขึ้น

เหมือนว่า การกำหนด แบบโลก น้ำหนัก ระหว่าง เจ็ดสิบถึงร้อย ร้อยคือเต็มที่

แต่ ในโลกียธรรม น้ำหนัก น้ำหนักจะน้อยลง จากเจ็ดสิบ ถึงสี่สิบ แต่ความกำหนดเต็มที่คือสี่สิบไม่ใช่เจ็ดสิบ

และในโลกุตรธรรม น้ำหนักในการกำหนด เช่น สามสิบ จนเหลือ ศูนย์ และศูนย์นี่เองคือความเต็มที่


การกำหนตามดู กับการชำเลืองแบบแม่วัวคอยดูลูกวัว นั้นจะต่างกันลิบลับค่ะ




การปฏิบัติขั้นลึกถึงตัวจิตตัวความคิดเลยเนี่ย ไม่วาดภาพแม่วัวลูกวัว แม่วัวห่วงลูกวัว เป็นต้น :b1:

ริมไกรลาศ :b32:

https://www.youtube.com/watch?v=zSXRDQ0k4qk

ไม่สร้างภาพวาดภาพโลกียะ โลกุตระ ไม่วาดภาพธรรมะ อะไรทั้งนั้น ฯลฯ แต่ให้ดูรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น แล้วกำหนดจิตตามที่รู้สึกตามที่มันเป็น เกิดปุ๊บ รู้สึกปุ๊บ กำหนดปั้บ ไม่ต้องถามหาอะไรที่ไหน

เช่น ๒ ตย. นี้


อ้างคำพูด:
คือ เวลาที่นั่งสมาธิสักพัก จิตเริ่มสงบแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นคนหรือวิญญาณไม่แน่ใจค่ะ นั่งก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ข้างๆเรา เจอหลายครั้ง บางทีก็มากันหลายคน มีอยู่ครั้งหนึ่งชัดเจนมาก มาด้วยกัน 4 คนค่ะ ผู้ชาย 2 คนหญิงอุ้มลูกเล็กๆอีกหนึ่ง เกิดจากอะไรคะ และทำอย่างไรคะหากเจอแบบนี้ แค่แผ่เมตตาพอหรือเปล่า


อ้างคำพูด:
เมื่อเช้ามีเหตุการณ์ที่ทำให้หนูตกใจมากๆ คือว่า ในตอนเช้าหนูจะฟังเทปเกี่ยวกับการทำสมาธิ แล้วหนูก็กำลังตามลมหายใจ เข้าออก ตามซักครู่ หนูรู้สึกเมื่อมีแสงสว่าง (ใหญ่มาก) วิ่งเข้าใส่ตัวหนู จนทำให้หนูตกใจ แต่ก็ยังสามารถกำหนดรู้ว่า ตกใจหนอ อยากรู้จังค่ะว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำหน่อยนะค่ะ



การปฏิบัติขั้นลึกถึงตัวจิตตัวความคิดเลยเนี่ย ไม่วาดภาพแม่วัวลูกวัว แม่วัวห่วงลูกวัว เป็นต้น :b1:

ริมไกรลาศ :b32:

https://www.youtube.com/watch?v=zSXRDQ0k4qk

ไม่สร้างภาพวาดภาพโลกียะ โลกุตระ ไม่วาดภาพธรรมะ อะไรทั้งนั้น ฯลฯ แต่ให้ดูรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น แล้วกำหนดจิตตามที่รู้สึกตามที่มันเป็น เกิดปุ๊บ รู้สึกปุ๊บ กำหนดปั้บ ไม่ต้องถามหาอะไรที่ไหน

เช่น ๒ ตย. นี้


"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เห็นว่าการดูแบบแม่วัวดูลูกวัว ตามพระสูตร ตามพุทธพจน์
นั้น เป็นการปฎิบัติลึกซึ้ง เชียวหรือคะ

เพราะที่กล่าวมา หนูได้บอกว่า เป็นแค่พื้นฐานเริ่มต้นเท่านั้น ของผู้ที่ปฎิบัติถูกทาง
ตามพระสูตร และพุทธพจน์ที่สอน

ถ้าเพียงกล่าวแค่นี้ยังเข้าใจว่าลึกซึ้ง
ก็หัดทำให้ได้เสียก่อน
หมั่นทำไป ต่อไปในภายภาคหน้า จะได้เห็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้อีกมากมายค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เลียงหนีความสภาวธรรม ความจริงหมด

กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่รู้เห็นตามที่ตนเองยึดตนเองอยากหรือไม่อยากให้มันเป็น หรือไปทำนั่นทำนี่ให้มันเป็นเพื่อจะดู ไม่ใช่ ให้รู้ตามที่มันเป็น

.....................................................
http://group.wunjun.com/whatisnippana


...................................................................................................................


การแนะนำในการปฎิบัติ


ในระดับทั่วๆไปแรก สำหรับผู้ที่ไม่ได้พื้นฐานที่ดีในการปฎิบัติ ผู้ที่ไม่ได้เคยปฎิบัติมา หรือผู้ศึกษาแต่ตำราถ่ายเดียว
คนเหล่านั้น ก็มักตอบกันไปว่า กำหนดจิตรู้ตามที่มันเป็น............................ เพราะว่ามีความเข้าใจเพียงแค่นั้น


แต่สำหรับผู้ที่ได้เคยเริ่มต้นปฎิบัติอย่างถูกต้องตามพระธรรม ตามพุทธพจน์ แล้ว
ก็มักจะตอบว่า........... ให้คอยดูอย่างสมำเสมอ เหมือนแม่วัวชำเลืองดูลูกวัว

เพราะจุดสำคัญ ที่สุด ที่จะเดินทางผิดปฎิบัติไม่ก้าวหน้า คือ ได้รับพื้นฐานที่ผิด ๆ

การปฎิบัติธรรม จะนับเริ่มจากโลกีย์ธรรม ไม่ใช่นับจากโลกธรรม
และจนไปต่อถึงโลกุตรธรรม


การกำหนด แบบโลกธรรม การกำหนด แบบโลกียธรรม และการกำหนด แบบโลกุตรธรรม
จะแตกต่างกันลิบลับ
การกำหนดเหล่านี้ มีน้ำหนักที่ต่างกันอย่างมหาศาล

ถ้าเปรียบให้ชัดขึ้น

เหมือนว่า การกำหนด แบบโลก น้ำหนัก ระหว่าง เจ็ดสิบถึงร้อย ร้อยคือเต็มที่

แต่ ในโลกียธรรม น้ำหนัก น้ำหนักจะน้อยลง จากเจ็ดสิบ ถึงสี่สิบ แต่ความกำหนดเต็มที่คือสี่สิบไม่ใช่เจ็ดสิบ

และในโลกุตรธรรม น้ำหนักในการกำหนด เช่น สามสิบ จนเหลือ ศูนย์ และศูนย์นี่เองคือความเต็มที่


การกำหนตามดู กับการชำเลืองแบบแม่วัวคอยดูลูกวัว นั้นจะต่างกันลิบลับค่ะ




การปฏิบัติขั้นลึกถึงตัวจิตตัวความคิดเลยเนี่ย ไม่วาดภาพแม่วัวลูกวัว แม่วัวห่วงลูกวัว เป็นต้น :b1:

ริมไกรลาศ :b32:

https://www.youtube.com/watch?v=zSXRDQ0k4qk

ไม่สร้างภาพวาดภาพโลกียะ โลกุตระ ไม่วาดภาพธรรมะ อะไรทั้งนั้น ฯลฯ แต่ให้ดูรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น แล้วกำหนดจิตตามที่รู้สึกตามที่มันเป็น เกิดปุ๊บ รู้สึกปุ๊บ กำหนดปั้บ ไม่ต้องถามหาอะไรที่ไหน

เช่น ๒ ตย. นี้


อ้างคำพูด:
คือ เวลาที่นั่งสมาธิสักพัก จิตเริ่มสงบแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นคนหรือวิญญาณไม่แน่ใจค่ะ นั่งก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ข้างๆเรา เจอหลายครั้ง บางทีก็มากันหลายคน มีอยู่ครั้งหนึ่งชัดเจนมาก มาด้วยกัน 4 คนค่ะ ผู้ชาย 2 คนหญิงอุ้มลูกเล็กๆอีกหนึ่ง เกิดจากอะไรคะ และทำอย่างไรคะหากเจอแบบนี้ แค่แผ่เมตตาพอหรือเปล่า


อ้างคำพูด:
เมื่อเช้ามีเหตุการณ์ที่ทำให้หนูตกใจมากๆ คือว่า ในตอนเช้าหนูจะฟังเทปเกี่ยวกับการทำสมาธิ แล้วหนูก็กำลังตามลมหายใจ เข้าออก ตามซักครู่ หนูรู้สึกเมื่อมีแสงสว่าง (ใหญ่มาก) วิ่งเข้าใส่ตัวหนู จนทำให้หนูตกใจ แต่ก็ยังสามารถกำหนดรู้ว่า ตกใจหนอ อยากรู้จังค่ะว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำหน่อยนะค่ะ



การปฏิบัติขั้นลึกถึงตัวจิตตัวความคิดเลยเนี่ย ไม่วาดภาพแม่วัวลูกวัว แม่วัวห่วงลูกวัว เป็นต้น :b1:

ริมไกรลาศ :b32:

https://www.youtube.com/watch?v=zSXRDQ0k4qk

ไม่สร้างภาพวาดภาพโลกียะ โลกุตระ ไม่วาดภาพธรรมะ อะไรทั้งนั้น ฯลฯ แต่ให้ดูรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น แล้วกำหนดจิตตามที่รู้สึกตามที่มันเป็น เกิดปุ๊บ รู้สึกปุ๊บ กำหนดปั้บ ไม่ต้องถามหาอะไรที่ไหน

เช่น ๒ ตย. นี้


"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เห็นว่าการดูแบบแม่วัวดูลูกวัว ตามพระสูตร ตามพุทธพจน์
นั้น เป็นการปฎิบัติลึกซึ้ง เชียวหรือคะ

เพราะที่กล่าวมา หนูได้บอกว่า เป็นแค่พื้นฐานเริ่มต้นเท่านั้น ของผู้ที่ปฎิบัติถูกทาง
ตามพระสูตร และพุทธพจน์ที่สอน

ถ้าเพียงกล่าวแค่นี้ยังเข้าใจว่าลึกซึ้ง
ก็หัดทำให้ได้เสียก่อน
หมั่นทำไป ต่อไปในภายภาคหน้า จะได้เห็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้อีกมากมายค่ะ



ไหนคุณแนะนำวิธีดังกล่าวสิครับ ว่าไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...


จะให้หนูตอบอย่างลึกซึ้ง เธอก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ

ตอบให้ง่ายๆ ถ้าจะเริ่มปฎิบัติ

ความมีจิตที่ปกติ คือพื้นฐาน และการปฎิบัติ เบื้องต้น ค่ะ

ก็เริ่มจาก รู้จัก จิตที่ปกติ ที่สุดของตนเองให้ได้เสียก่อน ดูให้เห็น หาให้เจอ เสียก่อนค่ะ


แล้วจะเห็นเอง ทราบเอง ตอบได้เองในปัญหาที่ถามมา ทั้งหมดค่ะ

การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่จะรู้ว่า ตนเองมีจิตปกติ หรือผิดปกติ เป็นของยากเย็นเข็ญใจ สำหรับคนหลายๆคน

การทำศีล ทำสมาธิ ทำภาวนา ท่องบ่นคาถา การทำวิปัสสนา ร๋ำเรียนศึกษาวิชา การอ่านตำหรับตำรา
ท่องจำ เพื่อหวังเป็นโน่นเป็นนี่ อยากให้คนนับหน้าถือตา ความอยาก ความไม่อยาก ความเฉยๆแบบอัพยา
ทั้งวี่ทั้งวัน การพูด การคุย การเจรจา
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมน์ ที่ประสพ
ล้วนเดินไปด้วยความปกติของจิต ได้หรือไม่


ตัวอย่าง ง่ายๆ ทีหนูจะชี้ให้เห็น

คือ พวกตัวอีโม ที่สมาชิกหลายๆท่าน เอามาใช้ ในบอรด์สนทนาธรรมค่ะ
ทำไปด้วยจิตที่ปกติ หรือห่อหุ่มกิเลส ตัณหา อวิชชาอะไรอยู่

ถ้าจะปฎิบัติ จะเดินไปตามอริยะมรรคจริงๆ

ก็จะรู้เองว่า จิตที่แสดงเหล่านั้น ปกติ หรือไม่ปกติ เหล่านั้น นั้นเป็นสัมมา หรือ มิจฉา
พาตนลงอบายภูมิ หรือไปสุขคติภูมิ

แค่นี้ ก็คือ การปฎิบัติเบื้องต้นแล้วค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...


จะให้หนูตอบอย่างลึกซึ้ง เธอก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ

ตอบให้ง่ายๆ ถ้าจะเริ่มปฎิบัติ

ความมีจิตที่ปกติ คือพื้นฐาน และการปฎิบัติ เบื้องต้น ค่ะ

ก็เริ่มจาก รู้จัก จิตที่ปกติ ที่สุดของตนเองให้ได้เสียก่อน ดูให้เห็น หาให้เจอ เสียก่อนค่ะ


แล้วจะเห็นเอง ทราบเอง ตอบได้เองในปัญหาที่ถามมา ทั้งหมดค่ะ

การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ



แล้วจะไปหาที่ไหนจิตปกติ

ลองตอบเถอะครับ จะเข้าใจไม่เข้าใจก็แล้วแต่ ตอบดูตามที่เรารู้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


พระธรรม ควรเทิดไว้เหนือเศียรเกล้า
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงเคารพพระธรรม
พระอรหันต์ทุกพระองค์ ทรงเคารพพระธรรม
พระอริยะบุคคล ทุกพระองค์ ทรงเคารพพระธรรม

ไม่ควรนำมาล้อเล่น ชวนหัว ทำตลกโปกฮา
พระมหาโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่เคยล้อเล่น ทรงสละทั้งชีวิต เพื่อหาพระธรรม
คณาจารย์ ครูบาอาจารย์ ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ไม่เคยล้อเล่นกับพระธรรม
ยอมสละแม้ชีวิต เพื่อหาพระธรรม ปฎิบัติพระธรรม เพื่อลด ละ เลิก วาง และเผากิเลส ความไม่รู้ของตน

โดยอาศัยพระธรรม

ธรรมะจากคนไขน้ำเข้านา ธรรมมะที่เห็นคนพิการ ธรรมะที่เห็นสัตว์ต่างๆ ในพระชาดก
ไม่มีพระอริยะเจ้าพระองค์ใด ไปล้อเลียน ล้อเล่น

การล่วงเกินพระธรรม แม้เพียงนิดเดียว ก็เท่ากับการสร้างหนทางในสังสารวัฎให้ยาวนานขึ้น

นี่คือ ตัวอย่าง แบบง่ายๆ

คือข้อปฎิบัติเบื้องต้น พื้นฐาน


ทำให้ได้ ก็จะไม่ต่อสังสารวัฎให้ยาวขึ้นไป ทำได้ปฎิบัติได้ การเดินทางก็จะสั้นลง
จนสำเร็จได้ ในปัจจุบันค่ะ

ง่ายมั๊ยคะ แค่นี้ ถามใจตัวเองกัน ว่า มันปกติ หรือ ทำความปกติมัวหมองได้ตลอดเวลา

ถามตัวเอง ดูตัวเอง รู้ตัวเอง ให้จริงชัดก่อน

นี่คือคือข้อปฎิบัติเบื้องต้น พื้นฐาน ค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron