วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 17:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
[size=200]ตัว....เป็นสมมุติบัญญัติ[/size]


ในเมื่อเป็นสมมติบัญญัติ แล้วจะเอาตัวให้รอดอบายทำไมล่ะ นี่ติดยึดสมมติแล้ว คิกๆๆ


"โคลน เกิดแต่น้ำ แต่ถ้าจะชำระโคลนก็ต้องใช้น้ำนั่นแหละ"

เข้าใจปริศนาธรรมนี้ไหม กรัชกาย?


นี่พุทธเถรวาทนะ ไม่ใช่นิกายเซ็น :b32:

:b13:
ยังไม่ยอมฉลาดนะกรัชกาย


อ้างคำพูด:
เข้าใจปริศนาธรรมนี้ไหม กรัชกาย?


ไหนเฉลยปริศนาอะไรที่ว่าให้ฟังหน่อยดิ อะไรว่าไป :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มัวแต่ถกกับท่านอโศกสะเพลินเลย ลงเรื่องอริยสัจ ต่อจาก คคห.ก่อนหน้าโน่นอีกหน่อย :b1:



มีข้อที่ควรทราบเพิ่มเติมให้เห็นภาพกว้างออกไปดังนี้

๑. ทุกข์ คู่กับกิจ คือ ปริญญา ในฐานะเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ดังนั้น และธรรมทั้งหลาย ที่อยู่ในจำพวกปัญหาหรือที่ตั้งแห่งปัญหา จึงรวมเรียกว่า ปริญไญยธรรม (ธรรมที่ควรกำหนดรู้)

๒. สมุทัย คู่กับกิจ คือ ปหานะ ในฐานะเป็นสิ่ง ที่ควรละหรือกำจัด ดังนั้น ตัณหา และธรรมจำพวกทำให้เกิดปัญหา เป็นเหตุแห่งทุกข์ เช่น อวิชชา โลภะ โทสะ อุปาทาน เป็นต้น จึงรวมเรียกว่า ปหาตัพพธรรม (ธรรมที่ควรละ)

๓. นิโรธ คู่กับกิจ คือ สัจฉิกิริยา ในฐานะเป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้งหรือควรบรรลุ ดังนั้น นิพพาน และธรรมจำพวกที่เป็นจุดหมาย หรือเป็นที่แก้ปัญหา จึงรวมเรียกว่า สัจฉิกาตัพพธรรม (ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง)

๔. มรรค คู่กับกิจ คือ ภาวนา ในฐานะเป็นสิ่งที่ควรเจริญ คือปฏิบัติดำเนินการ ดังนั้น มรรคามีองค์ ๘ และธรรมทั้งหลาย ที่เป็นพวกข้อปฏิบัติ เป็นวิธีการเพื่อเข้าถึงจุดหมาย จึงรวมเรียกว่า ภาเวตัพพธรรม (ธรรมที่ควรเจริญ)

ธรรมทั้งหมด หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงบรรดามี ย่อมจัดรวมเข้าในประเภทใดประเภทหนึ่งแห่งธรรม ๔ จำพวกนี้ ไม่มีเหลือ

ในมรรคาแห่งความดับทุกข์ หรือ ปฏิบัติการแก้ปัญหาทั้งหลาย ตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด ตั้งแต่ภายนอก จนถึงลึกซึ้งในภายใน ผู้ศึกษาที่สนใจ อาจคอยกำหนดจับธรรมที่ตนเกี่ยวข้องจัดเข้าในธรรม ๔ ประเภทนี้ได้เสมอ เช่น ในการปฏิบัติขั้นถึงแก่น เอาแต่สาระ พระพุทธจ้าเคยทรงแสดงธรรม ๔ ประเภทไว้ ดังนี้ *

๑. (ทุกข์) ปริญเญยยธรรม ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕

๒. (สมุทัย) ปหาตัพพธรรม ได้แก่ อวิชชา และภวตัณหา

๓. (นิโรธ) สัจฉิกาตัพพธรรม ได้แก่ วิชชา และวิมุตติ

๔. (มรรค) ภาเวตัพพธรรม ได้แก่ สมถะ และวิปัสสนา

.........

อ้างอิงที่ *

* ม.อุ.14/831/526 ...ในบาลีนั้น ท่านเรียง ภาเวตัพพธรรม คือ สมถะและวิปัสสนา ไว้ก่อน สัจฉิกาตัพพธรรม คือวิชชาและวิมุตติ แต่ในที่นี้ จัดเรียงสับตรงข้าม เพื่อให้เข้าลำดับของอริยสัจ ๔

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา ได้เปรียบเทียบอริยสัจ ๔ ไว้เป็นข้ออุปมานัยต่างๆ มีบางข้อน่าสนใจ เช่น


ก. ทุกข์ เหมือนโรค สมุทัย เหมือนสมุฏฐานของโรค

นิโรธ เหมือนความหายโรค มรรค เหมือนยารักษาโรค

ข. ทุกข์ เหมือนทุพภิกขภัย สมุทัย เหมือนฝนแล้ง

นิโรธ เหมือนภาวะอุดมสมบูรณ์ มรรค เหมือนฝนดี

ค.ทุกข์ เหมือนภัย สมุทัย เหมือนเหตุแห่งภัย

นิโรธ เหมือนความพ้นภัย มรรค เหมือนอุบายให้พ้นภัย

ง. ทุกข์ เหมือนของหนัก สมุทัย เหมือนการแบกของหนักไว้

นิโรธ เหมือนการวางของหนักลงได้ มรรค เหมือนอุบายวิธีที่จะเอาของหนักลงวาง

อุปมาที่ยกมาให้ดูนี้ เป็นคำอธิบายอริยสัจอย่างที่เข้าใจได้ง่าย มองเห็นชัดเจนทันที อาจจะถือได้ว่าเพียงพอในตัวแล้ว จะจบเท่านี้ก็คงได้ แต่มีสาระบางอย่างซึ่งหากนำมาแสดงไว้ อาจจะช่วยให้เจริญปัญญามากขึ้น จึงขออธิบายเพิ่มเติมอีกตามสมควร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนลงต่อ ใช้การทำบุญแบบนี้ขั้นให้ท่านอโศกดูแล้วถอยมาเริ่มทำแบบนี้ไปใหม่ :b32:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัมภีร์วิสุทธิมรรค สัมโมหวิโนทนี และสัทธัมมปกาสินี ได้ชี้แจงเหตุผลไว้อย่างน่าฟังว่า เหตุใด พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอริยสัจ ๔ ไว้โดยเรียงลำดับข้ออย่างที่เรียนรู้กันอยู่นี้ ข้อความที่ท่านกล่าวไว้แม้จะสั้น แต่มีสาระหนักแน่น จึงขอนำมาเป็นเค้าความสำหรับกล่าวถึงอริยสัจ ๔ โดยสังเขปต่อไปนี้

ก) ยกทุกข์ขึ้นพูดก่อน เป็นการสอนเริ่มจากปัญหา เพื่อใช้วิธีการแห่งปัญญา

๑.ทุกข์ คือ ปัญหาต่างๆของมนุษย์ เป็นเรื่องบีบคั้นชีวิตจิตใจ มีอยู่ทั่วไปแก่สัตว์มนุษย์ทุกคน เกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใด ก็เป็นจุดสนใจ เป็นของเด่นชัดแก่ผู้นั้นเมื่อนั้น แต่ว่าที่จริงมองกว้างๆ ชีวิตมีปัญหาและเป็นปัญหากันอยู่เรื่อยๆ เป็นธรรมดา
ดังนั้น
ทุกข์จึงเป็นจุดสนใจปรากฏเด่นชัดอยู่ในชีวิตของทุกๆคน เรียกได้ว่า เป็นของรู้ง่ายเห็นง่าย จี้ความสนใจ เหมาะที่จะยกขึ้นเป็นข้อปรารภ คือ เป็นจุดเริ่มต้นในการแสดงธรรม


ยิ่งกว่านั้น ทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว และน่าตกใจสำหรับคนจำนวนมากคอยหลีกเลี่ยง ไม่อยากได้ยิน แม้แต่คนที่กำลังเพลิดเพลินลุ่มหลงมัวเมา ไม่ตระหนักรู้ว่า ตนเองกำลังมีปัญหา และกำลังก่อปัญหา เมื่อมีผู้มาชี้ปัญหาให้ ก็จะกระทบใจทำให้สะดุ้งสะเทือนและมีความไหวหวั่น สำหรับคนที่อยู่ในภาวะเช่นนั้น
พระพุทธเจ้าทรงสอนปรารภเรื่องทุกข์เพื่อกระตุ้นเตือนให้เขาฉุกใจได้คิด เป็นทางที่จะเริ่มต้นพิจารณาแก้ปัญหาดับความทุกข์กันได้ต่อไป


เมื่อแสดงอริยสัจ โดยตั้งต้นที่ทุกข์ ก็เป็นการสอนที่เริ่มจากปัญหา เริ่มจากสิ่งที่เห็นง่ายเข้าใจง่าย เริ่มจากเรื่องที่น่าสนใจ และโดยเฉพาะเป็นการสอนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคน ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย ไม่ใช่เรื่องคิดเพ้อฝัน หรือสักว่าพูดตีฝีปากกันไป เมื่อพูดกับใครก็เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคนนั้น เมื่อพูดเป็นกลางๆ ก็เกี่ยวข้องกับทุกคน


พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ มิใช่เพื่อให้เป็นทุกข์ แต่เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะดับทุกข์ เพราะทรงรู้ว่า ทุกข์หรือปัญหานั้นเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ดับได้ มิใช่เป็นของเที่ยงแท้แน่นอนจะต้องคงอยู่ตลอดไป ชีวิตนี้ที่ยังคับข้อง ก็เพราะมีทุกข์มีปัญหาคอยรบกวนอยู่
ถ้าดับทุกข์แก้ปัญหาแล้ว หรือได้สร้างความสามารถในการดับทุกข์แก้ปัญหาไว้พร้อมแล้ว ชีวิตก็จะปลอดโปร่งโล่งเบา พบสุขแท้จริง


แต่การดับทุกข์ หรือ แก้ไขปัญหานั้น มิใช่ทำได้ด้วยการหลบเลี่ยงปัญหาหรือปิดตาไม่มองทุกข์ ตรงข้าม ต้องใช้วิธีรับรู้สู้หน้าเข้าเผชิญดูมัน การรับรู้สู้หน้ามิใช่หมายความว่า จะเข้าไปแบกทุกข์ไว้ หรือ จะให้ตนเป็นทุกข์ แต่เพื่อรู้เท่าทัน จะได้แก้ไขกำจัดมันได้
พูดง่ายๆว่า ไม่ใช่ไปเอาทุกข์มาใส่ในใจ แต่เอาปัญญาไปแก้ไขจัดการ


การรู้เท่าทันนี้ คือ การทำหน้าที่ต่อทุกข์ให้ถูกต้อง ได้แก่ ทำปริญญา คือ กำหนดรู้ ทำความเข้าใจสภาวะของทุกข์ หรือ ปัญหานั้น ให้รู้ว่า ทุกข์หรือปัญหาของเรานั้น คือ อะไรกันแน่ อยู่ที่ไหน ( บางที คนชอบหลบเลี่ยงทุกข์หนีปัญหา และทั้งที่รู้ว่า มีปัญหา แต่จะจับให้ชัดก็ไม่รู้ว่า ปัญหาของตนนั้นคืออะไร ได้แต่เห็นคลุมๆ เครือๆ หรือพร่าสับสน) มีขอบเขตแค่ใด เมื่อกำหนดจับทุกข์ได้อย่างนี้ เมื่อกำหนดจับทุกข์ได้อย่างนี้ ก็เป็นอันเสร็จหน้าที่ต่อทุกข์ เหมือนแพทย์ตรวจอาการจนรู้โรค รู้จุดที่เป็นโรคแล้ว ก็หมดภาระ ไปขั้นหนึ่ง


เราไม่มีหน้ากำจัดทุกข์ เพราะทุกข์จะดับที่ตัวมันเองไม่ได้ ต้องแก้ที่เหตุของมัน ถ้าจะละทุกข์ที่ตัวทุกข์ ก็เหมือนรักษาโรคที่อาการ เช่น ให้ยาระงับอาการไว้ ก็ไม่ใช่แก้โรคไม่ได้จริง ต้องค้นหาสาเหตุต่อไป

แพทย์เรียนรู้โรค ต้องเรียนรู้เรื่องร่างกายอันเป็นที่ตั้งของโรคด้วย ฉันใด ผู้จะดับทุกข์ เมื่อเรียนรู้ทุกข์ ก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตอันเป็นที่ตั้งของทุกข์ ซึ่งรวมถึงสภาวะของสังขารโลกที่เกี่ยวข้องด้วย ฉันนั้น

สาระสำคัญของอริยสัจข้อที่ ๑ คือ รับรู้ความจริงเกี่ยวกับทุกข์ตามที่มันเป็นอยู่ และมองดูรู้จักชีวิต รู้จักโลกตามที่มันเป็นจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข) ค้นเหตุปัจจัยให้พบด้วยปัญญา ไม่มัวหาที่ซัดทอด

๒. สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ หรือ สาเหตุของปัญหา เข้ามาตอนนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ถึงลำดับ คือ เมื่อต้องการดับทุกข์ ก็ต้องกำจัดสาเหตุของมัน เมื่อกำหนดหรือจับได้แล้วว่า ทุกข์ หรือปัญหาของตนคืออะไร เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะสืบสาวหาสาเหตุต่อไป เพื่อจะได้ทำกิจแห่งปหานะ คือละ หรือกำจัดเสีย

อย่างไรก็ตาม เมื่อค้นหาสาเหตุ คนก็มักเลี่ยงหนีความจริง ชอบมองออกไปข้างนอก หรือมองให้ไกลตัว จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยมักมองหาตัวการข้างนอกที่จะซัดทอดโทษให้ หรือ ถ้าจะเกี่ยวกับตนเอง ก็ให้เป็นเรื่องไกลออกไป จนรู้สึกว่าพ้นจากความรับผิดชอบของตน

สิ่งที่มักถูกซัดทอดให้เป็นสาเหตุนั้น ปรากฏออกมาเป็นลัทธิที่ผิดพลาด ๓ ประเภท คือ

๑. ปุพเพกตวาท ลัทธิกรรมเก่า ถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงที่ประสบในบัดนี้ เป็นเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้ในปางก่อน ไม่ว่าจะจะพบทุกข์เจอสุขอะไร ก็ยกให้เป็นเรื่องกรรมเก่า

๒. อิศวรนิรมิตวาท ลัทธิพระเป็นเจ้า ถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงที่ประสบในบัดนี้ เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ ไม่ว่าจะหนีเรื่องร้าย หรืออยากได้เรื่องดี ก็หวังบารมีเทพเจ้า

๓. อเหตุวาท ลัทธิคอยโชค ถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงที่ประสบในบัดนี้ เป็นไปเอง แล้วแต่โชคชะตาที่เลื่อนลอย ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย อะไรๆ จะดีหรือร้าย ทำอะไรไม่ได้ ว่ารอให้ถึงคราว ก็จะเป็นไปเอง

ทางธรรมปฏิเสธลัทธิเหล่านี้ เพราะขัดต่อกฎธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย แต่ให้มองสาเหตุของทุกข์ตามกฏธรรมดาที่ว่านั้น โดยมองเหตุปัจจัย เริ่มที่ตัวตน และในตัวคน และที่ในตนเอง ได้แก่ กรรม คือการกระทำ การพูด การคิด ที่ดีหรือชั่ว ซึ่งได้ประกอบแล้ว และกำลังประกอบอยู่ และ ที่ได้สั่งสมไว้เป็นลักษณะนิสัย ตลอดจนการตั้งจิตวางใจต่อสิ่งทั้งหลาย และการมีความสัมพันธ์อย่างถูกต้อง หรือผิดพลาด กับเหตุปัจจัยในบรรดาสภาพแวดล้อม


ในขั้นพื้นฐาน ท่านกล่าวลึกลงไปอีกว่า ตัณหา ความทะยานอยาก ที่ทำให้วางใจ วางตัว ปฏิบัติตนแสดงออก สัมพันธ์ และการะทำต่อชีวิตและ โลกอย่างไม่ถูกต้อง อย่างไม่เป็นไปด้วยความรู้ตามเป็นเป็นจริง แต่เป็นไปด้วยความยินดี ยินร้าย ชอบชัง เป็นต้น ตลอดจนกิเลสปกป้องตัวตนทั้งหลาย เช่น ความกลัว ความถือตัว ความริษยา ความหวาดระแวง ฯลฯ ที่สืบเนื่องมาจากตัณหานั่นแหละ คือ ที่มาแห่งปัญหาความทุกข์ของมนุษย์


ตัณหามี ๓ อย่างคือ กามตัณหา อยากกาม ได้แก่ อยากได้อยากเอาอยากเสพ อย่างหนึ่ง

ภวตัณหา อยากภพ (ภว) ได้แก่ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากคงสถานอยู่ตลอดไป อยากมีชีวิตนิรันดร อย่างหนึ่ง

วิภวตัณหา อยากสิ้นภพ ได้แก่ ปรารถนาภาวะมลายสิ้นสูญ อย่างหนึ่ง และ

ลึกลงไปให้ชัดกว่านั้น ก็ดูที่กระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท ก็จะเห็นตั้งแต่อวิชชา ซึ่งเป็นมูลของตัณหา ว่าเป็นที่ไหลเนืองมาแห่งปัญหาประดาทุกข์นั้น


เมื่อใด กำจัดอวิชชาตัณหา ที่เป็นต้นตอของปัญหา ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ได้แล้ว มนุษย์ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกิเลสปกป้องตัวตนทั้งหลาย เมื่อนั้น เขาก็จะสามารถปฏิบัติต่อชีวิตและสัมพันธ์กับโลก ทั้งส่วนมนุษย์ สัตว์อื่น และธรรมชาติ ด้วยปัญญาที่เข้าใจสภาวะ และรู้เหตุปัจจัยของสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง ซึ่งทำให้แก้ปัญหาได้จริง อย่างเต็มความสามารถ และสติปัญญาของมนุษย์


แม้ความทุกข์จะมีเหลืออยู่ ก็เป็นเพียงทุกข์ตามสภาวะธรรมดา และทุกข์ที่เหลืออยู่น้อยแล้ว ก็ไม่มีอิทธิพลครอบงำจิตใจของเขาได้ ในเมื่อไม่มีของอิทธิพลของตัณหาครอบงำอยู่ภายใน ภารกิจของเขาจะมีเหลืออยู่เพียงการคอยใช้ปัญญาศึกษาพิจารณาสถานการณ์ และเรื่องราวทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง ให้รู้เข้าใจสภาวะและเหตุปัจจัยตามเป็นจริง แล้วจัดการด้วยปัญญานั้น ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุข


แต่ตราบใด กิเลสที่บิดเบือน ครอบงำ และที่ทำให้เอนเอียงทั้งหลาย ยังบีบคั้นบังคับมนุษย์ให้เป็นทาสของมันได้ ตราบนั้น มนุษย์จะไม่สามารถแก้ปัญหาขจัดทุกข์ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายนอก หรือทุกข์ภายใน โดยมากเมื่อจะแก้ปัญหา เขามักจะกลับทำปัญหาให้ขยายตัวออกไปมากขึ้น ในรูปเดิมบ้าง ในรูปของปัญหาใหม่ๆ อื่นๆ บ้าง เมื่อถูกทุกข์บีบคั้นในภายใน แทนที่จะดับหรือสามารถลดทอนปริมาณแห่งทุกข์ให้เบาบางลงได้ด้วยปัญญา ก็กลับถูกตัณหา บีบกดให้ชดเชยออกไป ด้วยเติมทุกข์ที่ใหญ่กว่าเข้ามา หรือระบายทุกข์นั้น ออกไปให้เป็นโทษภัยแก่คนอื่นและแก่สังคม


ความทุกข์ และ ปัญหาของมนุษย์ได้เป็นมา และเป็นอยู่อย่างนี้ ตามอำนาจบงการของตัณหา ที่มีอวิชชาคอยหนุนอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ค) ชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา มีความสุขอย่างอิสระ และทำกิจด้วยกรุณา

๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ หรือภาวะหมดปัญหา เมื่อได้กล่าวถึงทุกข์หรือปัญหาพร้อมทั้งสาเหตุ ที่เป็นเรื่องร้ายไม่น่าพึงใจแล้ว
พระพุทธเจ้าก็ทรงชโลมดวงใจของเวไนยชนให้เกิดความเบาใจและให้มีความหวังขึ้น ด้วยการตรัสอริยสัจข้อที่ ๓ คือ นิโรธ บอกให้รู้ว่า ทุกข์ที่บีบคั้นนั้นดับได้ ปัญหาที่มีความกดดันนั้นแก้ไขได้ ทางออกที่น่าพึงใจมีอยู่ ทั้งนี้ เพราะสาเหตุแห่งปัญหาหรือความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่กำจัดหรือทำให้หมดสิ้นไปได้


ทุกข์หรือปัญหา ตั้งอยู่ได้ด้วยอาศัยเหตุ เมื่อกำจัดเหตุแล้ว ทุกข์ที่เป็นผล ก็พลอยดับสิ้นไปด้วย เมื่อทุกข์ดับไป ปัญหาหมดไป ก็มีภาวะหมดปัญหา มีภาวะไร้ทุกข์ปรากฏขึ้นมาอย่างเป็นไปเอง วุ่นหายกลายเป็นว่าง หลุดโล่ง โปร่งเบา ปลอดพ้นไปได้ เป็นอิสระ หมดจด สดใส โดยนัยนี้
นิโรธอริยสัจ จึงตามเข้ามาเป็นลำดับที่ ๓ ทั้งโดยความเป็นไปตามธรรมดาของกระบวนธรรมเองและ ทั้งโดยความเหมาะสมแห่งกระบวนวิธีการสอน ที่ชวนสนใจ ช่วยให้เข้าใจ สอนได้ผลดี และชวนให้ก้าวสู่การปฏิบัติเพื่อประจักษ์ผลที่เป็นจริง


เมื่อกำจัดตัณหา พร้อมทั้งกิเลสว่านเครือ ที่บีบคั้นครอบงำ และหลอนล่อจิตลงได้ จิตก็ไม่ต้องถูกทรมานด้วยความเร้าร้อน ร่านรน กระวนกระวายความหวาด หวั่น ความกระทบกระทั่ง ความหงอยเหงา และความเบื่อหน่าย ไม่ต้องหวังความสุขแบบขอไปทีเพียงด้วยการหนีหลบออกไปจากอาการเหล่า
นี้ หรือแก้ไขทุกข์ด้วยหาอะไรมากลบปิดไว้ หรือ มาทดแทน หรือหาทางระบายออกข้างนอก พอผ่านหรือพ้นไปคราวหนึ่งๆ


ด้วยการแก้ไขที่เหตุปัจจัยนี้ จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ ปลอดโปร่งโล่งเบา มีความสุขที่ไร้ใฝฝ้า ด้วยไม่ต้องสะดุดพะพานสิ่งกังวลคั่งค้างใจ สงบ สดชื่น เบิกบาน ผ่องใสได้ตลอดทุกเวลา อย่างเป็นปกติของใจ บรรลุภาวะสมบูรณ์ของชีวิตด้านใน เป็นอันสำเร็จกิจแห่ง สัจฉิกิริยา คือการประจักษ์แจ้งจุดหมาย


ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อจิตหลุดพ้นจากกิเลสที่บีบคั้นครอบงำหลอนล่อ และเงื่อนปมที่ติดข้องในภายใน เป็นอิสระ ผ่องใส โดยไม่มีอวิชชาที่จะมาแสดงอิทธิพลนำชักใยอีกต่อไปแล้ว ก็ย่อมมีความหมายว่า ปัญญาได้หลุดพ้นจากกิเลสที่บดบัง เคลือบ คลุม บิดเบือน หรือย้อมสี บริสุทธิ์เป็นอิสระ จึงทำให้สามารถคิดพิจารณาสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง มองสิ่งทั้งหลายตามสภาวะและตามเหตุปัจจัย


เมื่อไม่มีอวิชชา-ตัณหาคอยชักพาให้เขว ปัญญาก็เป็นเจ้าการในการชักนำพฤติกรรม ทำให้วางใจปฏิบัติตนแสดงออก สัมพันธ์กับโลกและชีวิต ด้วยความรู้เท่าทันความเป็นจริง นอกจากปัญญานั้น จะเป็นรากฐานแห่งความบริสุทธิ์เป็นอิสระของจิตในส่วนชีวิตด้านใน
แล้ว
ในส่วนชีวิตด้านนอก ก็ช่วยให้ใช้ความรู้ ความสามารถของตนไปในทางที่เป็นไปเพื่อการแก้ปัญหา เสริมสร้างประโยชน์สุขได้อย่างแท้จริง สติปัญญาความสามารถของเขาถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เต็มที่ของมัน ไม่มีอะไรหน่วงเหนี่ยวบิดเบน เป็นไปเพื่อความดีงามอย่างเดียว จึงเรียกว่าเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา หรือชีวิตที่ดำเนินไปด้วยปัญญา


ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อจิตใจเป็นอิสระ ปลอดโปร่ง เป็นสุขอยู่เป็นปกติเอง ไม่ห่วงไม่กังวลเกี่ยวกับตัวตน ไม่ต้องคอยแสวงหาสิ่งเสพ ไม่ต้องคอยปกป้องเสริมความมั่นคงยิ่งใหญ่ของตัวตนที่แบกถือเอาไว้ แล้ว จิตใจก็เปิดกว้าง แผ่ความรู้สึกอิสระออกไปพร้อมที่จะรับรู้สุขทุกข์ของเพื่อนสัตว์โลก และคิดเกื้อกูลช่วยเหลือ โดยนัยนี้ ปัญญา จึงได้ กรุณา มาเป็นแรงชักนำพฤติกรรมต่อไป ทำให้ดำเนินชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นได้เต็มที่


ในเมื่อไม่ยึดติดถือมั่นอะไรๆในแง่ของกิเลสที่ห่วงหาผูกพันจะเอาจะได้เพื่อ ตัวตนแล้ว ก็สามารถทำการต่างๆ ที่ดีงามบำเพ็ญกิจเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นได้แน่วแน่จริงจัง


สำหรับชีวิตด้านใน มีจิตใจเป็นอิสระ เป็นสุข ผ่องใส เบิกบาน เป็นความบริบูรณ์แห่งประโยชน์ตน เรียกว่า อัตตหิตสมบัติ ส่วนชีวิตด้านนอก ก็ดำเนินไปเพื่อเกื้อกูลแก่ผู้อื่น เรียกว่า ปรหิตปฏิบัติ เข้าคู่กัน เป็นอันครบลักษณะของผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งความหมายสูงสุดของนิโรธ


อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินในมรรคาแห่งอารยชน ไม่จำเป็นที่จะต้องรอผล จนกว่าจะบรรลุนิพพาน ที่เป็นความหมายสูงสุดของนิโรธ เมื่อเดินทางตามมรรคถูกต้องแล้ว แม้ในระหว่างทาง ก็สามารถประสบผลแห่งการปฏิบัติประจักษ์ แก่ตนได้เรื่อยไป โดยควรแก่การปฏิบัติ ทั้งได้ประโยชน์เอง และทำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ดังที่ว่าแล้วนั้น มากและสูงไปตามชั้น ด้วยว่านิโรธนั้น มีลดหลั่นลงมารวมด้วยกันถึง ๕ ระดับ คือ

๑. วิกขัมภนนิโรธ ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยข่มไว้ โดยทำจิตใจให้สงบ เยือกเย็นผ่อนคลายหายเครียด ปราศจากความขุ่นมัวเศร้าหมองหาย เร่าร้อนกระวนกระวาย ด้วยวิธีการฝ่ายสมาธิ เฉพาะอย่างยิ่งหมายเอาสมาธิในระดับฌาน ซึ่งกิเลสถูกทำให้สงบไว้ ได้เสวยนิรามิสสุขตลอดเวลาที่อยู่ในฌานนั้น

๒. ตทังคนิโรธ ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยองค์ธรรมคู่ปรับ หรือธรรมที่ตรงข้าม เฉพาะอย่างยิ่ง การรู้จักคิด รู้จักพิจารณา มีปัญญารู้เท่าทันความจริงที่เป็นธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย และจะพึงแก้ไขที่เหตุปัจจัย ไม่ขึ้นต่อความอยากความปรารถนาและความหมายมั่นยึดถือของมนุษย์ แล้ววางใจได้ถูกต้อง และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีแห่งความรู้ ความเข้าใจ ทั้งมีจิตใจเป็นอิสระ และหวังดีมีน้ำใจเมื่อปัญญานี้ เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนตรงตามสภาวะ ก็เรียกว่า วิปัสสนาปัญญา ทำให้กิเลส และความทุกข์ดับหายไปได้ตลอดชั่วเวลานั้นมีจิตใจสงบ บริสุทธิ์ เป็นสุข ผ่องใส เบิกบานใจ กับทั้งทำให้จิตประณีตและปัญญางอกงามยิ่งขึ้น

๓. สมุจเฉทนิโรธ ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยตัดขาด คือบรรลุโลกุตรมรรค ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคขึ้นไป ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยได้เสร็จสิ้นเด็ดขาดตามระดับของมรรคนั้นๆ

๔. ปฏิปัสสัทธินิโรธ ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยสงบระงับไป คือ บรรลุโลกุตรผล เป็นอริยบุคคล ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป กิเลสดับสิ้นไปแล้ว มีความบริสุทธิ์ปลอดโปร่งเป็นอิสระตามระดับของอริยบุคคลขั้นนั้นๆ

๕. นิสสรณนิโรธ ดับกิเลสด้วยสลัดออกไป หมายถึงภาวะที่เป็นอิสระปลอดโปร่งอย่างแท้จริง และโดยสมบูรณ์ คือ ภาวะแห่งนิพพาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ง) ถ้าถึงพระรัตนตรัย ก็ไม่รอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เลิกฝากตัวกับโชคชะตา

๔. มรรค คือ ทางดับทุกข์ หรือวิธีปฏิบัติเพื่อกำจัดสาเหตุแห่งปัญหา เมื่อรู้ทั้งปัญหา ทั้งสาเหตุแห่งปัญหา ทั้งจุดหมายที่เป็นภาวะหมดสิ้นปัญหา รู้ทุกอย่างครบถ้วนแล้ว ก็พร้อมและเป็นอันถึงเวลาที่จะต้องลงมือปฏิบัติ โดยเฉพาะ แง่ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดโดยตรง ก็คือ เมื่อรู้จุดหมายที่จะต้องไปให้ถึงว่าเป็นไปได้ และคืออะไรแล้ว การปฏิบัติเพื่อบรรลุจุดหมายนั้น จึงจะพลอยเป็นไปได้ด้วย
ถ้าไม่รู้ว่าจุดหมายคืออะไร จะไปไหน ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติหรือเดินทางได้อย่างไร ดังนั้น ว่าโดยความสัมพันธ์ระหว่างข้อธรรมด้วยกัน มรรคย่อมสมควรเข้าลำดับเป็นข้อสุดท้าย


อีกอย่างหนึ่ง ว่าโดยวิธีการสอน ตามธรรมดานั้น การปฏิบัติเป็นกิจที่ต้องอาศัยเรี่ยวแรงกำลัง ถ้าผู้ปฏิบัติไม่เห็นคุณค่า หรือประโยชน์ ของสิ่งที่เป็นจุดหมาย ก็ย่อมไม่มีกำลังใจจะปฏิบัติ ยิ่งถ้ารู้สึกว่าการปฏิบัตินั้นยาก ก็อาจเกิดความระย่อถ้อถอย หรือถึงกับไม่ยอมปฏิบัติ แม้หากปฏิบัติ ก็อาจทำอย่างถูกบังคับ จำใจ ฝืนใจ สักว่าทำ ไม่อาจดำเนินไปด้วยดี


ในทางตรงข้าม ถ้าเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ของสิ่งที่เป็นจุดหมายแล้ว เขาย่อมยินดีปฏิบัติ ยิ่งจุดหมายนั้นดีงาม เขาอยากได้มากเท่าใด เขาก็จะยิ่งมีกำลังใจปฏิบัติด้วยความเข้มแข็งมากเท่านั้น เมื่อเขาฉันทะจริงจังแล้ว แม้ว่าการปฏิบัติจะยากลำบากเท่าใดก็ตาม เขาก็จะพยายามต่อสู้ทำให้สำเร็จ


การที่พระพุทธเจ้าตรัสนิโรธไว้ก่อนหน้ามรรค ก็เพราะเหตุผลข้อนี้ด้วย คือ ให้ผู้ฟังมีความหวัง และเห็นคุณค่าของนิโรธที่เป็นจุดหมายนั้นก่อน จนเกิดความสนใจกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้วิธีปฏิบัติ และ พร้อมที่จะลงมือปฏิบัติต่อไป
เมื่อพระองค์ตรัสแสดงนิโรธ ให้เห็นว่า เป็นภาวะควรบรรลุถึงอย่างแท้จริงแล้ว ผู้ฟังก็ตั้งใจที่จะรับฟังมรรคด้วยใจมุ่งมั่น ที่จะเอาไปใช้เป็นข้อปฏิบัติ และทั้งมีกำลังเข้มแข็ง พร้อมที่จะลงมือปฏิบัติตามมรรค และยินดีที่จะเผชิญกับความยากลำบากในการปฏิบัติตามรรคนั้นต่อไป

เมื่อมองหาเหตุแห่งทุกข์ มนุษย์ชอบมองออกไปหาที่ซัดทอดในภายนอก หรือมองให้ไกลจากความรับผิดชอบของตนเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันใด เมื่อจะแก้ไขทุกข์ มนุษย์ก็ชอบมองออกไปข้างนอก หาที่ปกป้องคุ้มครองให้ตนพ้นภาระหรือช่วยทำการแก้ไขทุกข์แทนให้ ฉันนั้น


ว่าโดยลักษณะ การกระทำทั้งสองนั้น ก็คล้ายคลึงกัน คือ เป็นการหลบหน้าความจริง ไม่กล้ามองทุกข์ และเลี่ยงหนีการเผชิญความรับผิดชอบ เหมือนคนหนีภัยด้วยความขลาดกลัวหาที่พอปิดตาซุกหน้าไม่ให้เห็นภัยนั้น นึกเอาเหมือนว่าได้พ้นภัย ทั้งที่ทั้งร่าง ทั้งตัวถูกปล่อยทิ้งไว้ในภยันตราย

ทำทีเช่นนี้ ทำให้เกิดนิสัยหวังพึ่งปัจจัยภายนอก เช่น การอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานเซ่นสรวงสังเวย การรอคอยการดลบันดาลของเทพเจ้า หรือนอนคอยโชคชะตา
พระพุทธศาสนาสอนว่าสิ่งที่พึ่งเช่นนั้น หรือการปล่อยตัวตามโชคชะตาเช่นนั้นไม่เป็นทางแห่งความมั่นคงปลอดภัย ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์แท้จริง


วิธีแก้ไขทุกข์ที่ถูกต้อง คือ มีความมั่นใจในคุณพระรัตนตรัย ทำใจให้สงบ และเข้มแข็งแล้วใช้ปัญญา มองดูปัญหาอย่างมีใจเป็นกลาง ให้เห็นตามสภาวะของมัน และพิจารณาแก้ไขปัญหานั้นที่เหตุปัจจัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดอีกอย่างหนึ่งว่า รู้จักดำเนินวิธีแก้ไขปัญหาตามหลักอริยสัจ ๔ ประการ คือ
กำหนดทุกข์
สืบสาวหาสาเหตุแห่งทุกข์
เล็งรู้ภาวะดับทุกข์ที่จะพึงบรรลุ แล้ว
ปฏิบัติตามวิธีแก้ไขที่ตรงเหตุ ซึ่งพอดีที่จะให้บรรลุจุดหมาย เรียกว่า มรรคมีองค์ ๘
การปฏิบัติเช่นนี้ จึงจะเป็นการพ้นทุกข์ที่แท้จริง

ดังนี้ พุทธพจน์ว่า

“มนุษย์มากมายแท้ ถูกภัยคุกคามเข้าแล้ว พากันยึดเอา ภูเขาบ้าง ป่าบ้าง สวนและต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง เป็นที่พึ่ง สิ่งเหล่านั้น ไม่เป็นที่พึ่งอันเกษมได้เลย นั้นไม่ใช่สรณะอันอุดม คนยึดเอาสรณะอย่างนั้น จะพ้นไปจากสรรพทุกข์หาได้ไม่

“ส่วนผู้ใด ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ มองเห็นด้วยปัญญาโดยถ่องแท้ซึ่งทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้น ความก้าวล่วงทุกข์ และ อริยมรรคามีองค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ นี่แหละคือสรณะอันเกษม นี้คือสรณะอันอุดม คนถึงสรณะอย่างนี้แล้ว ย่อมปลอดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง” * (ขุ.ธ.25/24/46)


พระพุทธเจ้า เป็นที่ระลึกให้มั่นใจว่า มนุษย์คือเราทุกคนนี้ มีสติปัญญา ความสามารถที่อาจฝึกปรือ หรือ พัฒนาให้บริบูรณ์ได้ สามารถหยั่งรู้ธรรมบรรลุความหลุดพ้นเป็นอิสระไร้ทุกข์ ลอยเหนือโลกธรรม และมีความดีสูงเลิศที่แม้แต่เทพเจ้า และพรหมก็เคารพบูชา ดังมีพระบรมศาสดาเป็นองค์นำ

มนุษย์ทั้งหลาย ที่หวังพึ่งเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์นั้น ถ้ารู้จักฝึกอบรมตนให้ดีแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่เทวะ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะทำให้ได้ เหมือนดังที่กรรมดีและจิตปัญญาของมนุษย์เองจะสามารถทำ

พระธรรม เป็น ที่ระลึกให้มั่นใจว่า ความจริงหรือสัจธรรมเป็นภาวะที่ดำรงอยู่โดยธรรมดา สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ถ้ารู้จักมองดู รู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายตามสภาวะที่มันเป็นจริง นำความรู้ธรรมคือความจริงนั้นมาใช้ประโยชน์ ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลาย ด้วยความรู้เท่าทันสภาวะ และกระทำการที่ตัวเหตุปัจจัย ก็จะแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด เข้าถึงธรรม และมีชีวิตที่ดีที่สุด

พระสงฆ์ เป็นที่ระลึกให้มั่นใจว่า สังคมดีงามมีธรรมเป็นรากฐานประกอบด้วยสมาชิก ผู้มีจิตใจไร้ หรือห่างทุกข์ เป็นอิสระเสรี แม้มีพัฒนาการแห่งจิตปัญญา ในระดับแตกต่างกัน แต่ก็อยู่ร่วมกันด้วยดี มีความสมเสมอกันโดยธรรม มนุษย์ทุกคนมีส่วนร่วมอยู่ร่วมสร้างสังคมเช่นนี้ได้ ด้วยการรู้ธรรม และปฏิบัติตามธรรม

ถ้าไม่มีความมั่นใจในพระรัตนตรัย ก็ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก เช่น เซ่นสรวงอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนบานเทพเจ้า เป็นต้นต่อไป
แต่ถ้ามีความมั่นใจในพระรัตนตรัยแล้ว ก็เรียนรู้หลักการดับทุกข์แก้ปัญหาด้วยปัญญารู้เหตุปัจจัย ตามหลักอริยสัจ และปฏิบัติตามวิธีการพัฒนาตัวตนของมรรคในพระพุทธศาสนา

.........

ที่อ้างอิง *

พระรัตนตรัย เป็นหลักใหญ่สามเส้า ที่ชาวพุทธพึงระลึกตระหนักอยู่เสมอ คือ

๑. พุทธ - มนุษย์ (ชี้ถึงศักยภาพสูงสุด ที่มีอยู่ในมนุษย์แต่ละบุคคล)

๒. ธรรม - ธรรมชาติ (ธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย ที่รู้แล้ว จะลุธรรมที่เหนือเหตุปัจจัย)

๓. สงฆ์ - สังคม (สังคมอุดมคติ แห่งอริยชน ผู้ดำเนินอยู่ในขั้นต่างๆ แห่งการรู้ธรรม และก้าวตามวิถีแห่งพุทธะ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอแค่นี้ ถึงยังไงๆ ท่านอโศกก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะอะไร? เพราะท่านเข้าใจพุทธธรรมพ้นจากคนจากชีวิตมนุษย์ไปไกล :b13: ที่เห็นชัดคือติดในถ้อยคำติดในภาษา อิอิ :b32:

แล้วยังงี้ ท่านจะเที่ยวค้นหา ทุกข์ หาสมุทัยที่ไหนน่ะ ถ้าไม่ค้นหาที่ชีวิตจิตใจคน หือ ถามหน่อย :b9:

รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ

ร่างกาย จิตใจ

จิต เจตสิก รูป

นี่มันคน ชีวิตคนชีวิตหนึ่งๆทั้งเพทั้งระยอง :b13: รึจะเถียงว่าไม่ใช่คนเป็นต้นไม้ เป็นมะเขืออะไร ก็ว่ามา :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2016, 14:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
พอแค่นี้ ถึงยังไงๆ ท่านอโศกก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะอะไร? เพราะท่านเข้าใจพุทธธรรมพ้นจากคนจากชีวิตมนุษย์ไปไกล :b13: ที่เห็นชัดคือติดในถ้อยคำติดในภาษา อิอิ :b32:

แล้วยังงี้ ท่านจะเที่ยวค้นหา ทุกข์ หาสมุทัยที่ไหนน่ะ ถ้าไม่ค้นหาที่ชีวิตจิตใจคน หือ ถามหน่อย :b9:

รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ

ร่างกาย จิตใจ

จิต เจตสิก รูป

นี่มันคน ชีวิตคนชีวิตหนึ่งๆทั้งเพทั้งระยอง :b13: รึจะเถียงว่าไม่ใช่คนเป็นต้นไม้ เป็นมะเขืออะไร ก็ว่ามา :b9:

:b34:

ที่เห็นชัดคือติดในถ้อยคำติดในภาษา อิอิ

:b34: :b33:
คำพูดนี้น่าจะเป็นสิ่งที่กรัชกายกำลังเป็นอยู่ขณะนี้นะ

"ชีวิต"ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แล้วชีวิตมันคืออะไรล่ะ
ไปเกี่ยวข้องกับธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างไร?
ตอบมาให้ดูดีๆซิกรัชกาย

s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พอแค่นี้ ถึงยังไงๆ ท่านอโศกก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะอะไร? เพราะท่านเข้าใจพุทธธรรมพ้นจากคนจากชีวิตมนุษย์ไปไกล :b13: ที่เห็นชัดคือติดในถ้อยคำติดในภาษา อิอิ :b32:

แล้วยังงี้ ท่านจะเที่ยวค้นหา ทุกข์ หาสมุทัยที่ไหนน่ะ ถ้าไม่ค้นหาที่ชีวิตจิตใจคน หือ ถามหน่อย :b9:

รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ

ร่างกาย จิตใจ

จิต เจตสิก รูป

นี่มันคน ชีวิตคนชีวิตหนึ่งๆทั้งเพทั้งระยอง :b13: รึจะเถียงว่าไม่ใช่คนเป็นต้นไม้ เป็นมะเขืออะไร ก็ว่ามา :b9:


ที่เห็นชัดคือติดในถ้อยคำติดในภาษา อิอิ

คำพูดนี้น่าจะเป็นสิ่งที่กรัชกายกำลังเป็นอยู่ขณะนี้นะ

"ชีวิต"ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แล้วชีวิตมันคืออะไรล่ะ
ไปเกี่ยวข้องกับธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างไร?
ตอบมาให้ดูดีๆซิกรัชกาย


นี่แหละติดในภาษาในถ้อยคำคำพูด แสดงให้เห็นว่า ที่ศึกษามาเปล่าประโยชน์ เพ้อเจ้อธรรม ฟุ้งซ่านธรรม :b32:

ถามนะตอบสั้นๆ ตรงๆ

รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ

ร่างกาย จิตใจ

จิต เจตสิก รูป


ส่ิ่งมีชีวิตไหม มีช้อยให้เลือก

1. มีชีวิต (ชีวิตินทรีย์) เคลื่อนไหวไปมาได้ :b1:

2. ไร้ชีวิตเป็นเหมือนขอนไม้ แข็งทื่อดุจก้อนห้อน เคลื่อนไหวไปมาไม่ได้ เหมือนหุ้นขี้ผึ้ง จะไปไหนก็ใช้คนทีทีชีวิตยกไป ดังคนตายไร้ชีวิตินทรีย์ เช่นท่านอโศกตายแล้วไม่มีวิญญาณครองแล้ว จะเอาไปเผาก็หามไป

ตอบข้อไหน 1 หรือ 2

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 08:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




อริยสัจ 4_resize.jpg
อริยสัจ 4_resize.jpg [ 58.29 KiB | เปิดดู 1374 ครั้ง ]
wink
ขะยั้นขยอดึงดัน บังคับทั้งทางตรงทางอ้อมจะให้ตอบว่า ธรรมะคือชีวิต ให้ได้ สิ่งที่ตนถูกถามกลับไม่ยอมตอบ
อย่างนี้เรียกว่าคนเห็นแต่ได้เอาตามใจตัวเองอย่างเดียว

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก็คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ชีวิตก็คือชีวิต

เรื่องของชีวิตทั้งหมดไม่ใช่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

แต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับชีวิตด้วยแน่นอน
แต่ไม่เกี่ยวทุกแง่มุม

:b9:
พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับ(เหตุ)ทุกข์
วิธีทำให้ถึงความดับ(เหตุ)ทุกข์


ยืนยันแค่นี้
ไม่ต้องมาถามให้เป็นอย่างอื่นอีก
:b39:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
wink
ขะยั้นขยอดึงดัน บังคับทั้งทางตรงทางอ้อมจะให้ตอบว่า ธรรมะคือชีวิต ให้ได้ สิ่งที่ตนถูกถามกลับไม่ยอมตอบ
อย่างนี้เรียกว่าคนเห็นแต่ได้เอาตามใจตัวเองอย่างเดียว

[size=150]ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก็คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ชีวิตก็คือชีวิต

เรื่องของชีวิตทั้งหมดไม่ใช่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

แต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับชีวิตด้วยแน่นอน
แต่ไม่เกี่ยวทุกแง่มุม

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับ(เหตุ)ทุกข์
วิธีทำให้ถึงความดับ(เหตุ)ทุกข์

ยืนยันแค่นี้
ไม่ต้องมาถามให้เป็นอย่างอื่นอีก
:


อ้างคำพูด:
แต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับชีวิตด้วยแน่นอน
แต่ไม่เกี่ยวทุกแง่มุม

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับ(เหตุ)ทุกข์
วิธีทำให้ถึงความดับ(เหตุ)ทุกข์

ยืนยันแค่นี้
ไม่ต้องมาถามให้เป็นอย่างอื่นอีก


คิกๆๆ ตอบนะ ถามชัดๆแล้วตอบชัดๆด้วยนะ

ท่านอโศกค้นหาทุกข์, ค้นหาเหตุแห่งทุกข์ และวิธีดับที่ทุกข์ที่ไหน ถ้าไม่ใช้ชีวิตนี้ค้นหาหาทุกข์เป็นต้นที่ชีวิตซึ่งกำลังเป็นอยู่เป็นไปนี้ ตอบ :b32:

ตอบชัดๆ ค้นที่ไหนถ้าไม่ค้นหาที่ชีวิตนี้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
wink
ขะยั้นขยอดึงดัน บังคับทั้งทางตรงทางอ้อมจะให้ตอบว่า ธรรมะคือชีวิต ให้ได้ สิ่งที่ตนถูกถามกลับไม่ยอมตอบ
อย่างนี้เรียกว่าคนเห็นแต่ได้เอาตามใจตัวเองอย่างเดียว

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก็คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ชีวิตก็คือชีวิต

เรื่องของชีวิตทั้งหมดไม่ใช่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

แต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับชีวิตด้วยแน่นอน
แต่ไม่เกี่ยวทุกแง่มุม

:b9:
พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับ(เหตุ)ทุกข์
วิธีทำให้ถึงความดับ(เหตุ)ทุกข์


ยืนยันแค่นี้
ไม่ต้องมาถามให้เป็นอย่างอื่นอีก
:b39:


นี่ใช่ชีวิตคนชีวิตหนึ่งๆไหม ตอบ

อ้างคำพูด:
รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ

ร่างกาย จิตใจ

จิต เจตสิก รูป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร