วันเวลาปัจจุบัน 26 ก.ค. 2025, 11:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2016, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงจำแนกไว้โดยละเอียด
เพื่อให้จิตแต่ละดวงสามารถเทียบเคียงจิตตนเองที่เข้าถึงความจริงแล้วตามแปลน
พระองค์ทรงสร้างแปลนไว้ให้เรียบร้อยแล้วไม่ควรไปแต่งต่อเติมใหม่ผิดแบบแปลน
ต้องเริ่มจากลงรากฐานตามลำดับก่อร่างสร้างตัวค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ
ไม่ใช่ไปสร้างหลังคา ไปสร้างขื่อ ไปสร้างชิ้นส่วน แล้วจับมาประกอบแบบจิ๊กซอร์
แต่เป็นการประกอบกันที่ไม่มีการแยกส่วนต้องอาศัยค่อยๆเรียนรู้ทีละน้อยที่มั่นคงค่ะ
เพราะทรงแสดงว่าสัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น
รู้แล้วให้วาง จงตามดูรู้เท่าทันจิตตนที่อารมณ์ปัจจุบันขณะเป็นสัจจญาณที่เข้าถึงความจริง
ที่ไม่สามารถกำหนดกฏเกณฑ์ใดๆให้เป็นไปตามที่กำหนดเพราะเลือกไม่ได้ว่าจะรู้สิ่งใดก่อนค่ะ
:b17:
:b16: :b16:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2016, 12:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ทางออกสู่นิพพาน2_resize.jpg
ทางออกสู่นิพพาน2_resize.jpg [ 41.02 KiB | เปิดดู 2716 ครั้ง ]
Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงจำแนกไว้โดยละเอียด
เพื่อให้จิตแต่ละดวงสามารถเทียบเคียงจิตตนเองที่เข้าถึงความจริงแล้วตามแปลน
พระองค์ทรงสร้างแปลนไว้ให้เรียบร้อยแล้วไม่ควรไปแต่งต่อเติมใหม่ผิดแบบแปลน
ต้องเริ่มจากลงรากฐานตามลำดับก่อร่างสร้างตัวค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ
ไม่ใช่ไปสร้างหลังคา ไปสร้างขื่อ ไปสร้างชิ้นส่วน แล้วจับมาประกอบแบบจิ๊กซอร์
แต่เป็นการประกอบกันที่ไม่มีการแยกส่วนต้องอาศัยค่อยๆเรียนรู้ทีละน้อยที่มั่นคงค่ะ
เพราะทรงแสดงว่าสัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น
รู้แล้วให้วาง จงตามดูรู้เท่าทันจิตตนที่อารมณ์ปัจจุบันขณะเป็นสัจจญาณที่เข้าถึงความจริง
ที่ไม่สามารถกำหนดกฏเกณฑ์ใดๆให้เป็นไปตามที่กำหนดเพราะเลือกไม่ได้ว่าจะรู้สิ่งใดก่อนค่ะ
:b17:
:b16: :b16:
onion onion onion

:b38:
อนุโมทนากับความปารถนาดีของคุณRosarin
แต่การพยายามอธิบายขยายความธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้และเข้าใจง่ายยิ่งขึ้นนั้นเป็นงานที่พุทธสาวกทั้งหลายควรช่วยกันทำนะครับ

สังเกตดูให้ดีสิครับ ประเด็นในภาพแผนภูมิเหล่านั้น
ไม่ได้ออกนอกแนวทางของอริยสัจ 4 คือเรื่องของ
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับทุกข์
และวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์
โปรดพิจารณาให้ดีๆอีกทีนะครับ
onion
กรุณาพิจารณารูปข้างบนนี้แล้วช่วยชี้บอกว่าอันไหนนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้างครับ
s006
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2016, 18:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เกินพระพุทธเจ้าแน่นอนคับ..

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า...ไม่เคยบอกว่า...มรณะเป็นปัจจัย..อวิชชาจึงมี..

นะ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2016, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ลึกลงไปอีกหน่อย :b1:

อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิแล้วมีเสียงเพลงในหัวเป็นท่อนฮุคของเพลง มีวิธีแก้มั้ยครับ

นั่งสมาธิแล้วมีเสียงเพลงในหัวเป็นท่อนฮุคของเพลง วนอยู่ตลอด

กลายเป็นว่าในหัวหนักกว่าก่อนนั่งสมาธิซะอีก มีวิธีแก้มั้ยครับ


http://pantip.com/topic/35563989


เรื่องของชีวิตจิตใจ ซับซ้อนลึกซึ้ง ถ้ามันง่ายๆ คนเป็นอรหันต์กันหมดแล้ว :b32:

s004
กรัชกายพูดจาดูฉลาดเฉลียวในหลายเรื่อง แต่บางเรื่องดูคล้ายกับคนปัญญาอ่อน
มีใครที่ไหนกันเขาจะแบกชาร์ทเข้าไปใช้เป็นคู่มือปฏิบัติในถ้ำ
ชาร์ทเขาเอาไว้สอนประกอบภาคปริยัติ ทำให้รู้และเข้าเรื่องต่างๆได้โดยง่าย ไม่ต้องไปอ่านตำราเป็นเล่มๆ เข้าใจดีแล้วจึงลงมือปฏิบัติ
onion
นั่งสมาธิแล้วมีเสียงเพลงในหัว เพราะมีอุปาทานหรือยึดแน่นในเพลงจนจะเป็นกสิณ นี่ถือเป็นอุทธัจจะนิวรณ์ได้อย่างหนึ่ง
วิธีแก้โดยไม่ถอยมี 2 ทาง
1.บังคับจิตให้ย้ายไปจับยึดอยู่กับกรรมฐาน เช่นท่องคำว่า
"ได้ยินหนอ ๆๆๆๆๆๆๆ หรือ พุทโธๆๆๆๆๆๆ ถี่ๆจนเสียงเพลงในหัวดับไปหรือเปลี่ยนไป นี่เรียกว่า "สมถะวิธี" วิธีนี้เป็นการหลบหรือกลบบังปัญหานี้ไว้ชั่วคราว
2.นิ่งรู้นิ่งสังเกตเสียงเพลงที่ก้องอยู่ในหัวนั้นไปเรื่อยๆ ให้ทันปัจจุบัน ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องไปพยายามแก้ไขอะไรทั้งนั้นให้มีแต่รู้ทันและสังเกตอยู่เฉยๆ จนมันหมดกำลังแห่งเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดเสียงนั้น เสียงนั้นก็จะดับไปเองเปลี่ยนเป็นอารมณ์อื่น นี่เรียกว่า "วิปัสสนาวิธี" วิธีนี้อาการนี้และกับทุกอาการจะหายขาดไม่กลับมาเกิดอีก
onion


อ้างคำพูด:
กรัชกายพูดจาดูฉลาดเฉลียวในหลายเรื่อง แต่บางเรื่องดูคล้ายกับคนปัญญาอ่อน


ช่างเหน็บแนมแกมประชด คิกๆๆ :b32:


อ้างคำพูด:
มีใครที่ไหนกันเขาจะแบกชาร์ทเข้าไปใช้เป็นคู่มือปฏิบัติในถ้ำ
ชาร์ทเขาเอาไว้สอนประกอบภาคปริยัติ ทำให้รู้และเข้าเรื่องต่างๆได้โดยง่าย ไม่ต้องไปอ่านตำราเป็นเล่มๆ เข้าใจดีแล้วจึงลงมือปฏิบัติ


เรื่องชีวิตจิตใจ ต้องเรียนจากชีวิตจริง ตย. เช่น เขาบอกว่าตากแดดร้อนนะ ผู้ฟังก็ต้องออกจากห้องแอร์ไปเดินกลางแดด แล้วเขาก็รู้ด้วยตนเองว่า อ๋อ อาการร้อนมันเป็นงี้นี่เอง ดังนี้เป็นต้น

เอาอีกสักตัวอย่างเถอะน่า มีทั้งหนังสือตำรา กาย เวทนา จิต ธรรม มีครบเลย อีกทั้งเป็น นศ.แพทย์ด้วย แล้วเป็นไงพินาดู :b1:


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่

ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการ กระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2016, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ลึกลงไปอีกหน่อย :b1:

อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิแล้วมีเสียงเพลงในหัวเป็นท่อนฮุคของเพลง มีวิธีแก้มั้ยครับ

นั่งสมาธิแล้วมีเสียงเพลงในหัวเป็นท่อนฮุคของเพลง วนอยู่ตลอด

กลายเป็นว่าในหัวหนักกว่าก่อนนั่งสมาธิซะอีก มีวิธีแก้มั้ยครับ


http://pantip.com/topic/35563989


เรื่องของชีวิตจิตใจ ซับซ้อนลึกซึ้ง ถ้ามันง่ายๆ คนเป็นอรหันต์กันหมดแล้ว :b32:

s004
กรัชกายพูดจาดูฉลาดเฉลียวในหลายเรื่อง แต่บางเรื่องดูคล้ายกับคนปัญญาอ่อน
มีใครที่ไหนกันเขาจะแบกชาร์ทเข้าไปใช้เป็นคู่มือปฏิบัติในถ้ำ
ชาร์ทเขาเอาไว้สอนประกอบภาคปริยัติ ทำให้รู้และเข้าเรื่องต่างๆได้โดยง่าย ไม่ต้องไปอ่านตำราเป็นเล่มๆ เข้าใจดีแล้วจึงลงมือปฏิบัติ
onion
นั่งสมาธิแล้วมีเสียงเพลงในหัว เพราะมีอุปาทานหรือยึดแน่นในเพลงจนจะเป็นกสิณ นี่ถือเป็นอุทธัจจะนิวรณ์ได้อย่างหนึ่ง
วิธีแก้โดยไม่ถอยมี 2 ทาง
1.บังคับจิตให้ย้ายไปจับยึดอยู่กับกรรมฐาน เช่นท่องคำว่า
"ได้ยินหนอ ๆๆๆๆๆๆๆ หรือ พุทโธๆๆๆๆๆๆ ถี่ๆจนเสียงเพลงในหัวดับไปหรือเปลี่ยนไป นี่เรียกว่า "สมถะวิธี" วิธีนี้เป็นการหลบหรือกลบบังปัญหานี้ไว้ชั่วคราว
2.นิ่งรู้นิ่งสังเกตเสียงเพลงที่ก้องอยู่ในหัวนั้นไปเรื่อยๆ ให้ทันปัจจุบัน ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องไปพยายามแก้ไขอะไรทั้งนั้นให้มีแต่รู้ทันและสังเกตอยู่เฉยๆ จนมันหมดกำลังแห่งเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดเสียงนั้น เสียงนั้นก็จะดับไปเองเปลี่ยนเป็นอารมณ์อื่น นี่เรียกว่า "วิปัสสนาวิธี" วิธีนี้อาการนี้และกับทุกอาการจะหายขาดไม่กลับมาเกิดอีก



แหย่ช่องนี้ที จะออกช่องไหน :b14:

อ้างคำพูด:
ชาร์ทเขาเอาไว้สอนประกอบภาคปริยัติ ทำให้รู้และเข้าเรื่องต่างๆได้โดยง่าย ไม่ต้องไปอ่านตำราเป็นเล่มๆ

เข้าใจดีแล้วจึงลงมือปฏิบัติ


เข้าใจแล้วว่าชาร์ทเอาไว้ประกอบการสอนภาคปริยัติ....ทีนี้เมื่อนักศึกษาเข้าใจตามนั้นแล้วแล้วให้เขาไปลงมือปฏิบัติ (เข้าถ้ำ...) ให้ปฏิบัติยังไงล่ะ :b1: :b10: จึงเดินออกจากถ้ำด้วยความเรียบร้อยหน้าตาเบิกบานเข้าใจชีวิต โดยไม่แก้ผ้าวิ่งออกร้องโวกแวก ข้าฯบรรลุแล้วโว้ยยยๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2016, 20:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ชาวพุทธ

เราจะทำความเป็นชาวพุทธของเราให้สมบูรณ์ได้อย่างไร?

ก.ความรู้พื้นฐานที่ควรมี

1.ยาก 5 อย่าง

2.ทาง 5 เส้น

3.บุคคล 5 จำพวก

4.โอวาทปาติโมกข์

ละชั่ว

ทำดี

ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ

5.หัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้า

อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา วิปัสสนาภาวนา ปัจจุบันอารมณ์

6.บุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง

7.โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ

สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5 พละ 5

โพชงค์ 7

มรรค 8

8.ศัพท์และธรรมอื่นที่ควรรู้

ทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 กิเลส ตัณหา อัตตา โลภะ โทสะ โมหะ หิริ โอตัปปะ บาป บุญ อุปาทาน สังโยชน์ 10 นิพพาน

สมมุติ บัญญัติ ปรมัตถธรรม อภิธรรม โลกียะ โลกุตร โลกุตรธรรม 9 กรรม วิบาก เหตุ ปัจจัย ผล โอฆะทั้ง 4

อาสวะทั้ง 4 อุปกิเลส 10

ชาวพุทธ

เราจะทำความเป็นชาวพุทธของเราให้สมบูรณ์ได้อย่างไร?

ก.ความรู้พื้นฐานที่ควรมี

1.ยาก 5 อย่าง

2.ทาง 5 เส้น

3.บุคคล 5 จำพวก

4.โอวาทปาติโมกข์

ละชั่ว

ทำดี

ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ

5.หัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้า

อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา วิปัสสนาภาวนา ปัจจุบันอารมณ์

6.บุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง

7.โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ

สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5 พละ 5

โพชงค์ 7

มรรค 8

8.ศัพท์และธรรมอื่นที่ควรรู้

ทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 กิเลส ตัณหา อัตตา โลภะ โทสะ โมหะ หิริ โอตัปปะ บาป บุญ อุปาทาน สังโยชน์ 10 นิพพาน

สมมุติ บัญญัติ ปรมัตถธรรม อภิธรรม โลกียะ โลกุตร โลกุตรธรรม 9 กรรม วิบาก เหตุ ปัจจัย ผล โอฆะทั้ง 4

อาสวะทั้ง 4 อุปกิเลส 10


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2016, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
รูปภาพ
onion
กรุณาพิจารณารูปข้างบนนี้แล้วช่วยชี้บอกว่าอันไหนนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้างครับ
s006


กบนอกกะลา เขียน:
เกินพระพุทธเจ้าแน่นอนคับ..

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า...ไม่เคยบอกว่า...มรณะเป็นปัจจัย..อวิชชาจึงมี..

นะ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2016, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
ชาวพุทธ

เราจะทำความเป็นชาวพุทธของเราให้สมบูรณ์ได้อย่างไร?

ก.ความรู้พื้นฐานที่ควรมี

1.ยาก 5 อย่าง

2.ทาง 5 เส้น

3.บุคคล 5 จำพวก

4.โอวาทปาติโมกข์

ละชั่ว

ทำดี

ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ

5.หัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้า

อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา วิปัสสนาภาวนา ปัจจุบันอารมณ์

6.บุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง

7.โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ

สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5 พละ 5

โพชงค์ 7

มรรค 8

8.ศัพท์และธรรมอื่นที่ควรรู้

ทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 กิเลส ตัณหา อัตตา โลภะ โทสะ โมหะ หิริ โอตัปปะ บาป บุญ อุปาทาน สังโยชน์ 10 นิพพาน

สมมุติ บัญญัติ ปรมัตถธรรม อภิธรรม โลกียะ โลกุตร โลกุตรธรรม 9 กรรม วิบาก เหตุ ปัจจัย ผล โอฆะทั้ง 4

อาสวะทั้ง 4 อุปกิเลส 10

ชาวพุทธ

เราจะทำความเป็นชาวพุทธของเราให้สมบูรณ์ได้อย่างไร?

ก.ความรู้พื้นฐานที่ควรมี

1.ยาก 5 อย่าง

2.ทาง 5 เส้น

3.บุคคล 5 จำพวก

4.โอวาทปาติโมกข์

ละชั่ว

ทำดี

ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ

5.หัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้า

อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา วิปัสสนาภาวนา ปัจจุบันอารมณ์

6.บุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง

7.โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ

สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5 พละ 5

โพชงค์ 7

มรรค 8

8.ศัพท์และธรรมอื่นที่ควรรู้

ทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 กิเลส ตัณหา อัตตา โลภะ โทสะ โมหะ หิริ โอตัปปะ บาป บุญ อุปาทาน สังโยชน์ 10 นิพพาน

สมมุติ บัญญัติ ปรมัตถธรรม อภิธรรม โลกียะ โลกุตร โลกุตรธรรม 9 กรรม วิบาก เหตุ ปัจจัย ผล โอฆะทั้ง 4

อาสวะทั้ง 4 อุปกิเลส 10



ก่อนหน้าบอก เอาย่อๆ (ชาร์ท) ไม่ต้องดูทั้งเล่ม รู้แล้วปฏิบัติเลย คคห.นี้เล่นมาทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์เลย

พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย เฆียนด้วยหางกะเบนอีกสักทีนะ :b1: :b13:

ท่านอโศกยังหาที่ให้ใจลงไม่ได้เลย ไม่รู้จะเอายังไงกะชีวิตที่เหลือดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2016, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศก

https://www.youtube.com/watch?v=M_AKo8Eb-vU

อีก

https://www.youtube.com/watch?v=femTH2lIlbk


ถ้ามันง่ายๆคนเป็นอรหันต์กันไปหมดแล้ว :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2016, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีกสัก ตย. :b1:


อ้างคำพูด:
ขณะสวดมนต์แล้วได้เอนตัวลงนอนอย่างมีสติ...ได้บริกรรมพอง กับ ยุบ ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไร...จนหลับไปไม่รู้ตัว...ระยะหนึ่ง...จิตได้เกิดกลางดึก คือ มีสติรู้ขึ้นมาทันทีของการพองยุบของท้อง และรู้สึกว่ามีนิ้วมือมากดที่สะดือแรงมาก เวลาที่พองออก ท้องก็จะพองออกมาก มือที่กดก็จะแรงไปตามการพองและยุบ จนรู้สึกกลัวมากเหมือนไส้จะหลุดออกมา.. แต่ผมก็พยายามดึงสติให้อยู่กับคำบริกรรมพอง ยุบอีก แต่พยายามแล้วจิตก็ทนไม่ได้ จิตสั่นไปหมดเหมือนท้องจะแตก จิตคิดตอนนั้นครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2016, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศก ฟังคำอธิบายปฏิจจสมุปบาท โดย อ.เสถียร โพธินันทะ บ้างสิขอรับ :b1:

https://www.youtube.com/watch?v=OvdpHfXdE9E

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2016, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จขกท. ใช้ชื่อ modran นำเรื่องที่เค้าเล่ามาเล็กน้อย เช่น



การขอคำปรึกษาเรื่องอาการที่เกิดจากการฝึกสมาธิในที่สาธารณะแบบนี้ถือว่าสมควรไหม




มีความรู้เรื่องพุทธศาสนาน้อยมาก จึงกังวลไปทั่วทุกอย่างค่ะ
ไปฝึกแล้วเป็นโรคจิต (ตามที่หมอบอกจากอาการที่เราเป็น)
นั่งอ่านตามเว็บไซต์ ก็ไม่เห็นมีคนพูดกันว่าเจออะไรบ้าง จึงไม่แน่ใจว่ามันควรพูดไหม เดี๋ยวเจอข้อหาโทษศาสนา



ตอนแรก ดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน
แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลยจึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้ พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก

ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ
ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ
ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีกเพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย
เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล
และก็รักษาจนรู้ตัว และเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง

แต่ยังมีอาการอย่างหนึ่งที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะเพราะมันคลายหูแว่วแต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)

กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร
เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอก ต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ
ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ
เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก

แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้


จขกท.เล่าต่อที่

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2016, 06:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
คุณกรัชกายคอยเอาแต่ปัญหาที่เกิดกับผู้ปฏิบัติแต่ละคนมาคิดแก้ไข และแนะนำไป มันเป็นงานที่ไม่รู้จบ ได้แต่ความเหน็ดเหนื่อย
อุปมาเหมือนคนที่มีแต่แจกปลาแต่ไม่ได้สอนคนที่ทุกข์หิวโหยเหล่านั้นให้รู้จักวิธีจับปลา

ต่อไปนี้พึงสอนวิธีจับปลาคือ

สอนหลักการภาวนา และหลักการแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการภาวนา ให้ผู้ปฏิบัติทุกคนเมื่อพบปัญหาจะรู้จักปัญหาและแก้ไขได้ด้วยตนเอง

ลองดูตัวอย่างจากเรื่องต่อไปนี้

รวมสนทนาธรรมในกลุ่มลานธรรมจักร

เวลาตี 3 ถึงตี 5 ท่านเรียกว่า "สุญญกาเล" เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการเจริญวิปัสสนาภาวนาและเหมาะกับการบรรลุธรรมครับ

การเรียนธรรมะที่ถูกวิธีต้องเรียนทฤษฎีควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริงจึงจะได้ผลและมีประสิทธิภาพ

มากเรื่องหรือเกือบทั้งหมดของธรรมต้องสัมผัสความจริงก่อน

แล้วมาฟังอธิบายจึงจะเข้าใจและแตกฉานถ้าทฤษฎีนำหน้ามาก มักจะทำให้เกิดความฟุ้งซ่านและมานะใหญ่

ถ้าปฏิบัติล้ำหน้ามาก มักจะติดสงบติดกรรมฐานปัญญาเจริญช้า


ต้องปฎิบัติ มากๆหรอคะ


ต้องมีสมดุลย์หนุนกันไปทุกระดับชั้น


อ่อ ค่ะ


ต้องทำความ "รู้ถูกต้อง"

ในคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าให้ได้ก่อนเป็นสำคัญครับ

คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าคืออะไรน้องนัททราบไหมครับ


คิดดี ทำดี พูดดี


นั่นหยาบและพื้นๆจนเกินไปครับ


คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าคือหัวใจการค้นพบของ

พระพุทธเจ้านั้นเลยทีเดียว


รู้จักหัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้าไหมครับ?


หัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้ามีเรื่องเดียวแล้วธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ก็งอกไปจากนี้ครับ

ใครได้หัวใจของพระพุทธเจ้าไปแล้วจะไม่มีเดินหลงทางและไม่ถูกใครหลอกได้ไปตลอดชีวิตเลยครับ

หัวใจหรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอนคือ ......อริยสัจ 4......ใครรู้อริยสัจ 4 อย่างถูกต้อง ละเอียดลึกซึ้ง จะได้รู้ทั้งทฤษฎีและหลักปฏิบัติธรรมจบสมบูรณ์เบ็ดเสร็จไปใน

นั้นครบหมดเลยครับ


น้องนัท รู้ละเอียดลึกซึ้งหรือยังครับ?


อุชุปฏิปันโนแปลว่าอะไรตามบาลี?

อุชุ=ตรง

ปฏิปันโน=ปฏิบัติ(เท่านั้น)

อุชุปฏิปันโน=ปฏิบัติตรง

ตรงในที่นี่คือตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนว่าอย่างไร?

พระองค์ทรงสอนว่า

ทุกข์...พึงกำหนดรู้

สมุทัย...ควรละ

นิโรธ....พึงทำให้แจ้ง

มรรค....ควรเจริญ

อีกคำหนึ่งคือ

"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ ผลก็ดับ" (สรุปมาจาก

"พระสมณโคดมทรงแสดงเหตุนั้น และวิธีดับเหตุนั้น")

ใครที่เห็นตรงตามอริสัจ 4 แล้วนั่นคือ "อุชุปฏิปันโนบุคคล" จะไม่มีเดินออกนอกทางสายนี้ จะไม่มีใครหลอกได้ และจะไม่พูดมั่วๆไปในเรื่องอื่นที่คนธรรมดาสามัญจะพึงฟังเข้า

ใจได้โดยง่าย

ทุกข์ ถูกปิดบังไว้ด้วยอิริยาบถ 4

การจะทำให้ทุกขสัจจะปรากฏขึ้นมาในกายในจิต

จึงต้องภาวนาอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบทหนึ่งให้นานๆจน

สภาวทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเองในกายเป็นปัจจุบัน

อารมณ์จากนั้นจึงให้สติเขาระลึกรู้เอาหลักการเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือหลักการเจริญมรรค 8 หรือหลักการเจริญสติปัฏฐาน 4 ขึ้นมาทำงานตามธรรมชาติ คือ สติคอยรู้ทันปัจจุบันอารมณ์

ปัญญาสัมมาทิฏฐิคอยตามเห็นตามดูตามรู้ ปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาสัมมาสังกัปปะ คอยตามสังเกต(ไม่ใช้ความคิด) พิจารณา(ใช้ความคิด)ปัจจุบันอารมณ์นั้น


ทุกข์ทางใจละครับจะพิจารณาอย่างไร


เมื่อปัจจุบันอารมณ์นั้นเป็นทุกข์ เช่น ความเจ็บปวดที่ ก้น ปัญญาจะเห็น รู้ สักเกตอยู่ที่ก้น คือกายหรือรูป สังเกตไปนานๆ จะได้เห็นหรือรู้ว่าก้นหรือรูปอันเป็นของหยาบนี้ไม่เดือดร้อน แต่ผู้ที่เดือดร้อนคือ ใจ ความเจ็บที่ก้นจะกลายเป็นอดีต ความเดือดร้อนที่ใจจะมาเป็นปัจจุบันอารมณ์แทนสติ รู้ทัน ปัญญาตามดูสังเกตต่อไปทันทีนี่สติปัญญาจะเริ่มคม ลึกละเอียดขึ้น จากการรู้ของหยาบแค่รูปถ้ามีวิริยะจดจ่อ อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ สมาธิที่มีกำลังสูงก็จะเกิดขึ้นมาเอง แล้วไปรู้ นาม คือใจที่ทุกข์ทรมาณ=นาม รู้ รูป แล้วนาม รู้นาม

ทุกข์เจ็บที่ก้น เป็นเวทนาทางกาย ทุกข์ที่เกิดกับใจ เป็นเวทนาทางจิต คือโทมนัส คือความยินร้าย

สติปัฏฐานก็มีงานทำ

งานก็คือ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" คือ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

จะเอาความยินดียินร้ายออกอย่างไร?

ความยินดียินร้าย เป็นเวทนาทางจิต คือโสมนัสและโทมนัส นั่นเอง การจะเอาออกนั้นก็ต้องใช้วิชาวิปัสสนาภาวนาที่พระพุทธเจ้า

ทรงสอนไว้คือต้องพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง

อนัตตาของความยินดียินร้ายและสิ่งที่ไปยินดียินร้ายเพื่อให้จิตใจคลายและหลุดพ้นจากความเห็นผิดยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

ในทางการปฏิบัติภาวนาจริงๆนั้นเราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ขอให้เพียงแต่เรามีหลักการภาวนาให้สติระลึกรู้และปัญญาทำ

ตามว่า

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"


ถ้าทำได้เช่นนี้กระบวนการทางธรรมชาติในกายและจิตเขาจะทำงานต่อไปโดยอัตโนมัติและเป็นไปตามหลักสติปัฏฐาน 4 มรรค 8 และโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ


ผลที่จะได้รับและเห็นชัดคือ สามารถวางความยินดียินร้ายได้แล้วมีความเฉยเกิดขึ้นมาแทน

ในทุกการกระทบสัมผัสของทวารทั้ง 6 เมื่อมีแต่เฉยเกิดขึ้น กรรมต่างๆก็ไม่เกิดขึ้นได้ด้วยอารมณ์แต่จะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผล

ตามธรรมชาติตามเหตุปัจจัยและวิบากของธาตุขันธ์โดยไม่ก่อให้

เกิด บาปอกุศล มีแต่กุศลกรรมและกรรมที่เป็นอโหสิกรรมคือไม่ต้องรับผล

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2016, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
คุณกรัชกายคอยเอาแต่ปัญหาที่เกิดกับผู้ปฏิบัติแต่ละคนมาคิดแก้ไข และแนะนำไป มันเป็นงานที่ไม่รู้จบ ได้แต่ความเหน็ดเหนื่อย
อุปมาเหมือนคนที่มีแต่แจกปลาแต่ไม่ได้สอนคนที่ทุกข์หิวโหยเหล่านั้นให้รู้จักวิธีจับปลา

ต่อไปนี้พึงสอนวิธีจับปลาคือ

สอนหลักการภาวนา และหลักการแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการภาวนา ให้ผู้ปฏิบัติทุกคนเมื่อพบปัญหาจะรู้จักปัญหาและแก้ไขได้ด้วยตนเอง

ลองดูตัวอย่างจากเรื่องต่อไปนี้

รวมสนทนาธรรมในกลุ่มลานธรรมจักร

เวลาตี 3 ถึงตี 5 ท่านเรียกว่า "สุญญกาเล" เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการเจริญวิปัสสนาภาวนาและเหมาะกับการบรรลุธรรมครับ

การเรียนธรรมะที่ถูกวิธีต้องเรียนทฤษฎีควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริงจึงจะได้ผลและมีประสิทธิภาพ

มากเรื่องหรือเกือบทั้งหมดของธรรมต้องสัมผัสความจริงก่อน

แล้วมาฟังอธิบายจึงจะเข้าใจและแตกฉานถ้าทฤษฎีนำหน้ามาก มักจะทำให้เกิดความฟุ้งซ่านและมานะใหญ่

ถ้าปฏิบัติล้ำหน้ามาก มักจะติดสงบติดกรรมฐานปัญญาเจริญช้า


ต้องปฎิบัติ มากๆหรอคะ


ต้องมีสมดุลย์หนุนกันไปทุกระดับชั้น


อ่อ ค่ะ


ต้องทำความ "รู้ถูกต้อง"

ในคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าให้ได้ก่อนเป็นสำคัญครับ

คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าคืออะไรน้องนัททราบไหมครับ


คิดดี ทำดี พูดดี


นั่นหยาบและพื้นๆจนเกินไปครับ


คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าคือหัวใจการค้นพบของ

พระพุทธเจ้านั้นเลยทีเดียว


รู้จักหัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้าไหมครับ?


หัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้ามีเรื่องเดียวแล้วธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ก็งอกไปจากนี้ครับ

ใครได้หัวใจของพระพุทธเจ้าไปแล้วจะไม่มีเดินหลงทางและไม่ถูกใครหลอกได้ไปตลอดชีวิตเลยครับ

หัวใจหรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอนคือ ......อริยสัจ 4......ใครรู้อริยสัจ 4 อย่างถูกต้อง ละเอียดลึกซึ้ง จะได้รู้ทั้งทฤษฎีและหลักปฏิบัติธรรมจบสมบูรณ์เบ็ดเสร็จไปใน

นั้นครบหมดเลยครับ


น้องนัท รู้ละเอียดลึกซึ้งหรือยังครับ?


อุชุปฏิปันโนแปลว่าอะไรตามบาลี?

อุชุ=ตรง

ปฏิปันโน=ปฏิบัติ(เท่านั้น)

อุชุปฏิปันโน=ปฏิบัติตรง

ตรงในที่นี่คือตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนว่าอย่างไร?

พระองค์ทรงสอนว่า

ทุกข์...พึงกำหนดรู้

สมุทัย...ควรละ

นิโรธ....พึงทำให้แจ้ง

มรรค....ควรเจริญ

อีกคำหนึ่งคือ

"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ ผลก็ดับ" (สรุปมาจาก

"พระสมณโคดมทรงแสดงเหตุนั้น และวิธีดับเหตุนั้น")

ใครที่เห็นตรงตามอริสัจ 4 แล้วนั่นคือ "อุชุปฏิปันโนบุคคล" จะไม่มีเดินออกนอกทางสายนี้ จะไม่มีใครหลอกได้ และจะไม่พูดมั่วๆไปในเรื่องอื่นที่คนธรรมดาสามัญจะพึงฟังเข้า

ใจได้โดยง่าย

ทุกข์ ถูกปิดบังไว้ด้วยอิริยาบถ 4

การจะทำให้ทุกขสัจจะปรากฏขึ้นมาในกายในจิต

จึงต้องภาวนาอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบทหนึ่งให้นานๆจน

สภาวทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเองในกายเป็นปัจจุบัน

อารมณ์จากนั้นจึงให้สติเขาระลึกรู้เอาหลักการเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือหลักการเจริญมรรค 8 หรือหลักการเจริญสติปัฏฐาน 4 ขึ้นมาทำงานตามธรรมชาติ คือ สติคอยรู้ทันปัจจุบันอารมณ์

ปัญญาสัมมาทิฏฐิคอยตามเห็นตามดูตามรู้ ปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาสัมมาสังกัปปะ คอยตามสังเกต(ไม่ใช้ความคิด) พิจารณา(ใช้ความคิด)ปัจจุบันอารมณ์นั้น


ทุกข์ทางใจละครับจะพิจารณาอย่างไร


เมื่อปัจจุบันอารมณ์นั้นเป็นทุกข์ เช่น ความเจ็บปวดที่ ก้น ปัญญาจะเห็น รู้ สักเกตอยู่ที่ก้น คือกายหรือรูป สังเกตไปนานๆ จะได้เห็นหรือรู้ว่าก้นหรือรูปอันเป็นของหยาบนี้ไม่เดือดร้อน แต่ผู้ที่เดือดร้อนคือ ใจ ความเจ็บที่ก้นจะกลายเป็นอดีต ความเดือดร้อนที่ใจจะมาเป็นปัจจุบันอารมณ์แทนสติ รู้ทัน ปัญญาตามดูสังเกตต่อไปทันทีนี่สติปัญญาจะเริ่มคม ลึกละเอียดขึ้น จากการรู้ของหยาบแค่รูปถ้ามีวิริยะจดจ่อ อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ สมาธิที่มีกำลังสูงก็จะเกิดขึ้นมาเอง แล้วไปรู้ นาม คือใจที่ทุกข์ทรมาณ=นาม รู้ รูป แล้วนาม รู้นาม

ทุกข์เจ็บที่ก้น เป็นเวทนาทางกาย ทุกข์ที่เกิดกับใจ เป็นเวทนาทางจิต คือโทมนัส คือความยินร้าย

สติปัฏฐานก็มีงานทำ

งานก็คือ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" คือ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

จะเอาความยินดียินร้ายออกอย่างไร?

ความยินดียินร้าย เป็นเวทนาทางจิต คือโสมนัสและโทมนัส นั่นเอง การจะเอาออกนั้นก็ต้องใช้วิชาวิปัสสนาภาวนาที่พระพุทธเจ้า

ทรงสอนไว้คือต้องพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง

อนัตตาของความยินดียินร้ายและสิ่งที่ไปยินดียินร้ายเพื่อให้จิตใจคลายและหลุดพ้นจากความเห็นผิดยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

ในทางการปฏิบัติภาวนาจริงๆนั้นเราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ขอให้เพียงแต่เรามีหลักการภาวนาให้สติระลึกรู้และปัญญาทำ

ตามว่า

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"


ถ้าทำได้เช่นนี้กระบวนการทางธรรมชาติในกายและจิตเขาจะทำงานต่อไปโดยอัตโนมัติและเป็นไปตามหลักสติปัฏฐาน 4 มรรค 8 และโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ


ผลที่จะได้รับและเห็นชัดคือ สามารถวางความยินดียินร้ายได้แล้วมีความเฉยเกิดขึ้นมาแทน

ในทุกการกระทบสัมผัสของทวารทั้ง 6 เมื่อมีแต่เฉยเกิดขึ้น กรรมต่างๆก็ไม่เกิดขึ้นได้ด้วยอารมณ์แต่จะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผล

ตามธรรมชาติตามเหตุปัจจัยและวิบากของธาตุขันธ์โดยไม่ก่อให้

เกิด บาปอกุศล มีแต่กุศลกรรมและกรรมที่เป็นอโหสิกรรมคือไม่ต้องรับผล

onion


อ้างคำพูด:
คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนว่าอย่างไร?

พระองค์ทรงสอนว่า

ทุกข์...พึงกำหนดรู้

สมุทัย...ควรละ

นิโรธ....พึงทำให้แจ้ง

มรรค....ควรเจริญ


นั่นมันในหนังสือทั้งนั้นนะขอรับ กายอ่านมาจนหัวร้อน ผมร่องเกือบหมดหัวแล้ว คิกๆๆๆ

ตัวอย่างผู้ปฏิบัติที่นำมาให้ศึกษานั่นแหละคือพระไตรปิฎกทั้ง 45 เล่ม สรุปคร่าวๆ คำสอนของพระพุทธเจ้าคือเรื่องของคนทั้งเพ ภาษาพระเรียก รูปนาม แล้วเจ้ารูปนามเนี่ยธรรมดาธรรมชาติมันเป็นยังงั้น มันเป็นยังงั้นๆๆๆๆ

แต่นาย ก. นาย ข. นายกรัชกาย นายอโศกะ เป็นอาทิ ไม่เข้าใจมัน ไปยึดมั่นในธรรมดาธรรมชาติเข้า มันจึงบ้าไงล่ะขอรับ :b32: :b32:


ย้ำให้สังเกตอีกที

อ้างคำพูด:
ตอนแรก ดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน
แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลยจึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้ พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก

ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ
ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ
ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีกเพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย
เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัว และเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง

แต่ยังมีอาการอย่างหนึ่งที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะเพราะมันคลายหูแว่วแต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)

กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร

เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอก ต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ
ฟังไปก็งงไปเรื่อย
ค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก

แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2016, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไหนก็ไหนๆแล้ว เอาอีกสักตัวอย่างเถอะนะท่านอโศก ดู :b13:

ผมไปบวชได้แปดเดือน บวชวันแรกเกิดกำหนัดแอบสองอาทิตย์ผ่านไป เอาวินัยมาอ่าน อ่าวนี่มันผิดศีลนี่หว่าอายไม่กล้าพบใคร

ก็เดินจงกรมนั่งสมาธิ ตอนนั่งสมาธิ ก็หลับตา ไม่คิดอะไร ท่องพุท-โธ ตามลมหายใจ จนเข้าเดือนที่สี่ออกพรรษาคิดว่าจะสึก

แต่

เห็นแสงเทียนในกระจกหน้าต่าง ก็วิ่งไปบอกเจ้าอาวาสๆก็ได้แต่ยิ้ม เข้าเดือนที่แปดนั่งสมาธิแบบเดิม ตอนนั้นเครียดเรื่องท่องหนังสือไม่ได้ ในขณะที่นั่ง

มีเสียงผู้ชายมาถามว่าบรรลุรึยัง ผมเลยบอกว่ายังพูดในใจ อยู่ดีๆก็มีเสียงสวดมนต์เพราะมาก ตามด้วยบทธรรมจักร อยู่ดีๆก็มีภาพผมมีน้ำอสุจิไหลออกมา เห็นภาพที่เคยมีอะไรกับแฟน และมีเรื่องไม่ดีมากมาย ก็เลยพิจารณาการเกิดดับแก้ เรื่องหนึ่งมันก็มาอีก เรื่องหนึ่ง เสียงก็ด่าว่าไอ้เลวตลอด อวัยวะเพศแข็งอยากมีเซ็กตลอดเวลา เลยตัดสินใจสึก คิดอะไรเหมือนมีคนรู้ เสียงด่าก็ด่าตลอด เลยไปพบจิตแพทย์ หมอบอกว่าเป็นโรคจิตเภท และโรคไทรอยด์....


(เห็นการเกิดดับๆๆๆ ของจิต คือของความคิดไหมท่านอโศกะ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร