วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 13:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ



พระองค์จะตรัสทำนองนี้...มากกว่านะ

อนุโมทนาค่ะ
:b8:

Kiss
แล้วการเขียนอย่างที่เขียนด้วยความเข้าใจ ผิดอย่างไร บาปไหม
:b13:
Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
พระพุทธองค์ทรงแสดงว่าไม่ใช่เราไม่ใช่เขา
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเป็นธัมมะ
พึ่งตนคือพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ให้เข้าใจ
แล้วมีสติระลึกตรงตามความเป็นจริงทึ่จิตมี
รู้จักจิตตนตามกำลังสติปัญญาที่สะสมมาค่ะ
เครื่องกั้นคือขาดการฟังและไม่ทำไว้ในใจ
พึ่งการระลึกคำจริงทีละ1คำตรงความจริง
ที่สภาพธรรมปรากฏกับสติคือวิปัสสนาค่ะ
วิปัสสนาปัญญาถึงเฉพาะธัมมะที่กำลังมีจริงๆ
:b16:
:b4: :b4:

ผิดครับ เพราะแสดงสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้แสดงครับ

บาปไหม ไม่ล่วงอกุศลกรรมบถ 10 ไม่บาปครับ


อ้างพุทธองค์ แต่ดันเอามิจฉาทิฐิมาอ้าง
รู้มั้ยที่พูดมาท่านเรียก......สัสสตทิฐิ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
ก็บอกว่าไม่เดา บอกว่าตอนที่ฟัง ให้พิจารณาจิตตนเองไปเรื่อยๆ ว่ามันดิ้นไปไหน
ความจริงคือตอนนี้คุณไม่ได้ฟังคุณก็เลยคิดว่าข้าพเจ้ากำลังเดาใจไม่ใช่น๊า
คุณเช่นนั้นอยากรู้จักจิตใจตนเองฟังไปคิดอะไรไปก็สังเกตุสิมานะมีป่ะ
:b39: :b39:

อย่าเดาเลยว่าตอนที่ฟัง จิตเป็นอย่างไร
ไปไตร่ตรองสิ่งที่รู้สิ่งที่เข้าใจนะคุณ
ว่า สมบูรณ์ด้วยพยัญชนะ และอรรถหรือไม่
เอาคำกล่าวคำสอนของป้าจินต์ออกไปไกลๆ
เรียนรู้จากคำพระศาสดานะคุณ ^ ^

:b1:
ไม่คิดเดาใจเลยค่ะแค่บอกว่าจิตมันไม่นิ่งฟังตลอด
ต้องรู้จักจิตตนว่ามันดิ้นไปทางไหนบ้างตามความจริง
เพราะธัมมะทั้ง6ทางที่กำลังมี+กำลังเกิดดับต่อหน้าค่ะ
รู้เหตุปัจจัยที่กำลังมีเท่านั้น ที่ไม่ปรากฏคือคิด ไม่มีจริงๆ
อ่านแล้วรู้ตามแต่ไม่ใช่สิ่งที่จิตตนเองกำลังมีตายแล้วลืมหมด
จะอ่านเรื่องราวใดๆหรือคำใดความหมายใดต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมี
แล้วจะรู้ว่าแค่คำว่าไม่มีแล้วเกิดมีแล้วก็หามีไม่คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ค่ะ
:b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
ไม่คิดเดาใจเลยค่ะแค่บอกว่าจิตมันไม่นิ่งฟังตลอด
ต้องรู้จักจิตตนว่ามันดิ้นไปทางไหนบ้างตามความจริง
เพราะธัมมะทั้ง6ทางที่กำลังมี+กำลังเกิดดับต่อหน้าค่ะ
รู้เหตุปัจจัยที่กำลังมีเท่านั้น ที่ไม่ปรากฏคือคิด ไม่มีจริงๆ
อ่านแล้วรู้ตามแต่ไม่ใช่สิ่งที่จิตตนเองกำลังมีตายแล้วลืมหมด
จะอ่านเรื่องราวใดๆหรือคำใดความหมายใดต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมี
แล้วจะรู้ว่าแค่คำว่าไม่มีแล้วเกิดมีแล้วก็หามีไม่คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ค่ะ

นี่คือผลจากการฟัง ป้าจินต์
เหมือนนั่งดูเปลวเทียน เท่านั้นเอง

ไม่ได้รู้เหตุรู้ปัจจัยหรอก เพียงมโน อย่างเลื่อนลอยครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
ไม่คิดเดาใจเลยค่ะแค่บอกว่าจิตมันไม่นิ่งฟังตลอด
ต้องรู้จักจิตตนว่ามันดิ้นไปทางไหนบ้างตามความจริง
เพราะธัมมะทั้ง6ทางที่กำลังมี+กำลังเกิดดับต่อหน้าค่ะ
รู้เหตุปัจจัยที่กำลังมีเท่านั้น ที่ไม่ปรากฏคือคิด ไม่มีจริงๆ
อ่านแล้วรู้ตามแต่ไม่ใช่สิ่งที่จิตตนเองกำลังมีตายแล้วลืมหมด
จะอ่านเรื่องราวใดๆหรือคำใดความหมายใดต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมี
แล้วจะรู้ว่าแค่คำว่าไม่มีแล้วเกิดมีแล้วก็หามีไม่คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ค่ะ

นี่คือผลจากการฟัง ป้าจินต์
เหมือนนั่งดูเปลวเทียน เท่านั้นเอง

ไม่ได้รู้เหตุรู้ปัจจัยหรอก เพียงมโน อย่างเลื่อนลอยครับ

Onion_L
บอกเค๊าไม่ให้เดาแต่เป็นคุณเช่นนั้นน๊าที่เดาไม่ถูก
ข้าพเจ้าถึงเฉพาะธัมมะที่ข้าพเจ้ามีคิดออกไหมล่ะ
ไม่ใช่เหตุปัจจัยของคุณรู้ปัญญาชาติก่อนๆที่เค๊ามีหรือ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2016, 03:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อัตตาหิ อัตโนนาโถ

ตน(นั้นแหละ)เป็นที่พึ่งของตน

เห็นหลายๆคน..ชอบความไม่มีตัวตน...

แม้ตน..ยังพึ่งตนเองไม่ได้เลย..แล้วพาลมาทิ้งตนซะแล้ว...

ยังไม่เห็นตน..แล้วจะเอาอะไรไปทิ้ง..

ที่ทิ้ง...ก็เป็นได้แค่คิดว่าทิ้ง.....เท่านั้น...เรียกว่า...ฝันไปเอง

ก่อนจะทิ้งตน...ก็เป็นที่พึ่งของตนให้ได้ก่อน...

พึ่งตนได้..นี้....ต้องอรหันตมรรค..เลยนะ..ไม่ใช่แค่..โสดา..สกทาคามี..อนาคามี
ทิ้งตนได้..ก็เข้าผล

คนที่คิดว่า..ตนพึ่งตนเองได้แล้ว..อาจโวยวาย.. :b32: :b32: :b32:


หลายๆคน...พอเห็นธรรมว่าอนัตตา..ไม่มีตัวไม่มีตน...ก็ท่องใหญ่เลย

การท่อง...ไปอย่างนั้น..ไม่ผิดอะไร

แต่..การสำคัญว่า..ท่องหรือคิดว่า..ไม่มีตัวตน..แล้วนี้..มันก็พอแล้ว

นี้..เรียกว่า..มโนเอาเอง...
ขโมยผล....ไม่มีมรรค

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค


ราหุลสูตร


[๑๘๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ป่าอันธวัน ประทับ ณ
พุทธอาสน์ที่พระราหุลปูลาดถวาย ที่ควงต้นไม้แห่งหนึ่ง ฝ่ายท่านพระราหุลถวาย
อภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาค
จึงตรัสถามว่า ดูกรราหุล เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือไม่
เที่ยง ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ

รา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
รา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
รา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. จักษุวิญญาณ... จักษุสัมผัส... เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
รา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
รา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯลฯ
พ. ใจเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
รา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
รา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ธรรมารมณ์เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
รา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
รา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. มโนวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
รา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
รา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. มโนสัมผัสเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
รา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
รา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เกิดขึ้นเพราะ มโนสัมผัสเป็น
ปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ

รา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
รา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรราหุล อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อ
หน่ายทั้งในจักษุ
ทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส ทั้งใน
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส เป็นปัจจัย ฯลฯ
ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส
ทั้งในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เกิดขึ้นเพราะ มโนสัมผัส
เป็นปัจจัย เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุด
พ้น
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติ
สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ
เป็นอย่างนี้มิได้มี
พระผู้มีพระภาคตรัสพระสูตรนี้จบลงแล้ว ท่านพระราหุลชื่นชม
ยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค อนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิต
นี้อยู่ จิตของท่านพระราหุลหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ฝ่าย
เทวดาหลายพันก็เกิดธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ฯ

จบสูตรที่ ๘


ผลของการไม่มีตัวตน..จริง...ต้อง...
.............
เบื่อหน่าย...
เมื่อเบื่อหน่าย..ย่อมคลายกำหนัด
เมื่อคลายกำหนัด..จิตย่อมหลุดพ้น
เมื่อจิตหลุดพ้น..ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
..............

เป็นลำดับไปอย่างที่พระองค์กล่าวอย่างนี้..

อย่างน้อยที่สุด...ต้องเริ่มมีอาการเบื่อหน่าย..

ไม่ใช่...ปากก็พร่ำว่า..ไม่มีตัวไม่มีตน..ไม่ใช่เรา..ไม่ใช่ของเรา...แต่..พูดตอบโต้คนอื่นเป็นต่อยหอย..ไม่รู้เบื่อ :b9: :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2016, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
ไม่คิดเดาใจเลยค่ะแค่บอกว่าจิตมันไม่นิ่งฟังตลอด
ต้องรู้จักจิตตนว่ามันดิ้นไปทางไหนบ้างตามความจริง
เพราะธัมมะทั้ง6ทางที่กำลังมี+กำลังเกิดดับต่อหน้าค่ะ
รู้เหตุปัจจัยที่กำลังมีเท่านั้น ที่ไม่ปรากฏคือคิด ไม่มีจริงๆ
อ่านแล้วรู้ตามแต่ไม่ใช่สิ่งที่จิตตนเองกำลังมีตายแล้วลืมหมด
จะอ่านเรื่องราวใดๆหรือคำใดความหมายใดต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมี
แล้วจะรู้ว่าแค่คำว่าไม่มีแล้วเกิดมีแล้วก็หามีไม่คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ค่ะ

นี่คือผลจากการฟัง ป้าจินต์
เหมือนนั่งดูเปลวเทียน เท่านั้นเอง

ไม่ได้รู้เหตุรู้ปัจจัยหรอก เพียงมโน อย่างเลื่อนลอยครับ

Onion_L
บอกเค๊าไม่ให้เดาแต่เป็นคุณเช่นนั้นน๊าที่เดาไม่ถูก
ข้าพเจ้าถึงเฉพาะธัมมะที่ข้าพเจ้ามีคิดออกไหมล่ะ
ไม่ใช่เหตุปัจจัยของคุณรู้ปัญญาชาติก่อนๆที่เค๊ามีหรือ
onion onion onion

cool
อ้างอิงตรงกับหลักปฏิบัติให้ดูนะคะว่าเป็นปกติอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน
walaiporn เขียน:
สมถะ - วิปัสสนา



ยุคนัทธวรรค ยุคนัทธกถา


[๕๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี
ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว
ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง
พยากรณ์อรหัตในสำนักเรา ด้วยมรรค ๔ ทั้งหมด
หรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง มรรค ๔ เป็นไฉน ฯ


ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้
ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น


เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิด
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น

เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น
ภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป

เมื่อภิกษุนั้น เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ



อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจนึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้
สมัยนั้น จิตย่อมตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่
มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น

ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง
พยากรณ์อรหัตในสำนักเรา ด้วยมรรค ๔ นี้ทั้งหมด
หรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง ฯ



[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน
ด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ





วิปัสสนา
ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น

โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง

โดยความเป็นทุกข์

โดยความเป็นอนัตตา


ด้วยประการดังนี้


สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&p=392433#p392433
:b1:
ข้าพเจ้าเข้าใจความจริงที่สติระลึกตัวทั่วพร้อมตามที่ปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้ไม่ต้องท่องก็รู้ชัดตรงปัจจุบันขณะ
ถ้าเขียนตามประสบการณ์ตรงไม่ยอมรับ จะยอมรับว่าเป็นผลต้องยืนยันประกอบใช่ไหมคะ งั้นดูข้างล่าง
:b16:
:b4: :b4:
อ้างคำพูด:
[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน
ด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ





วิปัสสนา
ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น

โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง

โดยความเป็นทุกข์

โดยความเป็นอนัตตา


ด้วยประการดังนี้


สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2016, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
พึ่งปัญญาของตนด้วยการตั้งใจฟังคือ
ศรัทธา ความเลื่อมใส ผ่องใสของจิตเกิดทุกขณะที่เข้าใจความจริงเพราะระลึกคำของพระพุทธเจ้า
ศีล ความเป็นปกติรู้ตามปกติที่กำลังลืมตาตื่น ไม่ง่วง ไม่หลับ ยินดีพอใจฟังแล้วฟังอีก
สุตะ มีความเพียรในการฟังเพื่อขัดเกลากิเลส กำจัดความไม่รู้ รู้ตรงสิ่งที่กำลังปรากฏ
จาคะ สละความไม่รู้ทุกขณะ และละคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทุกขณะที่ความจริงปรากฏ
ปัญญา ความเข้าใจความจริงทุกขณะไม่มีตัวตนคือจิต+เจตสิก+รูปไม่ต้องท่องเป็นเองจึงจะเป็นปัญญา
https://www.youtube.com/watch?v=TL8E6TY0ozY
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2016, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
wink
พึ่งปัญญาของตนด้วยการตั้งใจฟังคือ
ศรัทธา ความเลื่อมใส ผ่องใสของจิตเกิดทุกขณะที่เข้าใจความจริงเพราะระลึกคำของพระพุทธเจ้า
ศีล ความเป็นปกติรู้ตามปกติที่กำลังลืมตาตื่น ไม่ง่วง ไม่หลับ ยินดีพอใจฟังแล้วฟังอีก
สุตะ มีความเพียรในการฟังเพื่อขัดเกลากิเลส กำจัดความไม่รู้ รู้ตรงสิ่งที่กำลังปรากฏ
จาคะ สละความไม่รู้ทุกขณะ และละคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทุกขณะที่ความจริงปรากฏ
ปัญญา ความเข้าใจความจริงทุกขณะไม่มีตัวตนคือจิต+เจตสิก+รูปไม่ต้องท่องเป็นเองจึงจะเป็นปัญญา
https://www.youtube.com/watch?v=TL8E6TY0ozY
onion onion onion

ปัญญา เกิดแล้วก็ดับ
ศรัทธา เกิดแล้วก็ดับ
ความเลื่อมใสเกิดแล้วก็ดับ
ความผ่องใสเกิดแล้วก็ดับ
ความเข้าใจเกิดแล้วก็ดับ
การระลึกเกิดแล้วก็ดับ
..... ^ ^ พึ่งสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับได้หรือครับ ทุกอย่างเป็นธัมมะ เกิดแล้วก็ดับ ^ ^
ถ้าละ กิเลสได้จากการเห็นความเกิดความดับ เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะ
ก็ ละ ธัมมะเหล่านั้นด้วย มันช่วยอะไรไม่ได้
ความเข้าใจ มันก็เกิดแล้วก็ดับ
ไม่มีอะไรให้ขัดเกลา ไม่มีอะไรต้องสละ ไม่มีอะไรต้องคลาย มันเกิดแล้วก็ดับ ...ทุกอย่างเป็นธัมมะ ^ ^

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2016, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
wink
พึ่งปัญญาของตนด้วยการตั้งใจฟังคือ
ศรัทธา ความเลื่อมใส ผ่องใสของจิตเกิดทุกขณะที่เข้าใจความจริงเพราะระลึกคำของพระพุทธเจ้า
ศีล ความเป็นปกติรู้ตามปกติที่กำลังลืมตาตื่น ไม่ง่วง ไม่หลับ ยินดีพอใจฟังแล้วฟังอีก
สุตะ มีความเพียรในการฟังเพื่อขัดเกลากิเลส กำจัดความไม่รู้ รู้ตรงสิ่งที่กำลังปรากฏ
จาคะ สละความไม่รู้ทุกขณะ และละคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทุกขณะที่ความจริงปรากฏ
ปัญญา ความเข้าใจความจริงทุกขณะไม่มีตัวตนคือจิต+เจตสิก+รูปไม่ต้องท่องเป็นเองจึงจะเป็นปัญญา
https://www.youtube.com/watch?v=TL8E6TY0ozY
onion onion onion

ปัญญา เกิดแล้วก็ดับ
ศรัทธา เกิดแล้วก็ดับ
ความเลื่อมใสเกิดแล้วก็ดับ
ความผ่องใสเกิดแล้วก็ดับ
ความเข้าใจเกิดแล้วก็ดับ
การระลึกเกิดแล้วก็ดับ
..... ^ ^ พึ่งสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับได้หรือครับ ทุกอย่างเป็นธัมมะ เกิดแล้วก็ดับ ^ ^
ถ้าละ กิเลสได้จากการเห็นความเกิดความดับ เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะ
ก็ ละ ธัมมะเหล่านั้นด้วย มันช่วยอะไรไม่ได้
ความเข้าใจ มันก็เกิดแล้วก็ดับ
ไม่มีอะไรให้ขัดเกลา ไม่มีอะไรต้องสละ ไม่มีอะไรต้องคลาย มันเกิดแล้วก็ดับ ...ทุกอย่างเป็นธัมมะ ^ ^

:b12:
พึ่งปัญญาของตนโดยการฟังคำของพระพุทธเจ้า
ฟังพระพุทธพจน์เข้าใจคือการพึ่งพระรัตนตรัย
ไม่รู้ละไม่รู้ไม่ได้น๊า ดับแล้วแต่สะสมอยู่ในจิต
ตายแล้วก็ไปไหนไปด้วยยังไม่พ้นกลับมาเกิด
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2016, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
พึ่งปัญญาของตนโดยการฟังคำของพระพุทธเจ้า
ฟังพระพุทธพจน์เข้าใจคือการพึ่งพระรัตนตรัย
ไม่รู้ละไม่รู้ไม่ได้น๊า ดับแล้วแต่สะสมอยู่ในจิต
ตายแล้วก็ไปไหนไปด้วยยังไม่พ้นกลับมาเกิด

ปัญญา เกิดแล้วดับ
ฟัง ก็เกิดแล้วดับ
ดับแล้วสะสม ด้วยอีกแน่ะ มันดับจริงรึเปล่า หรือดับหลอกๆ ^ ^
ทุกอย่างเป็นธัมมะ น้าาาา : ))

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2016, 03:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ



พระองค์จะตรัสทำนองนี้...มากกว่านะ


กบนอกกะลา เขียน:
อีกสำนวน..

อ้างคำพูด:
ธาตุ ๕
[๑๓๕] ดูกรราหุล รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นภายใน อาศัยตนเป็นของหยาบ
มีลักษณะแข้นแข็ง อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ
เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย
อาหารใหม่ อาหารเก่า หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่นเป็นภายใน อาศัยตน เป็นของหยาบ
มีลักษณะแข้นแข็ง อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น นี้เราเรียกว่าปฐวีธาตุเป็นภายใน. ก็ปฐวีธาตุ
เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี อันใด ปฐวีธาตุนั้นเป็นปฐวีธาตุเหมือนกัน. ปฐวีธาตุนั้น
เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่
ตนของเรา
ดังนี้. เพราะบุคคลเห็นปฐวีธาตุนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว
ย่อมเบื่อหน่ายในปฐวีธาตุ จิตย่อมคลายกำหนัดในปฐวีธาตุ.


ทั้งสองสำนวน..

มีเรา..ทั้งนั้น..นะครับ


เรา....นี้สำคัญนะครับ..
หากไม่มีเรา..ก็คงไม่มีทุกข์..ไม่มีสุข..ไม่มีวัฏฏะ...ไม่มีนิพพาน...ก้อนอิฐก้อนหินมันไม่รู้อะไรทั้งนั้น

ก็เพราะมีเรา...มันถึงมีทุกข์..มีสุข
ทุกข์..เพราะเราเห็นผิด..ยึดผิด
สุข..เพราะเราเห็นถูก...ละการยึดผิดผิด..

ตน..จึงเป็นที่พึ่งของตน..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2016, 06:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
ตนเป็นที่พึ่งของตนนั้นถูกต้องแล้วแหละกบ แต่

ต้องทำความเป็นตนให้ลดน้อยถอยลงทุกวัน เวลา นาที วินาทีที่ระลึกได้และมีโอกาส เพราะความสำเร็จในการพึ่งตนเองนั้นคือ

"การเอาตน ทำลายตน จนหมดตน"

ถ้าตัวตนยังมีอยู่ หนาแน่นอยู่เท่าเก่าไม่เบาบาง ไมจางคลาย นั่นแหละร้ายเพราะทำไปทุกสิ่งเพื่อตัวตน

ไม่ใช่ทำเพื่อหลุดพ้นจากตนตัว
wink
พิสูจน์หรือตรวจสอบได้ง่ายนะกบว่าตัวตนยังเหลืออยู่มากหรือน้อย
รุ่นพี่ๆท่านสอนว่าให้ดูที่โทสะ ปฏิฆะ ให้ดูที่ความโกรธ ขุ่นมัวที่ปรากฏขึ้นมาในจิตเมื่อกระทบสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ชอบขัดเคืองใจ

อีกอันท่านก็ให้ดูที่อิสสา หรืออิจฉา มัจฉริยะ ความไม่พอใจที่เห็นผู้อื่นดีกว่า เก่งกว่า อันนี้เป็นมิเตอร์วัดมานะทิฏฐิ หรือตัวตนชั้นใน (อัตตา สักกายทิฏฐิ=ตัวตนชั้นนอก)
ลองพิจารณานะกบ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2016, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
พึ่งปัญญาของตนโดยการฟังคำของพระพุทธเจ้า
ฟังพระพุทธพจน์เข้าใจคือการพึ่งพระรัตนตรัย
ไม่รู้ละไม่รู้ไม่ได้น๊า ดับแล้วแต่สะสมอยู่ในจิต
ตายแล้วก็ไปไหนไปด้วยยังไม่พ้นกลับมาเกิด

ปัญญา เกิดแล้วดับ
ฟัง ก็เกิดแล้วดับ
ดับแล้วสะสม ด้วยอีกแน่ะ มันดับจริงรึเปล่า หรือดับหลอกๆ ^ ^
ทุกอย่างเป็นธัมมะ น้าาาา : ))

tongue
ศึกษาพระพุทธพจน์ที่คิดว่ารู้ทั้งอรรถและธรรม
แต่ไฉนเลยจึงกล่าวแบบเหมือนไม่เคยศึกษาคะ
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จริงๆ
ที่คุณเช่นนั้นกำลังกะพริบตาไปนั้นความจริงที่
ปรากฎอันเก่ากำลังหมดไปอันใหม่เกิดต่อทันที
เหมือนไม่มีสิ่งใดหายไปก็ยังมีทุกอย่างตรงหน้า
เป็นคน วัตถุ สิ่งของใดๆก็ตาม บ้าน รถ ที่ดิน อื่นๆ
เป็นเพียงนิมิตที่ปรากฏชั่วคราวแล้วก็ดับทุกสิ่งที่มี
ไม่มีใครเอาความเห็นผิดออกไปจากจิตได้เพราะไม่รู้ค่ะ
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2016, 05:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตนเตือนตน...ของตน...ให้พ้นผิด

ตนเตือนจิต...ตนได้..ใครจะเหมือน

ตนเตือนตน..ไม่ได้..ใครจะเตือน

ตนนี้แล...เพื่อนแท้..แก่ตนเอย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร