วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ย. 2025, 03:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้อ....Bigtoo อ่านพระไตรปิฎกมั้ยครับ...?

อ่านแล้ว...มีอาการอย่างไรบ้าง?...

มีอาการ..อย่างเอกอนมั้ย?
ผมถนัดการฟัง อ่านก็มีบ้าง. แต่ไม่ถนัด ถ้าถามว่าฟังมีความรู้สึกอย่างไร. ตอนนี้มีแต่พระรัตนตรัยเป็นสรณะ. สรณะท่องคาถาไม่มี

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 20:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้อ....Bigtoo อ่านพระไตรปิฎกมั้ยครับ...?

อ่านแล้ว...มีอาการอย่างไรบ้าง?...

มีอาการ..อย่างเอกอนมั้ย?


bigtoo เขียน:
ผมถนัดการฟัง อ่านก็มีบ้าง. แต่ไม่ถนัด ถ้าถามว่าฟังมีความรู้สึกอย่างไร. ตอนนี้มีแต่พระรัตนตรัยเป็นสรณะ. สรณะท่องคาถาไม่มี


สมาธิ....ยังไม่แข็งแรงนะครับ

ต้องหวนกลับไปดูว่า...ฐาน...คือ..สัมมา..ทั้งหลายก่อนหน้าสัมมาสมาธินั้นนะ...


โพสต์ เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 20:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขี้เกียจรอ..เจ้าของกระทู...

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... 078&Z=4189
...................

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒



สังฆราชี


[๔๐๔] ครั้งนั้น ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระอุบาลีนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า สังฆราชี สังฆราชี ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเป็น
สังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท ด้วยเหตุเพียงเท่าไร เป็นทั้งสังฆราชี และสังฆเภท

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุหนึ่งรูปฝ่ายหนึ่ง
มี๒ รูป รูปที่ ๔ ประกาศให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่าน
ทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ เป็น
สังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๒ รูป ฝ่ายหนึ่งก็มี ๒ รูป รูปที่ ๕ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจ
สลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๒ รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๓ รูป รูปที่ ๖ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จง
ชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๓ รูป ฝ่ายหนึ่งก็มี ๓ รูป รูปที่ ๗
ประกาศให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๓ รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๔ รูป รูปที่ ๘ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจ
สลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๔ รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๔ รูป รูปที่ ๙ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้แล เป็นทั้งสังฆราชี และสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ภิกษุ ๙ รูป หรือเกินกว่า ๙ รูป เป็นทั้งสังฆราชี และ
สังฆเภท

ดูกรอุบาลี ภิกษุณีทำลายสงฆ์ย่อมไม่ได้ แต่พยายามเพื่อจะทำลายได้
สิกขมานา ก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
สามเณรก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
สามเณรีก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
อุบาสกก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
อุบาสิกาก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้ แต่พยายามเพื่อจะทำลายได้
ดูกรอุบาลี ภิกษุปกตัตตะ มีสังวาสเสมอกัน อยู่ในสีมาเดียวกัน ย่อม
ทำลายสงฆ์ได้ ฯ

สังฆเภท


[๔๐๕] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆเภท สังฆเภท ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สงฆ์จึงแตก
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑. ย่อมแสดงอธรรมว่า เป็นธรรม
๒. ย่อมแสดงธรรมว่า เป็นอธรรม
๓. ย่อมแสดงสิ่งไม่เป็นวินัยว่า เป็นวินัย
๔. ย่อมแสดงวินัยว่า ไม่เป็นวินัย
๕. ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตตรัส
ภาษิตไว้
๖. ย่อมแสดงคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตมิได้ตรัส
ภาษิตไว้
๗. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคต
ประพฤติมา
๘. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคตมิได้
ประพฤติมา
๙. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
๑๐. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้
๑๑. ย่อมแสดงอนาบัติว่า เป็นอาบัติ
๑๒. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอนาบัติ
๑๓. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติหนัก
๑๔. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็นอาบัติเบา
๑๕. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๖. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๗. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
๑๘. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมประกาศให้แตกแยกกัน ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้ ย่อมแยก
ทำอุโบสถ แยกทำปวารณา แยกทำสังฆกรรม
ดูกรอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล สงฆ์เป็นอันแตกกันแล้ว
สังฆสามัคคี
[๔๐๖] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆสามัคคี สังฆสามัคคี ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรสงฆ์จึงพร้อมเพรียงกัน
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑. ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมว่า ไม่เป็นธรรม
๒. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่า เป็นธรรม
๓. ย่อมแสดงสิ่งที่มิใช่วินัยว่า มิใช่วินัย
๔. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่า เป็นวินัย
๕. ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตมิได้
ตรัสภาษิตไว้
๖. ย่อมแสดงคำอันตถาคต ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตตรัส
ภาษิตไว้
๗. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคต
มิได้ประพฤติมา
๘. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้วว่า เป็นกรรมอันตถาคต
ประพฤติมาแล้ว
๙. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคต มิได้บัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้
บัญญัติไว้
๑๐. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
๑๑. ย่อมแสดงอนาบัติว่า เป็นอนาบัติ
๑๒. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอาบัติ
๑๓. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติเบา
๑๔. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็นอาบัติหนัก
๑๕. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๖. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๗. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
๑๘. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมไม่ประกาศให้แตกแยกกันด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้ ย่อมไม่
แยกทำอุโบสถ ย่อมไม่แยกทำปวารณา ย่อมไม่แยกทำสังฆกรรม
ดูกรอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล สงฆ์เป็นอันพร้อมเพรียงกัน ฯ
[๔๐๗] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุนั้นทำลายสงฆ์
ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน
แล้ว ย่อมได้รับผลชั่วร้าย ตั้งอยู่ชั่วกัป ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ฯ
นิคมคาถา
[๔๐๘] ภิกษุทำลายสงฆ์ ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยู่ชั่วกัป
ภิกษุผู้ยินดีในการแตกพวก ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมเสื่อมจาก
ธรรมอันเกษมจากโยคะ ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว
ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ฯ
[๔๐๙] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุสมานสงฆ์ที่
แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุสมานสงฆ์ที่แตกกันแล้วให้
พร้อมเพรียงกัน ย่อมได้บุญอันประเสริฐ ย่อมบรรเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป ฯ
นิคมคาถา
[๔๑๐] ความพร้อมเพรียงของหมู่ เป็นเหตุแห่งสุข และการ
สนับสนุนผู้พร้อมเพรียงกัน ก็เป็นเหตุแห่งสุข ภิกษุผู้ยินดีใน
ความพร้อมเพรียงตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่เสื่อมจากธรรมอัน
เกษมจากโยคะ ภิกษุสมานสงฆ์ ให้พร้อมเพรียงกันแล้ว
ย่อมบรรเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป ฯ


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 07 ส.ค. 2015, 20:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อ้อ....Bigtoo อ่านพระไตรปิฎกมั้ยครับ...?

อ่านแล้ว...มีอาการอย่างไรบ้าง?...

มีอาการ..อย่างเอกอนมั้ย?


bigtoo เขียน:
ผมถนัดการฟัง อ่านก็มีบ้าง. แต่ไม่ถนัด ถ้าถามว่าฟังมีความรู้สึกอย่างไร. ตอนนี้มีแต่พระรัตนตรัยเป็นสรณะ. สรณะท่องคาถาไม่มี


สมาธิ....ยังไม่แข็งแรงนะครับ

ต้องหวนกลับไปดูว่า...ฐาน...คือ..สัมมา..ทั้งหลายก่อนหน้าสัมมาสมาธินั้นนะ...
ผมตาไม่ดีปวดตามองอะไรนานๆไม่ได้. แค่สนทนาธรรมะก็ปวดตาแล้วแต่ต้องทำ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ขี้เกียจรอ..เจ้าของกระทู...

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... 078&Z=4189
...................

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒



สังฆราชี


[๔๐๔] ครั้งนั้น ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระอุบาลีนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า สังฆราชี สังฆราชี ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเป็น
สังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท ด้วยเหตุเพียงเท่าไร เป็นทั้งสังฆราชี และสังฆเภท

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุหนึ่งรูปฝ่ายหนึ่ง
มี๒ รูป รูปที่ ๔ ประกาศให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่าน
ทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ เป็น
สังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๒ รูป ฝ่ายหนึ่งก็มี ๒ รูป รูปที่ ๕ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจ
สลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๒ รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๓ รูป รูปที่ ๖ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จง
ชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๓ รูป ฝ่ายหนึ่งก็มี ๓ รูป รูปที่ ๗
ประกาศให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๓ รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๔ รูป รูปที่ ๘ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจ
สลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๔ รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๔ รูป รูปที่ ๙ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้แล เป็นทั้งสังฆราชี และสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ภิกษุ ๙ รูป หรือเกินกว่า ๙ รูป เป็นทั้งสังฆราชี และ
สังฆเภท

ดูกรอุบาลี ภิกษุณีทำลายสงฆ์ย่อมไม่ได้ แต่พยายามเพื่อจะทำลายได้
สิกขมานา ก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
สามเณรก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
สามเณรีก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
อุบาสกก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
อุบาสิกาก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้ แต่พยายามเพื่อจะทำลายได้
ดูกรอุบาลี ภิกษุปกตัตตะ มีสังวาสเสมอกัน อยู่ในสีมาเดียวกัน ย่อม
ทำลายสงฆ์ได้ ฯ

สังฆเภท


[๔๐๕] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆเภท สังฆเภท ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สงฆ์จึงแตก
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑. ย่อมแสดงอธรรมว่า เป็นธรรม
๒. ย่อมแสดงธรรมว่า เป็นอธรรม
๓. ย่อมแสดงสิ่งไม่เป็นวินัยว่า เป็นวินัย
๔. ย่อมแสดงวินัยว่า ไม่เป็นวินัย
๕. ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตตรัส
ภาษิตไว้
๖. ย่อมแสดงคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตมิได้ตรัส
ภาษิตไว้
๗. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคต
ประพฤติมา
๘. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคตมิได้
ประพฤติมา
๙. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
๑๐. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้
๑๑. ย่อมแสดงอนาบัติว่า เป็นอาบัติ
๑๒. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอนาบัติ
๑๓. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติหนัก
๑๔. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็นอาบัติเบา
๑๕. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๖. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๗. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
๑๘. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมประกาศให้แตกแยกกัน ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้ ย่อมแยก
ทำอุโบสถ แยกทำปวารณา แยกทำสังฆกรรม
ดูกรอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล สงฆ์เป็นอันแตกกันแล้ว
สังฆสามัคคี
[๔๐๖] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆสามัคคี สังฆสามัคคี ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรสงฆ์จึงพร้อมเพรียงกัน
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑. ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมว่า ไม่เป็นธรรม
๒. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่า เป็นธรรม
๓. ย่อมแสดงสิ่งที่มิใช่วินัยว่า มิใช่วินัย
๔. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่า เป็นวินัย
๕. ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตมิได้
ตรัสภาษิตไว้
๖. ย่อมแสดงคำอันตถาคต ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตตรัส
ภาษิตไว้
๗. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคต
มิได้ประพฤติมา
๘. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้วว่า เป็นกรรมอันตถาคต
ประพฤติมาแล้ว
๙. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคต มิได้บัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้
บัญญัติไว้
๑๐. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
๑๑. ย่อมแสดงอนาบัติว่า เป็นอนาบัติ
๑๒. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอาบัติ
๑๓. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติเบา
๑๔. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็นอาบัติหนัก
๑๕. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๖. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๗. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
๑๘. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมไม่ประกาศให้แตกแยกกันด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้ ย่อมไม่
แยกทำอุโบสถ ย่อมไม่แยกทำปวารณา ย่อมไม่แยกทำสังฆกรรม
ดูกรอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล สงฆ์เป็นอันพร้อมเพรียงกัน ฯ
[๔๐๗] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุนั้นทำลายสงฆ์
ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน
แล้ว ย่อมได้รับผลชั่วร้าย ตั้งอยู่ชั่วกัป ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ฯ
นิคมคาถา
[๔๐๘] ภิกษุทำลายสงฆ์ ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยู่ชั่วกัป
ภิกษุผู้ยินดีในการแตกพวก ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมเสื่อมจาก
ธรรมอันเกษมจากโยคะ ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว
ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ฯ
[๔๐๙] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุสมานสงฆ์ที่
แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุสมานสงฆ์ที่แตกกันแล้วให้
พร้อมเพรียงกัน ย่อมได้บุญอันประเสริฐ ย่อมบรรเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป ฯ
นิคมคาถา
[๔๑๐] ความพร้อมเพรียงของหมู่ เป็นเหตุแห่งสุข และการ
สนับสนุนผู้พร้อมเพรียงกัน ก็เป็นเหตุแห่งสุข ภิกษุผู้ยินดีใน
ความพร้อมเพรียงตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่เสื่อมจากธรรมอัน
เกษมจากโยคะ ภิกษุสมานสงฆ์ ให้พร้อมเพรียงกันแล้ว
ย่อมบรรเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป ฯ
ตกลงแตกแยกตั้งแต่เม้่อไหร่

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 20:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปวดตา...มองนาน ๆ ไม่ได้

ต้องกลับไปหาหมอตา..ละคับ


โพสต์ เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 20:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ตกลงแตกแยกตั้งแต่เม้่อไหร่


ตรงนี้..ครับ..
อ้างคำพูด:
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... 078&Z=4189
...................

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒



สังฆราชี


[๔๐๔] ครั้งนั้น ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระอุบาลีนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า สังฆราชี สังฆราชี ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเป็น
สังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท ด้วยเหตุเพียงเท่าไร เป็นทั้งสังฆราชี และสังฆเภท

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุหนึ่งรูปฝ่ายหนึ่ง
มี๒ รูป รูปที่ ๔ ประกาศให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่าน
ทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ เป็น
สังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๒ รูป ฝ่ายหนึ่งก็มี ๒ รูป รูปที่ ๕ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจ
สลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๒ รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๓ รูป รูปที่ ๖ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จง
ชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๓ รูป ฝ่ายหนึ่งก็มี ๓ รูป รูปที่ ๗
ประกาศให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๓ รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๔ รูป รูปที่ ๘ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจ
สลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ก็เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๔ รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๔ รูป รูปที่ ๙ ประกาศ
ให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้แล เป็นทั้งสังฆราชี และสังฆเภท

ดูกรอุบาลี ภิกษุ ๙ รูป หรือเกินกว่า ๙ รูป เป็นทั้งสังฆราชี และสังฆเภท


ดูกรอุบาลี ภิกษุณีทำลายสงฆ์ย่อมไม่ได้ แต่พยายามเพื่อจะทำลายได้
สิกขมานา ก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
สามเณรก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
สามเณรีก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
อุบาสกก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
อุบาสิกาก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้ แต่พยายามเพื่อจะทำลายได้

ดูกรอุบาลี ภิกษุปกตัตตะ มีสังวาสเสมอกัน อยู่ในสีมาเดียวกัน ย่อม
ทำลายสงฆ์ได้ ฯ

สังฆเภท


[๔๐๕] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆเภท สังฆเภท ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สงฆ์จึงแตก
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑. ย่อมแสดงอธรรมว่า เป็นธรรม
๒. ย่อมแสดงธรรมว่า เป็นอธรรม
๓. ย่อมแสดงสิ่งไม่เป็นวินัยว่า เป็นวินัย
๔. ย่อมแสดงวินัยว่า ไม่เป็นวินัย
๕. ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตตรัส
ภาษิตไว้
๖. ย่อมแสดงคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตมิได้ตรัส
ภาษิตไว้
๗. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคต
ประพฤติมา
๘. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคตมิได้
ประพฤติมา
๙. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
๑๐. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้
๑๑. ย่อมแสดงอนาบัติว่า เป็นอาบัติ
๑๒. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอนาบัติ
๑๓. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติหนัก
๑๔. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็นอาบัติเบา
๑๕. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๖. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๗. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
๑๘. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมประกาศให้แตกแยกกัน ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้ ย่อมแยก
ทำอุโบสถ แยกทำปวารณา แยกทำสังฆกรรม
ดูกรอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล สงฆ์เป็นอันแตกกันแล้ว
สังฆสามัคคี
[๔๐๖] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆสามัคคี สังฆสามัคคี ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรสงฆ์จึงพร้อมเพรียงกัน
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑. ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมว่า ไม่เป็นธรรม
๒. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่า เป็นธรรม
๓. ย่อมแสดงสิ่งที่มิใช่วินัยว่า มิใช่วินัย
๔. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่า เป็นวินัย
๕. ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตมิได้
ตรัสภาษิตไว้
๖. ย่อมแสดงคำอันตถาคต ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตตรัส
ภาษิตไว้
๗. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคต
มิได้ประพฤติมา
๘. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้วว่า เป็นกรรมอันตถาคต
ประพฤติมาแล้ว
๙. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคต มิได้บัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้
บัญญัติไว้
๑๐. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
๑๑. ย่อมแสดงอนาบัติว่า เป็นอนาบัติ
๑๒. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอาบัติ
๑๓. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติเบา
๑๔. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็นอาบัติหนัก
๑๕. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๖. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๗. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
๑๘. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมไม่ประกาศให้แตกแยกกันด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้ ย่อมไม่
แยกทำอุโบสถ ย่อมไม่แยกทำปวารณา ย่อมไม่แยกทำสังฆกรรม
ดูกรอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล สงฆ์เป็นอันพร้อมเพรียงกัน ฯ
[๔๐๗] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุนั้นทำลายสงฆ์
ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน
แล้ว ย่อมได้รับผลชั่วร้าย ตั้งอยู่ชั่วกัป ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ฯ
นิคมคาถา
[๔๐๘] ภิกษุทำลายสงฆ์ ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยู่ชั่วกัป
ภิกษุผู้ยินดีในการแตกพวก ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมเสื่อมจาก
ธรรมอันเกษมจากโยคะ ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว
ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ฯ
[๔๐๙] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุสมานสงฆ์ที่
แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุสมานสงฆ์ที่แตกกันแล้วให้
พร้อมเพรียงกัน ย่อมได้บุญอันประเสริฐ ย่อมบรรเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป ฯ
นิคมคาถา
[๔๑๐] ความพร้อมเพรียงของหมู่ เป็นเหตุแห่งสุข และการ
สนับสนุนผู้พร้อมเพรียงกัน ก็เป็นเหตุแห่งสุข ภิกษุผู้ยินดีใน
ความพร้อมเพรียงตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่เสื่อมจากธรรมอัน
เกษมจากโยคะ ภิกษุสมานสงฆ์ ให้พร้อมเพรียงกันแล้ว
ย่อมบรรเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป ฯ


โพสต์ เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้อ....Bigtoo อ่านพระไตรปิฎกมั้ยครับ...?

อ่านแล้ว...มีอาการอย่างไรบ้าง?...

มีอาการ..อย่างเอกอนมั้ย?


แน๊ะ...มีการเอาเก๊าไปพาดพิง... :b6:

:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 21:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


555...

จะเอาตัวผม..ก็เกรงใจ Bigtoo

เอาเอกอน..นะดีแล้ว...ก็เขียนใว้แล้วนี้..

:b9: :b9:


โพสต์ เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 10:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1236

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้ไม่ทันต้นคิด จิตจึงยึดถือ ความคิดเห็นจึงแตกต่างกัน เพราะรู้ไม่ทันความคิด สงฆ์ก็แตกกัน ประชาชนก็ไม่สามัคคีกัน คนในบัานก็แตกแยกกัน แม้กระทั่งความคิดของเราก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำหรือจะหยุด ว่าจะมาหรือจะไป นั่นแหละ คือความแตกแยก เพราะขาดความรู้ทันปัจจุบัน จะคิดดับๆ นั่นแหละ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก..

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสต์ เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ปฎิบัตตามพระพุทธเจ้าจึงแตกแยกหรืออีกอย่างมันเป็นกฎธรรมชาติ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 09 ส.ค. 2015, 19:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พูด..กับ..ทำ...ก็ให้ตรงกันด้วย..

:b32:


โพสต์ เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 20:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริง...กระทู้นี้..ดีนะ

แต่..มีคนไม่รู้..กวนกระทู้ตัวเอง...เป้ไปเป้มา... :b32: :b32: :b32:

น่า.. :b34: :b34: :b34: ..จริ้ง...จริง


โพสต์ เมื่อ: 17 ส.ค. 2015, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b32:
bigtoo เขียน:
น้ำตาไหลเขาเรียกร้องไห้. ปีติไปดูที่พระองค์กล่าวไว้ซิคืออะไร


ผมไม่ได้ไม่เชื่อ....แต่ Bigtoo พูดว่า..พระองค์กล่าว..นะ...กระผมก็ว่าให้เอามาให้ดู..

พูดอะไรโดยเฉพาะ..กล่าวว่าพระองค์กล่าว...นี้...ต้องมีหลักฐานจริง

โดยเฉพาะ..Bigtoo มักบอกว่า..ควรกล่าวแต่คำตถาคต..ด้วยแล้ว...ยิ่งต้องมีหลักฐาน

กระผมแปลกใจนะ...
กบ บางอย่างอ่านมาได้ฟังมาบางครั้งผมก็อยากเอามาให้ดูนะ แต่บางทีไม่ได้จำว่าอยู่ตรงไหน. แต่ที่ไม่ได้เอามาให้อ่านเพราะย้อนกลับไปหาไม่เจอเพราะมันเยอะมาก แต่ขอบอกว่าผมศึกษาแต่พุทธวจน. และคำที่เปรียบเทียบลงกันได้ซึ่งมันอาจจะเป็นคำขยายความของสาวกผมไม่เคยรังเกลียดคำสาวกนะ. เพราะทุกคนสามารถที่จะขยายความได้แต่ต้องไม่ออกนอกจากความจริงพระองค์ก็ให้ตรวจสอบได้ สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน. ส่วนท่านใดจะหมายความว่าพุทธวจนจะต้องเป็นอย่างไร. ของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้สิทธิ์ส่วนบุคคล มตั้งแต่ผมได้ยินได้ฟังพุทธวจน(คำที่ออกจากพระโอษฐ์)ผมไม่มีเส้นแบ่งอะไรทั้งนั้นมีแต่ธรรมชาติล้วนๆ. ไม่ยึดมั่นสำนักใดๆ ไม่ยึดมั่นพระรูปใด ต้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งเท่านั้น

wink
การไม่ได้หลักของใจที่มั่นคง พึ่งตัวเองที่ยังมีกิเลสก็พึ่งกิเลสตัวเองพาคิดผิดๆ
อะไรๆก็ไม่ยั่งยืน ที่เที่ยงไม่ยอมรับ ธรรมทั้งหลายเที่ยงแน่นอนคือพระพุทธเจ้า
ไม่เข้าใจว่าปัญญาที่หยั่งทราบแยกได้อะไรถูกผิดฟังอะไรดูอะไรผิวเผินไม่ได้
ที่ดีย่อมมีเสียที่เสียย่อมมีดี ทางสายกลางคือรู้ได้ด้วยตาปัญญาอะไรถูกผิดก็รู้
ที่มีความแตกแยกเป็นความคิดที่แตกแยก พระธรรมของจริงมีจิตอันเดียวที่จะรู้
ถ้ายังไม่หยั่งลงถึงจิต ก็ไม่ถึงธรรมจริงๆ เพราะธรรมที่เห็นมีมหาศาลเลือกไม่ได้
ต้องทำเหตุให้ตรงทาง ท่านผู้รู้ท่านลงลึกในจิตตภาวนา สงสัยคือจิตไม่ถึงสัจจะ
อ่านไปสงสัยไปจะถึงสัจจะไม่ได้ ต้องใช้ปัญญาจากจิต ทำให้เกิดผลงานขึ้นมา
ได้ผลงานเกิดขึ้นที่จิตแล้วจะกี่ตำราก็เหอะเขียนแบบคิดเอาใครก็คิดเอาได้ง่ายๆ
พระธรรมอยู่คู่กับโลกตลอดเวลาเป็นธรรมดาสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมเอวังฯ
:b45:
ความลังเลสงสัยย่อมเป็นเหตุทำให้มีความคิดแตกแยกต้นเหตุอยู่ที่จิตที่ส่งออกนะ
ผู้รู้ท่านไม่ได้รู้แค่ผิวเผินน๊าปัญญาสามารถแตกแขนงหยั่งทราบความจริงแม่นยำ
เพราะทราบชัดเจน กาลามสูตรเป็นสภาวะที่้กิดกับจิตผู้ที่ท่านรู้ความจริงไม่ใช่จำ
ไม่ใช่อ่านแล้วจำได้ว่ามี10ข้อแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตลอดเวลาเป็นอัตโนมัติเลย
:b44:
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 17 ส.ค. 2015, 06:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b32:
bigtoo เขียน:
น้ำตาไหลเขาเรียกร้องไห้. ปีติไปดูที่พระองค์กล่าวไว้ซิคืออะไร


ผมไม่ได้ไม่เชื่อ....แต่ Bigtoo พูดว่า..พระองค์กล่าว..นะ...กระผมก็ว่าให้เอามาให้ดู..

พูดอะไรโดยเฉพาะ..กล่าวว่าพระองค์กล่าว...นี้...ต้องมีหลักฐานจริง

โดยเฉพาะ..Bigtoo มักบอกว่า..ควรกล่าวแต่คำตถาคต..ด้วยแล้ว...ยิ่งต้องมีหลักฐาน

กระผมแปลกใจนะ...
กบ บางอย่างอ่านมาได้ฟังมาบางครั้งผมก็อยากเอามาให้ดูนะ แต่บางทีไม่ได้จำว่าอยู่ตรงไหน. แต่ที่ไม่ได้เอามาให้อ่านเพราะย้อนกลับไปหาไม่เจอเพราะมันเยอะมาก แต่ขอบอกว่าผมศึกษาแต่พุทธวจน. และคำที่เปรียบเทียบลงกันได้ซึ่งมันอาจจะเป็นคำขยายความของสาวกผมไม่เคยรังเกลียดคำสาวกนะ. เพราะทุกคนสามารถที่จะขยายความได้แต่ต้องไม่ออกนอกจากความจริงพระองค์ก็ให้ตรวจสอบได้ สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน. ส่วนท่านใดจะหมายความว่าพุทธวจนจะต้องเป็นอย่างไร. ของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้สิทธิ์ส่วนบุคคล มตั้งแต่ผมได้ยินได้ฟังพุทธวจน(คำที่ออกจากพระโอษฐ์)ผมไม่มีเส้นแบ่งอะไรทั้งนั้นมีแต่ธรรมชาติล้วนๆ. ไม่ยึดมั่นสำนักใดๆ ไม่ยึดมั่นพระรูปใด ต้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งเท่านั้น

wink
การไม่ได้หลักของใจที่มั่นคง พึ่งตัวเองที่ยังมีกิเลสก็พึ่งกิเลสตัวเองพาคิดผิดๆ
อะไรๆก็ไม่ยั่งยืน ที่เที่ยงไม่ยอมรับ ธรรมทั้งหลายเที่ยงแน่นอนคือพระพุทธเจ้า
ไม่เข้าใจว่าปัญญาที่หยั่งทราบแยกได้อะไรถูกผิดฟังอะไรดูอะไรผิวเผินไม่ได้
ที่ดีย่อมมีเสียที่เสียย่อมมีดี ทางสายกลางคือรู้ได้ด้วยตาปัญญาอะไรถูกผิดก็รู้
ที่มีความแตกแยกเป็นความคิดที่แตกแยก พระธรรมของจริงมีจิตอันเดียวที่จะรู้
ถ้ายังไม่หยั่งลงถึงจิต ก็ไม่ถึงธรรมจริงๆ เพราะธรรมที่เห็นมีมหาศาลเลือกไม่ได้
ต้องทำเหตุให้ตรงทาง ท่านผู้รู้ท่านลงลึกในจิตตภาวนา สงสัยคือจิตไม่ถึงสัจจะ
อ่านไปสงสัยไปจะถึงสัจจะไม่ได้ ต้องใช้ปัญญาจากจิต ทำให้เกิดผลงานขึ้นมา
ได้ผลงานเกิดขึ้นที่จิตแล้วจะกี่ตำราก็เหอะเขียนแบบคิดเอาใครก็คิดเอาได้ง่ายๆ
พระธรรมอยู่คู่กับโลกตลอดเวลาเป็นธรรมดาสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมเอวังฯ
:b45:
ความลังเลสงสัยย่อมเป็นเหตุทำให้มีความคิดแตกแยกต้นเหตุอยู่ที่จิตที่ส่งออกนะ
ผู้รู้ท่านไม่ได้รู้แค่ผิวเผินน๊าปัญญาสามารถแตกแขนงหยั่งทราบความจริงแม่นยำ
เพราะทราบชัดเจน กาลามสูตรเป็นสภาวะที่้กิดกับจิตผู้ที่ท่านรู้ความจริงไม่ใช่จำ
ไม่ใช่อ่านแล้วจำได้ว่ามี10ข้อแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตลอดเวลาเป็นอัตโนมัติเลย
:b44:
onion onion onion
ที่กล่าวมาก็น่าสนใจดีเหมือนกัน แต่คนกล่าวยังเข้าใจไม่ถึงที่สุด จึงต้องวิ่งหาความดี วิ่งหาอรหันต์. ท่องคาถา รดน้ำมนต์อยู่เลย. เลิกซะจะเห็นแสงสว่างมากกว่าที่เห็นอยู่. ที่เห็นอยู่นั้นมันหิ่งห้อย. ยังไม่ใช่แสงตะวันนะ มันเป็นตัวทิ้งถ่วง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร