วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 86 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


- ทีนี้ก็มาถึงข้อสำคัญที่ว่า เหตุใดจึงตรัสแสดงคุณสมบัติของผู้ สอน โดยทรงใช้หลัก "ภาวิต ๔" แต่ทรงใช้แสดงหลักธรรมที่จะสอนหรือตัวระบบการศึกษา โดยใช้หลัก " สิกขา ๓" แยกต่างหากเป็น ๒ ชุด


ข้อสงสัยนี้ ตอบง่ายๆ สั้นๆ ว่าเพราะมีความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ต่างกัน คือ ด้านคุณสมบัติของผู้ สอนนั้น มุ่งแจกแจงคุณสมบัติของบุคคลผู้สอนที่แสดงตัวปรากฏออกมา ทำนอง วัดผลว่าเขาได้ศึกษาแล้วและพร้อมที่จะสอนผู้อื่นได้หรือไม่ แต่ด้านหลัก การสอนหรือตัวหลักการศึกษา มุ่งระบบการศึกษาและสิ่งที่จะศึกษาว่าจะต้อง เรียนอะไรและเรียนอย่างไร จึงจะได้ผลที่ต้องการ


เฉพาะอย่าง ยิ่ง การศึกษาที่แท้จริงนั้น เป็นกระบวนการพัฒนาชีวิต ซึ่งเป็นระบบของ ธรรมชาติ ที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ จึงต้องจัดให้เป็นไปอย่างถูกต้องตาม กระบวนการของเหตุปัจจัยในธรรมชาติ


ดูที่หลักการศึกษาหรือหลักธรรมที่จะสอน ทำไมจึงต้องมี ๓ ข้อเท่านั้น เป็นชุด ๓ (ไตรสิกขา) ก็ตอบสั้นๆว่า เพราะเป็นเรื่องของชีวิตคน ซึ่งมีแค่ ๓ ด้าน หรือ ๓ แดน เป็นองค์ประกอบหรือองค์ร่วม ๓ อย่าง ที่รวมกันเป็นชีวิต ซึ่งพากันดำเนินเดินหน้าพัฒนาไปด้วยกัน


ชีวิต 3 ด้าน ของคนเรานี้ ที่พัฒนาไปด้วยกัน มีอะไรบ้าง? ก็แยกเป็น


1. ด้านสื่อกับโลก ได้แก่ การรับรู้ติดต่อสื่อสารสัมพันธ์ พฤติกรรม ความประพฤติ และการ แสดงออกต่อหรือกับเพื่อนมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆผ่านทวาร (ช่องทาง ประตู) 2 ชุด คือ

ก. ผัสสทวาร (ทางรับรู้) คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย (รวมทั้งชุมทาง คือ ใจ เป็น 6)

ข. กรรมทวาร (ทางทำกรรม) คือ กาย วาจา (รวมชุมทาง คือ ใจ ด้วย เป็น 3)

ด้านนี้ พูดง่ายๆว่า แดนหรือด้านที่สื่อกับโลก เรียกสั้นๆคำเดียวว่า ศีล


2. ด้านจิตใจ ได้แก่ การทำงานของจิตใจ ซึ่งมีองค์ประกอบและคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องมากมาย เริ่มแต่ต้องมีเจตนา หรือ เจต จำนง ความจงใจ ตั้งใจ มีแรงจูงใจอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความดี-ความชั่ว ความสามารถหรือความอ่อนด้อย พร้อมทั้งความรู้สึก สุข-ทุกข์ สบาย-ไม่สบาย หรือเฉยๆ เพลินๆและปฏิกิริยาต่อจากสุข-ทุกข์นั้น เช่น ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ อยากจะได้ อยากจะเอา หรืออยากจะหนี หรืออยาก จะทำลาย ที่ควบคุมชักนำการรับรู้และพฤติกรรมทั้งหลาย เช่น ว่า จะให้ดูอะไร หรือไม่ดูอะไร จะพูดอะไร จะพูดกับใครว่าอย่างไร ด้านนี้ เรียกสั้นๆว่า จิต หรือแดนของ สมาธิ



3. ด้านปัญญา ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ตั้งแต่สุตะ คือ ความรู้ที่ได้เรียนสดับ หรือ ข่าวสารข้อมูล จนถึงการพัฒนาทุกอยาง ในจินตาวิสัย และญาณ วิสัย เช่น แนวคิด ทิฏฐิ ความเชื่อถือ ทัศนคติ ค่านิยม ความยึดถือตามความรู้ ความ คิด ความเข้าใจ แง่มุมในการมอง ในการพิจารณา อย่างใดอย่างหนึ่ง ด้านนี้ เรียกสั้นๆตรงๆว่า ปัญญา


องค์ประกอบ ของชีวิต 3 ด้านนี้ ทำงานไปด้วยกัน ประสานกันไป และเป็นเหตุ ปัจจัยแก่กัน ไม่แยกต่างหากจากกัน ขออธิยายเพียงสั้นๆ พอให้เห็นเป็นแนว

การสัมพันธ์กับโลกด้วยอินทรีย์ คือ ผัสสทวาร และด้วยพฤติกรรมทางกายวาจา (ด้านที่ 1) จะเป็นไปอย่างไรก็ขึ้นต่อเจตนา ขึ้นต่อสภาพความรู้สึกภาวะและคุณสมบัติต่างๆของจิตใจ (ด้านที่ 2) และทั้งหมดนั้น ทำได้เท่าที่ปัญญาชี้ช่องส่องทางให้รู้แค่ไหน ก็คิดและทำได้แค่นั้นคือภายในขอบเขตของปัญญา (ด้านที่ 3)


ความตั้งใจ และความต้องการ เป็นต้น ของจิตใจ (ด้านที่ 2) ต้องอาศัยการสื่อทางอินทรีย์ และพฤติกรรมกายวาจาเป็น เครื่องสนอง (ด้านที่ 1) ต้องถูกกำหนด และจำกัดขอบเขตตลอดจนปรับเปลี่ยนโดยความเชื่อถือความคิดเห็นและความรู้ความ เข้าใจที่มีอยู่และที่เพิ่มหรือเปลี่ยนไป (ด้านที่ 3)


ปัญญาจะทำ งานและจะพัฒนาได้ดีหรือไม่ (ด้านที่ 3) ต้องอาศัยอินทรีย์ เช่น ดู ฟัง อาศัยกายเคลื่อนไหว เช่น เดินไป จับจัดค้น ฯลฯใช้วาจาสื่อสารไถ่ถามตามทักษะเท่าที่มี (ด้านที่ 1) ต้องอาศัยภาวะและคุณสมบัติของจิตใจ เช่น ความสนใจใฝ่ใจความมีใจเข้มแข็งสู้ปัญหาความขยันอดทน ความรอบคอบ มีสติความมีใจสงบแน่วแน่ มีสมาธิหรือไม่เพียงใด เป็นต้น (ด้านที่ 2)


นี่ คือการดำเนินไปของชีวิตที่องค์ประกอบ 3 ด้านทำงานไปด้วยกัน อาศัยกันประสานกันเป็นปัจจัยแก่กัน ซึ่งเป็นความจริงของชีวิตนั้น ตามธรรมดาของมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ และจึงเป็นเหตุผลที่บอกอยู่ในตัวว่า ทำไมจะต้องแยกชีวิตหรือการดำเนินชีวิตเป็น 3 ด้านจะแบ่งมากหรือน้อยกว่านี้ไม่ได้


เมื่อชีวิตดำเนินไปมี 3 ด้านนี้ การศึกษาที่ฝึกคนให้ดำเนินชีวิตได้ดี ก็ต้องฝึกฝนพัฒนาที่ 3 ด้านของชีวิตนั้น


ดังนั้น การฝึกหรือศึกษาคือสิกขา จึงแยกเป็น 3 ส่วน ดังที่เรียกว่า ไตรสิกขา เพื่อฝีกฝนพัฒนา 3 ด้านของชีวิตนั้น ให้ตรงให้ครบตามธรรมดาแห่งธรรมชาติของมัน โดยเป็นการ พัฒนาพร้อมไปด้วยกัน อย่างประสานเป็นระบบสัมพันธ์อันหนึ่งอันเดียว


เวลา ดูอย่างกว้างๆหยาบ ๆ ก็จะมองเห็นเหมือนอย่างที่บางทีท่านพูดแยกออกเป็นขั้นตอนใหญ่ๆ ว่า ขั้นศีล ขั้นสมาธิ และขั้นปัญญา เหมือนจะให้ฝึกอบรมพัฒนาเป็นคนละ ส่วนคนละตอน ทีละขั้น ตามลำดับ คือ ฝึกอบรมศีลดีแล้ว จึงเจริญสมาธิ แล้วจึงพัฒนาปัญญา


เมื่อมอง ไตรสิกขาแบบนี้ ก็จะเห็นเป็นภาพรวมที่เป็นระบบใหญ่ของการฝึก ซึ่งมีองค์ 3 นั้นเด่นขึ้นมาทีละอย่าง จากหยาบแล้วละเอียดประณีตขึ้นไปเป็นช่วงๆ หรือ เป็นขั้นๆตามลำดับ คือ


ช่วงแรก เด่นออกมาข้างนอก ที่อินทรีย์ (ผัสสทวาร) และกายวาจา ก็เป็นขั้น ศีล

ช่วงที่สอง เด่นด้านภายใน ที่จิตใจ ก็เป็นขั้น สมาธิ

ช่วงที่สาม เด่นที่ความรู้ความคิดเข้าใจ ก็เป็นขั้น ปัญญา

แต่ในทุกขั้นนั้นเอง องค์อีก 2 อย่าง ก็ทำงานร่วมอยู่ด้วยโดยตลอด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หมดกำลัง เบรกแค่นี้เพื่อรอแรงจูงใจหน่อย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 09:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หมดกำลัง เบรกแค่นี้เพื่อรอแรงจูงใจหน่อย :b32:

:b12:
มาแล้วแรงจูงใจ
onion
ทำไมพักนี้กรัชกายมีแต่เรื่องบัญญัติยาวๆ ศัพท์แปร่งๆ อย่างเช่น
ภาวิตกาย เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 09:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ใช่ แต่กบจะต้องลบคำว่า กายมี 2 กายออกออกจากใจตนเองก่อน อะไรบ้างนะ ว่าอีกทีสิขอรับเอ้า

1.
2.


กายมี 2 กาย....ต้องรบกวนกรัชกาย...แถลงไขแล้วละ..คาฟ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 09:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ว....สมัยก่อนการตรัสรู้....ช่วงไหน....ที่เกิดการภาวิตกาย..ของพระมหาโพธิสัตว์...พระองค์ได้ทำอย่างไรไปบ้าง?

ครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ใช่ แต่กบจะต้องลบคำว่า กายมี 2 กายออกออกจากใจตนเองก่อน อะไรบ้างนะ ว่าอีกทีสิขอรับเอ้า

1.
2.


กายมี 2 กาย....ต้องรบกวนกรัชกาย...แถลงไขแล้วละ..คาฟ



จำได้ว่า กบพูดเรื่องกายคนเรามีสองกาย (กบว่ากบเชื่ออย่างนี้ โพสในลานนี้่แหละ แต่จำหัวข้อกระทู้ไม่ได้ เอางี้ก่อน กบบอกสิว่า กบไม่เคยพูด) กรัชกายจำได้มี อทิสมานกายนี่อย่างหนึง แต่อีกอย่างจำไม่ได้ว่า อะไรกาย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว....สมัยก่อนการตรัสรู้....ช่วงไหน....ที่เกิดการภาวิตกาย..ของพระมหาโพธิสัตว์...พระองค์ได้ทำอย่างไรไปบ้าง?

ครับ..



กบนิยามพระมหาโพธิสัตว์ ยังไงครับ เอาชัดๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความต่อเนื่อง (ต่อ)

เป็นอันว่า นั่นคือการมองอย่างภาพรวม จับเอางานส่วนที่เด่นในขั้นนั้น ขึ้นมาเน้นทีละอย่างๆ เขยิบสูงขึ้นไปในการฝึกอบรมพัฒนาตามลำดับ เพื่อให้ส่วนที่หยาบกว่าพร้อม ที่จะรองรับเป็นฐานให้แก่การเจริญงอกงาม หรือทำงานออกผลของส่วนที่ประณีตละเอียดอ่อน


เหมือนที่พูดว่า อ๋อ จะตัดไม้ใหญ่ต้นนี้หรือ ก็ หนึ่ง ต้องจัดบริเวณทำพื้นที่เหยีอบยันให้สะดวกขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้คล่อง ปลอดภัย และแน่นหนามั่นคง (ศีล) + สอง ต้องเตรียมกำลังให้แข็งแรง ใจสู้ เอาจริง จับมีดหรือขวานให้ถนัดมั่น มีสติดี ใจมุ่งแน่ว ไม่วอกแวก (สมาธิ) + แล้วก็สาม ต้อง มีอุปกรณ์ คือ มีดหรือขวานที่ใช้ตัดที่ได้ขนาด มีคุณภาพดี และลับไว้คม กริบ (ปัญญา) จึงจะสัมฤทธิ์ผล คือ ตัดไม้ได้สำเร็จสมปรารถนา



แต่ ในชีวิตที่เป็นอยู่ดำเนินไปอยู่ตลอดเวลานี้ เมื่อวิเคราะห์ละเอียดลงไป ก็จะเห็นว่าองค์ประกอบทั้ง ๓ ด้านของชีวิต ทำงานประสานสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยเกื้อกูลหนุนเสริมกันและกันอยู่ทุกเมื่อ ทุกเวลา ดังจะเห็นว่า ในการศึกษาเมือจะให้คนพัฒนาฝึกตนได้ผลจริง ก็ควรให้เขาฝึกด้วยความตระหนักรู้องค์ประกอบทั้ง ๓ ด้านนั้น ที่จะให้พัฒนาพร้อมไปด้วยกัน โดยเอาโยนิโสมนสิการมาโยงให้เกิดความตระหนักรู้และมีสติที่จะช่วยให้การฝีก ฝนพัฒนาได้ผลสมบูรณ์ตามที่มันควรจะเป็น


พูดในเชิงปฏิบัติว่า ในการกระทำทุกครั้งทุกอย่าง ไม่ว่าจะแสดงพฤติกรรมอะไร หรือมีกิจกรรมใดๆ ก็ตาม เราสามารถ ฝึกฝนพัฒนาตนและสำรวจตรวจสอบตนเองตามหลักไตรสิกขานี้ ให้มีการศึกษาครบ ทั้ง ๓ อย่าง ทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา พร้อมกันไปทุกครั้งทุกคราว คือ


เมื่อ ทำอะไร ก็พิจารณาดูว่า พฤติกรรม หรือการกระทำของเราครั้งนี้ จะเป็นการ เบียดเบียน ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ใครหรือไม่ จะก่อให้เกิดความ เสื่อมโทรมเสียหายอะไรๆ บ้างไหม หรือว่าเป็นไปเพื่อความเกื้อกูล ช่วยเหลือ ส่ง เสริม และสร้างสรรค์ (ศีล)


ในเวลาที่จะทำการนี้ จิตใจของ เราเป็นอย่างไร เราทำด้วยจิตใจที่เห็นแก่ตัว มุ่งร้ายต่อใคร ทำ ด้วยความโลภ โกรธ หลง หรือไม่ หรือทำด้วยเมตตา มีความปรารถนา ดี ทำด้วยศรัทธา ทำด้วยสติ มีความเพียร มีความรับผิดชอบ เป็นต้น และในขณะที่ทำ สภาพจิตใจของเราเป็น อย่างไร เร่าร้อน กระวนกระวาย ขุ่นมัว เศร้าหมอง หรือว่ามีจิต ใจที่สงบ ร่าเริง เบิกบาน เป็นสุข เอิบอิ่ม ผ่องใส (สมาธิ)


เรื่อง ที่ทำครั้งนี้ เราทำด้วยความรู้ความเข้าใจชัดเจนดีแล้วหรือไม่ เรามองเห็นเหตุผล รู้เข้าใจหลักเกณฑ์และความมุ่งหมาย มองเห็นผลดีผลเสียที่อาจจะเกิด ขึ้น และหนทางแก้ไขปรับปรุงพร้อมดีแล้วหรือไม่ (ปัญญา)


ด้วย วิธีปฏิบัติอย่างนี้ คนที่ฉลาดจึงสามารถฝึกศึกษาพัฒนาตน และสำรวจตรวจสอบวัดผลการพัฒนาตนได้เสมอตลอดทุกครั้งทุกเวลา เป็นการ บำเพ็ญไตรสิกขาในระดับรอบเล็ก (คือ ครบสิกขาทั้งสาม ในพฤติกรรม เดียว หรือ กิจกรรมเดียว)


พร้อมกันนั้น การศึกษาของไตรสิกขาใน ระดับขั้นตอนใหญ่ ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นไปทีละส่วนอย่างเป็นไปเองด้วย ซึ่งเมื่อมองดูภายนอก ก็เหมือน ศึกษาไปตามลำดับทีละอย่างทีละขั้น โดยที่ในเวลาเดียวกัน นั้น ไตรสิกขาในระดับรอบเล็กนี้ก็จะช่วยให้การฝีกศึกษาไตรสิกขาในระดับ ขั้นตอนใหญ่ยิ่งก้าวหน้าไปด้วยดีมากขึ้น


ผู้ที่ศึกษาลงไปในราย ละเอียดของการปฏิบัติ ก็จะรู้ถึงหลักความจริงที่ว่า ในขณะแห่งการ ตรัสรู้ หรือ ในขณะบรรลุมรรคผลนิพพานนั้น องค์มรรคทั้งหมด ที่ จัดเป็นกลุ่ม คือ ศีล สมาธิ และปัญญานี้ จะพัฒนาบริบูรณ์ และทำงานพร้อมเป็นหนึ่งเดียวกันในการกำจัดกิเลสและให้สำเร็จผล


ที่พูดนี้ คือสิกขา หรือ การศึกษา ซึ่งเป็นระบบการพัฒนาชีวิตของมนุษย์ตามเงื่อนไขแห่งความจริงของธรรมชาติ เป็นไปตามระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย ตามกฎธรรมดาของธรรมชาตินั้น ซึ่งชีวิตเป็นองค์รวม ที่มีองค์ประกอบ หรือ องค์ รวม ๓ อย่าง คือ ศีล จิต และปัญญา ซึ่งทำงานประสานเป็นเหตุปัจจัยแก่กัน ในการที่ชีวิตนั้นดำเนินอยู่ หรือ พัฒนายิ่งขึ้นไป ดังที่เรียกว่าหลัก ไตรสิกขา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หมดกำลัง เบรกแค่นี้เพื่อรอแรงจูงใจหน่อย :b32:

:b12:
มาแล้วแรงจูงใจ
onion
ทำไมพักนี้กรัชกายมีแต่เรื่องบัญญัติยาวๆ ศัพท์แปร่งๆ อย่างเช่น
ภาวิตกาย เป็นต้น


อโศกท่านเข้าใจตนเองว่า รู้ปรมัตถ์อยู่น่ะน่า

ชาวพุทธบ้านเราคงเห็นแล้วว่า คำสอนของพระพุทธเจ้ามียากหลายอย่าง อย่างแรกเลยก็ศัพท์ภาษาบาลีที่ใช้ ซึ่งชาวพุทธบ้านเราไม่คุ้น เมื่อไม่คู้นเคยก็ :b32: อย่างอโศกเป็นตัวอย่าง ยิ่งคำสอนที่เป็นด้านนามธรรมคือจิตใจด้วยแล้ว ? :b32:

ดังนั้น ขอแนะนำเรื่องง่ายๆอีกที คือ ทำวัตรเข้า-เย็น ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ฯลฯ ปล่อยสัตว์น้ำเป็นต้นไปก่อน แล้วค่อยๆศึกษายิ่งกว่านี้ไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 13:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ใช่ แต่กบจะต้องลบคำว่า กายมี 2 กายออกออกจากใจตนเองก่อน อะไรบ้างนะ ว่าอีกทีสิขอรับเอ้า

1.
2.


กายมี 2 กาย....ต้องรบกวนกรัชกาย...แถลงไขแล้วละ..คาฟ



จำได้ว่า กบพูดเรื่องกายคนเรามีสองกาย (กบว่ากบเชื่ออย่างนี้ โพสในลานนี้่แหละ แต่จำหัวข้อกระทู้ไม่ได้ เอางี้ก่อน กบบอกสิว่า กบไม่เคยพูด) กรัชกายจำได้มี อทิสมานกายนี่อย่างหนึง แต่อีกอย่างจำไม่ได้ว่า อะไรกาย :b1:


555....ก็ไม่บอก..ว่า..กายของกบ...555...

ได้...ได้....พักใว้ก่อน...ได้
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 13:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว....สมัยก่อนการตรัสรู้....ช่วงไหน....ที่เกิดการภาวิตกาย..ของพระมหาโพธิสัตว์...พระองค์ได้ทำอย่างไรไปบ้าง?

ครับ..



กบนิยามพระมหาโพธิสัตว์ ยังไงครับ เอาชัดๆ


ช่วงที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ...นะครับ...รึช่วงออกบวช...ก่อนการตรัสรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว....สมัยก่อนการตรัสรู้....ช่วงไหน....ที่เกิดการภาวิตกาย..ของพระมหาโพธิสัตว์...พระองค์ได้ทำอย่างไรไปบ้าง?

ครับ..



กบนิยามพระมหาโพธิสัตว์ ยังไงครับ เอาชัดๆ


ช่วงที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ...นะครับ...รึช่วงออกบวช...ก่อนการตรัสรู้


กบ เจ้าชายสิทธัตถะ กับ พระพุทธเจ้า ทั้งสองสถานะ เป็นคนมั้ยครับ หรือมีอะไรต่างกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ทีนี้ก็มาถึงข้อสงสัยลำดับต่อไปที่ว่า พระพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงหลักการศึกษา หรือหลักธรรมที่เป็นตัวระบบการศึกษา โดยใช้หลัก สิกขา ๓ แล้ว เหตุใด เมื่อจะแสดงคุณสมบัติของผู้สอน จึงทรงเปลี่ยนไปใช้หลัก ภาวิต ๔


ข้อสงสัยนี้ ก็ตอบง่ายๆ อย่างที่บอกแล้วว่า มีวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายในการตรัสแสดงต่างออกไปเป็นคนละอย่าง หลักสิกขา ๓ นั้น สำหรับนำไปใช้ในการปฏิบัติ คือ ใช้กับชีวิตจริง ก็ให้เป็นไปตามระบบของธรรมชาติอย่างที่ว่าแล้ว


ส่วนคุณสมบัติของผู้สอน เป็นเรื่องของคนที่จะมาดูหรือตรวจสอบกันเอง ตอน นี้ไม่ต้องไปห่วงเรื่องการทำงานของธรรมชาติแล้ว เอาที่ความประสงค์ของ เราว่าดูหรือตรวจสอบตรงไหนอย่างไร จึงจะเห็นได้ชัดเจนดี และถ้าจับจุด ถูก ก็จะถึงกันกับหลักความจริงของธรรมชาติ ไม่เหินห่างไปไหน


ที่จริงก็ดูไม่ยาก ขอให้ดูในสิกขาข้อแรก คือ "ศีล" ที่ว่าเป็นการสื่อกับ โลก ติดต่อกับโลก ทั้งรับจากโลก และกระทำต่อโลก ตรงนี้ แหละ เห็นได้ชัดทันที


ในสิกขาข้อศีลนั้น บอกแล้วว่า เราสื่อกับโลกทางประตูหรือช่องทาง (ทวาร) ๒ ชุด ได้แก่ ชุดแรก คือ ผัสสทวาร ที่นิยมเรียกว่าอินทรีย์ ซึ่งเราสื่อด้วยการรับรู้เข้ามา ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย และ ชุดที่ ๒ คือ กรรมทวาร ซึ่งเราสื่อด้วยการกระทำต่อและต่อกันกับโลก (ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสังคม และต่อสิ่งแวดล้อมอื่นๆ) ด้วยการ แสดงออกทางกาย และทางวาจา


จุดสังเกตและความต่างอยู่ตรงนี้ เอง คือ ในแดนของการสื่อกับโลกนั้น ในขณะใดขณะหนึ่ง (แยกละเอียด เป็นขณะจิตหนึ่งๆ) เราสื่อกับโลกทางทวารใดทวารหนึ่งเท่านั้น และจึงใช้ ทวารชุดใดชุดหนึ่งใน ๒ ชุดนั้น


เพราะฉะนั้น ตามหลักสิกขา ๓ เมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำงานในระบบองค์รวม สิกขาข้อ ศีล จึงเป็นการติดต่อหรือสื่อกับโลกด้วยทวารใดทวารหนึ่ง เป็นหนึ่งข้อ แล้วก็ สมาธิ และปัญญา เป็น ข้อ ๒ และ ๓ ด้วยเหตุนี้ การสื่อกับโลกทางทวารทั้ง ๒ ชุด จึงต้องรวมอยู่ด้วยกันในข้อ ศีล (สำหรับให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง) ระบบสิกขาจึงต้องเป็น ๓ หรือได้แค่ ๓

ทีนี้ พอถึงชุดคุณสมบัติของผู้สอน ตอนนี้ ไม่ต้องคำนึงถึงการทำงานร่วมกันของสิกขา ๓ นั้นแล้ว คราวนี้จะแยกดู หรือตรวจสอบที่ตัวคน แยกต่างหากออกมาดูทีละอย่าง และจุดต่างก็อยู่ในข้อศีลนี่แหละ คือตรงที่แยกการสื่อสารสัมพันธ์กับโลกด้วยทวารต่างกันเป็น ๒ ชุด คือ

ก) ผัสส ทวาร (ทางรับรู้ นิยมเรียกว่า อินทรีย์) คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย (รวมทั้งชุม ทาง คือ ใจ เป็น ๖) เป็นการ เห็น/ดู ได้ยิน/ฟัง ได้/ดมกลิ่น รู้/ลิ้มรส ถูกแตะต้อง กาย (จบที่ใจว่า รู้ธรรมารมณ์)

ข) กรรมทวาร (ทางทำ กรรม) คือ กาย วาจา (รวมชุมทางคือ ใจ ด้วยเป็น ๓) เป็นการทำ การพูด (ตั้งจุดเริ่มที่ใจ คือ คิด)


จะเห็น ว่า พระพุทธเจ้าทรงแยก ๒ แดนย่อยในข้อศีลนี้เอง เป็น ๒ ข้อ แรก ในชุดภาวิต ๔ และทรงตั้งชื่อภาวิตข้อแรก ที่แยกการสื่อกับโลกทางผัสสทวาร หรืออินทรีย์ ออกมาจากศีล เรียกเป็น "ภาวิตกาย" (กายในที่นี้ คือ ปัญจทวาริกาย) พระพุทธเจ้า ทรงเน้นความสำคัญ ของการสื่อกับโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการสื่อด้านการรับรู้ ทางตา หู ฯลฯ ในข้อแรกนี้ คนมักจะมองข้าม แต่ ในพระพุทธศาสนา ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ในระบบการพัฒนา มนุษย์ เฉพาะอย่างยิ่งในการวัดผลของการพัฒนาคน ซึ่งควรจะเอาใจใส่กัน ให้มากขึ้น




ส่วนแดนที่ ๒ ซึ่งจับเอาการสื่อทางกรรมทวาร ขึ้นมาตั้งเป็นคุณสมบัติสำหรับตรวจสอบหรือวัดผลของการพัฒนาคน เรียกว่าภาวิตศีล กับ แดนที่ ๓ และ ๔ คือ ภาวิตจิต และภาวิตปัญญา ก็ตรงกับสิกขาข้อ ๑ (ท่อนที่สอง) และข้อ ๒ และ ๓ จึงขอผ่านไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเพิ่มเกร็ดความรู้ปลีกย่อยอีกเล็กน้อยว่า ภาวิตกาย คือ ผู้ มีกายที่ได้พัฒนาแล้ว (หรือผู้มีกายภาวนา) นี้ ที่ได้อธิบายว่า ได้พัฒนากายด้าน การสื่อกับโลกทางอินทรีย์ ๕ หรือด้านการรับรู้ทาง ตา หู ฯลฯ นั้น บางทีอธิบายได้อีกนัยหนึ่ง โดยขยายความหมาย ของกายในข้อนี้ออกไป หมายถึงการสื่อสัมพันธ์กับโลกด้านกายภาพ หรือด้านวัตถุทั้งหมด


ถ้าขยายความหมายของภาวิตกายออก ไปอย่างนี้ ก็ปรับความหมายของภาวิตข้อที่ ๒ คือ ภาวิตศีล ให้เข้าคู่กันเป็น ว่า ภาวิตศีล คือ ผู้มีศีลที่พัฒนาแล้ว (หรือผู้มีศีลภาวนา) หมายความว่า ได้พัฒนาการสื่อสารสัมพันธ์กับ เพื่อนมนุษย์ หรือการติดต่อเกี่ยวข้องแสดงออกทางสังคม ให้อยู่ร่วมกัน ด้วยดี ร่วมมือ สามัคคี และเกื้อกูลกัน


การให้ความหมายภาวิตกาย และ ภาวิตศีลอย่างนี้ โยงไปถึงหลักการจำแนกคิด เป็น ๔ หมวด หรือ ๔ ประเภท ที่เรียกว่า ปาริสุทธิศีล (ความ ประพฤติบริสุทธิ์ที่จัดเป็นศีล) ๔ คือ


๑. ปาติโมกขสังวรศีล ศีลคือการสำรวมระวังตั้งอยู่ในปาติโมกข์ อันเป็นวินัยแม่บทของสงฆ์

๒. อินทรียสังวรศีล ศีลคือการสำรวมอินทรีย์ รับ รู้ เช่น ดู ฟัง อย่างมีสติ ให้ได้ปัญญา ให้ได้ประโยชน์ ไม่ถูกอกุศลครอบงำ

๓. อาชีวปาริสุทธิศีล ศีลคือความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะ เลี้ยงชีวิตโดยสุจริตชอบธรรม

๔. ปัจจัยปฏิเสวนศีล (หรือปัจจยสันนิสิตศีล) คือการเสพใช้สอยปัจจัยสี่ด้วยปัญญาที่รู้ ความมุ่งหมายให้ได้ประโยชน์ตาม ความหมายและคุณค่าที่แท้ของสิ่งนั้น รู้จักประมาณ บริโภคแต่พอดี ไม่ บริโภคด้วยตัณหา


ส่วนที่เป็นความสัมพันธ์ทางกายภาพ หรือกับ วัตถุ กับธรรมชาติ ก็อยู่ในภาวิตกาย ส่วนที่เป็นความสัมพันธ์ทาง สังคม ก็อยู่ในภาวิตศีล


เมื่อ ได้ทำความเข้าใจกันไว้เป็นพื้นอย่างนี้แล้ว ก็จะสรุปคุณลักษณะของท่านผู้ เข้าถึงนิพพานหรือพระอรหันต์ตามแนวแห่งหลัก ภาวิต ๔ ประการ คือ ภาวิตกาย ภาวิตศีล ภาวิตจิต และภาวิตปัญญา ดังได้กล่าวมา

ทั้ง นี้ มีข้อพึงตระหนักว่า คุณลักษณะและคุณสมบัติต่อไปนี้ แม้จะจัดแยก ไว้ต่างหากกันเป็นด้านนั้น ด้านนี้ แต่แท้จริงแล้ว มิใช่แยกขาดจากกัน เพียงแต่จัดแยกออกไปตาม ด้านที่ปรากฏเด่น เพื่อประโยชน์ในการศึกษา ส่วนในการพัฒนา คุณเหล่านี้เนื่องกัน พัฒนามาด้วยกัน โดยเฉพาะไม่ขาดอิสรภาพของปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2014, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ด้วยความเป็นกัลยาณมิตร
กรัชกาย อย่าได้ อธิบาย ตติยอนาคตสูตรที่ ๙ ให้เน่าเกินไปกว่านี้ เลยครับ

พระสูตรนี้ กำหนดคุณลักษณะของอุปปัชฌาย์ที่ดี ที่ให้นิสสัย แก่อุปปสัมบัน หรืออนุปสัมบัน
โดยเพิ่มโดยกล่าวถึง ผู้ที่มีกายอบรมแล้ว ซึ่งมุ่งที่รู้จักพระวินัย ตั้งอยู่ในพระวินัย

คือความรู้ความกำหนดได้ ซึ่งข้อประพฤติข้อปฏิบัติทางกายใจ และพระธรรมคำสอนต่างๆ ของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงบัญญัติไว้

นี่คือภาวิตกาย

กลับไปอ่านพระสูตรดีๆ และอรรถกถาให้ดี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 86 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร