วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 21:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 11:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

เอาหลักฐานจากที่รู้เห็นในกายในใจนี่หละครับมาอ้าง

กรัชกายอยากเห็นหลักฐานก็ นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์เข้าไป ไม่นานเกินรอก็จะรู้จะเห็นสภาวธรรมตอนที่ อัตตานำหน้า กับตอนที่ สติ ปัญญานำหน้าครับ



อ้างคำพูด:
เอาหลักฐานจากที่รู้เห็นในกายในใจนี่หละครับมาอ้าง



อีกสักคำถามนะครับ :b1:

กายใจ กับ กายมโน เหมือนกันหรือต่างกันขอรับ

:b11:
มโน...ภาษาบาลี......เท่ากับ ใจ.....ภาษาไทย

แต่ใจ ในภาษาไทย มักหมายถึง จิต ในภาษาบาลีด้วย

คำว่า "มโน" ในภาษาบาลี น่าจะหมายถึงหทัยวัตถุ คือหัวใจ นั่นเลยทีเดียว ดังชื่อประสาทรับรู้ของหัวใจที่บาลีท่านเรียกว่า "มโนวิญญาณธาตุ"

กายใจ น่าจะเขียนหรือพิมพ์แยก เป็น กาย - ใจ จึงจะได้ความหมายแยกกันที่ไปตรงกับคำว่า รูป - นาม

ถ้าพิมพ์หรือเขียนติดกันว่า กายใจ อย่างนี้ อาจแปลว่าหัวใจที่อยู่ในกายก็ได้

กายมโน เขียนหรือพิมพ์ติดกัน ก็น่าจะเหมือนกับ กายใจ ที่เขียนติดกัน
:b38:
onion
สังเกตให้ดี ผมเขียนหรือพิมพ์ว่า "ในกายในใจ" แสดงว่าแยกกัน
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

เอาหลักฐานจากที่รู้เห็นในกายในใจนี่หละครับมาอ้าง

กรัชกายอยากเห็นหลักฐานก็ นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์เข้าไป ไม่นานเกินรอก็จะรู้จะเห็นสภาวธรรมตอนที่ อัตตานำหน้า กับตอนที่ สติ ปัญญานำหน้าครับ



อ้างคำพูด:
เอาหลักฐานจากที่รู้เห็นในกายในใจนี่หละครับมาอ้าง



อีกสักคำถามนะครับ :b1:

กายใจ กับ กายมโน เหมือนกันหรือต่างกันขอรับ

:b11:
มโน...ภาษาบาลี......เท่ากับ ใจ.....ภาษาไทย

แต่ใจ ในภาษาไทย มักหมายถึง จิต ในภาษาบาลีด้วย

คำว่า "มโน" ในภาษาบาลี น่าจะหมายถึงหทัยวัตถุ คือหัวใจ นั่นเลยทีเดียว ดังชื่อประสาทรับรู้ของหัวใจที่บาลีท่านเรียกว่า "มโนวิญญาณธาตุ"

กายใจ น่าจะเขียนหรือพิมพ์แยก เป็น กาย - ใจ จึงจะได้ความหมายแยกกันที่ไปตรงกับคำว่า รูป - นาม

ถ้าพิมพ์หรือเขียนติดกันว่า กายใจ อย่างนี้ อาจแปลว่าหัวใจที่อยู่ในกายก็ได้

กายมโน เขียนหรือพิมพ์ติดกัน ก็น่าจะเหมือนกับ กายใจ ที่เขียนติดกัน
:b38:
onion
สังเกตให้ดี ผมเขียนหรือพิมพ์ว่า "ในกายในใจ" แสดงว่าแยกกัน


ขอบคุณนะขอรับ ที่ตอบ :b1: :b8:

จักขุ (ตา) โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กายะ (กาย) มโน (ใจ)

ถามอีกทีนะครับ

แล้วกาย...ที่อโศกว่ากาย - ใจ เป็นอันเดียวกับร่างกายของคนในโลกทั้งหมดไหมขอรับ :b1: หรือเฉพาะแต่กายของอโศกคนเดียว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 19:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b51:
อ้างคำพูด:
ขอบคุณนะขอรับ ที่ตอบ :b1: :b8:

จักขุ (ตา) โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กายะ (กาย) มโน (ใจ)

ถามอีกทีนะครับ

แล้วกาย...ที่อโศกว่ากาย - ใจ เป็นอันเดียวกับร่างกายของคนในโลกทั้งหมดไหมขอรับ :b1: หรือเฉพาะแต่กายของอโศกคนเดียว

:b6:
กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ
:b46:
กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งอโศกะ หรือ กรัชกาย

แต่ชื่อกรัชกาย นี้ แปลงไปแล้วจากกายมนุษย์ธรรมดาๆที่รู้ๆกัน.........แปลให้ฟังหน่อย กรัชกาย
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b51:
อ้างคำพูด:
ขอบคุณนะขอรับ ที่ตอบ :b1: :b8:

จักขุ (ตา) โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กายะ (กาย) มโน (ใจ)

ถามอีกทีนะครับ

แล้วกาย...ที่อโศกว่ากาย - ใจ เป็นอันเดียวกับร่างกายของคนในโลกทั้งหมดไหมขอรับ :b1: หรือเฉพาะแต่กายของอโศกคนเดียว

:b6:

กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งอโศกะ หรือ กรัชกาย

แต่ชื่อกรัชกาย นี้ แปลงไปแล้วจากกายมนุษย์ธรรมดาๆที่รู้ๆกัน.........แปลให้ฟังหน่อย กรัชกาย



อ้างคำพูด:
กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก



ดูคำนิยามกายนั่นแล้ว ดูๆเหมือนอโศกเข้าใจว่า คนเรานี่หลายกายมีหลายร่างกายยังงั้นแหละ กรัชกายเข้าใจถูกมั้ยครับน่า หรืออย่างไร :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2014, 15:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b51:
อ้างคำพูด:
ขอบคุณนะขอรับ ที่ตอบ :b1: :b8:

จักขุ (ตา) โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กายะ (กาย) มโน (ใจ)

ถามอีกทีนะครับ

แล้วกาย...ที่อโศกว่ากาย - ใจ เป็นอันเดียวกับร่างกายของคนในโลกทั้งหมดไหมขอรับ :b1: หรือเฉพาะแต่กายของอโศกคนเดียว

:b6:

กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งอโศกะ หรือ กรัชกาย

แต่ชื่อกรัชกาย นี้ แปลงไปแล้วจากกายมนุษย์ธรรมดาๆที่รู้ๆกัน.........แปลให้ฟังหน่อย กรัชกาย



อ้างคำพูด:
กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก



ดูคำนิยามกายนั่นแล้ว ดูๆเหมือนอโศกเข้าใจว่า คนเรานี่หลายกายมีหลายร่างกายยังงั้นแหละ กรัชกายเข้าใจถูกมั้ยครับน่า หรืออย่างไร :b1:

:b37:
คำว่า "กาย" เป็นสมมุติบัญญัติแทนส่วนที่เป็นวัตถุ รูป ร่าง หรือธาตุดิน ของสัตว์โลก

แต่คำว่ากาย เมื่อนำไปสนธิหรือสมาสกับคำอื่น ย่อมให้ความหมายที่เปลี่ยนไป

กาย ที่เปนกายเนื้อของมนุษย์นี่ก็มีกายเดียวเท่านี่แหละ ไม่ต้องคิดละเอียดหยุมหยิมมากเกินไปจนเกินความจำเป็นในการประพฤติปฏิบัติธรรม

กาย....รูป.......ใจ.....นาม

ภาวนาจนเห็น รูป นาม เกิด ดับ ช้ัดเจน นิพพิทาญาณเขาจะเกิดขึ้นเองตามมา ถ้าเบื่อหน่ายในขันธ์ห้าอันเป็นก้อนทุกข์นี้ได้ เพราะมันไม่ มีอะไร มีแต่เกิดกับดับ ที่เหลือหลังจากนั้นเขาจะทำงานเป็นอัตโนมัติหมด ไปด้วยอำนาจแห่งธรรม ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องคิดมากหยุมหยิมให้เยิ่นเย้อ ยืดยาว ยุ่งยาก เยอะแยะ ยิ่งเหยียดยาว
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2014, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b51:
อ้างคำพูด:
ขอบคุณนะขอรับ ที่ตอบ :b1: :b8:

จักขุ (ตา) โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กายะ (กาย) มโน (ใจ)

ถามอีกทีนะครับ

แล้วกาย...ที่อโศกว่ากาย - ใจ เป็นอันเดียวกับร่างกายของคนในโลกทั้งหมดไหมขอรับ :b1: หรือเฉพาะแต่กายของอโศกคนเดียว

:b6:

กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งอโศกะ หรือ กรัชกาย

แต่ชื่อกรัชกาย นี้ แปลงไปแล้วจากกายมนุษย์ธรรมดาๆที่รู้ๆกัน.........แปลให้ฟังหน่อย กรัชกาย



อ้างคำพูด:
กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก



ดูคำนิยามกายนั่นแล้ว ดูๆเหมือนอโศกเข้าใจว่า คนเรานี่หลายกายมีหลายร่างกายยังงั้นแหละ กรัชกายเข้าใจถูกมั้ยครับน่า หรืออย่างไร :b1:

:b37:
คำว่า "กาย" เป็นสมมุติบัญญัติแทนส่วนที่เป็นวัตถุ รูป ร่าง หรือธาตุดิน ของสัตว์โลก

แต่คำว่ากาย เมื่อนำไปสนธิหรือสมาสกับคำอื่น ย่อมให้ความหมายที่เปลี่ยนไป

กาย ที่เปนกายเนื้อของมนุษย์นี่ก็มีกายเดียวเท่านี่แหละ ไม่ต้องคิดละเอียดหยุมหยิมมากเกินไปจนเกินความจำเป็นในการประพฤติปฏิบัติธรรม

กาย....รูป.......ใจ.....นาม

ภาวนาจนเห็น รูป นาม เกิด ดับ ช้ัดเจน นิพพิทาญาณเขาจะเกิดขึ้นเองตามมา ถ้าเบื่อหน่ายในขันธ์ห้าอันเป็นก้อนทุกข์นี้ได้ เพราะมันไม่ มีอะไร มีแต่เกิดกับดับ ที่เหลือหลังจากนั้นเขาจะทำงานเป็นอัตโนมัติหมด ไปด้วยอำนาจแห่งธรรม ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องคิดมากหยุมหยิมให้เยิ่นเย้อ ยืดยาว ยุ่งยาก เยอะแยะ ยิ่งเหยียดยาว
:b12:



คิกๆๆ อโศกขอรับ นั่นแสดงถึงความเข้าใจผิด ไม่เข้าใจเรื่องกาย เรื่องรูป ที่ตนเองพูดอยู่บ่อยนะขอรับ

พูดงี้คล่องปร๋อเชีย กาย รูป ใจ นาม นั่นนี่ไปเรื่อย คิกๆๆ ครั้นถามรายละเอียดถ้อยคำ (ชื่อ) ที่ตนเอ่ยอ้าง ก็เข้าใจคลาดเคลื่อน คิกๆๆ นั่นมันหมายถึงมิจฉาทิฏฐินะขอรับ


เห็นบ่อยๆนะ ว่าทำไปเถอะ ทำไป แล้วจะรู้เอง รู้อะไร? ก็ในเมื่อทำผิดปฏิบัติผิด (มิจฉาปฏิปทา)เข้าใจผิดเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เสียแล้ว ทำยังไงก็ได้ยังงั้น ถูกไหม ต่อให้เราไปยกคำปลอบใจ เช่น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ มาก็ตาม :b15: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2014, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกสักที :b1:

กาย ในกายานุปัสสนา เป้นกายที่ไหน ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2014, 16:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b51:
อ้างคำพูด:
ขอบคุณนะขอรับ ที่ตอบ :b1: :b8:

จักขุ (ตา) โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กายะ (กาย) มโน (ใจ)

ถามอีกทีนะครับ

แล้วกาย...ที่อโศกว่ากาย - ใจ เป็นอันเดียวกับร่างกายของคนในโลกทั้งหมดไหมขอรับ :b1: หรือเฉพาะแต่กายของอโศกคนเดียว

:b6:

กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งอโศกะ หรือ กรัชกาย

แต่ชื่อกรัชกาย นี้ แปลงไปแล้วจากกายมนุษย์ธรรมดาๆที่รู้ๆกัน.........แปลให้ฟังหน่อย กรัชกาย



อ้างคำพูด:
กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก



ดูคำนิยามกายนั่นแล้ว ดูๆเหมือนอโศกเข้าใจว่า คนเรานี่หลายกายมีหลายร่างกายยังงั้นแหละ กรัชกายเข้าใจถูกมั้ยครับน่า หรืออย่างไร :b1:

:b37:
คำว่า "กาย" เป็นสมมุติบัญญัติแทนส่วนที่เป็นวัตถุ รูป ร่าง หรือธาตุดิน ของสัตว์โลก

แต่คำว่ากาย เมื่อนำไปสนธิหรือสมาสกับคำอื่น ย่อมให้ความหมายที่เปลี่ยนไป

กาย ที่เปนกายเนื้อของมนุษย์นี่ก็มีกายเดียวเท่านี่แหละ ไม่ต้องคิดละเอียดหยุมหยิมมากเกินไปจนเกินความจำเป็นในการประพฤติปฏิบัติธรรม

กาย....รูป.......ใจ.....นาม

ภาวนาจนเห็น รูป นาม เกิด ดับ ช้ัดเจน นิพพิทาญาณเขาจะเกิดขึ้นเองตามมา ถ้าเบื่อหน่ายในขันธ์ห้าอันเป็นก้อนทุกข์นี้ได้ เพราะมันไม่ มีอะไร มีแต่เกิดกับดับ ที่เหลือหลังจากนั้นเขาจะทำงานเป็นอัตโนมัติหมด ไปด้วยอำนาจแห่งธรรม ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องคิดมากหยุมหยิมให้เยิ่นเย้อ ยืดยาว ยุ่งยาก เยอะแยะ ยิ่งเหยียดยาว
:b12:



คิกๆๆ อโศกขอรับ นั่นแสดงถึงความเข้าใจผิด ไม่เข้าใจเรื่องกาย เรื่องรูป ที่ตนเองพูดอยู่บ่อยนะขอรับ

พูดงี้คล่องปร๋อเชีย กาย รูป ใจ นาม นั่นนี่ไปเรื่อย คิกๆๆ ครั้นถามรายละเอียดถ้อยคำ (ชื่อ) ที่ตนเอ่ยอ้าง ก็เข้าใจคลาดเคลื่อน คิกๆๆ นั่นมันหมายถึงมิจฉาทิฏฐินะขอรับ


เห็นบ่อยๆนะ ว่าทำไปเถอะ ทำไป แล้วจะรู้เอง รู้อะไร? ก็ในเมื่อทำผิดปฏิบัติผิด (มิจฉาปฏิปทา)เข้าใจผิดเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เสียแล้ว ทำยังไงก็ได้ยังงั้น ถูกไหม ต่อให้เราไปยกคำปลอบใจ เช่น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ มาก็ตาม :b15: :b32:

:b12:
อย่าตัดสินอะไรแบบไร้หลักฐานนะกรัชกาย จะกลายเป็น "ศาลเอียง" ตามโลกนิยม

แสดงเหตุผลและหลักฐานมา โดยละอียด
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2014, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b51:
อ้างคำพูด:
ขอบคุณนะขอรับ ที่ตอบ :b1: :b8:

จักขุ (ตา) โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กายะ (กาย) มโน (ใจ)

ถามอีกทีนะครับ

แล้วกาย...ที่อโศกว่ากาย - ใจ เป็นอันเดียวกับร่างกายของคนในโลกทั้งหมดไหมขอรับ :b1: หรือเฉพาะแต่กายของอโศกคนเดียว

:b6:

กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งอโศกะ หรือ กรัชกาย

แต่ชื่อกรัชกาย นี้ แปลงไปแล้วจากกายมนุษย์ธรรมดาๆที่รู้ๆกัน.........แปลให้ฟังหน่อย กรัชกาย



อ้างคำพูด:
กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก



ดูคำนิยามกายนั่นแล้ว ดูๆเหมือนอโศกเข้าใจว่า คนเรานี่หลายกายมีหลายร่างกายยังงั้นแหละ กรัชกายเข้าใจถูกมั้ยครับน่า หรืออย่างไร :b1:

:b37:
คำว่า "กาย" เป็นสมมุติบัญญัติแทนส่วนที่เป็นวัตถุ รูป ร่าง หรือธาตุดิน ของสัตว์โลก

แต่คำว่ากาย เมื่อนำไปสนธิหรือสมาสกับคำอื่น ย่อมให้ความหมายที่เปลี่ยนไป

กาย ที่เปนกายเนื้อของมนุษย์นี่ก็มีกายเดียวเท่านี่แหละ ไม่ต้องคิดละเอียดหยุมหยิมมากเกินไปจนเกินความจำเป็นในการประพฤติปฏิบัติธรรม

กาย....รูป.......ใจ.....นาม

ภาวนาจนเห็น รูป นาม เกิด ดับ ช้ัดเจน นิพพิทาญาณเขาจะเกิดขึ้นเองตามมา ถ้าเบื่อหน่ายในขันธ์ห้าอันเป็นก้อนทุกข์นี้ได้ เพราะมันไม่ มีอะไร มีแต่เกิดกับดับ ที่เหลือหลังจากนั้นเขาจะทำงานเป็นอัตโนมัติหมด ไปด้วยอำนาจแห่งธรรม ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องคิดมากหยุมหยิมให้เยิ่นเย้อ ยืดยาว ยุ่งยาก เยอะแยะ ยิ่งเหยียดยาว
:b12:



คิกๆๆ อโศกขอรับ นั่นแสดงถึงความเข้าใจผิด ไม่เข้าใจเรื่องกาย เรื่องรูป ที่ตนเองพูดอยู่บ่อยนะขอรับ

พูดงี้คล่องปร๋อเชีย กาย รูป ใจ นาม นั่นนี่ไปเรื่อย คิกๆๆ ครั้นถามรายละเอียดถ้อยคำ (ชื่อ) ที่ตนเอ่ยอ้าง ก็เข้าใจคลาดเคลื่อน คิกๆๆ นั่นมันหมายถึงมิจฉาทิฏฐินะขอรับ


เห็นบ่อยๆนะ ว่าทำไปเถอะ ทำไป แล้วจะรู้เอง รู้อะไร? ก็ในเมื่อทำผิดปฏิบัติผิด (มิจฉาปฏิปทา)เข้าใจผิดเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เสียแล้ว ทำยังไงก็ได้ยังงั้น ถูกไหม ต่อให้เราไปยกคำปลอบใจ เช่น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ มาก็ตาม :b15: :b32:

:b12:
อย่าตัดสินอะไรแบบไร้หลักฐานนะกรัชกาย จะกลายเป็น "ศาลเอียง" ตามโลกนิยม

แสดงเหตุผลและหลักฐานมา โดยละอียด


ก่อนพอเราถามว่านี่

อ้างคำพูด:
กายะ ในอายตนะ 6 หมายถึงกายวิญญาณธาตุ ประสาทรับรู้ที่กาย ซึ่งมีไปทั่วร่างที่ไม่ใช่อายตนะ 5 ที่เหลือ

กาย - ใจ หรือ รูป - นาม ถ้ามาเอาคำนี้ กาย ก็คือกายหรือร่างกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งโลก


ดูคำนิยามกายนั่นแล้ว ดูๆเหมือนอโศกเข้าใจว่า คนเรานี่หลายกายมีหลายร่างกายยังงั้นแหละ กรัชกายเข้าใจถูกมั้ยครับน่า หรืออย่างไร


ก็พูดเสียว่าไม่ต้องคิดมากคิดหยุมหยิม ฯลฯ ทำไปจนเห็นมันเกิดดับอะไรต่ออะไรนั่น
เราก็ว่า เบื้องต้นเข้าใจผิดเสียแล้ว ผลของมันก็ผิด คิกๆๆ แล้วจะเอาอะไร เข้าใจผิด จะเอาถูกได้ยังไง :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2014, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อีกสักที :b1:

กาย ในกายานุปัสสนา เป็นกายที่ไหน ?


ตอบเพียวๆนี่สิขอรับ ดังๆชัดๆ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2014, 16:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อีกสักที :b1:

กาย ในกายานุปัสสนา เป้นกายที่ไหน ?

:b25:
กายในกาย คือ รูป 28 ธาตุ 4
ขันธ์ 1 อายตนะ 6 อาการ 32

ที่ได้ประโยชน์ในการภาวนามากที่สุด คือธาตุ 4

ดิน..หนัก เบา.แข็ง อ่อน หยาบ ละเอียด กระด้าง นุ่มนิ่ม

น้ำ...ซึมซับ เอิบอาบ แตกแยก เกาะกุมกันเข้า ธาตุนี้รูยากเห็นยาก

ลม.....เจ็บ ปวด เต้น ตอด ตั้งมั่น โยกคลอน ไหว นิ่ง ปร่ากฏในการภาวนามากและบ่อยที่สุด

ไฟ....ร้อน หนาว เย็น อุ่น

เราสัมผัสรู้ธาตุโดยผัสสะทางกาย เกิดเวทนาทางกายและจิตจนสุดท้ายเป็นธรรมารมณ์ทางจิต ที่จะมาลงตัวเหมือนกันหมดทั้ง 4 ฐาน คือ

ยินดี (อภิชฌา) ยินร้าย (โทมนัส)...และ เฉยๆ อุเบกขา

งานของสติปัฏฐาน 4 คือเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดี ยินร้ายในโลก
:b38:
นี่ตอบจากเท่าที่รู้และจำได้ ยังไม่ได้ค้นตำราครับ
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2014, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อีกสักที :b1:

กาย ในกายานุปัสสนา เป้นกายที่ไหน ?

:b25:
กายในกาย คือ รูป 28 ธาตุ 4
ขันธ์ 1 อายตนะ 6 อาการ 32

ที่ได้ประโยชน์ในการภาวนามากที่สุด คือธาตุ 4

ดิน..หนัก เบา.แข็ง อ่อน หยาบ ละเอียด กระด้าง นุ่มนิ่ม

น้ำ...ซึมซับ เอิบอาบ แตกแยก เกาะกุมกันเข้า ธาตุนี้รูยากเห็นยาก

ลม.....เจ็บ ปวด เต้น ตอด ตั้งมั่น โยกคลอน ไหว นิ่ง ปร่ากฏในการภาวนามากและบ่อยที่สุด

ไฟ....ร้อน หนาว เย็น อุ่น

เราสัมผัสรู้ธาตุโดยผัสสะทางกาย เกิดเวทนาทางกายและจิตจนสุดท้ายเป็นธรรมารมณ์ทางจิต ที่จะมาลงตัวเหมือนกันหมดทั้ง 4 ฐาน คือ

ยินดี (อภิชฌา) ยินร้าย (โทมนัส)...และ เฉยๆ อุเบกขา

งานของสติปัฏฐาน 4 คือเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดี ยินร้ายในโลก
:b38:
นี่ตอบจากเท่าที่รู้และจำได้ ยังไม่ได้ค้นตำราครับ
:b16:



คำตอบนั่น เป็นวิธีปฏิบัติกายานุปัสสนา คือ การตามดูรู้ทันกาย ของอโศกหรือขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 13:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
สติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม มีประเด็นสำคัญที่เหมือนกันทั้ง 4 ฐาน คือ

ไม่ว่าจะพิจารณาฐานใด มันจะไปสิ้นสุดที่ ความยินดี ยินร้าย (อภิชฌาและโทมนัสสัง)เสมอ

งานของการภาวนาสติปัฏฐาน 4 คือ

"วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"......."เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก"


เอาออกอย่างไร?

กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
"ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์"

ด่านแรกหรือเป้าหมายแรกคือ ทำลายความเห็นผิดว่าเป็นตัวกู ของกูให้ขาดสะบั้นเสียก่อน

แล้วที่เหลือจะง่ายไปเองทั้งหมด
smiley


อโสกะ....ทำอย่างไรบ้างครับ?..แชร์ให้ฟังหน่อย..

:b16:
การทำลายความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาตัวกูของกูนั้น อยู่ในหลักปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั่นเลยทีเดียว

ทั้งการเจริญมรรค 8 การเจริญสติปัฏฐาน 4 การเจริญปัจจุบันอารมณ์ หรือการเจริญวิปัสสนาภาวนา

ประเด็นที่จะเอาความเห็นผิดออกนั้น อยู่ตรงงานสำคัญของสติปัฏฐาน 4 ที่ว่า

"วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง".......แปลว่า "เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก"

วิเคราะห์กันให้ดีตรงส่วนนี้

ยินดี ยินร้าย.........ใครเป็นผู้ยินดียินร้าย..........อัตตา ความเห็นผิดว่าเป็น กู เป็น เรา นั่นแหละ
ที่ไปยินดียินร้าย ในผัสสะและเวทนาทั้งหลาย

เอาออกเสียให้ได้......ใครจะเป็นผู้เอาออก.......สติ ปัญญา สมาธิ ศีล ร่วมกันเอาออก

เอาออกอย่างไร........นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนดับไปต่อหน้าต่อตา โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบโต้กับความยินดียินร้ายทั้งหลาย.......ขั้นตอนนี้ ความยากมันจะอยู่ในภาคปฏิบัติ คือ จะต้องรวมพลัง สติ ปัญญา
ตบะ ขันติ วิริยะ หยุดยั้งใจเป็นกูเป็นเราที่ดิ้นรนจะเอาให้ได้ตามอำนาจความยินดียินร้าย ถ้าอดทนเอาชนะได้ ยินดียินร้ายก็จะดับไปเองตามกฎแห่ง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา......สิ่งที่เหลือไว้ให้คือ อุเบกขา ความวางเฉย

พอกพูนความวางเฉยนี้ไว้ให้มากเข้าๆ เมื่อถึงที่สุดก็จะส่งให้เกิดมรรค ผล นิพพาน

ตอนที่สติ ปัญญาและกองหนุนทั้งหลายสู้กับใจอัตตาที่ดิ้นรนนั้น มีผู้สรุปเป็นวิธีปฏิบัติไว้ว่า

"ใจปัญญา อย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย กู จะถอย หรือตายดับ ไปจากใจ"

เชิญทดลองปฏิบัติกันดูนะครับ
:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร