วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 01:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2014, 05:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
โอวาทปาติโมกข์ คือหัวใจของคำสอนของพระพุทธเจ้า

สะ...กุ.....สะ


อริยสัจ 4 คือหัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้า

ทุ....สะ.....นิ.......มะ



อโศกนี่เห็นพุทธธรรมเห็นคำสอนเห็นธรรมะ เป็นแก้วสารพัดนึกนะ :b1: นอนท่องๆแล้วก็สำเร็จสิ่งที่ปรารถนา :b1:

:b12:
สำเร็จหัวใจให้ได้ก่อนจะได้ปฏิบัติไม่ผิดพลาด เหมือนชาวสวนปลูกต้นมะม่วงและทำหน้าที่ของชาวสวนที่พึงกระทำต่อต้นมะม่วงให้ดีที่สุด
หลังจากนั้นเรื่องของดอก ผล ไม่ต้องสงสัยเขาเกิดเองเป็นเองเมื่อเหตุมันพอ ฤดูกาลมันถึง

มรรค ผล นิพพาน ก็ดุจเดียวกัน จักบังเกิดและบรรลุได้โดยง่ายด้วยการคิดและใช้เหตุผลความรู้ยิ่งอย่างนักวิชาการทั้งหลายกำลังกระหยิ่มใจนั้น หาได้เป็นเหตุอันสมควรแก่ผลไม่อุปมาเหมือนคนหิวข้าวนั่งวาดภาพอาหารอันโอชะขึ้นมาในใจ แล้วนึกให้ท้องอิ่มตาม ที่สุดก็จะเป็นดุจหม้อพร่องน้ำไม่เต็ม ส่งเสียงอื้อึงอยูตลอดเวลาหาที่สงบเงียบเสียงกระซิบของปัญญาฟุ้งซ่านภายในไม่ได้สักที
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2014, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
โอวาทปาติโมกข์ คือหัวใจของคำสอนของพระพุทธเจ้า

สะ...กุ.....สะ


อริยสัจ 4 คือหัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้า

ทุ....สะ.....นิ.......มะ



อโศกนี่เห็นพุทธธรรมเห็นคำสอนเห็นธรรมะ เป็นแก้วสารพัดนึกนะ :b1: นอนท่องๆแล้วก็สำเร็จสิ่งที่ปรารถนา :b1:

:b12:
สำเร็จหัวใจให้ได้ก่อนจะได้ปฏิบัติไม่ผิดพลาด เหมือนชาวสวนปลูกต้นมะม่วงและทำหน้าที่ของชาวสวนที่พึงกระทำต่อต้นมะม่วงให้ดีที่สุด
หลังจากนั้นเรื่องของดอก ผล ไม่ต้องสงสัยเขาเกิดเองเป็นเองเมื่อเหตุมันพอ ฤดูกาลมันถึง

มรรค ผล นิพพาน ก็ดุจเดียวกัน จักบังเกิดและบรรลุได้โดยง่ายด้วยการคิดและใช้เหตุผลความรู้ยิ่งอย่างนักวิชาการทั้งหลายกำลังกระหยิ่มใจนั้น หาได้เป็นเหตุอันสมควรแก่ผลไม่อุปมาเหมือนคนหิวข้าวนั่งวาดภาพอาหารอันโอชะขึ้นมาในใจ แล้วนึกให้ท้องอิ่มตาม ที่สุดก็จะเป็นดุจหม้อพร่องน้ำไม่เต็ม ส่งเสียงอื้อึงอยูตลอดเวลาหาที่สงบเงียบเสียงกระซิบของปัญญาฟุ้งซ่านภายในไม่ได้สักที
:b12:



อ้างคำพูด:
สะ...กุ.....สะ

ทุ....สะ.....นิ.......มะ


ท่องกี่จบครับ จึงจะสำเร็จ มรรค ผล นิพพาน

ไม่ต้องโยกโย้ไปนั่นมานี่ ตอบตรงๆเลยครับ 9 จบ 108 จบ กี่จบก็ว่ามา :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2014, 10:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
ถ้าจะเอาหัวใจไปเป็นคาถาท่องให้ถึงมรรคผลนิพพานอย่างที่กรัชกายชอบก็ได้ แต่ต้องมีขั้นตอนนะ จะยอมรับปฏิบัติตามขั้นตอนได้หรือเปล่า กรัชกาย

วิธีที่ง่ายและลัดสั้นกว่านี้ก็บอกแล้วตั้งหลายครั้งยังไม่ยอมจำยังไม่ยอมทำ จะกลับมาเอาวิธีโบราณก็ย่อมได้ไม่มีปัญหา

แต่ว่าฟังอ่านอะไรขอให้มันได้ศัพท์ได้ความหมายที่สมบูรณ์เสียก่อนแล้วจึงค่อยจับไปกระเดียด จึงจะดูดีนะ นักวิการใหญ่กรัชกาย
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2014, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley
ถ้าจะเอาหัวใจไปเป็นคาถาท่องให้ถึงมรรคผลนิพพานอย่างที่กรัชกายชอบก็ได้ แต่ต้องมีขั้นตอนนะ จะยอมรับปฏิบัติตามขั้นตอนได้หรือเปล่า กรัชกาย

วิธีที่ง่ายและลัดสั้นกว่านี้ก็บอกแล้วตั้งหลายครั้งยังไม่ยอมจำยังไม่ยอมทำ จะกลับมาเอาวิธีโบราณก็ย่อมได้ไม่มีปัญหา

แต่ว่าฟังอ่านอะไรขอให้มันได้ศัพท์ได้ความหมายที่สมบูรณ์เสียก่อนแล้วจึงค่อยจับไปกระเดียด จึงจะดูดีนะ นักวิการใหญ่กรัชกาย
:b13:



ไม่ได้คำตอบอีก ตกลงจะเอาไง ฟันธงเลยครับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2014, 14:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ท่องกี่จบก็ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าถ้าจำนวนจบมันได้ที่ จิตใจจะไม่มีความคิดนึกไปชั่วขณะ คาถาที่ท่องก็หาย เหลือแต่ใจรู้ คือสติกับปัญญา ตั้งมั่นลอยเด่นเป็นหนึ่งอยู่เฉยๆอย่างนั้น

ทรงสภาวะเช่นนั้นให้ตั้งอยู่ได้นานๆ ครั้งละ 5-10 นาที หรือนานกว่านั้นได้ยิ่งดี

ถ้ามันถอยกลับมาฟุ้งคิดนึกก็ท่องห้ัวใจอริยสัจ ทุ สะ นิ มะ ใหม่ จนมันสงบเข้าที่ได้ดังที่กล่าว

หลังจากนั้นก็ให้ต่อยอดหรือเลื่อนชั้นตนเองขึ้นไปจากจุดที่นิ่ง รู้อยู่เฉยๆ เปลี่ยนมาเป็น

"นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์"

ให้สติรู้ทัน ปัญญาสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไป โดยไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ ยินดียินร้าย ถ้าทำได้ดี มิช้ามินาน สติ ปัญญาจะได้เห็นหน้าอุปาทานความเห็นผิดยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นตัวกูของกูมันโผล่หน้าขึ้นมาสั่ง บงการ ตอบโต้ ขัดขวางทุกวิถีทาง

จงนิ่งรู้นิ่งสั่งเกตมันต่อไปจนตัวมันและลูกหลานอารมณ์ที่เกิดเนื่องขึ้นจากตัวมัน ดับขาดไปต่อหน้าต่อตา

ทำได้เช่นนี้บ่อยๆ ไม่ช้าจะได้ถึงสภาวะที่ว่า

"กู จะถอย หรือ ตายดับไปจากใจ"

ตอนกูถอย จะได้พบสภาวะอนัตตาชั่วคราว ....ได้ สังขารุเปกขาญาณเป็นรางวัล

แต่ถ้าทำได้จนถึงตอน กู ตาย .....จะได้โสดาปัตติผลเป็นรางวัล
:b8:
เอ้า!......ลงมือทำ...อย่าเฉโกโมเมไปเรื่องอื่นอีกต่อไป

หากยังชักดึงไปในเรื่องอื่น โดยไม่มีการบ้านมาส่ง จะเลิกคุยกับกรัชกายเสียที โดยถือว่า "เป็นคนดีแต่พูด ไม่ลงมือทำจริง"

:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกจะแนะเขายังไงครับ :b1:


อ้างคำพูด:
ผมพึ่งเริ่มปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจังมาได้ประมาณ 3 เดือน โดยกำหนดพุทโธตามลมหายใจเข้าออก จนจิตเริ่มสงบ และจะมีอาการเหมือนหมุนติ้วอยู่ในหัวเกิดอาการคลื่นไส้ จนเกือบจะอาเจียนจนต้องออกจากสมาธิ เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลย ทำให้ไม่ไปถึงไหน ใครพอแนะนำได้ช่วยผมทีครับอยากก้าวผ่านไปให้ได้เป็นมากจริงๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 08:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อโศกจะแนะเขายังไงครับ :b1:


อ้างคำพูด:
ผมพึ่งเริ่มปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจังมาได้ประมาณ 3 เดือน โดยกำหนดพุทโธตามลมหายใจเข้าออก จนจิตเริ่มสงบ และจะมีอาการเหมือนหมุนติ้วอยู่ในหัวเกิดอาการคลื่นไส้ จนเกือบจะอาเจียนจนต้องออกจากสมาธิ เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลย ทำให้ไม่ไปถึงไหน ใครพอแนะนำได้ช่วยผมทีครับอยากก้าวผ่านไปให้ได้เป็นมากจริงๆ

smiley
เป็นปีติชนิดหนึ่งเกิดเมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิ ....เป็นโรคกรรมด้วยเจ้ากรรมนายเวรเขามาขวางไม่ให้เจริญธรรมได้

วิธีแก้ต้องทำวิปัสสนาควบไปด้วยเพื่อช่วยถอนอุปาทานอันเกิดจากวิบากกรรมอันนี้

วิธีการ

เมื่อนั่งพุทโธจนสมาธิเกิดแล้วมีอาการหัวหมุนเกิดขึ้น ให้วางพุทโธไว้เสียก่อนแล้วมาตั้งสติ ปัญญา นิ่งรู้นิ่งสังเกตไว้ที่อาการหมุนอยูเฉยๆ จิตจะสงสัยหรือเรียกร้องให้ทำอย่างไรต่ออาการที่ปรากฏ ก็ให้เพียงแค่มีสติรู้ทัน ปัญญาสังเกตไว้แต่ไม่ทำอะไร รู้อยูเฉยๆอย่างนั้น จนอาการหมุนหรือลูกหลานของอาการหมุนมันดับไปๆๆๆๆจนหมด.....มันจะหมดิ้นเมื่อไรไม่ต้งกังวล นิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไปๆเรื่อยๆ...อาการหมุนนี้จะเบาลง ลดลงๆ จนหมดไปในที่สุด อุปาทานตัวนี้จะไม่มีกำลังมากั้นขวางการปฏิบัติได้อีกต่อไป

วิธีการนี้เป็นกระบวนการถอนอุปาทานด้วยวิปัสสนาปัญญา เราจะเรียกว่าเป็นการชดใช้หนี้กรรมด้วยวิปัสสนาภาวนาก็ได้

เพราะทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาขวางการภาวนานั้นถือเป็นวิบากของกุศลและอกุศลผุดขึ้นมาแสดงผลเป็นอารมณ์ธรรม ถ้าผู้ภาวนาสามารถละความยินดียินร้ายในอารมณ์นั้นได้จนมันดับไปหมดไปเองเพราะหมดแรงวิบาก....อารมณ์เหล่านั้นจะถูกลบไปจากอุปาทาน เหลือไว้แค่ความทรงจำในสัญญาแต่ไม่แสดงผลเป็นวิบากรบกวนได้อีกต่อไป

ดังนั้นผู้เจริญวิปัสสนาไปจนได้ที่ อุปาทานที่จะพาไปเวียนว่ายตายเกิดจะลดลงบางลงจนที่สุดชาติภพที่จะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดใช้หนี้บาปบุญจะลดลงเหลือไม่เกิน 7 ชาติ 3 ชาติ ชาติเดียว จนหมดชาติในที่สุด

นี่เป็นเรื่องที่ถือโอกาสเล่าต่อเป็นความรู้พิเศษแถมให้ โดยอาศัยเหตุหัวหมุนเมื่อจิตเริ่มเกิดสมาธิของผู้ปฏิบัติที่กรัชกายเป็นตัวแทนส่งอารมณ์ ส่งการบ้านแทน คนนี้
สาธุ
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลสบดบังสภาวะ

เมื่อสภาวะใดๆเกิดขึ้น แล้วนำบัญญัติ ใส่ลงในสภาวะที่เกิดขึ้น
ตามที่คิดเอาเองว่า มี ว่า เป็นตามคำเรียกนั้นๆ

แทนที่จะรู้ชัดในสภาวะตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ของสภาวะ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

กลับกลายเป็น เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมีเกิดขึ้น
ตามเหตุของการให้ค่า ให้ความหมายกับสภาวะที่เกิดขึ้น

นี่แหละ เหตุของ ความหลงในสังสารวัฏฏ์
จึงหลงสร้างเหตุ(แนะนำผู้อื่น) ตามความรู้ ที่ตนถือมั่นว่า รู้


เชื่อกัน ก็เพราะ มีเหตุ

ไม่เชื่อกัน ก็เพราะ มีเหตุ

สร้างเหตุให้ผู้อื่น หลงสภาวะ(ที่เชื่อกัน)
ผู้แนะนำ ย่อมหลงสภาวะต่อไป จนกว่าจะหยุดแนะนำผู้อื่น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อโศกจะแนะเขายังไงครับ :b1:


อ้างคำพูด:
ผมพึ่งเริ่มปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจังมาได้ประมาณ 3 เดือน โดยกำหนดพุทโธตามลมหายใจเข้าออก จนจิตเริ่มสงบ และจะมีอาการเหมือนหมุนติ้วอยู่ในหัวเกิดอาการคลื่นไส้ จนเกือบจะอาเจียนจนต้องออกจากสมาธิ เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลย ทำให้ไม่ไปถึงไหน ใครพอแนะนำได้ช่วยผมทีครับอยากก้าวผ่านไปให้ได้เป็นมากจริงๆ

smiley

เป็นปีติชนิดหนึ่งเกิดเมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิ ....เป็นโรคกรรมด้วยเจ้ากรรมนายเวรเขามาขวางไม่ให้เจริญธรรมได้

วิธีแก้ต้องทำวิปัสสนาควบไปด้วยเพื่อช่วยถอนอุปาทานอันเกิดจากวิบากกรรมอันนี้

วิธีการ

เมื่อนั่งพุทโธจนสมาธิเกิดแล้วมีอาการหัวหมุนเกิดขึ้น ให้วางพุทโธไว้เสียก่อนแล้วมาตั้งสติ ปัญญา นิ่งรู้นิ่งสังเกตไว้ที่อาการหมุนอยูเฉยๆ จิตจะสงสัยหรือเรียกร้องให้ทำอย่างไรต่ออาการที่ปรากฏ ก็ให้เพียงแค่มีสติรู้ทัน ปัญญาสังเกตไว้แต่ไม่ทำอะไร รู้อยูเฉยๆอย่างนั้น จนอาการหมุนหรือลูกหลานของอาการหมุนมันดับไปๆๆๆๆจนหมด.....มันจะหมดิ้นเมื่อไรไม่ต้งกังวล นิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไปๆเรื่อยๆ...อาการหมุนนี้จะเบาลง ลดลงๆ จนหมดไปในที่สุด อุปาทานตัวนี้จะไม่มีกำลังมากั้นขวางการปฏิบัติได้อีกต่อไป

วิธีการนี้เป็นกระบวนการถอนอุปาทานด้วยวิปัสสนาปัญญา เราจะเรียกว่าเป็นการชดใช้หนี้กรรมด้วยวิปัสสนาภาวนาก็ได้

เพราะทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาขวางการภาวนานั้นถือเป็นวิบากของกุศลและอกุศลผุดขึ้นมาแสดงผลเป็นอารมณ์ธรรม ถ้าผู้ภาวนาสามารถละความยินดียินร้ายในอารมณ์นั้นได้จนมันดับไปหมดไปเองเพราะหมดแรงวิบาก....อารมณ์เหล่านั้นจะถูกลบไปจากอุปาทาน เหลือไว้แค่ความทรงจำในสัญญาแต่ไม่แสดงผลเป็นวิบากรบกวนได้อีกต่อไป

ดังนั้นผู้เจริญวิปัสสนาไปจนได้ที่ อุปาทานที่จะพาไปเวียนว่ายตายเกิดจะลดลงบางลงจนที่สุดชาติภพที่จะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดใช้หนี้บาปบุญจะลดลงเหลือไม่เกิน 7 ชาติ 3 ชาติ ชาติเดียว จนหมดชาติในที่สุด

นี่เป็นเรื่องที่ถือโอกาสเล่าต่อเป็นความรู้พิเศษแถมให้ โดยอาศัยเหตุหัวหมุนเมื่อจิตเริ่มเกิดสมาธิของผู้ปฏิบัติที่กรัชกายเป็นตัวแทนส่งอารมณ์ ส่งการบ้านแทน คนนี้
สาธุ



อ้างคำพูด:
เป็นโรคกรรมด้วย เจ้ากรรมนายเวร เขามาขวางไม่ให้เจริญธรรมได้


นั่นๆว่าเข้าไปนั่่น อโศกเอ้ย คิกๆๆ นี่นี่ตัวอย่างความคิดของผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ปฏิบัติธรรม (หรือในชื่ออื่นๆ) แห่งประเทศไทย จะออกแนวนี้ :b32:


เอาอีกเอ้าาา


อ้างคำพูด:
ขอถามหน่อยค่ะว่า เวลาที่นั่งสมาธิสักพัก จิตเริ่มสงบแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นคนหรือวิญญาณไม่แน่ใจค่ะ นั่งก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ข้างๆเรา เจอหลายครั้งค่ะ บางทีก็มากันหลายคน มีอยู่ครั้งหนึ่งชัดเจนมาก มาด้วยกัน 4 คนค่ะ ผู้ชาย 2 คน หญิงอุ้มลูกเล็กๆอีกหนึ่ง เกิดจากอะไรคะ และทำอย่างไรคะหากเจอแบบนี้ แค่แผ่เมตตาพอหรือเปล่า


เป็นไงอโศกตัวอย่างนี้ เจ้ากรรมนายเวรอีกไหม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[url][/url]คุณอโศกขอรับ การปฏิบัติอะไรต่ออะไรที่คุณพร่ำพรรณนามานมนานนั่้นน่ะ ยังไม่เข้าร่องเข้ารอยเลย คุณคิดฟุ้งวาดภาพนั่นนี่เอาเองทั้งเพทั้งระยอง :b32: :b1:

เอาอีกเอ้าาาา

อ้างคำพูด:
สองวันนี้ดิฉันไปปฏิบัติธรรมที่วัด. มีอาการเหมือนป่วยระหว่างที่เดินจงกรมระหว่างขั้น 5 - 6. ตัวมันสั่นไปหมด จุกเหมือนจะเป็นลม พยายามฝืน แต่ทนไม่ไหว มันสั่นไปทั้งตัว คิดว่า ตัวเองไม่สบาย ก็เลยมานั่งพัก. พอวันที่สอง คือ วันนี้เป็นเหมือนเดิมเป๊ะ เวลาเดิมด้วย (หมายถึงระหว่างเดินจงกรมระหว่างขั้น5-6). แม่ชีเห็นท่านบอกให้กำหนด มันคือสภาวธรรม

ดิฉันปฏิบัติธรรมมาหลายครั้ง (แต่ช่วงหลังห่างไปเป็นปี). ไม่เคยมีอาการอย่างนี้มาก่อน ถ้าเป็นสภาวธรรมอย่างที่แม่ชีว่า ทำไมดิฉันไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วเป็นสองวันติด อาการเดียวกัน เวลาเดียวกัน



คุณยังไม่เข้าใจชีวิต :b1: ภาคปรมัตถ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 14:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
คำถามทั้ง 2 ก็เป็นเรื่องของปีติกับนิมิต ทีเกิดขึ้นด้วยอำนาจของสมาธิ ผู้ปฏิบัติแก้ไม้่ได้ ปล่อยวางไม่เป็น จึงปรุงไปเป็นเรื่องราวยกใหญ่.....หรือบางทีอาจมีจริงปนบ้างที่ไปเกี่ยวข้องกับโอปาปาติกะ แต่ก็เป็นแค่เพียงสวนดอกไม้ข้างทาง หากติดหลงปรุงแต่งไปมากย่อมพาเตลิดออกนอกทาง

วิธีแก้ไขก็คือต้องใช้วิปัสสนาภาวนามาช่วยแก้ดังที่กล่าวไว้แล้ว

ผมได้บอกหลักการไว้แล้ว และเตือนไว้แล้วว่าถ้ากรัชกายยังจะเอาปัญหาไม่รู้แล้วไม่รู้หมดและไม่ใช่ปัญหาการปฏิบัติธรรมของกรัชกายโดยตรงมาถามอีก ผมจักเลิกคุยกับกรัชกายนะครับ

ส่วนไอ้ที่กรัชกายจะสรุปเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็เรื่องของกรัชกายผมไม่สน ถามมาก็ตอบให้แล้ว เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ

ข้อคิด พลิกชีวิตให้เป็นสุข

1.อดีตเป็นอย่างไรไม่สำคัญ อย่าปล่อยให้มันมาทำร้าย
ปัจจุบันก็พอ
2.คนอื่นจะมองคุณอย่างไรก็
ช่างเขา ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย
3.เวลารักษาทุกสิ่ง ให้เวลาซักนิด แล้วมันจะผ่านไป
4.ความสุขไม่ใด้เกิดจากใคร คุณสุขได้เพราะใจคุณเอง
5.อย่าได้เปรียบเทียบชีวิตของ
คุณกับคนอื่น เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าชีวิตเค้าผ่านอะไรมาบ้าง
6.อย่าคิดมากไป เพราะบางครั้งการไม่รู้อะไรอาจดีกว่า
7.ยิ้ม ยิ้ม และ ยิ้ม ทุกปัญหาบนโลกใบนี้ไม่ใช่ปัญหาของคุณเพียงคนเดียว หลับตา
ขยันทำสมาธิทุกต้นชั่วโมงครั้งระ 2 นาที ทำให้ได้ทุกชั่วโมงเราจะอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข...รักนะ
แชร์ไปให้คนที่คุณรักได้นะ

เลิกคุยกับกรัชกายนะครับ
:b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 16:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
grin
คำถามทั้ง 2 ก็เป็นเรื่องของปีติกับนิมิต ทีเกิดขึ้นด้วยอำนาจของสมาธิ ผู้ปฏิบัติแก้ไม้่ได้ ปล่อยวางไม่เป็น จึงปรุงไปเป็นเรื่องราวยกใหญ่.....หรือบางทีอาจมีจริงปนบ้างที่ไปเกี่ยวข้องกับโอปาปาติกะ แต่ก็เป็นแค่เพียงสวนดอกไม้ข้างทาง หากติดหลงปรุงแต่งไปมากย่อมพาเตลิดออกนอกทาง

วิธีแก้ไขก็คือต้องใช้วิปัสสนาภาวนามาช่วยแก้ดังที่กล่าวไว้แล้ว

ผมได้บอกหลักการไว้แล้ว และเตือนไว้แล้วว่าถ้ากรัชกายยังจะเอาปัญหาไม่รู้แล้วไม่รู้หมดและไม่ใช่ปัญหาการปฏิบัติธรรมของกรัชกายโดยตรงมาถามอีก ผมจักเลิกคุยกับกรัชกายนะครับ

ส่วนไอ้ที่กรัชกายจะสรุปเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็เรื่องของกรัชกายผมไม่สน ถามมาก็ตอบให้แล้ว เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ

ข้อคิด พลิกชีวิตให้เป็นสุข

1.อดีตเป็นอย่างไรไม่สำคัญ อย่าปล่อยให้มันมาทำร้าย
ปัจจุบันก็พอ
2.คนอื่นจะมองคุณอย่างไรก็
ช่างเขา ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย
3.เวลารักษาทุกสิ่ง ให้เวลาซักนิด แล้วมันจะผ่านไป
4.ความสุขไม่ใด้เกิดจากใคร คุณสุขได้เพราะใจคุณเอง
5.อย่าได้เปรียบเทียบชีวิตของ
คุณกับคนอื่น เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าชีวิตเค้าผ่านอะไรมาบ้าง
6.อย่าคิดมากไป เพราะบางครั้งการไม่รู้อะไรอาจดีกว่า
7.ยิ้ม ยิ้ม และ ยิ้ม ทุกปัญหาบนโลกใบนี้ไม่ใช่ปัญหาของคุณเพียงคนเดียว หลับตา
ขยันทำสมาธิทุกต้นชั่วโมงครั้งระ 2 นาที ทำให้ได้ทุกชั่วโมงเราจะอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข...รักนะ
แชร์ไปให้คนที่คุณรักได้นะ

เลิกคุยกับกรัชกายนะครับ
:b29:


ชีวิตที่กรัชกายพูด กับ ที่อโศกเข้าใจ คนละแง่กัน กรัชกายพูดถึงชีวิตด้านปรมัตถธรรม แต่ชีวิตทีี่อโศกพูดหมายถึงชีวิตด้านยิ้มๆ แล้วก็ยิ้ม ด้านสังคม ฉันรักคุณ คุณรักฉันนะ คิกๆๆ ชีวิตด้านนี้ผันผวนได้มากมาย

พูดอีกครั้งชีวิตก็คือธรรม ธรรมะคือชีวิต พระพุทธเจ้ารู้เรื่องชีวิตอย่างลึกซึ้ง เรียกว่ารู้ถึงแก่นของชีวิตทีเดียว :b1:


เอาอีกครับ

อ้างคำพูด:
ดิฉันเริ่มทำสมาธิได้สองเดือนกว่าๆแล้ว...พยายามทำสมาธิให้ได้วันละ สามซม. แรกๆก็จะบริกรรม ดูลม (เรียนทำสมาธิจากเวปต่างๆ และคลิปที่ยูทูป อยู่ต่างประเทศคะ) จนเห็นจิตเด่นชัด ก็จะบริกรรมไม่ได้แล้ว แต่หากฟุ้งก็จะบริกรรมอีก ตอนนี้แยกร่างกายกับจิตได้บ้างแล้ว เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เห็นตัวรู้

จนเมื่อวานนี้และวันนี้ ได้เกิดการสั่นขึ้นที่ร่างกายส่วนตัวขึ้น มันเริ่มจากตุบๆ เหนือก้น แรกๆเห็นไม่ชัด จนมันตุบๆๆๆ แรงขึ้นๆ จนกลายเป็นสั่น และสั่นรุนแรงขึ้น เหมือนแผ่นดินไหว แต่ก็พยายามประคองจิตเอาไว้ ให้นิ่งดูเฉยๆ ในระหว่างนั้น เริ่มฟุ้งซ่านขึ้นมานิดๆ แต่ก็ประคองไว้ จนรู้สึกเหนื่อย ปวดหัว เพราะสั่นแรงมาก มาแล้วก็หาย แล้วก็มาอีก

จน ถึงวันนี้ๆ ลองลืมตาดูว่ามันเป็นอย่างไร พอลืมตาดูก็เห็นว่าร่างกายสั่นจริง สั่นแต่ช่วงตัว ก็หลับตาประคองสติต่อ ให้เห็นการเกิดดับ (บางทีนอกจากเหนือก้นจะตุบๆ แล้ว ที่บริเวณกลางอก ก็ตุบๆๆ สังเกตได้ชัด บริเวณหัวด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่)

ไม่ทราบว่ามีท่านใดเคยทำสมาธิแล้วเป็นแบบนี้บ้างคะ ขอรบกวนให้คำปรึกษาด้วยนะคะ....อยู่ต่างประเทศจะไปวัดขอคำปรึกษาจากพระไม่ ได้เลย


เราจะคุยกันต่ออีก ไม่งั้น กรัชกายก็ไม่รู้จะพูดกับใคร :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 22:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
grin
คำถามทั้ง 2 ก็เป็นเรื่องของปีติกับนิมิต ทีเกิดขึ้นด้วยอำนาจของสมาธิ ผู้ปฏิบัติแก้ไม้่ได้ ปล่อยวางไม่เป็น จึงปรุงไปเป็นเรื่องราวยกใหญ่.....หรือบางทีอาจมีจริงปนบ้างที่ไปเกี่ยวข้องกับโอปาปาติกะ แต่ก็เป็นแค่เพียงสวนดอกไม้ข้างทาง หากติดหลงปรุงแต่งไปมากย่อมพาเตลิดออกนอกทาง

วิธีแก้ไขก็คือต้องใช้วิปัสสนาภาวนามาช่วยแก้ดังที่กล่าวไว้แล้ว

ผมได้บอกหลักการไว้แล้ว และเตือนไว้แล้วว่าถ้ากรัชกายยังจะเอาปัญหาไม่รู้แล้วไม่รู้หมดและไม่ใช่ปัญหาการปฏิบัติธรรมของกรัชกายโดยตรงมาถามอีก ผมจักเลิกคุยกับกรัชกายนะครับ

ส่วนไอ้ที่กรัชกายจะสรุปเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็เรื่องของกรัชกายผมไม่สน ถามมาก็ตอบให้แล้ว เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ

ข้อคิด พลิกชีวิตให้เป็นสุข

1.อดีตเป็นอย่างไรไม่สำคัญ อย่าปล่อยให้มันมาทำร้าย
ปัจจุบันก็พอ
2.คนอื่นจะมองคุณอย่างไรก็
ช่างเขา ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย
3.เวลารักษาทุกสิ่ง ให้เวลาซักนิด แล้วมันจะผ่านไป
4.ความสุขไม่ใด้เกิดจากใคร คุณสุขได้เพราะใจคุณเอง
5.อย่าได้เปรียบเทียบชีวิตของ
คุณกับคนอื่น เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าชีวิตเค้าผ่านอะไรมาบ้าง
6.อย่าคิดมากไป เพราะบางครั้งการไม่รู้อะไรอาจดีกว่า
7.ยิ้ม ยิ้ม และ ยิ้ม ทุกปัญหาบนโลกใบนี้ไม่ใช่ปัญหาของคุณเพียงคนเดียว หลับตา
ขยันทำสมาธิทุกต้นชั่วโมงครั้งระ 2 นาที ทำให้ได้ทุกชั่วโมงเราจะอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข...รักนะ
แชร์ไปให้คนที่คุณรักได้นะ

เลิกคุยกับกรัชกายนะครับ
:b29:


ชีวิตที่กรัชกายพูด กับ ที่อโศกเข้าใจ คนละแง่กัน กรัชกายพูดถึงชีวิตด้านปรมัตถธรรม แต่ชีวิตทีี่อโศกพูดหมายถึงชีวิตด้านยิ้มๆ แล้วก็ยิ้ม ด้านสังคม ฉันรักคุณ คุณรักฉันนะ คิกๆๆ ชีวิตด้านนี้ผันผวนได้มากมาย

พูดอีกครั้งชีวิตก็คือธรรม ธรรมะคือชีวิต พระพุทธเจ้ารู้เรื่องชีวิตอย่างลึกซึ้ง เรียกว่ารู้ถึงแก่นของชีวิตทีเดียว :b1:


เอาอีกครับ

อ้างคำพูด:
ดิฉันเริ่มทำสมาธิได้สองเดือนกว่าๆแล้ว...พยายามทำสมาธิให้ได้วันละ สามซม. แรกๆก็จะบริกรรม ดูลม (เรียนทำสมาธิจากเวปต่างๆ และคลิปที่ยูทูป อยู่ต่างประเทศคะ) จนเห็นจิตเด่นชัด ก็จะบริกรรมไม่ได้แล้ว แต่หากฟุ้งก็จะบริกรรมอีก ตอนนี้แยกร่างกายกับจิตได้บ้างแล้ว เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เห็นตัวรู้

จนเมื่อวานนี้และวันนี้ ได้เกิดการสั่นขึ้นที่ร่างกายส่วนตัวขึ้น มันเริ่มจากตุบๆ เหนือก้น แรกๆเห็นไม่ชัด จนมันตุบๆๆๆ แรงขึ้นๆ จนกลายเป็นสั่น และสั่นรุนแรงขึ้น เหมือนแผ่นดินไหว แต่ก็พยายามประคองจิตเอาไว้ ให้นิ่งดูเฉยๆ ในระหว่างนั้น เริ่มฟุ้งซ่านขึ้นมานิดๆ แต่ก็ประคองไว้ จนรู้สึกเหนื่อย ปวดหัว เพราะสั่นแรงมาก มาแล้วก็หาย แล้วก็มาอีก

จน ถึงวันนี้ๆ ลองลืมตาดูว่ามันเป็นอย่างไร พอลืมตาดูก็เห็นว่าร่างกายสั่นจริง สั่นแต่ช่วงตัว ก็หลับตาประคองสติต่อ ให้เห็นการเกิดดับ (บางทีนอกจากเหนือก้นจะตุบๆ แล้ว ที่บริเวณกลางอก ก็ตุบๆๆ สังเกตได้ชัด บริเวณหัวด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่)

ไม่ทราบว่ามีท่านใดเคยทำสมาธิแล้วเป็นแบบนี้บ้างคะ ขอรบกวนให้คำปรึกษาด้วยนะคะ....อยู่ต่างประเทศจะไปวัดขอคำปรึกษาจากพระไม่ ได้เลย


เราจะคุยกันต่ออีก ไม่งั้น กรัชกายก็ไม่รู้จะพูดกับใคร :b1:

:b7:
เห็นคำพูดทิ้งท้ายของกรัชกายแล้วน่าสงสาร ที่หาเพื่อนคุยด้วยรู้เรื่องยาก

เอาอย่างนี้ดีไหม กรัชกายลองบอกวิธีแก้ปัญหาของน้องคนล่าสุดนี้ตามวิธีการของกรัชกายมาก่อนแล้วผมจะวิเคราะห์คำตอบของกรัชกายให้ฟัง กรัชกายจะได้มีส่วนร่วมมั่ง แล้วจะได้ประโยชน์ทุกฝ่ายทุกคนที่เข้ามาศีกษาหรือสังเกตการณ์ ไม่อย่างงั้นอโศกะก็ไม่มีกำลังใจจะตอบ ทำให้ไม่อยากจะคุยต่อ ดังที่บอกไว้แล้วข้างต้น
:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2014, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
grin
คำถามทั้ง 2 ก็เป็นเรื่องของปีติกับนิมิต ทีเกิดขึ้นด้วยอำนาจของสมาธิ ผู้ปฏิบัติแก้ไม้่ได้ ปล่อยวางไม่เป็น จึงปรุงไปเป็นเรื่องราวยกใหญ่.....หรือบางทีอาจมีจริงปนบ้างที่ไปเกี่ยวข้องกับโอปาปาติกะ แต่ก็เป็นแค่เพียงสวนดอกไม้ข้างทาง หากติดหลงปรุงแต่งไปมากย่อมพาเตลิดออกนอกทาง

วิธีแก้ไขก็คือต้องใช้วิปัสสนาภาวนามาช่วยแก้ดังที่กล่าวไว้แล้ว

ผมได้บอกหลักการไว้แล้ว และเตือนไว้แล้วว่าถ้ากรัชกายยังจะเอาปัญหาไม่รู้แล้วไม่รู้หมดและไม่ใช่ปัญหาการปฏิบัติธรรมของกรัชกายโดยตรงมาถามอีก ผมจักเลิกคุยกับกรัชกายนะครับ

ส่วนไอ้ที่กรัชกายจะสรุปเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็เรื่องของกรัชกายผมไม่สน ถามมาก็ตอบให้แล้ว เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ

ข้อคิด พลิกชีวิตให้เป็นสุข

1.อดีตเป็นอย่างไรไม่สำคัญ อย่าปล่อยให้มันมาทำร้าย
ปัจจุบันก็พอ
2.คนอื่นจะมองคุณอย่างไรก็
ช่างเขา ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย
3.เวลารักษาทุกสิ่ง ให้เวลาซักนิด แล้วมันจะผ่านไป
4.ความสุขไม่ใด้เกิดจากใคร คุณสุขได้เพราะใจคุณเอง
5.อย่าได้เปรียบเทียบชีวิตของ
คุณกับคนอื่น เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าชีวิตเค้าผ่านอะไรมาบ้าง
6.อย่าคิดมากไป เพราะบางครั้งการไม่รู้อะไรอาจดีกว่า
7.ยิ้ม ยิ้ม และ ยิ้ม ทุกปัญหาบนโลกใบนี้ไม่ใช่ปัญหาของคุณเพียงคนเดียว หลับตา
ขยันทำสมาธิทุกต้นชั่วโมงครั้งระ 2 นาที ทำให้ได้ทุกชั่วโมงเราจะอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข...รักนะ
แชร์ไปให้คนที่คุณรักได้นะ

เลิกคุยกับกรัชกายนะครับ
:b29:


ชีวิตที่กรัชกายพูด กับ ที่อโศกเข้าใจ คนละแง่กัน กรัชกายพูดถึงชีวิตด้านปรมัตถธรรม แต่ชีวิตทีี่อโศกพูดหมายถึงชีวิตด้านยิ้มๆ แล้วก็ยิ้ม ด้านสังคม ฉันรักคุณ คุณรักฉันนะ คิกๆๆ ชีวิตด้านนี้ผันผวนได้มากมาย

พูดอีกครั้งชีวิตก็คือธรรม ธรรมะคือชีวิต พระพุทธเจ้ารู้เรื่องชีวิตอย่างลึกซึ้ง เรียกว่ารู้ถึงแก่นของชีวิตทีเดียว :b1:


เอาอีกครับ

อ้างคำพูด:
ดิฉันเริ่มทำสมาธิได้สองเดือนกว่าๆแล้ว...พยายามทำสมาธิให้ได้วันละ สามซม. แรกๆก็จะบริกรรม ดูลม (เรียนทำสมาธิจากเวปต่างๆ และคลิปที่ยูทูป อยู่ต่างประเทศคะ) จนเห็นจิตเด่นชัด ก็จะบริกรรมไม่ได้แล้ว แต่หากฟุ้งก็จะบริกรรมอีก ตอนนี้แยกร่างกายกับจิตได้บ้างแล้ว เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เห็นตัวรู้

จนเมื่อวานนี้และวันนี้ ได้เกิดการสั่นขึ้นที่ร่างกายส่วนตัวขึ้น มันเริ่มจากตุบๆ เหนือก้น แรกๆเห็นไม่ชัด จนมันตุบๆๆๆ แรงขึ้นๆ จนกลายเป็นสั่น และสั่นรุนแรงขึ้น เหมือนแผ่นดินไหว แต่ก็พยายามประคองจิตเอาไว้ ให้นิ่งดูเฉยๆ ในระหว่างนั้น เริ่มฟุ้งซ่านขึ้นมานิดๆ แต่ก็ประคองไว้ จนรู้สึกเหนื่อย ปวดหัว เพราะสั่นแรงมาก มาแล้วก็หาย แล้วก็มาอีก

จน ถึงวันนี้ๆ ลองลืมตาดูว่ามันเป็นอย่างไร พอลืมตาดูก็เห็นว่าร่างกายสั่นจริง สั่นแต่ช่วงตัว ก็หลับตาประคองสติต่อ ให้เห็นการเกิดดับ (บางทีนอกจากเหนือก้นจะตุบๆ แล้ว ที่บริเวณกลางอก ก็ตุบๆๆ สังเกตได้ชัด บริเวณหัวด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่)

ไม่ทราบว่ามีท่านใดเคยทำสมาธิแล้วเป็นแบบนี้บ้างคะ ขอรบกวนให้คำปรึกษาด้วยนะคะ....อยู่ต่างประเทศจะไปวัดขอคำปรึกษาจากพระไม่ ได้เลย


เราจะคุยกันต่ออีก ไม่งั้น กรัชกายก็ไม่รู้จะพูดกับใคร :b1:

:b7:
เห็นคำพูดทิ้งท้ายของกรัชกายแล้วน่าสงสาร ที่หาเพื่อนคุยด้วยรู้เรื่องยาก

เอาอย่างนี้ดีไหม กรัชกายลองบอกวิธีแก้ปัญหาของน้องคนล่าสุดนี้ตามวิธีการของกรัชกายมาก่อนแล้วผมจะวิเคราะห์คำตอบของกรัชกายให้ฟัง กรัชกายจะได้มีส่วนร่วมมั่ง แล้วจะได้ประโยชน์ทุกฝ่ายทุกคนที่เข้ามาศีกษาหรือสังเกตการณ์ ไม่อย่างงั้นอโศกะก็ไม่มีกำลังใจจะตอบ ทำให้ไม่อยากจะคุยต่อ ดังที่บอกไว้แล้วข้างต้น
:b4:



อันที่จริงบอกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วนะว่า "รู้เห็นตามที่มันเ็ป็น มิใช่รู้เห็นตามที่ตนเองอยากให้มันเป็น"

ภาคฝึกอบรมพัฒนาจิตเนื่ยะ ขณะนั้นๆ รู้สึกอย่างไร เป็นอย่างไร ก็กำหนดูรู้อย่างนั้นตามที่เป็นของมัน (พอเข้าใจมั้ยขอรับ) มิใช่ไปโทษโน่นโทษนี่ โทษผีสางนางไม้ โทษเจ้ากรรมนายเวร โทษเวรโทษกรรมแต่ปางก่อน :b1: ถ้าคิดอย่างอโศก เอาหัวเป็นประกันว่าไม่่ทางพ้นจากทุกข์ได้

เอาอีกเอ้า

อ้างคำพูด:
เวลาปฏิบัติ ก็เข้าใจว่า รับมือรับเจ้ากรรมนายเวรได้ ทั้งที่เราก็ขอเขาก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง จนกระทั่งคืนวันอังคาร วันพระน่ะค่ะ ขณะกำลังทำสมาธิอยู่ จู่ๆร่างของเราก็เหมือนถูกตึง เราก็ปล่อยตามสะบายแค่ตามดู คิดว่าเป็นนิมิตธรรมดา แต่ไม่ใช่ค่ะ เพราะนิมิตธรรมดา เรากำหนดรู้มักจะหายไปได้เอง แต่นี้ไม่ใช่ เขาวิ่งผ่านตัวเราไปค่ะ กระแสของเขา ตอนที่ผ่านร่าง เหมือนจิตกับกายเราจะแยกออกจากกัน ความเจ็บปวดที่เราเคยปวด (เวทนา) ที่นั่งสมาธิตอนแรก ไม่เจ็บเท่านี้ เหมือนร่างกายเราถูกฉีก เหมือนเส้นเลือดจะระเบิดประมาณนั้นจริง ๆ ค่ะ เราแผ่เมตตาให้เขา เขาก็ไม่ยอม แรงเหวี่ยงเยอะมาก ๆ ทั้่งที่ห้องปิดหมดเปิดแอร์นะ แต่มีกระแสลมหมุนตลอดเวลา นึกถึงครูบาอาจารย์ เขาเลยปล่อย เราเป็นไข้วันรุ่งขึ้นเลยค่ะ




อโศกไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ :b1:

อ้างคำพูด:
เห็นคำพูดทิ้งท้ายของกรัชกายแล้วน่าสงสาร ที่หาเพื่อนคุยด้วยรู้เรื่องยาก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2014, 13:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
grin
คำถามทั้ง 2 ก็เป็นเรื่องของปีติกับนิมิต ทีเกิดขึ้นด้วยอำนาจของสมาธิ ผู้ปฏิบัติแก้ไม้่ได้ ปล่อยวางไม่เป็น จึงปรุงไปเป็นเรื่องราวยกใหญ่.....หรือบางทีอาจมีจริงปนบ้างที่ไปเกี่ยวข้องกับโอปาปาติกะ แต่ก็เป็นแค่เพียงสวนดอกไม้ข้างทาง หากติดหลงปรุงแต่งไปมากย่อมพาเตลิดออกนอกทาง

วิธีแก้ไขก็คือต้องใช้วิปัสสนาภาวนามาช่วยแก้ดังที่กล่าวไว้แล้ว

ผมได้บอกหลักการไว้แล้ว และเตือนไว้แล้วว่าถ้ากรัชกายยังจะเอาปัญหาไม่รู้แล้วไม่รู้หมดและไม่ใช่ปัญหาการปฏิบัติธรรมของกรัชกายโดยตรงมาถามอีก ผมจักเลิกคุยกับกรัชกายนะครับ

ส่วนไอ้ที่กรัชกายจะสรุปเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็เรื่องของกรัชกายผมไม่สน ถามมาก็ตอบให้แล้ว เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ

ข้อคิด พลิกชีวิตให้เป็นสุข

1.อดีตเป็นอย่างไรไม่สำคัญ อย่าปล่อยให้มันมาทำร้าย
ปัจจุบันก็พอ
2.คนอื่นจะมองคุณอย่างไรก็
ช่างเขา ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย
3.เวลารักษาทุกสิ่ง ให้เวลาซักนิด แล้วมันจะผ่านไป
4.ความสุขไม่ใด้เกิดจากใคร คุณสุขได้เพราะใจคุณเอง
5.อย่าได้เปรียบเทียบชีวิตของ
คุณกับคนอื่น เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าชีวิตเค้าผ่านอะไรมาบ้าง
6.อย่าคิดมากไป เพราะบางครั้งการไม่รู้อะไรอาจดีกว่า
7.ยิ้ม ยิ้ม และ ยิ้ม ทุกปัญหาบนโลกใบนี้ไม่ใช่ปัญหาของคุณเพียงคนเดียว หลับตา
ขยันทำสมาธิทุกต้นชั่วโมงครั้งระ 2 นาที ทำให้ได้ทุกชั่วโมงเราจะอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข...รักนะ
แชร์ไปให้คนที่คุณรักได้นะ

เลิกคุยกับกรัชกายนะครับ
:b29:


ชีวิตที่กรัชกายพูด กับ ที่อโศกเข้าใจ คนละแง่กัน กรัชกายพูดถึงชีวิตด้านปรมัตถธรรม แต่ชีวิตทีี่อโศกพูดหมายถึงชีวิตด้านยิ้มๆ แล้วก็ยิ้ม ด้านสังคม ฉันรักคุณ คุณรักฉันนะ คิกๆๆ ชีวิตด้านนี้ผันผวนได้มากมาย

พูดอีกครั้งชีวิตก็คือธรรม ธรรมะคือชีวิต พระพุทธเจ้ารู้เรื่องชีวิตอย่างลึกซึ้ง เรียกว่ารู้ถึงแก่นของชีวิตทีเดียว :b1:


เอาอีกครับ

อ้างคำพูด:
ดิฉันเริ่มทำสมาธิได้สองเดือนกว่าๆแล้ว...พยายามทำสมาธิให้ได้วันละ สามซม. แรกๆก็จะบริกรรม ดูลม (เรียนทำสมาธิจากเวปต่างๆ และคลิปที่ยูทูป อยู่ต่างประเทศคะ) จนเห็นจิตเด่นชัด ก็จะบริกรรมไม่ได้แล้ว แต่หากฟุ้งก็จะบริกรรมอีก ตอนนี้แยกร่างกายกับจิตได้บ้างแล้ว เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เห็นตัวรู้

จนเมื่อวานนี้และวันนี้ ได้เกิดการสั่นขึ้นที่ร่างกายส่วนตัวขึ้น มันเริ่มจากตุบๆ เหนือก้น แรกๆเห็นไม่ชัด จนมันตุบๆๆๆ แรงขึ้นๆ จนกลายเป็นสั่น และสั่นรุนแรงขึ้น เหมือนแผ่นดินไหว แต่ก็พยายามประคองจิตเอาไว้ ให้นิ่งดูเฉยๆ ในระหว่างนั้น เริ่มฟุ้งซ่านขึ้นมานิดๆ แต่ก็ประคองไว้ จนรู้สึกเหนื่อย ปวดหัว เพราะสั่นแรงมาก มาแล้วก็หาย แล้วก็มาอีก

จน ถึงวันนี้ๆ ลองลืมตาดูว่ามันเป็นอย่างไร พอลืมตาดูก็เห็นว่าร่างกายสั่นจริง สั่นแต่ช่วงตัว ก็หลับตาประคองสติต่อ ให้เห็นการเกิดดับ (บางทีนอกจากเหนือก้นจะตุบๆ แล้ว ที่บริเวณกลางอก ก็ตุบๆๆ สังเกตได้ชัด บริเวณหัวด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่)

ไม่ทราบว่ามีท่านใดเคยทำสมาธิแล้วเป็นแบบนี้บ้างคะ ขอรบกวนให้คำปรึกษาด้วยนะคะ....อยู่ต่างประเทศจะไปวัดขอคำปรึกษาจากพระไม่ ได้เลย


เราจะคุยกันต่ออีก ไม่งั้น กรัชกายก็ไม่รู้จะพูดกับใคร :b1:

:b7:
เห็นคำพูดทิ้งท้ายของกรัชกายแล้วน่าสงสาร ที่หาเพื่อนคุยด้วยรู้เรื่องยาก

เอาอย่างนี้ดีไหม กรัชกายลองบอกวิธีแก้ปัญหาของน้องคนล่าสุดนี้ตามวิธีการของกรัชกายมาก่อนแล้วผมจะวิเคราะห์คำตอบของกรัชกายให้ฟัง กรัชกายจะได้มีส่วนร่วมมั่ง แล้วจะได้ประโยชน์ทุกฝ่ายทุกคนที่เข้ามาศีกษาหรือสังเกตการณ์ ไม่อย่างงั้นอโศกะก็ไม่มีกำลังใจจะตอบ ทำให้ไม่อยากจะคุยต่อ ดังที่บอกไว้แล้วข้างต้น
:b4:



อันที่จริงบอกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วนะว่า "รู้เห็นตามที่มันเ็ป็น มิใช่รู้เห็นตามที่ตนเองอยากให้มันเป็น"

ภาคฝึกอบรมพัฒนาจิตเนื่ยะ ขณะนั้นๆ รู้สึกอย่างไร เป็นอย่างไร ก็กำหนดูรู้อย่างนั้นตามที่เป็นของมัน (พอเข้าใจมั้ยขอรับ) มิใช่ไปโทษโน่นโทษนี่ โทษผีสางนางไม้ โทษเจ้ากรรมนายเวร โทษเวรโทษกรรมแต่ปางก่อน :b1: ถ้าคิดอย่างอโศก เอาหัวเป็นประกันว่าไม่่ทางพ้นจากทุกข์ได้

เอาอีกเอ้า

อ้างคำพูด:
เวลาปฏิบัติ ก็เข้าใจว่า รับมือรับเจ้ากรรมนายเวรได้ ทั้งที่เราก็ขอเขาก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง จนกระทั่งคืนวันอังคาร วันพระน่ะค่ะ ขณะกำลังทำสมาธิอยู่ จู่ๆร่างของเราก็เหมือนถูกตึง เราก็ปล่อยตามสะบายแค่ตามดู คิดว่าเป็นนิมิตธรรมดา แต่ไม่ใช่ค่ะ เพราะนิมิตธรรมดา เรากำหนดรู้มักจะหายไปได้เอง แต่นี้ไม่ใช่ เขาวิ่งผ่านตัวเราไปค่ะ กระแสของเขา ตอนที่ผ่านร่าง เหมือนจิตกับกายเราจะแยกออกจากกัน ความเจ็บปวดที่เราเคยปวด (เวทนา) ที่นั่งสมาธิตอนแรก ไม่เจ็บเท่านี้ เหมือนร่างกายเราถูกฉีก เหมือนเส้นเลือดจะระเบิดประมาณนั้นจริง ๆ ค่ะ เราแผ่เมตตาให้เขา เขาก็ไม่ยอม แรงเหวี่ยงเยอะมาก ๆ ทั้่งที่ห้องปิดหมดเปิดแอร์นะ แต่มีกระแสลมหมุนตลอดเวลา นึกถึงครูบาอาจารย์ เขาเลยปล่อย เราเป็นไข้วันรุ่งขึ้นเลยค่ะ




อโศกไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ :b1:

อ้างคำพูด:
เห็นคำพูดทิ้งท้ายของกรัชกายแล้วน่าสงสาร ที่หาเพื่อนคุยด้วยรู้เรื่องยาก

:b16:
"นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา".....กรัชกายก็ไม่มีวันเข้าใจสิ่งนี้ได้เช่นกัน
onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร