วันเวลาปัจจุบัน 14 มิ.ย. 2025, 15:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2014, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

อโศกะ.....

นี่ก็อีกแหละ เลี่่ยงบาลีไปได้น้ำขุ่นๆ กระทู้บอกว่า

"ความดับแห่งผัสสะ"

แต่มาพาอ้อมโลกไปเรื่องมหาภูติรูป ร่ายยาวไปไกลโดยไม่โยงเข้ากับหัวเรื่องรือชื่อกระทู้ให้ทราบเสียบ้างก่อน เป็นใครก็เข้าใจไปอย่างที่อโศกะ ติงมาด้วยความปารถนาดี น่าจะรู้ตัวนะครับ...แต่กลับมาอารมณ์เสีย ขุ่นมัวเพราะคำติง.......ที่จริงควรจะตอบด้วยอารมณ์ดีว่า


ไม่เข้าใจก็ถามเขาซิครับ ไม่ใช่แสดงอาการอวดรู้ ทั้งๆที่ไม่รู้
โสกะมันได้ความครับ เดินตามก้นโยคีมา พอเห็นพระธรรมก็ไม่รู้เรื่อง

สิ่งที่คุณวไลเอามาโพส มันก็ถูกต้องตามธรรมแล้ว เป็นโสกะเองที่ยังด้อยปัญญา
อ่านพระธรรมไม่เข้าใจ .....แบบนี้แถวบ้านผมเรียก โง่อวดฉลาดครับ

คนที่ปัญญาน้อย แต่ชอบอวดดี มันก็ต้องเจอสวนแบบนี้แหล่ะ
แต่พิจารณาให้ดี มันเป็นคำสอนน่ะโสกะ สอนเพื่อให้สำรวจตัวเอง :b32:

asoka เขียน:
นี่ก็อีกแหละ ถ้าเป็นโฮฮับพูด ก็จะบอกว่า[/b]..[/color].."สู่รู้"......[color=#800080]เพราะไปรู้ได้อย่างไร ว่าเขาไม่มีความสุข ลอกคัมภีร์มาสนทนามาก นาน จนบารมีเกิด มีญาณวิเศษแล้วหรือ ถึงไปรู้ใจใครต่อใครว่าเป็นอย่างไรไปทั่ว (เหมือนหรือคล้ายโฮฮับเลยนะเนียะ)

:b32: โสกะกะนี้ดูแล้วก็เหมือนสุนัขจิ้งจอกแก่ๆตัวหนึ่ง
ไอ้สุนัขแก่ตัวนี้ เห็นองุ่นอยู่บนต้น ด้วยความตะกละอยากกินผลองุ่น
จึงกระโดดเพื่อจะงับเอาองุ่นลงมากิน แต่กระโดดงับเท่าไรก็ไม่ได้สักที

ผลสุดท้าย ไอ้สุนัขแก่มันก็หยุดแล้วก็บ่นพรึมพร่ำว่า.........."ลูกองุ่นต้นนี้มันเปรียว ไม่กินดีกว่า"

ตลกดี! ตัวเองอ่านหนังสือไม่เป็น เที่ยวมาว่าคนอ่านหนังสือเป็น
ผมว่า สมองของโสกะมันไม่ได้บนในหัวแน่ๆ มันต้องอยู่ตรงตาตุ่ม ถึงได้พูดจากลับตาลปัตร :b9:

อย่างโสกะใครๆก็ดูออก แหม่!เข้ามากระทู้ใหม่ๆ "น้องวลัยพรจ๊ะ น้องวลัยพรจ๋า"
พอเจอคุณวไลพรแสดงอาการรังเกียจ คำพูดหวานๆก็เปลี่ยนเป็นประชดประชัน
คนแบบนี้หรือมีความสุข :b32:


asoka เขียน:

อโศกะ พิมพ์ไปยิ้มไป บางครั้งก็หัวเราะ กับอารมณ์ ที่ผสมมาในคำพูดของ วลัยพรและโฮฮับ ช่างน่าสงสารจริงๆ ที่อ้างธรรมะ อ้างพุทธวัจนะ เป็นฟืนเป็นไฟ แต่ข้างในก็ลุกไหม้เป็นไฟฟืน จึงมีคำพูดที่ผิดปกติออกมามากมาย:


คุณวไลพรแกไม่ชอบคำพูดที่โสกะใช้ครับ คุณวไลพรแกเป็นผู้หญิง
อยู่ดีๆมีตาแก่มาพูดจาเป็นเชิงหมาหยอกไก่ มันก็ต้องเกิดความไม่พอใจ

ขำ! ตอนแรกเรียกน้องวลัยพร พอเขาไม่เล่นด้วย เปลี่ยนศัพท์นามเฉยเลย :b9:

asoka เขียน:
เห็นดอกบัวเป็นกงจักรไปหมด คำกล่าวเตือน เรียกสติ สัมปชัญญะกลับคืนมา กลับเห็นว่าเป็นคำร่ายมนต์ ลองกลับไปพิจารณาเสียใหม่ให้ดีๆนะ ทุกประโยค แฝงความปารถนาดี มีเมตตา ให้อภัย และกรุณาอยู่เสมอๆ


มันไม่ใช่เขาเห็นดอกบัว เป็นกงจักร แต่ไอ้ที่ยื่นมาให้เขาน่ะ มันเป็นอุตพิด
มันเหม็น เขาก็เลยเอาน้ำสาดให้น่ะซิ :b32:

asoka เขียน:
วันนี้ แกะตอบเป็นข้อๆ เพราะพิมีเวลา และอิ่มอกอิ่มใจที่จะได้สนทนากับน้องวลัยพรอย่างเต็มที่หน่อย

คำสนทนาทั้งหมดนี้เป็นแบบทดสอบธรรมด้วยนะจ๊ะ ทั้งโฮฮับที่กำลังสังเกตการณ์เพราะถูกพาดพิง และตัวน้องวลัยพร ผู้ยิ่งยงด้วย[/b]

จงเป็นสุขๆเถิด.........จงพ้นจากทุกข์ถึงสุขโดยถ้วนหน้าเถิด
:b8: :b8: :b8:
:b16: :b16: :b16:


จะเอาฮาไปถึงไหนกันครับ ประชดประชันเขาเป็นวักเป็นเวร
นี่มาอีกแล้ว น้องวลัยพรจ๊ะจ๋า ปะเดี๋ยวก็ถูกคุณวไลพรเอาน้ำสาดอีกหรอก :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย โฮฮับ เมื่อ 10 ม.ค. 2014, 18:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2014, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
มาครบเลย พวกชอบเล่นขายของ และพวกชอบโฆษณาชวนหลง

พอไม่สนใจ ก็เริ่มร่ายมนต์ ช่างน่าสังเวช



บอกแล้ว อยากขายอะไร อยากจะโฆษณาอะไร ให้ไปตั้งกระทู้กันเอง

หรือ หมดหนทาง ทำมาหากิน เพราะไปๆมาๆ ก็ขายแต่ของเก่ากินกัน :b32:



"ขายของ" หมายถึง อะไรขอรับ :b10: ขายของอะไร คิกๆ เอาชัดๆแบบไม่ต้องตีความน่ะ เช่นว่า ขายเครื่องกรองน้ำ ขายเต้าฮวย ไรเงี้ย :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2014, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
มาครบเลย พวกชอบเล่นขายของ และพวกชอบโฆษณาชวนหลง

พอไม่สนใจ ก็เริ่มร่ายมนต์ ช่างน่าสังเวช



บอกแล้ว อยากขายอะไร อยากจะโฆษณาอะไร ให้ไปตั้งกระทู้กันเอง

หรือ หมดหนทาง ทำมาหากิน เพราะไปๆมาๆ ก็ขายแต่ของเก่ากินกัน :b32:



ถ้าเห็นว่า ยังมาขายของเก่ากิน หรือเข้ามาโฆษณาชวนเชื่ออีก

ไม่เป็นไรนะ ถือว่า ทำบุญ ทำทาน ให้เข้ามาแอบอิง ใช้กระทู้ทำกิจที่ต้องการกันได้

เหตุใคร เหตุมัน

เพราะรู้แล้ว พูดไปก็แค่นั้น สำหรับคน ประเภทนี้


อ้างคำพูด:
ขายแต่ของเก่ากิน


ประโยคนี้ ถ้ากรัชกายเป็น ผญ. นะจะตามไป สป. เจอะหน้าจะตบให้แก้มบวม :b33: น๊อยแน่มาว่าเขาขายของเก่ากิน แต่อย่างว่ากรัชกายเป็น ผช. แง่นี้รอดตัวไป คิกๆ แต่ก็นึกถึงเพลงเก่าเก๋ากึกได้ ลาทีปากน้ำ http://www.youtube.com/watch?v=xu28ckKdupI



"ขายของเก่า" ถ้าหมายถึงแง่ของสัจธรรม ยอมรับว่า กรัชกายขายของเก่า เป็นของเก่า เพราะทางนี้เป็นทางเก่าที่พระพทธเจ้าองค์ก่อนๆก็เดินทางนี้ (นี่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันตรัสเองน่ะ) ใครนำของใหม่มาขายแสดงว่า ขายของใหม่ ของก๊อบ ของปลอม ไม่ผ่าน อย. :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2014, 19:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




หนามกลม.jpg
หนามกลม.jpg [ 193.68 KiB | เปิดดู 5288 ครั้ง ]
:b12: :b12: :b12: :b12:
ร้อนตัวแก้ต่างทันทีเลยนะโฮฮับคงได้มาหลายอัฐหลายเฟื้อง หรือหลาย.........

เห็นไฟลุกแล้ว น่าจะร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นทีต้องบ้ายบายกันนะวลัยพร โฮฮับ

ขอให้ไฟที่ลุกจงดับวอดโดยพลันเทอญ

:b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2014, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รอพุทธวจนะ ของคุณวลัยพร
............................................... เหมือนรอ การแสดงตัดคอของปาหี่ ที่มีคำว่า อับดุลย์เอ้ยๆ
ตามตลาดนัด รอจนคนเลิก ก็ยังไม่ตัดคอให้ดู เอาแต่ขายพระบ้าง ขายยันต์บ้าง


มาพูดต่อดีกว่า

วิญญาณ ได้ขาดช่วงไปบ้างหรือไม่ ในสรรพสัตว์

เมื่อไร ไม่มีปัญจวิญญาณ เมื่อนั้น มีมโนวิญญาณ

มโนวิญญาณ มีอะไรบ้าง

ขณะปฏิสนธิ ................ เป็นมโนวิญญาณ
ขณะคิดนึก....................เป็นมโนวิญญาณ
ขณะจมภวังค์(ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่มีความรู้สึกใดๆ).................. เป็นมโนวิญญาณ
ขณะจุติ(ตาย)................เป็นมโนวิญญาณ

ขณะใดไม่มีมโนวิญญาณ ..............................ขณะนั้นมีปัญจวิญญาณ

แล้วจะมีช่วงใด ที่สรรพสัตว์ ไม่มีวิญญาณ

มโนวิญญาณ เกิดขึ้นลอยๆ ได้หรือ ถ้าไม่มี อารมณ์

มนายตนะ + ธัมมาอารมณ์ + มโนวิญญาณ ................... เรียกว่ามโนผัสสะ

และเช่นเดียวกัน
อายตนะภายใน + อารมณ์ + วิญญาณ ......................... เรียกการประจวบนี้ว่า ผัสสะ

ผัสสะ จึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป พร้อมกับวิญญาณ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2014, 22:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดับผัสสะ กับ รับผัสสะมาแล้วไม่ปรุงแต่ง
คนละความหมายนะครับ

ถ่้ารับผัสสะมาแล้วไม่ปรุงแต่ง คือ ผัสสะยังมีแต่ไม่ปรุงแต่ง
ถ้าดับผัสสะ ตามภาษาแล้ว ควรจะหมายถึง ดับผัสสะให้ดับลงโดยสิ้นเชิง ไม่มีผัสสะใหม่เกิดอีก

รอคุณวลัยพรอธิบายมา 3 หน้ายังไม่เห็นเรื่องดับผัสสะ
รอต่อไปครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2014, 04:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ตราบใดที่ มีจิต ตราบนั้น ต้องมีเจตสิก เกิดร่วมด้วย

เจตสิก ที่ขาดไม่ได้เลย ต้องเกิดกับจิตทุกดวงคือ


ไปเอาคำพวกนี้มาจากไหนครับ เจตสิกมันเป็ฯอาการของจิต
ทำไมไปให้ความสำคัญเจตสิกมากกว่าจิตล่ะครับ

มันต้องตราบใดมีเจตสิก ตราบนั้นจะต้องมีจิตเป็นผู้ให้เกิดเจตสิกนั้นๆครับ

ถ้าไม่มีจิต ย่อมไม่มีเจตสิก แต่ถ้ามีจิต อาจไม่มีเจตสิกได้ครับ

govit2552 เขียน:

เจตสิก ที่ขาดไม่ได้เลย ต้องเกิดกับจิตทุกดวงคือ

ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา มนสิการ ชีวิตินทรีย์ เอกัคคตา .............รวมเจ็ดองค์


คุณไปตีความมาผิดๆครับ เจตสิกที่คุณว่า เป็นเจตสิกในส่วนของ สัพพจิตตสาธารณะ

ความหมายแท้ๆคือ ในกระบวนขันธ์ห้า จะต้องมีสัพพเจตสิกเป็นองค์ประกอบครับ


มันไม่ได้หมายความว่า เจตสิกทั้ง๗จะต้องเกิดกับจิตทุกดวง
โดยแท้แล้ว จิตดวงหนึ่งเกิดดับพร้อมกับเจตสิก อีกดวงหนึ่ง


govit2552 เขียน:

ปกติ สังขารธรรมเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นปกติอยู่แล้ว

ผัสสะดับ เวทนาดับ ................................ ย่อมดับได้ แต่ก็มีใหม่เกิดขึ้นสืบต่อ

สังขารธรรมเหล่านี้ ดับไป ก็มีสังขารธรรมใหม่เกิดสืบต่อ ไม่ให้ขาดช่วง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

การจะดับผัสสะ โดยสิ้นเชิง
ดับเวทนา ดับนามรูป ได้โดยสิ้นเชิง ................. ก็ต้องปรินิพพานเท่านั้น


ไม่จำเป็นครับ พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต ก็สามารถดับ เวทนาได้ครับ
แล้วอีกอย่างเอาคำว่าดับมาใช้กับนามรูปมันไม่ถูกต้องนัก
นามรูปของปุถุชน ไม่เรียกว่าดับ ท่านเรียกว่า....มรณะ
นามรูปของพระอรหันต์เรียก....ปรินิพพาน

และที่ว่าพระอรหันต์หรือแม้แต่พระอนาคามี ก็สามารถดับเวทนาได้
ความหมายของการดับเวทนาก็คือ การดับสัญญาไปพร้อมกัน
ด้วยการไปทำไม่ให้เกิดผัสสะครับ.......ท่านเรียกวิธีการนี้ว่า....สัญญาเวทยิตนิโรธ

[๓๙๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวทนามีเท่าไร ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
เป็นไฉน ความดับแห่งเวทนาเป็นไฉน ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งเวทนา
เป็นไฉน อะไรเป็นคุณแห่งเวทนา อะไรเป็นโทษแห่งเวทนา อะไรเป็นอุบาย
เครื่องสลัดออกแห่งเวทนา พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เวทนามี
๓ เหล่านี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ดูกรอานนท์ เหล่านี้
เราเรียกว่าเวทนา เพราะผัสสะเกิดขึ้นเวทนาจึงเกิด เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ
อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ เป็นปฏิปทาเครื่อง
ให้ถึงความดับแห่งเวทนา สุข โสมนัส ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยเวทนาใด นี้เป็น
คุณแห่งเวทนา เวทนาใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้
เป็นโทษแห่งเวทนา การกำจัด การละฉันทราคะในเวทนาใด นี้เป็นอุบายเครื่อง
สลัดออกแห่งเวทนา ฯ
[๔๐๐]ดูกรอานนท์ โดยที่แท้
เราได้กล่าวความดับแห่งสังขารทั้งหลายโดยลำดับแล้ว คือ
เมื่อภิกษุเข้าปฐมฌาน วาจาย่อมดับ ฯลฯ เมื่อเข้าสัญญา-
*เวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาย่อมดับ
ราคะ โทสะ โมหะของภิกษุผู้ขีณาสพย่อมดับ ฯ

[๔๐๑] ดูกรอานนท์ โดยที่แท้ เราได้กล่าวความสงบแห่งสังขารทั้งหลาย
โดยลำดับแล้ว คือ เมื่อภิกษุเข้าปฐมฌาน วาจาย่อมสงบ ฯลฯ เมื่อเข้าสัญญา-
*เวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาย่อมสงบ ราคะ โทสะ โมหะของภิกษุผู้ขีณาสพ
ย่อมสงบ ฯ
[๔๐๒] ดูกรอานนท์ โดยที่แท้ เราได้กล่าวความระงับแห่งสังขาร
ทั้งหลายโดยลำดับแล้ว คือ เมื่อภิกษุเข้าปฐมฌาน วาจาย่อมระงับ ฯลฯ เมื่อ
เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาย่อมระงับ ราคะ โทสะ โมหะของ
ภิกษุผู้ขีณาสพย่อมระงับ ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2014, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
ดับผัสสะ กับ รับผัสสะมาแล้วไม่ปรุงแต่ง
คนละความหมายนะครับ


ไม่รู้จักหาเหตุที่มาของบัญญัติ ความหมายที่แท้ การดับผัสสะก็คือการที่จิต
ไปเข้าไปยึดหรือปรุงแต่งตัวผัสสะนั้นๆ

โดยลักษณะของผัสสะมันเป็นสังขาร มันเกิดมาแล้วก็ต้องดับไปเอง
คุณเกาจะแส่หาเรื่องไปดับมันทำไม ไม่ได้รู้เรื่องเลย
:b32:

cantona_z เขียน:
ถ่้ารับผัสสะมาแล้วไม่ปรุงแต่ง คือ ผัสสะยังมีแต่ไม่ปรุงแต่ง
ถ้าดับผัสสะ ตามภาษาแล้ว ควรจะหมายถึง ดับผัสสะให้ดับลงโดยสิ้นเชิง ไม่มีผัสสะใหม่เกิดอีก


ถ้าจะเอาตามการมั่วบัญญัติตามคุณ "ที่ว่าไม่มีผัสสะเกิดขึ้นอีก"
นั้นเป็นการทำที่เรียกว่า....ปลงอายุสังขาร นั้นคือกำหนดวันตายไว้
และก่อนตายหรือปรินิพพาน ก็เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธไปจนถึงวันที่ปลงอายุสังขาร
เรียกว่าตายก่อนตาย เข้าใจมั้ย :b13:

cantona_z เขียน:
รอคุณวลัยพรอธิบายมา 3 หน้ายังไม่เห็นเรื่องดับผัสสะ
รอต่อไปครับ


ก็เขาเอามาลงให้ซะยืดยาวไม่เห็นหรือ มันเป็นเราเองที่อ่านไม่เข้าใจ
สิ่งที่เขาเอามานั้น มันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดผัสสะ
การดับมันต้องดับเหตุ ผลมันก็เกิดไม่ได้

ก็เป็นซ่ะแบบนี้ไง ชอบเอาความไม่รู้เรื่องมาตีโพยตีพายชาวบ้าน
แบบนี้จะเรียกว่า ไร้เดียงสาก็ใช่ที ต้องเรียกว่า....ดักดานครับ :b13:


ปล. ดักดานไม่ใช่คำหยาบน่ะครับ มันมีความหมายคล้ายๆกับ...
ชอบทำอะไรซ้ำซากนั้นแหล่ะครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2014, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ก็เขาเอามาลงให้ซะยืดยาวไม่เห็นหรือ มันเป็นเราเองที่อ่านไม่เข้าใจ
สิ่งที่เขาเอามานั้น มันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดผัสสะ
การดับมันต้องดับเหตุ ผลมันก็เกิดไม่ได้



เพราะเขาต้องการความถูกใจตนเป็นหลัก จึงอดทนรอไม่ได้
จะให้พูดเรื่องผลทันที โดยไม่สนใจเรื่องเหตุ

ก็ยังมีโฮฮับละ ที่อ่านแล้วเข้าใจ หรือคนอื่นๆ ที่อ่านแล้วเข้าใจ แต่ไม่ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น

ส่วนคนที่ร้องตะแง๊วๆๆๆ ในตอนนี้
ปล่อยให้เป็นไปตามเหตุปัจจัย

คือ วลัยพร เป็นคนขี้รำคาญ จึงตัดความรำคาญ
ใครอยากทำอะไร ปล่อยไป พอเบื่อ ก็ไปกันเอง
หากกระทู้สงบลงแล้ว ค่อยนำพุทธวจนะ มาโพสต่อ

หากยังไม่ยอมสงบกัน อยากอวด กูรู้ ปล่อยให้ได้ระบายกัน ตามใจชอบ
ถือเสียว่า เมตตา ต่อเพื่อนที่เกิดร่วมในวัฏฏสงสาร นอกนั้น ไม่มีอะไร


แล้วเรื่อง ประเภท ชอบเล่นขายของ ที่เข้ามาขายของเก่า เหมือนเอาหนังเก่า มาฉายซ้ำซาก
แต่ไม่สามารถนำหนังที่ฉายซ้ำๆ ไปกระทำเพื่อ ดับเหตุของการเกิดได้ ก็ปล่อยนะ อยากขาย ก็ขายไป

เรื่องการโฆษณาชวนหลง ก็เช่นกัน

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ ความไม่รู้ชัดขณะจิตเป็นสมาธิ ตั้งแต่ ก่อนเกิด กำลังเกิด และคลายออกจากสมาธิ แม้กระทั่ง ความไม่มีสมาธิ

ความไม่รู้ชัดในเรื่องราวต่างๆของสภาวะที่เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ ทั้งมิจฉาสมาธิ และสัมมาสมาธิ
จึงไม่รู้ว่า สิ่งที่ถูกเรียกว่า วิปัสสนาญาณ เป็นความปกติ ของสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะที่จิตเป็นสมาธิ และมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกิดขึ้นร่วม
เป็นเหตุให้ รู้ชัดอยู่ภายใน กาย เวทนา จิต ธรรม

ถ้ารู้เห็นเช่นนี้ได้ จะรู้ว่า เป็นความปกติของสิ่งที่เกิดขึ้น
ทำให้เกิด สภาวะจิตปล่อยวาง จากสภาวะที่เป็นอยู่ คือ เลิกยึดมั่นถือมั่นลงไปเอง


สิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่เรื่อง ญาณตามคำเรียกต่างๆ
แต่เป็นเรื่อง วิธีการกระทำเพื่อดับเหตุของการเกิด ที่เกิดจาก ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย ต่างหาก

ส่วนคำเรียกต่างๆ สามารถเรียนรู้ควบคู่ไปกับสภาวะต่างๆ
หรือ ไม่เรียนรู้เลยก็ได้ เพราะเมื่อถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม มีเหตุให้ได้เรียนรู้
ถึงแม้ผู้ทำความเพียร จะไม่เคยเรียนหนังสือ หรือ อ่านหนังสือไม่ออกก็ตาม

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2014, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
โฮฮับ เขียน:

ก็เขาเอามาลงให้ซะยืดยาวไม่เห็นหรือ มันเป็นเราเองที่อ่านไม่เข้าใจ
สิ่งที่เขาเอามานั้น มันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดผัสสะ
การดับมันต้องดับเหตุ ผลมันก็เกิดไม่ได้



เพราะเขาต้องการความถูกใจตนเป็นหลัก จึงอดทนรอไม่ได้
จะให้พูดเรื่องผลทันที โดยไม่สนใจเรื่องเหตุ

ก็ยังมีโฮฮับละ ที่อ่านแล้วเข้าใจ หรือคนอื่นๆ ที่อ่านแล้วเข้าใจ แต่ไม่ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น

ส่วนคนที่ร้องตะแง๊วๆๆๆ ในตอนนี้
ปล่อยให้เป็นไปตามเหตุปัจจัย

คือ วลัยพร เป็นคนขี้รำคาญ จึงตัดความรำคาญ
ใครอยากทำอะไร ปล่อยไป พอเบื่อ ก็ไปกันเอง
หากกระทู้สงบลงแล้ว ค่อยนำพุทธวจนะ มาโพสต่อ

หากยังไม่ยอมสงบกัน อยากอวด กูรู้ ปล่อยให้ได้ระบายกัน ตามใจชอบ
ถือเสียว่า เมตตา ต่อเพื่อนที่เกิดร่วมในวัฏฏสงสาร นอกนั้น ไม่มีอะไร


แล้วเรื่อง ประเภท ชอบเล่นขายของ ที่เข้ามาขายของเก่า เหมือนเอาหนังเก่า มาฉายซ้ำซาก
แต่ไม่สามารถนำหนังที่ฉายซ้ำๆ ไปกระทำเพื่อ ดับเหตุของการเกิดได้ ก็ปล่อยนะ อยากขาย ก็ขายไป

เรื่องการโฆษณาชวนหลง ก็เช่นกัน

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ ความไม่รู้ชัดขณะจิตเป็นสมาธิ ตั้งแต่ ก่อนเกิด กำลังเกิด และคลายออกจากสมาธิ แม้กระทั่ง ความไม่มีสมาธิ

ความไม่รู้ชัดในเรื่องราวต่างๆของสภาวะที่เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ ทั้งมิจฉาสมาธิ และสัมมาสมาธิ
จึงไม่รู้ว่า สิ่งที่ถูกเรียกว่า วิปัสสนาญาณ เป็นความปกติ ของสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะที่จิตเป็นสมาธิ และมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกิดขึ้นร่วม
เป็นเหตุให้ รู้ชัดอยู่ภายใน กาย เวทนา จิต ธรรม

ถ้ารู้เห็นเช่นนี้ได้ จะรู้ว่า เป็นความปกติของสิ่งที่เกิดขึ้น
ทำให้เกิด สภาวะจิตปล่อยวาง จากสภาวะที่เป็นอยู่ คือ เลิกยึดมั่นถือมั่นลงไปเอง


สิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่เรื่อง ญาณตามคำเรียกต่างๆ
แต่เป็นเรื่อง วิธีการกระทำเพื่อดับเหตุของการเกิด ที่เกิดจาก ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย ต่างหาก

ส่วนคำเรียกต่างๆ สามารถเรียนรู้ควบคู่ไปกับสภาวะต่างๆ
หรือ ไม่เรียนรู้เลยก็ได้ เพราะเมื่อถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม มีเหตุให้ได้เรียนรู้
ถึงแม้ผู้ทำความเพียร จะไม่เคยเรียนหนังสือ หรือ อ่านหนังสือไม่ออกก็ตาม



จะเอายังไงก็เอาให้มันแน่ๆชัดๆสักอย่างสิขอรับ หมูก็หมู ปลาก็ปลา ปูก็ปู ฯลฯ ให้คนอ่านคนดูนำไปทำต่อทำตามได้ นี่เล่นพูดรำพึงรำพันไปเรื่อยเปื่อย จับประเด็นไม่ถูก ใครเขาจะนำไปทำตามทำต่อได้ล่ะ :b1: ฟันธงไปเลยครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2014, 10:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน:
คุณไปตีความมาผิดๆครับ เจตสิกที่คุณว่า เป็นเจตสิกในส่วนของ สัพพจิตตสาธารณะ
ความหมายแท้ๆคือ ในกระบวนขันธ์ห้า จะต้องมีสัพพเจตสิกเป็นองค์ประกอบครับ

มันไม่ได้หมายความว่า เจตสิกทั้ง๗จะต้องเกิดกับจิตทุกดวง
โดยแท้แล้ว จิตดวงหนึ่งเกิดดับพร้อมกับเจตสิก อีกดวงหนึ่ง


เอ๋า
ไหนกระทู้ที่แล้วบอกจิตเป็นอัตตาไม่เกิดดับ
เอาไงแน่
อ้างคำพูด:
ไม่รู้จักหาเหตุที่มาของบัญญัติ ความหมายที่แท้ การดับผัสสะก็คือการที่จิต
ไปเข้าไปยึดหรือปรุงแต่งตัวผัสสะนั้นๆ


โดยลักษณะของผัสสะมันเป็นสังขาร มันเกิดมาแล้วก็ต้องดับไปเอง
คุณเกาจะแส่หาเรื่องไปดับมันทำไม ไม่ได้รู้เรื่องเลย :b32:


งั้นก็ใช้คำว่าไม่ปรุงแต่งผัสสะสิครับ
ผัสสะมันเกิดเองดับเองได้อยู่แล้ว แล้วจะไปดับมันทำไม

อ้างคำพูด:
ถ้าจะเอาตามการมั่วบัญญัติตามคุณ "ที่ว่าไม่มีผัสสะเกิดขึ้นอีก"
นั้นเป็นการทำที่เรียกว่า....ปลงอายุสังขาร นั้นคือกำหนดวันตายไว้
และก่อนตายหรือปรินิพพาน ก็เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธไปจนถึงวันที่ปลงอายุสังขาร
เรียกว่าตายก่อนตาย เข้าใจมั้ย :b13:


ผมก็เขียนไปตามภาษาที่คุณวลัยพรแกเขียนมาแหละ
แกบอกดับผัสสะ ผมก็ขำ จะดับไปทำไม
ก็บอกสิว่า ไม่ปรุงแต่งผัสสะแค่นั้นก็จบ
พอตั้งกระทู้ใหม่ ก็อ้อมไปออกมหาภูตรูป ออกอายตนะ
แค่เขียนบรรทัดเดียวก็จบ ไม่เห็นจะเข้าใจยากอะไร

ว่าแต่คุณวลัยพรแกหมายความตามโฮฮับว่าจริงหรือ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2014, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เมื่อก่อน วลัยพร เคยสำคัญผิด เคยคิดว่า
ตราบใด ที่ยังมีชีวิตอยู่ การดับผัสสะ ดับไม่ได้

ผัสสะ ดับได้ เฉพาะคนตาย เพราะ ไม่มีการทำงานของอายตนะ

ต่อมา มีเหตุปัจจัย ให้ได้ศึกษา พุทธวจนะมากขึ้น

ผัสสะ เป็นการทำงานของอายตนะ จึงต้องศึกษาเรื่อง อายตนะ

เคยสร้างเหตุต่อคนอื่นๆ(การสนทนา) เรื่อง ผัสสะ ว่า
ผัสสะดับไม่ได้ ผัสสะดับได้ เฉพาะคนตาย

มาวันนี้ มีคนเห็น วลัยพรพูด เรื่อง การดับผัสสะ
ทำให้ผู้นั้น รู้สึกขบขัน เป็นยิ่งนัก

วลัยพร เข้าใจความรู้สึก ที่ทำให้ เขาเกิด การกระทำนั้นดี
จึงไม่คิดจะสานต่อ ให้ยืดเยื้อ



อาศัยตา และ รูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยเวทนาจึงมี...
กระบวนธรรมนี้แยกได้เป็น ๒ ช่วงตอน และช่วงตอนหลังอาจแยกไปเป็นกระบวนธรรมแบบสังสารวัฏ (เกิดทุกข์) หรือแบบวิวัฏฏ์ได้ (ดับทุกข์)

เพื่อให้มองเห็นภาพได้กว้างขึ้น อาจเขียนแสดงได้ดังนี้

-------------------------------------------กระบวนธรรมแบบสังสารวัฏฎ์
------------------------------------------- ^
อายตนะ+อารมณ์ +วิญญาณ = ผัสสะ > เวทนา
-------------------------------------------- V
--------------------------------------------กระบวนธรรมแบบวิวัฏฏ์

พอมองออกไหมครับ

ถ้าจะดับทุกข์ต้องนิโรธอวิชชา เมื่ออวิชชาเป็นวิชชา (รู้แจ้งสัจธรรม) แล้ว วงจรต่อๆมันนิโรธหมด

หรือไม่ยังงั้น เมื่อเสวยเวทนาแล้วหากสติสัมปชัญญะแข็งแรงพอ ก็แยกเป็นสังสารวัฏฏ์ (ดับทุกข์ได้) แต่ถ้าให้วงจรไหลไปตามปกติ ก็เป็นตัณหา อุปาทาน ฯลฯ เกิดทุกข์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2014, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อับดุลย์เอ้ย อับดุลย์เอ้ย
ใครมีวิชาดี อย่ามาแกล้งกัน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2014, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน:
คุณไปตีความมาผิดๆครับ เจตสิกที่คุณว่า เป็นเจตสิกในส่วนของ สัพพจิตตสาธารณะ
ความหมายแท้ๆคือ ในกระบวนขันธ์ห้า จะต้องมีสัพพเจตสิกเป็นองค์ประกอบครับ

มันไม่ได้หมายความว่า เจตสิกทั้ง๗จะต้องเกิดกับจิตทุกดวง
โดยแท้แล้ว จิตดวงหนึ่งเกิดดับพร้อมกับเจตสิก อีกดวงหนึ่ง


เอ๋า
ไหนกระทู้ที่แล้วบอกจิตเป็นอัตตาไม่เกิดดับ
เอาไงแน่


จิต เจตสิก ที่คุณโกวิทเอามาพูด มันเป็นคัมภีร์ของท่านอนุรุทธาจารย์
จิตเกิดดับเป็นไปตามความหมายของอภิธัมมัตถสังคหะ...นี่เป็นการอธิบายความ
สิ่งที่เป็นจิตอวิชาของปุถุชน ท่านให้จิตเป็นวิญญานรู้

ส่วนจิตที่เป็นอัตตา เป็นกองทุกข์ในปฏิจสมุบาท เป็นความหมายอันเป็นวิชชาในพระธรรมวินัย
อ่านพระธรรมอย่ายึดมั่นแต่บัญญัติ จิตมันเป็นเพียงบัญญัติ ต้องหาเหตุที่มาของบัญญัติตัวนั้นว่า
ที่พูดกันอยู่มันเป็นความหมายเดียวกันหรือเปล่า



cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
ไม่รู้จักหาเหตุที่มาของบัญญัติ ความหมายที่แท้ การดับผัสสะก็คือการที่จิต
ไปเข้าไปยึดหรือปรุงแต่งตัวผัสสะนั้นๆ


โดยลักษณะของผัสสะมันเป็นสังขาร มันเกิดมาแล้วก็ต้องดับไปเอง
คุณเกาจะแส่หาเรื่องไปดับมันทำไม ไม่ได้รู้เรื่องเลย :b32:


งั้นก็ใช้คำว่าไม่ปรุงแต่งผัสสะสิครับ
ผัสสะมันเกิดเองดับเองได้อยู่แล้ว แล้วจะไปดับมันทำไม


ก็ที่เป็นพุทธพจน์ท่านใช้คำว่า"ดับ" เพราะในภาษาของท่านไม่มีคำว่าปรุงแต่ง
อรรถกถาจารย์ท่านมาให้คำอธิบาย แล้วครูบาอาจารย์คนไทยเอามาแปลเป็นไทยอีกที

ความหมายของ
พุทธพจน์แท้ๆ "ดับ" หมายถึงให้รู้ตามความเป็นจริงว่าสังขาร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นในสังขาร....ในที่นี่ก็คือผัสสะ


cantona_z เขียน:

อ้างคำพูด:
ถ้าจะเอาตามการมั่วบัญญัติตามคุณ "ที่ว่าไม่มีผัสสะเกิดขึ้นอีก"
นั้นเป็นการทำที่เรียกว่า....ปลงอายุสังขาร นั้นคือกำหนดวันตายไว้
และก่อนตายหรือปรินิพพาน ก็เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธไปจนถึงวันที่ปลงอายุสังขาร
เรียกว่าตายก่อนตาย เข้าใจมั้ย :b13:


ผมก็เขียนไปตามภาษาที่คุณวลัยพรแกเขียนมาแหละ
แกบอกดับผัสสะ ผมก็ขำ จะดับไปทำไม
ก็บอกสิว่า ไม่ปรุงแต่งผัสสะแค่นั้นก็จบ
พอตั้งกระทู้ใหม่ ก็อ้อมไปออกมหาภูตรูป ออกอายตนะ
แค่เขียนบรรทัดเดียวก็จบ ไม่เห็นจะเข้าใจยากอะไร

ว่าแต่คุณวลัยพรแกหมายความตามโฮฮับว่าจริงหรือ?


คุณวไลแกจะว่าตามผมหรือเปล่าไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าสิ่งที่แกนำมาโพส
มันเป็นวิธีการดับหรือไม่ปรุงแต่งผัสสะ เนื้อหาทั้งหมดเป็นเรื่องที่นำมาให้เกิดผัสสะ
มันจึงเป็นเหตุให้เหตุผัสสะ
เมื่อรู้เหตุแล้วนั้นแหล่ะจิตจะปล่อยวาง ไม่เข้าไปยึดผลที่เกิดจากเหตุนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2014, 15:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จิต เจตสิก ที่คุณโกวิทเอามาพูด มันเป็นคัมภีร์ของท่านอนุรุทธาจารย์
จิตเกิดดับเป็นไปตามความหมายของอภิธัมมัตถสังคหะ...นี่เป็นการอธิบายความ
สิ่งที่เป็นจิตอวิชาของปุถุชน ท่านให้จิตเป็นวิญญานรู้

ส่วนจิตที่เป็นอัตตา เป็นกองทุกข์ในปฏิจสมุบาท เป็นความหมายอันเป็นวิชชาในพระธรรมวินัย
อ่านพระธรรมอย่ายึดมั่นแต่บัญญัติ จิตมันเป็นเพียงบัญญัติ ต้องหาเหตุที่มาของบัญญัติตัวนั้นว่า
ที่พูดกันอยู่มันเป็นความหมายเดียวกันหรือเปล่า


จิตในอภิํธัมมัตถสังคหะมีเกิดดับ
แต่จิตในพระไตรปิฏกไม่เกิดดับ?
คุณพระ!!

อ้างคำพูด:
ก็ที่เป็นพุทธพจน์ท่านใช้คำว่า"ดับ" เพราะในภาษาของท่านไม่มีคำว่าปรุงแต่ง
อรรถกถาจารย์ท่านมาให้คำอธิบาย แล้วครูบาอาจารย์คนไทยเอามาแปลเป็นไทยอีกที

ความหมายของ
พุทธพจน์แท้ๆ "ดับ" หมายถึงให้รู้ตามความเป็นจริงว่าสังขาร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นในสังขาร....ในที่นี่ก็คือผัสสะ


เพราะในภาษาของท่านไม่มีคำว่าปรุงแต่ง??
รู้อีกแฮะ

คล่องบาลีเหรอตัวเธอว์ วันหลังจะได้ให้ช่วยแปล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร