วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 22:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 00:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาช่วยชี้แนะครับ

โค้ด:
การที่จะเลิก สละละวางทิ้งอะไรซักอย่าง
นั้นคือ สิ่งที่จะสละทิ้งละวางลงไปนั้น หมดค่า หมดความหมาย ไม่มีอะไรน่าสนใจ อีกต่อไป
แต่ตราบใดที่สิ่งนั้นยังมีความสำคัญ มีความหมาย ยังสร้างความพอใจได้อยู่
การที่จะสละละทิ้งสิ่งนั้นลงไปไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำได้โดยง่าย


คิดว่าพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วครับ :b39:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 06:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สมาธิในทุกระดับชั้น จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยที่จะดำรงค์จิตไม่ให้หวั่นไหว
ไปกับผัสสะใดๆทั้งหลาย

ความชำนาญในการเจริญสมาธิ จะมีส่วนช่วยให้การดำรงค์ชีพเป็นไปอย่างสะดวกสบายอย่างยิ่ง
โลกย่อมหมุนไปไม่หยุดนิ่ง
การที่จะบังคับโลกให้หยุดนิ่ง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่การไม่ไหลคล้อยไปตามโลก เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้

สัมมาสมาธิ ว่าด้วยเรื่องของฌานทั้งสี่
เพราะจิตจำเป็นต้องมีที่พัก

แม้นกระแสน้ำจะไหลกระโชกรุ่นแรงอย่างใดก็ตาม
หากเสาเรือนปักตั้งมั่นเป็นอย่างดีแล้ว
โอกาสที่กระแสน้ำจะพัดพาโครงเรือนให้พังทลายลงไปนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก.

สมาธิในขั้นสูงสุดคือ สัญญาเวทยิตนิโรธ
เป็นความสุขอันเกิดจากการที่สัญญา เวทนา ระงับดับลง.

"ทุกข์เกิดที่ใดให้ดับที่นั้น"

ทุกข์เกิดที่รูป
ทุกข์เกิดที่เวทนา
ทุกข์เกิดที่สัญญา
ทุกข์เกิดที่สังขาร
ทุกข์เกิดที่วิญญาณ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เพราะเข้าไปจับยึดถือซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

การสลัดทิ้งลงเสียได้ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จึงเป็นการดับทุกข์ที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาสาธุครับ

สมาธิ หากใช้อย่างถูกทางโดยประกอบเข้ากับปัญญาความเห็นตรงแล้ว สมาธินั้นย่อมเป็นสัมมาสมาธิ ย่อมนำไปสู่ประโยชน์อย่างยิ่ง คุณของสมาธิที่ท่านปล่อยรู้กล่าวถึงผมเห็นด้วยอย่างที่สุดครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 08:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:

นี่คือกระบวนการเกิดและดับไปแห่งทุกข์ ถ้าต้องการหยุดกระบวนการนี้ไม่ให้เกิดเป็นวัฏจักรการเกิดการตาย หรือดับทุกข์ ต้องหยุดตรง ผัสสะ หรือ การกระทบ คือการกระทบของอินทรีย์ 6 กับ สิ่งที่มากระทบอินทรีย์ 6 ที่ทำให้เราเกิดความพอใจ ไม่พอใจ


ไม่ใช่หยุดที่ผัสสะ....แต่เป็นผัสสะแล้วหยุด..ต่างหาก

หยุดก่อนเวทนาจะเกิด...

หยุดด้วยชุดความคิดที่เรียกว่า..ปัญญา


คุณเข้าใจถูกแล้วครับห้ามผัสสะ หรือกระทบไม่ได้ครับ เราต้องห้ามหลังจากผัสสะโดยใชัํปัญญา หรือไม่เที่ยง เกิดดับ "ประหาร" ก่อนที่จะถึงเวทนา ไม่งั้น ตัณหา อุปาทาน ตามมาทันที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 09:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยรู้ เขียน:
:b8: :b8: :b8:

สมาธิในทุกระดับชั้น จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยที่จะดำรงค์จิตไม่ให้หวั่นไหว
ไปกับผัสสะใดๆทั้งหลาย

ความชำนาญในการเจริญสมาธิ จะมีส่วนช่วยให้การดำรงค์ชีพเป็นไปอย่างสะดวกสบายอย่างยิ่ง
โลกย่อมหมุนไปไม่หยุดนิ่ง
การที่จะบังคับโลกให้หยุดนิ่ง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่การไม่ไหลคล้อยไปตามโลก เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้

สัมมาสมาธิ ว่าด้วยเรื่องของฌานทั้งสี่
เพราะจิตจำเป็นต้องมีที่พัก

แม้นกระแสน้ำจะไหลกระโชกรุ่นแรงอย่างใดก็ตาม
หากเสาเรือนปักตั้งมั่นเป็นอย่างดีแล้ว
โอกาสที่กระแสน้ำจะพัดพาโครงเรือนให้พังทลายลงไปนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก.

สมาธิในขั้นสูงสุดคือ สัญญาเวทยิตนิโรธ
เป็นความสุขอันเกิดจากการที่สัญญา เวทนา ระงับดับลง.

"ทุกข์เกิดที่ใดให้ดับที่นั้น"

ทุกข์เกิดที่รูป
ทุกข์เกิดที่เวทนา
ทุกข์เกิดที่สัญญา
ทุกข์เกิดที่สังขาร
ทุกข์เกิดที่วิญญาณ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เพราะเข้าไปจับยึดถือซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

การสลัดทิ้งลงเสียได้ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จึงเป็นการดับทุกข์ที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง :b45:



ผมเห็นด้วยกับการปฏิบัติสมาธิ หรือเจริญสมาธิ แต่ต้องประกอบด้วยปัญญานะครับ (สัมมาสมาธิ)
ไม่งั้นก็จะเป็นมิจฉาสมาธิ (ความสงบเฉยๆดับเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 09:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เป็นการสร้างกระบวนการใหม่ขึ้นมา

ก็เกิด กระบวนการใหม่
เมื่อเกิด กระบวนการใหม่
กระบวนการใหม่ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อม และ ความดับ เป็นธรรมดา
กลายเป็นกระบวนการเก่า กระบวนการตาย(ด้าน)....

โหย huh

นี่เป็นการกลับไปสู่จิตเดิมแท้ประเภทไหนกัน

:b32: :b32: :b2: :b2:

:b13: :b13:

อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 09:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b6:

เริ่มเห็นด้วยแล้วแฮะ

แต่ยังมี "แต่"

"แต่" นี่ล่ะ แสดงความเป็นผู้ทิฏฐิครอบงำอยู่

มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ กล่าว เวทนาอันเนื่องมาจากทิฏฐิ อยู่

มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ กล่าวถึงทิฏฐิต่าง ๆ มากมายหลายพระสูตร

:b8: :b8: :b8:

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
ผมเห็นด้วยกับการปฏิบัติสมาธิ หรือเจริญสมาธิ แต่ต้องประกอบด้วยปัญญานะครับ (สัมมาสมาธิ)
ไม่งั้นก็จะเป็นมิจฉาสมาธิ (ความสงบเฉยๆดับเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้)


มรรคทั้งแปด ทุกๆตัวจะเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
ตัวใดตัวหนึ่งถูก ตัวอื่นๆก็ย่อมถูกหมด
ตัวใดตัวหนึ่งผิด ตัวอื่นๆก็ย่อมผิดหมด

ตัวความทุกข์ จะเป็นเครื่องชี้วัดตรวจทานได้เป็นอย่างดี
เพราะความหมายของมรรค คือข้อปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือแห่งทุกข์...

:b45: ฌานหรือสมาธิ ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
แต่ความเพลิดเพลินในสมาธิในฌาน นั้นแหละคือสิ่งที่ควรระมัดระวัง
เพราะความเพลินเพลินอันใด ความเพลินเพลินนั้นแหละคืออุปาทาน
ฌานหรือสมาธิ ไม่ใช่ภพ
แต่ความเข้าไปเพลิดเพลินสยบเมาหมกในสมาธิหรือในฌาน
นั้นแหละคือเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดภพ... :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ กล่าว เวทนาอันเนื่องมาจากทิฏฐิ อยู่

มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ กล่าวถึงทิฏฐิต่าง ๆ มากมายหลายพระสูตร


:b8: พระพุทธองค์ทรงรู้ชัด ถึงเหตุแห่งการเกิดขึ้นในบรรดาทิฏฐิทั้งหลาย
และพระพุทธองค์ ก็ทรงไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ที่พระองค์ทรงรู้นั้น
นี้คือความสง่างามที่เลิศกว่าทิฏฐิใดๆ :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 13:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยรู้ เขียน:
โค้ด:
มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ กล่าว เวทนาอันเนื่องมาจากทิฏฐิ อยู่

มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ กล่าวถึงทิฏฐิต่าง ๆ มากมายหลายพระสูตร


:b8: พระพุทธองค์ทรงรู้ชัด ถึงเหตุแห่งการเกิดขึ้นในบรรดาทิฏฐิทั้งหลาย
และพระพุทธองค์ ก็ทรงไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ที่พระองค์ทรงรู้นั้น
นี้คือความสง่างามที่เลิศกว่าทิฏฐิใดๆ :b45:


:b8: :b8: :b8: :b8:

:b1: :b1: :b1: :b1:

เรื่องปฏิจจสมุปบาทรวมอยู่ในเรื่อง
ที่พุทธบริษัทควรทำสังคีติ๑


ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย! ธรรมสองอย่าง อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้
ผู้เห็น ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว มีอยู่; อันพุทธบริษัททั้งหลาย
(ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ทั้งปวงนั่นเทียว พึงทำสังคีติ (คือสอบสวน จนเป็นที่เข้าใจ
ตรงกันทุกคน แล้วช่วยกันสาธยาย เพื่อทรงจำไว้อย่างมั่นคง)ในธรรมสองอย่างนั้น,
ไม่พึงวิวาทกันในธรรมสองอย่างนั้น,โดยประการที่พรหมจรรย์(ศาสนา)นี้ จะพึง
มั่นคง ตั้งอยู่นาน.ข้อนั้นจะพึงเป็นไป เพื่อหิตสุข แก่มหาชนเป็นอันมาก เพื่อ
อนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์หิตสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. ธรรมสอง
อย่างนั้นเล่าคืออะไร? ธรรมสองอย่างนั้นคือ :-

อายตนกุสลตา -ความเป็นผู้ฉลาดในอายตนะ ๑
ปฏิจจสมุปบาทกุสลตา -ความเป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๑

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย! เหล่านี้แลคือธรรมสองอย่าง อันพระผู้มี
พระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว; อันพุทธ
บริษัททั้งหลาย (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ทั้งปวงนั่นเทียว พึงทำสังคีติ (คือ
สอบสวน จนเป็นที่เข้าใจตรงกันทุกคน แล้วช่วยกันสาธยาย เพื่อทรงจำไว้อย่าง
มั่นคง) ในธรรมสองอย่างนั้น, ไม่พึงวิวาทกันในธรรมสองอย่างนั้น, โดยประการที่
พรหมจรรย์ (ศาสนา)นี้ จะพึงมั่นคง ตั้งอยู่นาน. ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อหิตสุข
แก่มหาชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์หิตสุข แก่เทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย, ดังนี้ แล.

(อตฺถิ โข อาวุโส เตน ภควตา ขานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน
เทฺว ธมฺมา สมฺมทกฺขาตา ตตฺถ สพฺเพเหว สงฺคายิตพฺพํ น วิวทิตพฺพํ ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ
อทฺธนิยํ อสฺส จิรฏฺฐติกํ ตทสฺส พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย
สุขาย เทวมนุสฺสานํ. กตเม เทฺว ธมฺมา? ...อายตนกุสลตา จ ปฏิจฺจสมุปฺปาทกุสลตา จ
....อิเม โข อาวุโส เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน เทฺว ธมฺมา
สมฺมทกฺขาตา ตตฺถ สพฺเพเหว สงฺคายิตพฺพํ น วิวทิตพฺพํ ยถยิทํ พฺรหฺมจริย อทฺธนิยํ อสฺส
จริฏฺฐติกํ ตทสฺส พหุชนหิตาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺติ).

ห ม ายเห ตุผู้รวบรวม : ผู้ศึกษาพึงสังเกตจนเข้าใจได้อย่างชัดเจน ว่า
ความฉลาดในอายตนะ ก็คือ ฉลาดในสิ่งที่เป็นที่ตั้งของปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง; และเมื่อ
ฉลาดในการควบคุมอายตนะแล้ว ก็สามารถคุมการเกิดแห่งกระแสของปฏิจจสมุปบาท;
นับว่าเนื่องกันอย่างที่จะแยกกันไม่ได้, และเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในแง่ของการ
ปฏิบัติโดยแท้.


:b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ปล่อยรู้ เขียน:
:b8: :b8: :b8:

สมาธิในทุกระดับชั้น จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยที่จะดำรงค์จิตไม่ให้หวั่นไหว
ไปกับผัสสะใดๆทั้งหลาย

ความชำนาญในการเจริญสมาธิ จะมีส่วนช่วยให้การดำรงค์ชีพเป็นไปอย่างสะดวกสบายอย่างยิ่ง
โลกย่อมหมุนไปไม่หยุดนิ่ง
การที่จะบังคับโลกให้หยุดนิ่ง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่การไม่ไหลคล้อยไปตามโลก เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้

สัมมาสมาธิ ว่าด้วยเรื่องของฌานทั้งสี่
เพราะจิตจำเป็นต้องมีที่พัก

แม้นกระแสน้ำจะไหลกระโชกรุ่นแรงอย่างใดก็ตาม
หากเสาเรือนปักตั้งมั่นเป็นอย่างดีแล้ว
โอกาสที่กระแสน้ำจะพัดพาโครงเรือนให้พังทลายลงไปนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก.

สมาธิในขั้นสูงสุดคือ สัญญาเวทยิตนิโรธ
เป็นความสุขอันเกิดจากการที่สัญญา เวทนา ระงับดับลง.

"ทุกข์เกิดที่ใดให้ดับที่นั้น"

ทุกข์เกิดที่รูป
ทุกข์เกิดที่เวทนา
ทุกข์เกิดที่สัญญา
ทุกข์เกิดที่สังขาร
ทุกข์เกิดที่วิญญาณ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เพราะเข้าไปจับยึดถือซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

การสลัดทิ้งลงเสียได้ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จึงเป็นการดับทุกข์ที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง :b45:



ผมเห็นด้วยกับการปฏิบัติสมาธิ หรือเจริญสมาธิ แต่ต้องประกอบด้วยปัญญานะครับ (สัมมาสมาธิ)
ไม่งั้นก็จะเป็นมิจฉาสมาธิ (ความสงบเฉยๆดับเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้)


ความสงบเฉยๆก็มิใช่มิจฉสมาธิ

มิจฉาสมาธิ ตั้งใจผิด ได้แก่ จดจ่อ ปักใจ แน่วในกามราคะ ในพยาบาท เป็นต้น
Quote Tipitaka:
มิจฉาสมาธิ ตั้งใจผิด ได้แก่ จดจ่อ ปักใจ แน่วในกามราคะ ในพยาบาท เป็นต้น

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
สมาธิ ความมีใจตั้งมั่น, ความตั้งมั่นแห่งจิต, การทำให้ใจสงบแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน, การมีจิตกำหนดแน่วแน่อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ
มักใช้เป็นคำเรียกง่ายๆ สำหรับอธิจิตตสิกขา;
ดู เอกัคคตา, อธิจิตตสิกขา

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 14:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากนั่งอ่าน ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ จบเล่ม grin อิอิ

เอกอนก็หยิบเอา พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ มาอ่านต่อ

Kiss Kiss Kiss Kiss

:b1: :b1: :b1: :b1:

ก่อนหน้านี้เอกอนเคนอ่านพุทธประวัติ โดยไม่มีพื้นความเข้าใจในธรรมเพียงพอ
ต้องยอมรับว่า
เคยมองเห็น และเปรียบเทียบ เหมือนมีปริพาชก เดียร์ถี มีอะไรอื่น ๆ มากมาย
ที่ไม่ใช่ พุทธะ มีถูก มีผิด เขาผิด พระพุทธเจ้าถูก
และเราเป็นพุทธ เราอยู่ข้างพระพุทธองค์ ซึ่งสิ่งที่เป็นอื่นผิดหมด
และทำให้เราเห็นว่าเขาคือปริพาชก เขาคือเดียร์ถี เขาคืออะไร อะไรต่อมิอะไร
แต่เราเป็นพุทธ

แต่เมื่อมีพื้นฐานความรู้ทางธรรมที่พอจะสะกดรอยตามภูมิปัญญาพระพุทธองค์ได้บ้าง
เอกอนกลับเห็นว่า
ปริพาชก เดียร์ถี พราหมณ์ เขาก็มีภูมิธรรม มีคุณธรรมที่ปฏิบัติอยู่
ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ปิดกั้นมรรคผลไว้ คือ ทิฏฐิ
และก่อนที่พระพุทธองค์จะเป็น ตถาคต ได้
พระองค์ก็เคยเป็นไปในทิฏฐิเหล่านั้นมาก่อน
พระองค์สอนให้ชำระทิฏฐิ เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงได้กระทำแล้ว

ไม่มีปริพาชก ไม่มีเดียร์ถี ไม่มีพราหมณ์
มีแต่สัตว์ผู้หลงอยู่ในทิฏฐิ
และเอกอนก็ยังจัดอยู่ในจำพวกสัตว์เหล่านั้นอยู่ :b1:

ตอนนี้ที่เอกอนอ่านหนังสือ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ แล้ว
เอกอนเห็นอย่างนี้

:b8: :b8: :b8:

ชุด ธรรมจากพระโอษฐ์ ที่ท่านพุทธทาสได้รวบรวมไว้
เป็นหนังสือธรรมที่ทรงคุณค่า จริง ๆ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นหนังสือที่ทรงคุณค่ามากครับ

มิจฉาทิฏฐิมี ๖๒ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงไว้ ซึ่งล้วนแต่เป็นความสุดโต่งทั้งสิ้น
แล้วอะไรคือทางสายกลาง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 00:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
เป็นหนังสือที่ทรงคุณค่ามากครับ

มิจฉาทิฏฐิมี ๖๒ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงไว้ ซึ่งล้วนแต่เป็นความสุดโต่งทั้งสิ้น
แล้วอะไรคือทางสายกลาง


มิจฉาทิฏฐิ คือ เห็นผิด มีความเชื่อยังไม่มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่าสรรพสิ่ง ไม่เที่ยง เกิดดับ
หลงพอใจ ไม่พอใจ กับสิ่งนั้นหลง โกรธ โลภ ราคะ

ทางสายกลาง คือเห็นสรรพสิ่งตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต ไม่หลงพอใจ ไม่พอใจ กับสิ่งนั้นเราก็จะมีความพอดีในชีวิตไม่ไปเสาะแสวงหาให้เกิดปัญหาเพิ่มพูน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร