วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 08:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2011, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงธรรม14 เขียน:
ไม่ผิดหรอครับเพราะเป็นแค่สิ่งสมมติ ก็เราแค่สมมุติว่าพุทธรูปคือพุทธเจ้า ตัวพุทธเจ้าก็เป็นแค่สิ่งสมมติขึ้นมาครับ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย ไม่มีใครจริงๆๆๆๆๆครับ :b13: :b13: :b31: :b31:


ในความหมายคุณ หมายถึงทุกสิ่งเป็นสสมติบัญญัติ หรือว่า เราอยู่กับสมมติบัญญัติทั้งนั้น

น่าจะตามนี้ใช่ไหมครับ

ขอบคุณ คห.ครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2011, 23:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 16:42
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านกามโภคีเขียน
ทักทาย เขียน:
ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวก
เราไม่มี ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ
ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ ฯลฯ.

เอางานมาให้ท่านกามโภคี ท่านทักทาย ท่านขณะจิต ท่าน asoka ช่วยคิดด้วยนะคะในเรื่องต่างๆ เหล่านี้

สัมมาทิฐิ

พุทธสารีบุตรตอบ “ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อใดอริยสาวกรู้ชัดซึ่งอกุศล และรากเหง้าของอกุศล รู้ชัดซึ่งกุศล และรากเหง้าของกุศล.... รู้ชัดซึ่งอาหาร (๔ ประการ คือ อาหารคือคำข้าว อาหารคือผัสสะ อาหารคือความจงใจ และอาหารคือความรู้แจ้งทางทวาร ๖) เหตุเกิดแห่งอาหาร (ตัณหา) ความดับอาหาร และทางที่จะให้ถึงความดับอาหาร (มรรคมีองค์ ๘).... รู้ชัดซึ่งทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางให้พึงความดับทุกข์ .... รู้ชัดซึ่งชราและมรณะเหตุเกิดแห่งชราและมรณะ ความดับชราและมรณะ และทางที่จะให้ถึงความดับชราและมรณะ.... รู้ชัดซึ่งชาติ.... ภพ.... อุปาทาน.... ตัณหา....เวทนา.... ผัสสะ.... อายตนะ ๖..... นามรูป.... วิณญาณ..... สังขาร.... อวิชชา ..... อาสวะ..... เหตุเกิดแห่งอาสวะความดับแห่งอาสวะ และทางปฏิบัติเพื่อถึงความดับอาสวะแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฐิ”
(สัมมาทิฐิสูตร มู. ม. (๑๑๗-๑๒๘)จากพระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ )
มิจฉาทิฐิ

ปัญหา ...ข้อที่ว่าโมหะอันเป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิฐิความเห็นผิดนั้นคือเห็นอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ”
อยสูตร ติ. อํ. (๕๕๗)

คาถาธรรมบท นิรยวรรคที่ ๒๒


… สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่ไม่
ควรกลัวว่าควรกลัว และมีปกติเห็นในสิ่งที่ควรกลัวว่าไม่
ควรกลัว ย่อมไปสู่ทุคติ สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ และมีปกติเห็นในสิ่งที่
มีโทษว่าไม่มีโทษ ย่อมไปสู่ทุคติ สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่น
สัมมาทิฐิ รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมที่มีโทษ และรู้
ธรรมที่หาโทษมิได้โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้ ย่อมไปสู่
สุคติ ฯ
จบนิรยวรรคที่ ๒๒

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๑๐๘๐ - ๑๑๑๗. หน้าที่ ๔๖ - ๔๘.

อิติวุตตกะ ติกนิบาต วรรคที่ ๓
๑. มิจฉาทิฐิสูตร
[๒๔๘] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มี
พระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อ
ตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคำนั้น
แลว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต ... เข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก เพราะได้ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่นก็หามิได้ ก็แต่ว่า
เรารู้มาเอง เห็นมาเอง ทราบมาเอง จึงกล่าวคำนั้นแลว่า เราเห็นสัตว์ผู้ประกอบ
ด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดมั่น
การกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค
ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ฯ
บุคคลในโลกนี้ ตั้งใจไว้ผิด กล่าววาจาผิด กระทำ
การงานผิดด้วยกาย ผู้มีการสดับน้อย ทำกรรมอันไม่
เป็นบุญไว้ในชีวิตอันมีประมาณน้อย ในมนุษยโลกนี้ เขา
ผู้มีปัญญาทราม เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงนรก ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว
ฉะนี้แล ฯ….
จบสูตรที่ ๑

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๕๗๔๘ - ๕๗๖๘. หน้าที่ ๒๕๔.



๒. สัมมาทิฐิสูตร
[๒๔๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มี
พระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
รค์ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ถือมั่นการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ
เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ก็เรากล่าวคำนั้นแลว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายสุจริต ... เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะได้
ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่นก็หามิได้ ก็แต่ว่าเรารู้มาเอง เห็นมาเอง ทราบมาเอง
เราจึงกล่าวว่า เราได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ถือมั่นการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ
เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค
ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
บุคคลในโลกนี้ ตั้งใจไว้ชอบ กล่าววาจาชอบ กระทำ
การงานชอบด้วยกาย ผู้มีการสดับมาก ผู้กระทำกรรม
เป็นบุญไว้ในชีวิตอันมีประมาณน้อย ในมนุษยโลกนี้
บุคคลนั้นเป็นผู้มีปัญญา เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสวรรค์…”
จบสูตรที่ ๒

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๕๗๖๙ - ๕๗๘๘. หน้าที่ ๒๕๔ - ๒๕๕.


พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕
มหาวรรค ภาค ๒


พระสารีบุตรเข้าเฝ้าทูลถามข้อปฏิบัติ
[๒๕๒] ท่านพระสารีบุตรได้สดับข่าวว่า ภิกษุชาวพระนครโกสัมพี ผู้ก่อความบาดหมาง
ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ เหล่านั้น พากันมาสู่พระนคร
สาวัตถี จึงเข้าไปในพระพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามข้อปฏิบัตินี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
ได้ข่าวมาว่า ภิกษุชาวพระนครโกสัมพีที่ก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความ
อื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น พากันมาพระนครสาวัตถี ข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติในภิกษุ
เหล่านั้นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สารีบุตร ถ้าเช่นนั้น เธอจงดำรงอยู่ตามธรรม
สา. ข้าพระพุทธเจ้าจะพึงทราบธรรมหรือธรรมอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า?
วัตถุสำหรับอธรรมวาที ๑๘ ประการ
พ. สารีบุตร เธอพึงทราบอธรรมวาทีภิกษุ ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการ คือภิกษุในธรรม
วินัยนี้:-
๑. แสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ว่าเป็นธรรม
๒. แสดงสิ่งที่เป็นธรรม ว่าไม่เป็นธรรม
๓. แสดงสิ่งที่ไม่เป็นวินัย ว่าเป็นวินัย
๔. แสดงสิ่งที่เป็นวินัย ว่าไม่เป็นวินัย
๕. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่าพระตถาคตทรงภาษิตไว้
ตรัสไว้
๖. แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่าพระตถาคตมิได้ทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้
๗. แสดงมรรยาทอันพระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตทรงประพฤติมา
๘. แสดงมรรยาทอันพระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว ว่าพระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมา
๙. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้ ว่าอันพระตถาคตทรงบัญญัติไว้
๑๐. แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัติไว้ ว่าพระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้
๑๑. แสดงสิ่งที่มิใช่อาบัติ ว่าเป็นอาบัติ
๑๒. แสดงอาบัติ ว่าเป็นสิ่งมิใช่อาบัติ
๑๓. แสดงอาบัติเบา ว่าเป็นอาบัติหนัก
๑๔. แสดงอาบัติหนัก ว่าเป็นอาบัติเบา
๑๕. แสดงอาบัติมีส่วนเหลือ ว่าเป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๖. แสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ ว่าเป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๗. แสดงอาบัติชั่วหยาบ ว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
๑๘. แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบ ว่าเป็นอาบัติชั่วหยาบ
สารีบุตร เธอพึงทราบอธรรมวาทีภิกษุ ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล.
วัตถุสำหรับธรรมวาที ๑๘ ประการ
สารีบุตร และพึงทราบธรรมวาทีภิกษุ ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. แสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ว่าไม่เป็นธรรม
๒. แสดงสิ่งที่เป็นธรรม ว่าเป็นธรรม
๓. แสดงสิ่งที่ไม่เป็นวินัย ว่าไม่เป็นวินัย
๔. แสดงสิ่งที่เป็นวินัย ว่าเป็นวินัย
๕. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ว่าพระตถาคตมิได้ทรงภาษิตไว้
มิได้ตรัสไว้
๖. แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่าพระตถาคตทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้
๗. แสดงมรรยาทอันพระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมา
๘. แสดงมรรยาทอันพระตถาคตทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตทรงประพฤติมา
๙. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้ ว่าพระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้
๑๐. แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัติไว้ ว่าพระตถาคตทรงบัญญัติไว้
๑๑. แสดงสิ่งมิใช่อาบัติ ว่าเป็นสิ่งมิใช่อาบัติ
๑๒. แสดงอาบัติ ว่าเป็นอาบัติ
๑๓. แสดงอาบัติเบา ว่าเป็นอาบัติเบา
๑๔. แสดงอาบัติหนัก ว่าเป็นอาบัติหนัก
๑๕. แสดงอาบัติมีส่วนเหลือ ว่าเป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๖. แสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ ว่าเป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๗. แสดงอาบัติชั่วหยาบ ว่าเป็นอาบัติชั่วหยาบ
๑๘. แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบ ว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
สารีบุตร เธอพึงทราบธรรมวาทีภิกษุ ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล.

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ บรรทัดที่ ๖๕๐๕ - ๖๕๕๙. หน้าที่ ๒๖๘ - ๒๗๐.

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พุทธวรรคที่ ๑
พุทธาปทานที่ ๑
ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
[๑] พระอานนท์เวเทหมุนี มีอินทรีย์สำรวมแล้วได้ทูลถามพระตถาคตผู้ประทับ
อยู่ ณ พระวิหารเชตวันว่า ได้ทราบว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้ามีจริงหรือ
เพราะเหตุไรจึงได้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้เป็นนักปราชญ์? ในกาลนั้น
พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เป็นพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ
ได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะว่า ชนเหล่าใด
สร้างสมกุศลสมภารในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ยังไม่ได้โมกขธรรมใน
ศาสนาของพระชินเจ้า ชนเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์โดยมุข คือ การ
ตรัสรู้นั้นแล แม้มีอัธยาศัย มีกำลังมาก มีปัญญาแก่กล้า ย่อมได้บรรลุ
ความเป็นพระสัพพัญญูด้วยเหตุแห่งปัญญา แม้เราเป็นธรรมราชาผู้สมบูรณ์
ด้วยบารมี ๓๐ ทัศ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
นับไม่ถ้วน นมัสการพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกพร้อมด้วยสงฆ์ด้วย
นิ้วทั้ง ๑๐ แล้วกราบไหว้สัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด
ทั้งหลายด้วยเศียรเกล้า รัตนะทั้งที่มีในอากาศและอยู่ที่พื้นดิน ในพุทธ-
เขต มีประมาณเท่าใด เราจักนำรัตนะทั้งหมดนั้นมาด้วยใจ ณ พื้นที่เป็น
รูปิยะนั้น เราได้นิรมิตปราสาทหลายชั้น อันสำเร็จด้วยรัตนะ สูง
ตระหง่านจรดฟ้า มีเสาอันวิจิตร ได้สัดส่วน จัดไว้ดี ควรค่ามาก มี
คันทวยทำด้วยทองคำ ประดับด้วยนกกระเรียนและฉัตร พื้นชั้นแรกเป็น
แก้วไพฑูรย์ งามปราศจากมลทิน ไม่มีฝ้า เกลื่อนกลาดด้วยดอกบัวหลวง
มีพื้นทองคำอย่างดี พื้นบางชั้นมีสีดังแก้วประพาฬ เป็นกิ่งน่ารื่นเริง บาง
ชั้นแดงงาม บางชั้นเปล่งรัศมี ดังสีแมลงค่อมทอง บางชั้นสว่างทั่วทิศ
ในปราสาทนั้น มีศาลาสี่หน้ามุข มีประตูหน้าต่างจัดไว้เรียบร้อย มีชุกชี
และหลุมตาข่ายสี่แห่ง มีพวงมาลัยหอมน่ารื่นรมย์ใจห้อยอยู่ ยอด
ปราสาทนั้นประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีสีเขียว เหลือง แดง ขาว
ดำล้วน ประกอบด้วยยอดเรือนชั้นเยี่ยม มีสระประทุมชูดอกบานสะพรั่ง
งามด้วยฝูงเนื้อและนก บางชั้นดาดาษด้วยดาวนักษัตร ประดับด้วยรูป
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ปกคลุมด้วยพวงดอกไม้ทอง ดาดาษด้วยตาข่าย
ทองน่ารื่นรมย์ ห้อยย้อยด้วยกระดิ่งทอง เปล่งเสียงด้วยกำลังลม ปรา-
สาทนั้นวิจิตรด้วยธงสีต่างๆ คือ ธงสีชมพู สีแดง สีเหลือง สีเขียว
และสีทอง ปักไว้เป็นระเบียบ แผ่นกระดานต่างๆ มากหลายร้อย ทำ
ด้วยเงิน ทำด้วยแก้วมณี ทับทิม ทำด้วยแก้วมรกต วิจิตรด้วยที่นอน
ต่างๆ ลาดด้วยผ้าเมืองกาสีละเอียดอ่อน เราปูลาดเครื่องลาดต่างๆ
ด้วยผ้ากัมพล ผ้าทุกุลพัสตร์ ผ้าเมืองจีน ผ้าเมืองแขก และผ้าห่มเหลือง
ทุกแห่ง ด้วยใจ ที่พื้นนั้นๆ ประดับด้วยยอดแก้ว คนหลายร้อยยืน
ถือประทีปแก้วมณีอันส่งแสงเรืองอยู่ เสาระเนียด เสาซุ้มประตู ทำด้วย
ทองชมพูนุท ไม้แก่นและเงินบ้าง มีที่ต่อหลายแห่ง จัดไว้เรียบดี วิจิตร
ด้วยบานประตูและกลอน ย่อมยังปราสาทให้งาม สองข้างปราสาทนั้น
มีกระถางน้ำเต็มเปี่ยมหลายกระถาง ปลูกบัวหลวงและอุบลไว้เต็ม เรา
นิรมิตพระพุทธเจ้าในอดีต ผู้เป็นนายกของโลกทุกพระองค์ พร้อมด้วย
พระสงฆ์สาวก ด้วยวรรณและรูปตามปกติ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
พร้อมด้วยพระสาวกเข้าไปทางประตูนั้น หมู่พระอริยเจ้านั่งบนตั่งอันทำ
ด้วยทองคำล้วนๆ พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมในโลก มีอยู่ ณ บัดนี้ก็ดี
เป็นอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ทุกพระองค์ได้ขึ้นปราสาทของเรา พระสยัมภู
ปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อย ผู้ไม่พ่ายแพ้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันได้ขึ้น
ปราสาทของเราทั้งหมด ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งเป็นของทิพย์และของมนุษย์
มีมาก เรานำเอาผ้าทุกอย่างจากต้นกัลปพฤกษ์นั้น มาทำไตรจีวรถวายให้
ท่านเหล่านั้นครอง ของเคี้ยว ของฉัน ของลิ้ม น้ำและข้าวมีสมบูรณ์
เราใส่อาหารเต็มบาตรงามทำด้วยมณีแล้วถวายพระอริยเจ้าทั้งผองครองผ้า
ทิพย์ ครองจีวรเนื้อเกลี้ยงอิ่มหนำสำราญด้วยน้ำตาลกรวด น้ำมัน น้ำผึ้ง
น้ำอ้อยรสหวานฉ่ำและด้วยข้าวปายาส หมู่อริยเจ้าเหล่านี้เข้าห้องแก้ว
สำเร็จสีหไสยาบนที่นอนอันควรค่ามาก ดังไกรสรีนอนในถ้ำที่อยู่ รู้สึกตัว
ลุกขึ้นนั่งคู้บัลลังก์บนที่นอน เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความยินดีในฌานอัน
เป็นโคจรของพุทธเจ้าทุกพระองค์ บางพวกแสดงธรรม บางพวกเข้าฌาน
ด้วยฤทธิ์ บางพวกเข้าอัปปนาฌาน และบางพวกอบรมอภิญญาวสี บาง
พวกแผลงฤทธิ์ คนเดียวเป็นได้หลายร้อยหลายพัน แม้พระพุทธเจ้าก็ถาม
ปัญหาอันเป็นอารมณ์ คือ วิสัยของพระสัพพัญญูกะพระพุทธเจ้า ท่าน
เหล่านั้น ย่อมตรัสรู้เหตุอันละเอียดลึกซึ้งด้วยพระปัญญา พระสาวกทูล
ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามพระสาวก ท่านเหล่านั้นถามกัน
และกัน และพยากรณ์กันและกัน พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระสาวกต่างเป็นศิษย์ ท่านเหล่านั้นรื่นรมย์อยู่ด้วยความยินดีอย่างนี้
อภิรมย์อยู่ในปราสาทของเรา ฉัตรและฉัตรซ้อน มีรัศมีดังไม้ไผ่แก้วตั้งไว้
ทุกๆ องค์ทรงไว้ซึ่งฉัตรอันห้อยย้อยด้วยตาข่ายทอง ขจิตด้วยตาข่ายเงิน
วงรอบด้วยตาข่ายมุกดา บนเศียรมีเพดานผ้า แวววาวด้วยดาวทอง งดงาม
ดาดาษด้วยพวงมาลัยทุกๆ องค์ ทรงไว้รอบๆ ฉัตรดาดาษด้วยพวงมาลัย
งามด้วยพวงดอกไม้หอม เกลื่อนด้วยพวงผ้า ประดับด้วยพวงแก้ว
เกลื่อนกลาดด้วยดอกไม้ งดงามยิ่งนัก รมด้วยของหอมน่าพอใจ ทำด้วย
ของหอมยาวห้านิ้ว มุงด้วยเครื่องมุงทอง ในสี่ทิศแห่งปราสาท มีสระ
อันดาดาษด้วยปทุมและอุบล หอมตลบด้วยเกสรดอกปทุม ปรากฏ
ดังสีทองคำ โดยรอบปราสาท มีต้นไม้ทุกชนิด ดอกบานสะพรั่ง และ
ดอกไม้หล่นลงเอง เรี่ยรายอยู่ยังปราสาท ใกล้ๆ ปราสาทนั้นมีฝูงนกยูง
รำแพนหาง ฝูงหงส์ทิพย์ส่งเสียง ฝูงนกการวิกขับขาน หมู่นกร้องอยู่
โดยรอบปราสาท เสียงกลองเภรีทุกอย่างจงเป็นไป เสียงพิณทุกชนิดจง
ดีด เสียงสังคีตทุกอย่างจงขับขาน โดยรอบปราสาท ขอบัลลังก์ทองใหญ่
สมบูรณ์ด้วยรัศมี ไม่มีช่องประดับด้วยแก้ว จงตั้งอยู่ ในกำหนดพุทธเขต
และในหมื่นจักรวาล ขอต้นไม้ประจำทวีปจงรุ่งเรือง เป็นไม้สว่างไสว
เช่นเดียวกัน สืบต่อกันไปตั้งหมื่นต้น หญิงเต้นรำ หญิงขับร้อง จงเต้นรำ
ขับร้อง หมู่นางอัปสรผู้มีอวัยวะต่างๆ กัน จงปรากฏ (ฟ้อน) อยู่โดย
รอบปราสาท เราให้ชักธงทุกชนิดมีห้าสีงามวิจิตรขึ้นอยู่บนยอดไม้ ยอด
ภูเขา และบนยอดสิเนรุ หมู่ชน ฝูงนาค คนธรรพ์ และเทวดาทุกท่าน
นั้น จงมาประนมหัตถ์นมัสการเรา แวดล้อมปราสาทอยู่ กุศลกรรมอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง เป็นกิริยาที่เราพึงทำด้วยกาย วาจา และใจ กุศลกรรมนั้นเรา
ทำแล้วไปในไตรทศ สัตว์เหล่าใดมีสัญญา และสัตว์เหล่าใดไม่มีสัญญา
มีอยู่ ขอสัตว์ทั้งหมดนั้นจงเป็นผู้มีส่วนแห่งผลบุญ ที่เราทำแล้ว สัตว์
เหล่าใดทราบบุญที่เราทำแล้ว เราให้ผลบุญแก่สัตว์เหล่านั้น บรรดาสัตว์
เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดไม่รู้ ขอทวยเทพจงไปบอกแก่สัตว์เหล่านั้น ปวง
สัตว์ในโลกผู้อาศัยอาหารเป็นอยู่ทุกจำพวก ขอจงได้อาหารอันพึงใจ ด้วย
ใจของเรา เรามีใจเลื่อมใสในทานที่เราให้แล้วด้วยใจอันผ่องใส เราบูชา
พระสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์แล้ว บูชาแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
เพราะกุศลกรรมที่เราทำดีแล้วนั้น และเพราะความปรารถนาแห่งใจ เราละ
กายมนุษย์แล้ว ได้ไปยังดาวดึงส์พิภพ เราย่อมรู้ทั่วความเป็นเทวดาและ
มนุษย์ในสองภพ ย่อมไม่รู้จักคติอื่น นี้เป็นผลแห่งความปรารถนาด้วยใจ
เราเป็นใหญ่กว่าเทวดา เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะ
ไม่มีใครเสมอเราด้วยปัญญา โภชนะต่างๆ อย่างประเสริฐ และรัตนะ
มากมาย ผ้าต่างชนิด ย่อมจากฟ้ามาหาเราพลัน เราชี้มือไปในที่ใด คือ
ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า อาหารทิพย์ย่อมมาหาเรา
เอง เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและ
ในป่า รัตนะทุกอย่างย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน
ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า ของหอมทุกชนิดย่อมมาหาเราเอง
เราชี้มือไปในที่ใด คือที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า
ยวดยานทุกอย่างย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา
บนอากาศ ในน้ำและในป่า ดอกไม้ทุกชนิดย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปใน
ที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า เครื่องประดับ
ย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ
ในน้ำและในป่า ปวงนางกัญญาย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่
แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด
ย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ใน
น้ำและในป่า ของเคี้ยวทุกอย่างย่อมมาหาเรา เราได้ให้ทานอันประเสริฐ
นั้นในคนไม่มีทรัพย์ คนเดินทางไกล ยาจก และคนเดินทางเปลี่ยว
เพื่อต้องการบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ เรายังภูเขาหินให้บันลืออยู่
ยังเขาอันแน่นหนาให้กระหึ่มอยู่ ยังมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลกให้ร่าเริง
อยู่ จะเป็นพระพุทธเจ้าในโลก ทิศ ๑๐ มีอยู่ในโลก ที่สุดไม่มีแก่บุคคล
ผู้ไปอยู่ ก็ในทิศาภาคนั้น พุทธเขตนับไม่ได้ รัศมีของเราปรากฏเปล่ง
ออกเป็นคู่ๆ ข่าย (หมู่,คู่) รัศมีมีอยู่ในระหว่างนี้ เราเป็นผู้มีแสง
สว่างมาก ปวงชนในโลกธาตุประมาณเท่านี้จงเห็นเรา จงมีใจยินดีทั้ง
หมดเทียว จงประพฤติตามเราทั้งหมด เราตีกลองอมฤต มีเสียงบันลือ
ไพเราะสละสลวย ปวงชนในระหว่างนี้ จงได้ยินเสียงอันไพเราะของเรา
เมื่อฝนคือธรรมเทศนาตกลง ปวงชนจงเป็นผู้ไม่มีอาสวะ บรรดาชน
เหล่านั้น สัตว์ผู้เกิดสุดท้ายภายหลัง จงเป็นพระโสดาบัน เราให้ทานที่
ควรให้แล้ว บำเพ็ญศีลโดยไม่เหลือ ถึงที่สุดเนกขัมมบารมีแล้ว พึงได้
บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เราเรียนถามบัณฑิตแล้ว ทำความเพียรอย่าง
สูงสุด ถึงที่สุดขันติบารมีแล้ว พึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เรา
กระทำอธิษฐานจิตมั่นคงแล้ว บำเพ็ญสัจจบารมีถึงที่สุด เมตตาบารมีแล้ว
พึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เราเป็นผู้มีใจเสมอในอารมณ์ทั้งปวง
คือ ในลาภ ความเสื่อมลาภ สุข ทุกข์ สรรเสริญ และนินทา พึง
ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ท่านทั้งหลายเห็นความเกียจคร้านโดยเป็น
ภัย และเห็นความเพียรโดยความเกษมแล้ว จงปรารภความเพียร นี้เป็น
อนุศาสนีของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายเห็นความวิวาทโดยเป็นภัย และ
เห็นความไม่วิวาทโดยเกษมแล้ว จงสมัครสมานกัน กล่าววาจาอ่อนหวาน
แก่กัน นี้เป็นอนุศาสนีของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายเห็นความประมาท
โดยเป็นภัย และเห็นความไม่ประมาทโดยเกษมแล้ว จงอบรมอัฏฐังคิกมรรค
นี้เป็นอนุศาสนีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย
มาประชุมกันอยู่มาก ทุกประการ ท่านทั้งหลายจงกราบไหว้นมัสการพระ-
สัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ พระพุทธเจ้า
(และ) ธรรมของพระพุทธเจ้า ใครๆ ไม่อาจคิดได้ เมื่อบุคคลเลื่อมใสใน
พระพุทธเจ้าและพระธรรม อันใครๆ ไม่อาจคิดได้ ย่อมมีผลอันใครๆ
คิดไม่ได้.
ทราบว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคจะทรงให้ท่านพระอานนท์รู้พระพุทธจิตของพระองค์ จึง
ได้ตรัสธรรมบรรยายชื่อพุทธาปนิยะ ด้วยประการฉะนี้.
พุทธาปทานจบบริบูรณ์.

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ บรรทัดที่ ๑ - ๑๔๖. หน้าที่ ๑ - ๖.

พระพุทธพจน์
“....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดังพรรณนามาฉะนั้น พรหมจรรย์นี้ จึงมิใช่มีลาภ
สักการะและความสรรเสริญเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มี
ความถึงพร้อมแห่งสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ แต่พรหมจรรย์นี้มี
เจโตวิมุติอันไม่กำเริบ เป็นประโยชน์ เป็นแก่น เป็นที่สุด.”
มหาสาโรปมสูตร ที่ ๙

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๖๓๐๙ - ๖๕๐๔. หน้าที่ ๒๕๖ - ๒๖๓.

กเป็นศาสดาของพวกเธอ ฯลฯ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2011, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


แก้วเก้า เขียน:

ปัญหา ...ข้อที่ว่าโมหะอันเป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิฐิความเห็นผิดนั้นคือเห็นอย่างไร ?


ตกลงถามโมหะ หรือ ถามมิจฉาทิฐิ ครับ

ถ้าจะถามโมหะ ทำไมต้อลงท้ายด้วย คือเห็นอย่างไร

และ พระสูตรที่ยกมา ผมไม่รู้ว่าคุณจะถามอะไร

ขอทีละประเด็นครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 02:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


กามโภคี เขียน:
ไม่รู้ว่าจะให้วัดกับอะไร เลยตอบไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี

แต่ที่บอกว่าสามัญชนที่สุด หมายถึงปุ๊บปั๊บน่าจะรู้เรื่องปริยัติน้อยกว่าคนอื่นที่เข้ามามี คห.

เท่านี้จริงๆเจ้าครับ


เป็นความจริงค่ะ....ที่ถูกคือไม่ใช่รู้น้อย แต่ไม่รู้เลย

คุณสมบัติข้อนี้ทำให้การปฎบ้ติวนๆเวียนๆ ถดๆถ้อยๆ

เพราะไม่เข้าใจสภาวะที่เขาเพียรพยายามมาแสดงซ้ำเก่าซ้ำใหม่ให้เห็น

เห็นแต่ไม่รู้ รู้แต่ไม่เข้าใจ ใช่หรือเปล่า? :b7:

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อยากทราบความเห็น...จากคำตอบที่ตอบคำถามค่ะ
จะกรุณาชี้แนะสักนิดได้ไหมค่ะ? :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักทาย เขียน:
กามโภคี เขียน:
ไม่รู้ว่าจะให้วัดกับอะไร เลยตอบไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี

แต่ที่บอกว่าสามัญชนที่สุด หมายถึงปุ๊บปั๊บน่าจะรู้เรื่องปริยัติน้อยกว่าคนอื่นที่เข้ามามี คห.

เท่านี้จริงๆเจ้าครับ


เป็นความจริงค่ะ....ที่ถูกคือไม่ใช่รู้น้อย แต่ไม่รู้เลย

คุณสมบัติข้อนี้ทำให้การปฎบ้ติวนๆเวียนๆ ถดๆถ้อยๆ

เพราะไม่เข้าใจสภาวะที่เขาเพียรพยายามมาแสดงซ้ำเก่าซ้ำใหม่ให้เห็น

เห็นแต่ไม่รู้ รู้แต่ไม่เข้าใจ ใช่หรือเปล่า? :b7:

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อยากทราบความเห็น...จากคำตอบที่ตอบคำถามค่ะ
จะกรุณาชี้แนะสักนิดได้ไหมค่ะ? :b8:

คำว่ารู้หรือไม่รู้คือการ เข้าไปยึดครับ ถ้าเรารู้แล้วเข้าไปยึดเขาเรียกไม่รู้
แต่ถ้ารู้แล้วไม่ยึดเขาเรียกว่า รู้ครับ

อย่างเช่น เราไปเห็นอะไรเข้าอันนี้เรียกว่ารู้ครับ ถ้าเราเข้าไปยึดคือการแสดงออก
ไปตามสัญญาหรือความทรงจำเก่าๆ จนแสดงออกมาทางกาย สิ่งนี้เรียกว่าไม่รู้
มันเป็นการปรุงแต่งของกิเลสเป็นเรื่องของจิตอกุศล และการแสดงออกทางกาย
เป็นเรื่องของการผิดศีลครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 06:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุอนุโมทนากับคุณแก้วเก้าที่อุตส่าห์ไปค้นคว้าพระไตรปิฎกมาเล่าสู่กันฟัง ในประเด็น "สัมมาทิฐิ"
แต่คำตอบที่งดงามสรุปรวบย่อมาก คุณแก้วเก้าก็ได้ยกมาตอบไว้แล้วในนตอนท้ายดังนี้ว่า

พระพุทธพจน์
“....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดังพรรณนามาฉะนั้น พรหมจรรย์นี้ จึงมิใช่มีลาภ
สักการะและความสรรเสริญเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มี
ความถึงพร้อมแห่งสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์
แต่พรหมจรรย์นี้มีเจโตวิมุติอันไม่กำเริบ เป็นประโยชน์ เป็นแก่น เป็นที่สุด.”
มหาสาโรปมสูตร ที่ ๙

ผลของการปฏิบัติเป็นเรื่องเป็นประเด็นที่สำคัญ ทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดเจโตวิมุติ (คงจะขออนุโลมรวม ปัญญาวิมุติเข้าไปด้วย) หรือการบรรลุธรรมได้ง่ายและเร็วไว น่าจะเป็นข้อที่เราทั้งหลายควรใส่ใจหลังจากการถกียงสนทนานี้แล้วนะครับ
:b16: :b1: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักทาย เขียน:
เป็นความจริงค่ะ....ที่ถูกคือไม่ใช่รู้น้อย แต่ไม่รู้เลย


ผมหมายถึงด้านปริยัติเจ้าครับ ไม่ใช่ด้านปฏิบัติ แต่......ถ้า


ทักทาย เขียน:
คุณสมบัติข้อนี้ทำให้การปฎบ้ติวนๆเวียนๆ ถดๆถ้อยๆ

เพราะไม่เข้าใจสภาวะที่เขาเพียรพยายามมาแสดงซ้ำเก่าซ้ำใหม่ให้เห็น

เห็นแต่ไม่รู้ รู้แต่ไม่เข้าใจ ใช่หรือเปล่า? :b7:

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


หมายความมาอย่างนี้ แสดงว่าจะให้อธิบายด้านปฏิบัติซะม้าง :b12:

ทักทาย เขียน:
อยากทราบความเห็น...จากคำตอบที่ตอบคำถามค่ะ
จะกรุณาชี้แนะสักนิดได้ไหมค่ะ? :b8:


ที่จริงการอธิบายสภาวะกันดุจการสอบส่งอารมณ์ไม่ใช่ของที่ต้องพูดง่ายๆ แต่ว่า วิจิกิจฉา สามารถแก้
ได้หลายลักษณะ(ขออุบไว้) ในบางครั้ง ยังมีสงสัยค้างคา ปฏิบัติก็ไม่ก้าวหน้า อาจจะเพิ่มสงสัยเข้าไปอีก การตอบปัญหาให้ผู้ถามได้หมดจด ปราศจากข้อสงสัย จัดว่าเป็นการแก้สภาวะสงสัยได้อย่างหนึ่ง

สภาวะที่เขาเพียรพยายามมาแสดงซ้ำๆเก่าซ้ำใหม่ให้เห็น

เขาแสดงสัจจะอะไรหรือเปล่า เพียงแต่เรายังไม่เอะใจเอง

ถ้าพูดแง่มุมปฏิบัติ รู้ไม่น้อยเท่าไรหรอก แต่

รู้ไม่ทันปัจจุบัน ต้องให้ทันปัจจุบันจริงๆ และ ต้องรู้เฉยๆตามจริง เกิดอย่างไรรู้อย่างนั้น จดจ่อรู้ให้ได้
ทุกขณะ ตั้งแต่เกิด กำลังแสดงอยุ่และกำลังจะหายไป

สภาวะที่เกิดกำลังอบรมณ์อินทรีย์บางอย่าง กำลังกระตุ้นให้ซ่อมให้เสริมอินทรีย์บางอย่าง เวลาเราเรียน
เราไม่เก่ง เขาก็ไม่อยากให้เราเลื่อนชั้นง่ายๆ เพราะข้างหน้ามีมากกว่านี้ที่เราต้องประสบ

ให้รู้ตามจริงๆเฉยๆ จดจ่อกับสภาวะที่รู้อยู่ ละความยินดียินร้าย และรู้ให้เท่าทันปัจจุบัน กำหนดรู้ทาง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย มากหน่อย จะช่วยได้มาก

ที่จริงไม่ใช่รู้น้อยโดยนัยปฏิบัติ แต่ รู้ไม่ทัน

สัจจะกำลังแสดง

ให้เวลาปุ๊บปั๊บ ๓-๕ บัลลังค์ ถ้าไม่เห็นจริงๆ จะเฉลย เพราะระดับนี้ ยังคาบเกี่ยวที่สุตะมยปัญญา พอที่
จะบอกได้ ถ้าสูงกว่านี้ แก้สภาวะอย่างเดียว ไม่บอก

ออกปากน้ำสู่อ่าวไทย ลั้ลลาา ถ้าจะคุยสภาวะ น่าจะไปตั้งกระทู้อีกห้องหนึ่งท่าจะดี

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ผลของการปฏิบัติเป็นเรื่องเป็นประเด็นที่สำคัญ ทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดเจโตวิมุติ (คงจะขออนุโลมรวม ปัญญาวิมุติเข้าไปด้วย) หรือการบรรลุธรรมได้ง่ายและเร็วไว น่าจะเป็นข้อที่เราทั้งหลายควรใส่ใจหลังจากการถกียงสนทนานี้แล้วนะครับ
:b16: :b1: :b12:


:b8:

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 26 ก.ย. 2011, 09:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ผมหมายถึงด้านปริยัติเจ้าครับ ไม่ใช่ด้านปฏิบัติ


ไม่รู้พอๆกันทั้งสองด้านนั่นแหละเจ้าครับ..เอ้ยเจ้าค่ะ

อ้างคำพูด:
หมายความมาอย่างนี้ แสดงว่าจะให้อธิบายด้านปฏิบัติซะม้าง


แฮ่ะๆ...จั๊กหน้อย :b15:

อ้างคำพูด:
ให้รู้ตามจริงๆเฉยๆ จดจ่อกับสภาวะที่รู้อยู่ ละความยินดียินร้าย
และรู้ให้เท่าทันปัจจุบัน กำหนดรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มากหน่อย จะช่วยได้มาก


เข้าใจแล้ว...จะพยายามให้มากกว่าเดิมเจ้าค่ะ :b8:

อ้างคำพูด:
ให้เวลาปุ๊บปั๊บ ๓-๕ บัลลังค์ ถ้าไม่เห็นจริงๆ จะเฉลย


ได้เจ้าค่ะ

อ้างคำพูด:
ออกปากน้ำสู่อ่าวไทย ลั้ลลาา ถ้าจะคุยสภาวะ น่าจะไปตั้งกระทู้อีกห้องหนึ่งท่าจะดี


ต่อให้ไปเริ่มต้นที่ภูเขาหิมาลัย...สุดท้ายก็ไหลลงสู่ทะเลอยู่ดีแหละค่ะ :b13:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 26 ก.ย. 2011, 09:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


โฮฮับ เขียน:
คำว่ารู้หรือไม่รู้คือการ เข้าไปยึดครับ ถ้าเรารู้แล้วเข้าไปยึดเขาเรียกไม่รู้
แต่ถ้ารู้แล้วไม่ยึดเขาเรียกว่า รู้ครับ

อย่างเช่น เราไปเห็นอะไรเข้าอันนี้เรียกว่ารู้ครับ ถ้าเราเข้าไปยึดคือการแสดงออก
ไปตามสัญญาหรือความทรงจำเก่าๆ จนแสดงออกมาทางกาย สิ่งนี้เรียกว่าไม่รู้


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักทาย เขียน:
ต่อให้ไปเริ่มต้นที่ภูเขาหิมาลัย...สุดท้ายก็ไหลลงสู่ทะเลอยู่ดีแหละค่ะ :b13:


:b7: มีต่อปากต่อคำ :b20:

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกหนึ่งท่านที่หมายถึงเรื่องของเจตนา

ส่วนมากแล้วเราๆจะเข้าใจการกราบว่า เรากราบเพราะอะไร กราบอะไร

ถ้าคนเพ่งที่การกราบแบบงมงาย ก็ต้องงมงาย แต่ถ้าเพ่งในทางที่เหมาะที่ควร ก็อาจหลุดพ้นได้

เจตนาสำคัญจริงๆ
ขอบคุณสำหรับ คห.ครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


กามโภคี เขียน:

:b7: มีต่อปากต่อคำ :b20:


:b13: :b13: :b13:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบเพราะซาบซึ้ง กราบเพราะเคารพ กราบทั้งที่รู้ว่าเป็นแค่พระพุทธรูป
แต่ ในความที่เป็นแค่พระพุทธรูป นั่นก็เป็นสิ่งที่พุทธบริษัทธิ์ให้ความอ่อนน้อม
และรักเคารพ เนื่องจากพระพุทธองค์ ไม่อยู่แล้ว การมีสิ่งซึ่งแค่เป็นเพียงตัวแทน
สำหรับให้ยึดเหนียว ให้อบอุ่นใจ เท่านี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้นั้นกำลังโง่งมงาย
มากราบไหว้วัตถุ

เพราะโดยความเป็นจริง ผู้กราบไหว้ เขาไม่ได้กำลังกราบไหว้วัตถุที่เป็นพระพุทธรูป
แต่เขากำลังกราบไหว้พระพุทธเจ้า กายก้มกราบพุทธรูปทองเหลืองแต่ใจกำลังนึกถึง
พระพุทธองค์

การนึกถึงพระพุทธองค์ กราบตัวแทนพระพุทธองค์ ยังเอามาถือสาเป็นเรื่องผิดและเลวร้ายเสีย
แล้ว จิตของผู้นั้นย่อมหาความอ่อนโยนไม่ได้ หากตัญญูก็ไม่ได้

การกราบพระพุทธรูปด้วยความเคารพ เป็นคนละอย่างกับคำว่า งมงาย
บางบุคคลถึงจะกราบด้วยงมงาย แต่ก็งมงายเพราะใจเคารพ สักวันหนึ่งเมื่อเขา
ได้ปฏิบัติธรรมสูงขึ้น ลึกขึ้น และรู้ได้ว่า พระพุทธเจ้าแท้จริงนั้นสอนอะไร
พระพุทธองค์แท้นั้นเป็นอย่างไร เขาก็จะเลิกกราบด้วยใจงมงายอีก แต่เขาก็ยังจะกราบ
อยู่เช่นเดิม และกราบด้วยซาบซึ้งยิ่งกว่าเดิม อ่อนโยนกว่าเดิม และรู้ว่าการกราบนี้ชั่ง
น้อยนิดเหลือเกินกับการจะแสดงความเคารพพระองค์ให้ได้เท่ากับใจที่เคารพ

คนทุกคนที่มุ่งหวังมรรคผลนิพพาน จะต้องมีพื้นฐานของจิตใจที่ อ่อนโยน เคารพใน
พระพุทธองค์ ดังนั้น ทุกคนต้องเริ่มด้วยการกราบพระพุทธรูปให้งามที่สุดให้เป็นก่อน
ถ้ายังกราบพระพุทธรูปให้งดงาม ให้ซาบซึ้ง ให้อ่อนน้อมไม่เป็น ก็อย่าหวังว่าจะเข้าถึง
คุณธรรมใดๆเลย

พระพุทธองค์ทรงสอนเหล่าภิกษุ หากภิกษุทั้งหลาย มีจิตที่หวาดหวั่น อ่อนแอ และ
ประมาท ก็ให้นึกถึงพระองค์ เมื่อนึกถึงให้เป็นใจจะอบอุ่น แกล้วกล้า และไม่ประมาท

เมื่อก่อนไม่มีพระพุทธรูป พระองค์ก็ยังให้นึกถึงตัวท่าน ยามภิกษุอยู่ห่างไกลพระองค์
แต่พระพุทธองค์ ทรงสอนว่าอย่าไปบูชา ผีสางเทวดา ที่สิงสถิตตาม ป่าตามภูเขา
ตามสถูป ตามเจดีย์ เอามาเป็นสรณะ ให้เอาหลักธรรมเป็นสรณะ

การให้ถือเอาหลักธรรมเป็นสรณะ ก็ไม่ได้หมายความว่า การกราบพระพุทธรูปคือไม่สมควร
เพราะการกราบพระพุทธรูป กับการมีหลักธรรมเป็นสรณะนั้น ย่อมเป็นสิ่งคู่กัน

เพราะใครมีคุณธรรม คนนั้นยิ่งต้องไม่ลบหลู่พระพุทธรูป อันเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์

เหมือนดังบุคคลมีความเคารพในตัวพระเจ้าแผ่นดินของเรา ธงอันเป็นสัญญลักษณ์พระองค์
แค่เราคิดจะล่วงเกินก็ไม่อาจจะมีได้


onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร