วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 15:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มูลปริยายสูตร ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวง
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โคนไม้พญารัง ในสุภควัน เขตเมืองอุกกัฏฐา ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ พระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา จักแสดงปริยายอันเป็นมูลของธรรมทั้งปวงแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

กำหนดภูมินัยที่ ๑ ด้วยสามารถปุถุชน

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนในโลกนี้ ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมสำคัญธาตุดิน ย่อมสำคัญในธาตุดิน ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมสำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมยินดี ธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้ธาตุน้ำโดยความเป็นธาตุน้ำ ครั้นรู้ธาตุน้ำโดยความเป็นธาตุน้ำแล้ว ย่อมสำคัญ ธาตุน้ำ ย่อมสำคัญในธาตุน้ำ ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุน้ำ ย่อมสำคัญธาตุน้ำว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุน้ำ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้ธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟ ครั้นรู้ธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟแล้ว ย่อมสำคัญ ธาตุไฟ ย่อมสำคัญในธาตุไฟ ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุไฟ ย่อมสำคัญธาตุไฟว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุไฟ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลม ครั้นรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลมแล้ว ย่อมสำคัญ ธาตุลม ย่อมสำคัญในธาตุลม ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุลม ย่อมสำคัญธาตุลมว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุลม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้สัตว์โดยความเป็นสัตว์ ครั้นรู้สัตว์โดยความเป็นสัตว์แล้ว ย่อมสำคัญสัตว์ ย่อมสำคัญในสัตว์ ย่อมสำคัญโดยความเป็นสัตว์ ย่อมสำคัญสัตว์ว่า ของเรา ย่อมยินดีสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้เทวดาโดยความเป็นเทวดา ครั้นรู้เทวดาโดยความเป็นเทวดาแล้ว ย่อมสำคัญเทวดา ย่อมสำคัญในเทวดา ย่อมสำคัญโดยความเป็นเทวดา ย่อมสำคัญเทวดาว่าของเรา ย่อมยินดีเทวดา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้มารโดยความเป็นมาร ครั้นรู้มารโดยความเป็นมารแล้ว ย่อมสำคัญมาร ย่อมสำคัญ ในมาร ย่อมสำคัญโดยความเป็นมาร ย่อมสำคัญมารว่า ของเรา ย่อมยินดีมาร ข้อนั้นเพราะ เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้พรหมโดยความเป็นพรหม ครั้นรู้พรหมโดยความเป็นพรหมแล้ว ย่อมสำคัญพรหม ย่อมสำคัญในพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นพรหม ย่อมสำคัญพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้อาภัสสรพรหมโดยความเป็นอาภัสสรพรหม ครั้นรู้อาภัสสรพรหมโดยความเป็น อาภัสสรพรหมแล้ว ย่อมสำคัญอาภัสสรพรหม ย่อมสำคัญในอาภัสสรพรหม ย่อมสำคัญโดย ความเป็นอาภัสสรพรหม ย่อมสำคัญอาภัสสรพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอาภัสสรพรหม ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้สุภกิณหพรหมโดยความเป็นสุภกิณหพรหม ครั้นรู้สุภกิณหพรหมโดยความเป็น สุภกิณหพรหมแล้ว ย่อมสำคัญสุภกิณหพรหม ย่อมสำคัญในสุภกิณหพรหม ย่อมสำคัญโดยความ เป็นสุภกิณหพรหม ย่อมสำคัญสุภกิณหพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีสุภกิณหพรหม ข้อนั้นเพราะ เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้เวหัปผลพรหมโดยความเป็นเวหัปผลพรหม ครั้นรู้เวหัปผลพรหมโดยความเป็น เวหัปผลพรหมแล้ว ย่อมสำคัญเวหัปผลพรหม ย่อมสำคัญในเวหัปผลพรหม ย่อมสำคัญโดยความ เป็นเวหัปผลพรหม ย่อมสำคัญเวหัปผลพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีเวหัปผลพรหม ข้อนั้นเพราะ เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้อสัญญีสัตว์โดยความเป็นอสัญญีสัตว์ ครั้นรู้อสัญญีสัตว์โดยความเป็นอสัญญี สัตว์แล้ว ย่อมสำคัญอสัญญีสัตว์ ย่อมสำคัญในอสัญญีสัตว์ ย่อมสำคัญโดยความเป็นอสัญญีสัตว์ ย่อมสำคัญอสัญญีสัตว์ว่า ของเรา ย่อมยินดีอสัญญีสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้อากาสานัญจายตนพรหมโดยความเป็นอากาสานัญจายตนพรหม ครั้นรู้อากาสานัญ จายตนพรหมโดยความเป็นอากาสานัญจายตนพรหมแล้ว ย่อมสำคัญอากาสานัญจายตนพรหม ย่อม สำคัญในอากาสานัญจายตนพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นอากาสานัญจายตนพรหม ย่อมสำคัญ อากาสานัญจายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอากาสานัญจายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้วิญญาณัญจายตนพรหมโดยความเป็นวิญญาณัญจายตนพรหม ครั้นรู้วิญญาณัญจายตนพรหมโดยความเป็นวิญญาณัญจายตนพรหมแล้ว ย่อมสำคัญวิญญาณัญจายตนพรหม ย่อมสำคัญ ในวิญญาณัญจายตนพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นวิญญาณัญจายตนพรหม ย่อมสำคัญวิญญาณัญจายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีวิญญาณัญจายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้อากิญจัญญายตนพรหมโดยความเป็นอากิญจัญญายตนพรหม ครั้นรู้อากิญจัญญายตนพรหมโดยความเป็นอากิญจัญญายตนพรหมแล้ว ย่อมสำคัญอากิญจัญญายตนพรหม ย่อมสำคัญ ในอากิญจัญญายตนพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นอากิญจัญญายตนพรหม ย่อมสำคัญ อากิญจัญญายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอากิญจัญญายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมโดยความเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ครั้นรู้ เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมโดยความเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหมแล้ว ย่อมสำคัญเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ย่อมสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ย่อมสำคัญโดยความ เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ย่อมสำคัญเนวสัญญานาสัญญายตนพรหมว่า ของเรา ย่อม ยินดีเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้รูปที่ตนเห็นโดยความเป็นรูปที่เห็น ครั้นรู้รูปที่ตนเห็นโดยความเป็นรูปที่ตนเห็น แล้ว ย่อมสำคัญรูปที่ตนเห็น ย่อมสำคัญในรูปที่ตนเห็น ย่อมสำคัญโดยความเป็นรูปที่ตนเห็น ย่อมสำคัญรูปที่ตนเห็นว่า ของเรา ย่อมยินดีรูปที่ตนเห็น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้เสียงที่ตนฟังโดยความเป็นเสียงที่ตนฟัง ครั้นรู้เสียงที่ตนฟังโดยความเป็นเสียง ที่ตนฟังแล้ว ย่อมสำคัญเสียงที่ตนฟัง ย่อมสำคัญในเสียงที่ตนฟัง ย่อมสำคัญโดยความเป็นเสียง ที่ตนฟัง ย่อมสำคัญเสียงที่ตนฟังว่า ของเรา ย่อมยินดีเสียงที่ตนฟัง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้อารมณ์ที่ตนทราบโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบ ครั้นรู้อารมณ์ที่ตนทราบโดยความ เป็นอารมณ์ที่ตนทราบแล้ว ย่อมสำคัญอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสำคัญในอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อม สำคัญโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสำคัญอารมณ์ที่ตนทราบว่า ของเรา ย่อมยินดีอารมณ์ ที่ตนทราบ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้ธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ครั้นรู้ธรรมารมณ์ที่ตน รู้แจ้งโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งแล้ว ย่อมสำคัญธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสำคัญใน ธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสำคัญโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสำคัญธรรมารมณ์ที่ตน รู้แจ้งว่า ของเรา ย่อมยินดีธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขา ไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกันโดยความเป็นอันเดียวกัน ครั้นรู้สักกายะเป็น อันเดียวกันโดยความเป็นอันเดียวกันแล้ว ย่อมสำคัญความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสำคัญในความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสำคัญโดยความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสำคัญความที่สักกายะเป็นอันเดียวกันว่า ของเรา ย่อมยินดีความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้ความที่สักกายะต่างกันโดยความเป็นของต่างกัน ครั้นรู้ความที่สักกายะต่างกันโดย ความเป็นของต่างกันแล้ว ย่อมสำคัญความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสำคัญในความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสำคัญโดยความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสำคัญความที่สักกายะต่างกันว่า ของเรา ย่อมยินดี ความที่สักกายะต่างกัน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้สักกายะทั้งปวงโดยความเป็นสักกายะทั้งปวง ครั้นรู้สักกายะทั้งปวง โดยความ เป็นสักกายะทั้งปวงแล้ว ย่อมสำคัญสักกายะทั้งปวง ย่อมสำคัญในสักกายะทั้งปวง ย่อมสำคัญ โดยความเป็นสักกายะทั้งปวง ย่อมสำคัญสักกายะทั้งปวงว่าของเรา ย่อมยินดีสักกายะทั้งปวง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน แล้ว ย่อมสำคัญพระนิพพาน ย่อมสำคัญในพระนิพพาน ย่อมสำคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมสำคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.

กำหนดภูมินัยที่ ๑ ด้วยสามารถปุถุชน.

กำหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขบุคคล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใดเป็นเสขบุคคล ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล เมื่อ ปรารถนาธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าอยู่ แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความ เป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว อย่าสำคัญธาตุดิน อย่าสำคัญในธาตุดิน อย่าสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน อย่าสำคัญธาตุดินว่า ของเรา อย่ายินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาควรกำหนดรู้.

ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณ ที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะ ทั้งปวง ...

ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน แล้ว อย่าสำคัญพระนิพพาน อย่าสำคัญในพระนิพพาน อย่าสำคัญโดยความเป็นพระนิพพาน อย่าสำคัญพระนิพพานว่า ของเรา อย่ายินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาควรกำหนดรู้.

กำหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขบุคคล.

กำหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระขีณาสพ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลส เครื่องประกอบสัตว์ ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ไม่สำคัญในธาตุดิน ไม่สำคัญโดยความ เป็นธาตุดิน ไม่สำคัญธาตุดินว่าของเรา ไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกำหนดรู้แล้ว.

ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...

ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน แล้ว ย่อมไม่สำคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็น พระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกำหนดรู้แล้ว.

กำหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.

กำหนดภูมินัยที่ ๔ ด้วยสามารถพระขีณาสพ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จ กิจแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว พ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความ เป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญธาตุดินว่าของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะ ปราศจากราคะ เหตุราคะสิ้นไป.

ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่ สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...

ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน แล้ว ย่อมไม่สำคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็น พระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากราคะ เหตุราคะสิ้นไป.

กำหนดภูมินัยที่ ๔ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.

กำหนดภูมินัยที่ ๕ ด้วยสามารถพระขีณาสพ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ใน ภพแล้ว พ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญ โดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เพราะปราศจากโทสะ เหตุโทสะสิ้นไป.

ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสร พรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตน เห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็น อันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...

ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน แล้ว ย่อมไม่สำคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็น พระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เพราะปราศจากโทสะ เหตุโทสะสิ้นไป.

กำหนดภูมินัยที่ ๕ ด้วยสามารถพระขีณาสพ

กำหนดภูมินัยที่ ๖ ด้วยสามารถพระขีณาสพ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ใน ภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญ โดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เพราะปราศจากโมหะ เหตุโมหะสิ้นไป.

ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็น อันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...

ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่สำคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความ เป็นพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะ เหตุอะไร เพราะปราศจากโมหะ เหตุโมหะสิ้นไป.

กำหนดภูมินัยที่ ๖ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.

กำหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระตภาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ธาตุดินโดยความ เป็นธาตุดินจริง ครั้นทรงรู้ยิ่งธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริงแล้ว ย่อมไม่ทรงสำคัญธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะธาตุดินนั้นพระตถาคต กำหนดรู้แล้ว.

ย่อมทรงรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญาตนพรหม ... รูปที่ ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็น อันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...

ทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ทรงสำคัญพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่ทรง สำคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญพระนิพพานว่า ของเราย่อมไม่ทรงยินดี พระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่าเพราะพระนิพพานนั้นพระตถาคตทรงกำหนดรู้แล้ว.

กำหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา.

กำหนดภูมินัยที่ ๘ ด้วยสามารถพระศาสดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ธาตุดินโดยความ เป็นธาตุดินจริง ครั้นทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริงแล้วย่อมไม่ทรงสำคัญธาตุดิน ย่อมไม่ ทรงสำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เรากล่าวว่า เพราะทรงทราบว่า ความเพลิดเพลิน เป็นมูลแห่งทุกข์ เพราะภพจึงมีชาติ สัตว์ผู้เกิดแล้ว ต้องแก่ ต้องตาย เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุ ทั้งหลายเราจึงกล่าวว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะสิ้นตัณหา สำรอกตัณหา ดับตัณหา สละตัณหา สละคืนตัณหาเสียได้ โดยประการทั้งปวง

ย่อมทรงรู้ยิ่งธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตน เห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียว กัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...

ทรงรู้ยิ่งพระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระ นิพพานแล้ว ย่อมไม่ทรงสำคัญพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญ โดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เรากล่าวว่า เพราะทรงทราบว่า ความเพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์ เพราะ ภพจึงมีชาติ สัตว์ผู้เกิดแล้ว ต้องแก่ ต้องตาย เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย เราจึงกล่าวว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะสิ้นตัณหา สำรอกตัณหา ดับตัณหา สละตัณหา สละคืนตัณหาเสียได้ โดยประการทั้งปวง.

กำหนดภูมินัยที่ ๘ ด้วยสามารถพระศาสดา.

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสมูลปริยายนี้จบแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีความพอใจชื่นชมภาษิตของ พระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อันพระศาสดาและภิกษุผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ผู้
เป็นวิญญูชนยกย่อง สรรเสริญแล้ว ก็ท่านพระมหากัจจานะ พอจะจำแนกเนื้อ
ความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้


:b6: ...พิสดาร...

:b9: :b9: :b9:

แล้ว...อะไรน๊อ....ไม่พิสดาร...

nat-nai ตอบหน่อยจิ่... :b20: :b20:

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
อันพระศาสดาและภิกษุผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ผู้
เป็นวิญญูชนยกย่อง สรรเสริญแล้ว ก็ท่านพระมหากัจจานะ พอจะจำแนกเนื้อ
ความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้

...พิสดาร...
แล้ว...อะไรน๊อ....ไม่พิสดาร...


อุทเทส....ไม่พิสดาร
นิทเทส >>>> วิภังค์>>>>>จำแนกออก>>>พิสดาร

:b4: :b16:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ท่านว่า เพราะปล่อยวางเมื่อเจออารมณ์มากระทบจิต +
หากเมื่อไม่มีอารมณ์มากระทบจิต
จิตนี้มีสภาพอย่างไร มีอะไรเป็นที่ตั้งอยู่ หรือไม่มีที่ตั้งอยู่ หรืออย่างไร

เจริญพร…ไม่มีสภาวะใดที่จิตไม่เกิดอารมณ์มากระทบ ไม่ว่าจะดี ร้าย หรือเฉยๆธรรมดาๆก็เป็นอารมณ์ที่เข้ามากระทบทั้งสิ้น

การที่จะไม่ซ้อนรู้นี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะการปล่อยวางเมื่อเจออารมณ์มากระทบจิต +
การปล่อยวางนี้ ปล่อยวางอย่างไร อย่างใดเล่าจึงเรียกว่า ปล่อยวางแล้ว
อธิบายให้ชัด ในทางของท่าน ด้วยนะครับ

วิธีการปล่อยวางอาตมาได้เขียนไว้แล้ว เชิญโยมดูทางเรปบน ส่วนผลของการปล่อยวางแล้วคือ
ไม่มีการซ้อนดู ซ้อนรู้ ไม่มีการเข้าไปทำอะไรกับสภาวะธรรมโดยสิ้นเชิง อยู่นอกเหนือการทำงานของขันธ์ 5 คือมีอารมณ์มากระทบตัวแต่ไม่มีตัวไปรับหรือกระทบอารมณ์ อารมณ์ดี ร้าย สุข ทุกข์ รับรู้ผ่าน วิญญาณขันธ์ แต่อยู่นอกเหนือสภาพการรับรู้ทุกอย่าง จึงเป็นสภาพไร้ สภาพว่างจากตัวตนที่ไปกระทบอารมณ์โดยแท้จริง

รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ไร้ความปรุงแต่ง+
ในทางของท่าน รู้อย่างไร เห็นอย่างไร จึงชื่อว่ารู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น
ตรงนี้ขอชัดๆนะครับ

เมื่อวิญญาณขันธ์รับรู้อารมณ์เข้ามา เมื่อโยมไม่มีตัวคอยรู้หรือซ้อนรู้เสียแล้ว สิ่งที่วิญญาณขันธ์โยมไปรู้ก็ยังคงรู้อยู่แต่ไม่มีคิดต่อยอดจากรู้นั้นและเมื่อวิญญาณขันธ์เก่าดับไปสิ่งที่เรารู้ก็ดับโดยทันทีและเมื่อวิญญาณขันธ์ใหม่รับเข้ามาก็จะมีรู้ใหม่เกิดขึ้นแต่เมื่อไม่ได้สนใจไม่ได้ซ้อนในสิ่งที่วิญญาณขันธ์รู้มา จึงนอกเหนือรู้นอกเหนือเห็น สรุปคือการทำงานของขันธ์ 5 ยังคงมีตามปกติ มีอารมณ์ใจแต่ไม่มีตัวใจไปสนใจหรือรับอารมณ์ ยามเมื่อไม่ได้ใช้งานจึงเสมือนอยู่ในสภาพไร้ตัวไร้ตนในความรู้สึกต่างๆ แต่เมื่อต้องการจะใช้งานหรือทำงานก็จะดำริรู้นั้นมาใช้ได้ และเมื่อใช้เสร็จก็สามารถวางรู้นั้นได้อย่างฉับพลัน เช่นกัน ขอเจริญพร….


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สุทธจิตโต เขียน:
เชิญโยมดูทางเรปบน




บางคนอาจจะไม่รู้จักคำว่า " เรปบน " นะคะ
ตัวผู้เขียนเองเมื่อก่อนก็ไม่รู้จักคำว่าเรปบน ว่าแปลว่าหรือหมายถึงอะไร
พอดีสำนวนนี้เด็กๆวัยรุ่นเขาใช้กัน คบกับวัยรุ่นเลยทำให้รู้จักกับคำแปลกๆ
เพราะพวกท่องอินเตอร์เนตมักจะมีภาษาแปลกๆนำมาใช้กัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2010, 13:40
โพสต์: 38

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นมัสการอาจารย์ทั้งหลาย แหมถูกใจประโยคของพระพุทธเจ้าที่ท่านเจ้าคุณเช่นนั้นโพสต์มากระแทกกลางกระม่อม "พระพุทธองค์แสดงแก่ ท่านอานนท์ เหมือนค่อยๆ ตักน้ำออกจากตุ่ม การใส่ใจในความว่าง ก็จะประจักษ์ขึ้นมา" น้ำทุกข์น้ำสุขมันหมดตุ่ม.. ทุกข์หายเหลือสุข สุขยังไงก็ยังไม่ว่างก็วุ่นวายกับสุขจมสุขอยู่อย่างนั้น ไม่ไปไหน แต่พอตักสุขออกจนหมด มันก็เหลือแต่ตุ่ม..ไม่ทุกข์ไม่สุข...จิตไม่มีภาระ สาธุครับ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:


แล้ว...อะไรน๊อ....ไม่พิสดาร...

nat-nai ตอบหน่อยจิ่... :b20: :b20:

:b13: :b13: :b13:


ไม่มีอะไรจะตอบเลยครับ :b32: :b32:
ถามกะ พระคุณเจ้า จขกท. ละกันนะครับ
ท่านตอบได้กระจ่างชัดดีมากครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ข้อที่พูดว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ เป็นสำนวนพูดให้เกิดความสนใจ นิพพานมีเมื่อจิตว่างจากกิเลส นี่มีหลักมีเกณฑ์ คือเป็นนิพพานตัวอย่าง คำว่า "นิพพาน" ที่เกี่ยวกันอยู่กับจิตนั้นก็คือ จิตนั้นมันว่างจากกิเลส นี้พูดและยืนยันว่า พูด และจะพูดต่อไปว่า นิพพานตัวอย่างมีเมื่อจิตว่างจากกิเลส เป็นความดับแห่งกิเลส นี่เป็นนิพพานถ้าดับชั่วคราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว เรียกว่า ตทังคนิพพาน หรือสมยวิมุตติ นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ขอให้คอยสังเกต เมื่อจิตว่างจากกิเลสโดยเหตุใดๆ ก็ตาม แต่มันยังไม่ใช่นิพพานสมบูรณ์ หรือตลอดกาลหรือนิรันดร นิพพานชั่วขณะ เรียกว่า ตัวอย่างก็ได้ เมื่อใดจิตว่างจากกิเลสน่ะ รีบรู้จักเสียเร็วๆ คอยเฝ้าดูจิตเมื่อไม่ปรุงเป็นกิเลส เป็นจิตเยือกเย็น เป็นนิพพานเพื่อจะได้เป็นตัวอย่าง แล้วจะได้ชอบใจ แล้วจะได้เป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานอันสูงสุด คือ นิพพานเต็มรูปแบบ.
เราสนใจนิพพาน ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันนี้ เพื่อทำให้คนไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไว้เรื่อยๆ จะเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานอันแท้จริงหรือสูงสุด ที่ว่าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นิพพานตัวอย่างนั้นพูดจริง แล้วก็พูดต่อไปอีกด้วย พระนิพพานนี้แปลว่า เย็น เมื่อใดเป็นจิตเย็น เย็นอกเย็นใจละก็เมื่อนั้น เป็นนิพพาน แต่คำวา เย็น คำนี้ ก็พิเศษอีกแหละ กลัวว่า ผู้ถามคนนี้คงฟังไม่ถูก ผู้ถามรู้จักแต่เย็นที่คู่กับร้อน ถ้าร้อนก็ต้องเปิดพัดลม ถ้าเย็นถ้าหนาวก็ต้องห่มผ้า แต่มีความเย็น อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีเมื่อไม่เย็นไม่ร้อน เมื่อไม่เย็นไม่ร้อนชนิดนี้จะเกิดความเย็นชนิดหนึ่งซึ่งเป็นนิพพาน เมื่อไม่รบกวนด้วยความเย็นหรือความร้อนในโลกนี้ มันก็มีความเย็นอย่างโลกุตตระ เป็นนิพพาน ที่ใช้สอนกันในเบื้องต้นว่า เย็นคู่กับร้อน สุขคู่กับทุกข์ สุขที่คู่กับทุกข์ก็ยังเป็นทุกข์เย็นทั้งที่คู่กับร้อนมันก็ยังเป็นทุกข์ ต้องปัดทิ้งไปให้หมดทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งอะไรทุกๆ คู่ จึงจะเป็นนิพพาน, กล่าวว่า จิตเย็นเป็นนิพพาน คือเย็นต่อเมื่อไม่มีทั้งร้อนและทั้งเย็นในความหมายของโลกๆ เอ้า มีอะไรอีก.

คัดบางตอนจากหนังสือดอกโมกข์ ฉบับพิเศษ พุทธทาสวจนา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๙

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติครับ
จากความว่านี้

:b48: เจริญพร…ไม่มีสภาวะใดที่จิตไม่เกิดอารมณ์มากระทบ ไม่ว่าจะดี ร้าย หรือเฉยๆธรรมดาๆก็เป็นอารมณ์ที่เข้ามากระทบทั้งสิ้น
เพราะท่านแยก หมายเอาว่าจิตอันหนึ่ง อารมณ์อันหนึ่ง ดังนี้
ท่านจึงตั้งไว้ด้วย ซึ่งจิตก็อันหนึ่ง อารมณ์ก็อันหนึ่ง

:b48: วิธีการปล่อยวางอาตมาได้เขียนไว้แล้ว เชิญโยมดูทางเรปบน ส่วนผลของการปล่อยวางแล้วคือ
ไม่มีการซ้อนดู ซ้อนรู้ ไม่มีการเข้าไปทำอะไรกับสภาวะธรรมโดยสิ้นเชิง อยู่นอกเหนือการทำงานของขันธ์ 5 คือมีอารมณ์มากระทบตัวแต่ไม่มีตัวไปรับหรือกระทบอารมณ์ อารมณ์ดี ร้าย สุข ทุกข์ รับรู้ผ่าน วิญญาณขันธ์ แต่อยู่นอกเหนือสภาพการรับรู้ทุกอย่าง จึงเป็นสภาพไร้ สภาพว่างจากตัวตนที่ไปกระทบอารมณ์โดยแท้จริง

เพราะตั้งใจหมายเอาว่า การซ้อนดู ซ้อนรู้ เป็นการปรุงแต่ง ดังนี้
เพราะตั้งใจหมายเอาว่า ไม่มีการซ้อนดู ซ้อนรู้ เป็นการไม่ปรุงแต่ง ดังนี้


ท่านจึงกล่าวว่า
อยู่นอกเหนือสภาพการรับรู้ทุกอย่าง จึงเป็นสภาพไร้ สภาพว่างจากตัวตน
ที่ไปกระทบอารมณ์โดยแท้จริง

เพราะท่านแยกมันออกจากกันต่างหาก โดยหมายเอาว่า นี้เป็นอย่างนี้ นั้นเป็นอย่างนั้น
จึงเป็นสภาพว่างที่ตั้งอยู่ต่างหาก จากความเป็นความจริง
จะกล่าวว่า เป็นว่างที่บริสุทธิ์ ได้อย่างไร

:b48: เมื่อวิญญาณขันธ์รับรู้อารมณ์เข้ามา เมื่อโยมไม่มีตัวคอยรู้หรือซ้อนรู้เสียแล้ว สิ่งที่วิญญาณขันธ์โยมไปรู้ก็ยังคงรู้อยู่แต่ไม่มีคิดต่อยอดจากรู้นั้นและเมื่อวิญญาณขันธ์เก่าดับไปสิ่งที่เรารู้ก็ดับโดยทันทีและเมื่อวิญญาณขันธ์ใหม่รับเข้ามาก็จะมีรู้ใหม่เกิดขึ้นแต่เมื่อไม่ได้สนใจไม่ได้ซ้อนในสิ่งที่วิญญาณขันธ์รู้มา จึงนอกเหนือรู้นอกเหนือเห็น สรุปคือการทำงานของขันธ์ 5 ยังคงมีตามปกติ มีอารมณ์ใจแต่ไม่มีตัวใจไปสนใจหรือรับอารมณ์ ยามเมื่อไม่ได้ใช้งานจึงเสมือนอยู่ในสภาพไร้ตัวไร้ตนในความรู้สึกต่างๆ แต่เมื่อต้องการจะใช้งานหรือทำงานก็จะดำริรู้นั้นมาใช้ได้ และเมื่อใช้เสร็จก็สามารถวางรู้นั้นได้อย่างฉับพลัน เช่นกัน ขอเจริญพร…

เพราะตั้งใจหมายเอาว่า เมื่อวิญญาณขันธ์ ก็อันหนึ่ง อารมณ์ก็อันหนึ่ง ดังนี้
เพราะตั้งใจหมายเอาว่า เมื่อไม่ได้สนใจไม่ได้ซ้อน จึงนอกเหนือรู้นอกเหนือเห็น ดังนี้
เพราะตั้งใจหมายเอาว่า อารมณ์ใจก็อันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง
ดังนี้ จึงเกิดการแยก เกิดวิธีการ มีความพึงพอใจเป็นมูล เกิดกระทำทางใจเป็นแดนเกิด
อันเป็นความตั้งอยู่ จะกล่าวว่า เป็นว่างที่บริสุทธิ์ ได้อย่างไร

หากหมายเอาความว่า รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น
ให้เป็นไปเพื่อปล่อยวางในวิถีทาง แนวทางปฏิบัติของท่านที่กล่าวไว้
การปล่อยวางแบบวิถีทางของท่าน คือการซ้อนความไม่รู้ความจริงของสิ่งปรากฏอยู่
ซึ่งอยู่ต่อหน้าต่อท่านนั้นเอง
ลองพิจารณาดูเอาครับ ว่าอะไร

การทิ้งตัวรู้แบบนั้นที่ท่านว่ามา ก็เพราะท่านไปแยกตัวรู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ ให้ขาดออกจากกันต่างหาก
จึงปรากฏสภาพว่างที่ตั้งอยู่ต่างหากจากความจริงที่ปรากฏอยู่
เพราะความไม่รู้ชัดในสิ่งที่ปรากฏอยู่ ธรรมชาติอันละเอียดกว่ามีอยู่ ลองพิจารณาดูครับ

เพราะการการทิ้งตัวรู้ ของท่านในวิถีปฏิบัติของท่านแบบนั้น ทำให้ท่านพลาดจากสภาวะตาม
ความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏอยู่ เพราะความปรุงแต่ง
จึงตั้งใจหมายเอาว่า นี้คือการทิ้งรู้

หมดความปรุงแต่ง จึงเป็นรู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น

ขอบคุณครับ หากมีตรงไหนไม่จริงอย่างไรชี้แจงด้วยครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สุทธจิตโต เขียน:

ถ้ายังเอาจิตคอยตามดูตามรู้อยู่แล้วจะว่างได้อย่างไร จิตก็คือรู้ รู้ก็คือจิต
ทีนี้โยมก็ปล่อยเลยไม่ต้องเอาจิตไปคอยรับรู้อะไร
จะรู้ก็ชั่งมันไม่รู้ก็ชั่งมันกิเลสต่างๆเริ่มไปจากตัวที่ไปรับรู้อารมณ์ทั้งสิ้น



ผมเห็นด้วยกับหลักการของท่าน ในต้นกระทู้
แต่การปฏิบัติที่ท่านว่า กระผมว่ามันแปลก
และตอบคำถามหลายอย่างของผมไม่ได้

การไม่รับรู้อะไร ก็เหมือนเวลานอนหลับ
จิตไม่รับรู้อะไร เราหลับวันละ 8 ชั่วโมง มานานหลายสิบปีกัน
ถ้าการไม่รับรู้อะไรแล้วเป็นการว่างจากตัวตน กระผมว่าเราทุกคนของจะต้องดีขึ้นๆทุกวันๆ
เพราะทุกวันๆเราได้ฝึกว่างจากการรับรู้ตั้งวันละ 8 ชั่วโมงโดยประมาณ

สุทธจิตโต เขียน:
ถ้ายังเอาจิตคอยตามดูตามรู้อยู่แล้วจะว่างได้อย่างไร จิตก็คือรู้ รู้ก็คือจิต
ทีนี้โยมก็ปล่อยเลยไม่ต้องเอาจิตไปคอยรับรู้อะไร จะรู้ก็ชั่งมันไม่รู้ก็ชั่งมัน
กิเลสต่างๆเริ่มไปจากตัวที่ไปรับรู้อารมณ์ทั้งสิ้น


กระผมว่า ที่ท่านว่ามาว่า
" การปล่อยเลยไม่ต้องเอาจิตไปคอยรับรู้อะไร จะรู้ก็ชั่งมันไม่รู้ก็ชั่งมัน"
มันไม่ต่างไปจากการใช้ชีวิตประจำวันปกติของผู้คนและสัตว์ตรงไหนเลย
เพราะทุกวันเราก็รับรู้อะไรบ้าง ไม่รับรู้อะไรบ้าง
เช่นบางทีเรานั่งคุยกันในร้านที่คนเยอะๆ เขาก็พูดกันจอแจ
แต่ทำไมพอเราคุยกับเพื่อนเรา เรากลับไม่สามารถรับรู้เสียงอื่นๆในร้านได้
ทั้งๆที่คลิ่นเสียงก็มาตามอากาศ ไม่ได้หายไปไหน คนอื่นๆเขาก็พูดกันตลอดเวลา

อีกประเด็น ผมสงสัยว่า ถ้าเรากล่าวว่าการไม่รับรู้อะไร ช่วยทำให้คนดีขึ้น
ถ้างั้นคนตาบอด คนหูหนวก จะต้องมีคุณธรรมสูงกว่าคนปกติ
เพราะไม่้มีกิเลสทางตา ไม่มีกิเลสทางหู
สมมุติว่า ถ้าผมมีอำนาจวอเศษณ์ และผมมอบตาให้เขา มอบหูให้เขา
ผมเชื่อว่าเขาก้จะกิเลสเช่นเดียวกับคนทั่วไปในที่สุด

การห้ามการรับรู้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เช่นการห้ามตาไม่ให้เห้นรูป ห้ามหูไม่ให้ได้ยินเสียงนั้น เป็นไปไม่ได้เลย
กระบวนการรับรู้ของเรา มันเกิดขึ้นจากการประจวบกันของเหตุปัจจัยที่พร้อม
ถ้ามีเสียง หูเราปกติ หูเราต้องได้ยิน
แล้วหากเราเป็นปกติดี ขันธ์ทั้งหลายของเราย่อมต้องปรุงแต่งเป็นความรู้ เป้นข้อมูล เป็นอารมณ์ขึ้นมา ธรรมชาติของจิตก็เนื่องด้วยขันธ์อยู่แล้ว ก็ไม่ะ้นที่จะต้องรับรู้ผลผลิตที่เกิดจากการปรุงแต่งของขันะืทั้งหลายของเรา

มีคำพูดประโยคนี้ ที่น่าคิด ที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พูดไว้
มีคนถามท่านว่า "หลวงปู่ยังมีโกรธอยู่ไหม" ท่านบอกว่า "มี แต่ไม่เอา"

คำว่า "มี แต่ไม่เอา" นี่แหละ ที่เป็นความลับที่ไม่ลับ
คือกระบวนการปรุงแต่งย่อมเป็นไปคามปกติของขันธ์ ท่านถึงพูดว่า "มี"

แต่เพราะจิตของท่านมีปัญญาถึง 11 อย่าง (เป้นอย่างน้อย)
ในกรณีนี้ การที่ท่านพูดว่า "แต่ไม่เอา"
ซึ่งมันก้คือผลงานของปัญญาตัวที่ชื่อ " สังขารุเปกขาญาณ"
คือ ปัญญาที่อุเบกขาต่อสังขาร วางเฉยต่อการปรุงแต่ง ท่านจึงพูดว่า "ไม่เอา"

แต่ที่ท่านสุทธิจิตกล่าวมาว่า "กิเลสต่างๆเริ่มไปจากตัวที่ไปรับรู้อารมณ์ทั้งสิ้น"
คล้ายๆท่านจะบอกว่า "ถ้าไม่รับรู้ ย่อมไม่เกิดกิเลส" ซึ่งผมค่อนข้างแปลกใจ
และเชื่อว่า กรณีที่จิตจะไม่รับรู้อะไร ก็มีที่ผมพอนึกออกคือตกภวังค์
อย่างเวลาหลับสนิทที่ไม่ฝัน หรือเป้นเจ้าชายนิทรา ซึ่งจิตไม่อยู่สภาวะของการรับรู้อารมณ์

ถ้าการไม่รับรู้อารมณ์ทำให้หลุดพ้นได้
พวกเจ้าชายนิทรา หรือพวกนอนเก่งๆ และบางทีเทวดาบางชั้นที่จะต้องนิพพานแน่ๆ
เพราะสงบนิ่งอยู่อย่างไร้อารมณ์ ตามตำราว่า บางทีก้บอกว่าสามารถสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นเป้นกัปเป้นกัลย์นะ
ไม่เคยได้ยินว่าสงบแล้ววันหนึ่งหลุดพ้นขึ้นมา


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 30 ก.ย. 2010, 19:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝากโศลกของเว่ยหลาง

เว่ยหลางไม่มีวิธีและเครื่องมือ
ที่จะกั้นเสียจากความนึกคิดทั้งมวล
อารมณ์ต่างๆย่อมกลุ้มรุมจิตของข้าพเจ้าอยู่เสมอ
และข้าพเจ้าสงสัยว่าต้นโพธิ์จะงอกงามได้อย่างไร


ผนวกกับอีกโศลกที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินได้อ่าน

ไม่มีต้นโพธิ์
ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด
เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว
ฝุ่นจะลงจับกับอะไร


ทั้งสองโศลกเป็นการกล่าวถึงการว่างจากตัวตน
หากแต่โศลกบนได้บอกไว้ชัดเจนว่าขันธ์ 5 ก็ทำงานของมันอยู่
ท่านรู้ เห็นการทำงานของมัน แต่ไม่ถือเอาเป็นตัวเป็นตน
รู้ว่าเป็นสมมุติสัจจะ จึงไม่ยึดในสมมุติสัจจะที่เห็นว่าเป็นตัวเป็นตน


แก้ไขล่าสุดโดย Yodyood เมื่อ 30 ก.ย. 2010, 19:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


มันก็น่าฉงนสนเท่ห์อยู่เหมือนกัน

เรื่องที่ว่า โกรธ มี แต่ไม่เอา

กับการที่ไม่โกรธเลย

โกรธ แต่ ทราบแล้วเปลี่ยน

กับอีกแบบคือ ไม่มีโกรธ

อันไหน คือ พระอรหันต์กันแน่

มาดูเรื่อง ผัสสะ และเวทนา

เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)


ผัสสะ แล้วเวทนา ทันที
ผัสสะ แล้วทุกข์ใจ ทันทีถ้าใจมีโทสะ

มันมีช่วงให้ไม่เอา โทสะ หรือไม่

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 20:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญพร.. เพราะไม่เกิดการกระทำใดๆซ้อนจิตซ้อนใจเลยจึงเกิดเป็นสภาพว่างที่บริสุทธิ์ แม้ในเชิงกล่าวอาตมากล่าวว่าทิ้งแต่ในทางปฏิบัติจริงแล้วไม่มีการเข้าไปคอยทิ้งหรือเจริญแต่อย่างใดแต่คือการปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดเองและเป็นเอง แต่ว่าทุกสิ่งอยู่ในอนิจจังซึ่งยึดไม่ติดจับกันไม่อยู่มันทิ้งตัวมันเองตลอดเวลาอาตมาจึงกล่าวว่าทิ้งเพื่อให้เป็นที่ง่ายต่อการเข้าใจ เพราะปล่อยวางจนไม่เหลือความเป็นตัวเป็นตนจึงไม่มี ในตอนอยู่ระหว่างสภาวะขัดเกลานั้นไม่มีการตั้งหมายอะไรทั้งสิ้นเป็นการปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นตามที่มันเป็นทั้งสิ้น แต่ขั้นตอนที่แยกได้คือขั้นหลังจากจิตปล่อยวางจนไม่หลงติดในความเป็นจิตเสียแล้วจึงสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ข้างในได้อย่างชัดเจน เสมือนบุคคลที่อยู่บนพื้นดินไม่สามารถมองสภาพรอบข้างได้กว้างขวางเท่าคนที่มองอยู่ในมุมสูงฉันท์ใดบุคคลที่ไม่ยึดติดในความเป็นจิตเองย่อมมองเห็นจิตได้อย่างกว้างขวางกว่าฉันนั้นความเป็นตัวตนจึงค่อยๆลดลง ถูกอย่างที่โยมกล่าวว่า เมื่อปล่อยตัวรู้จึงพลาดจากการปรุงแต่ง แต่ถ้าไม่ทิ้งรู้
เมื่อวิญญาณ์ขันธ์รับรู้มา โยมเข้าไปซ้อนรู้นั้น เวทนาใหม่เกิด(พอใจ ไม่พอใจ) สัญญาจำได้หมายรู้เกิด สังขารใหม่ปรุงต่อไปก็เกิด กิเลสตัณหาอุปทาน ที่มีอยู่ก็จะขึ้นมาทำงาน
แต่เมื่อโยมไม่ซ้อนรู้
วิญญาณขันธ์รับรู้เข้ามา ไม่มีตัวเจตนาไปซ้อน เวทนาใหม่ไม่เกิด สัญญาใหม่ไม่เกิด นึกคิดปรุงแต่งใหม่ไม่เกิด กิเลสตัณหาอุปทานในปัจจุบันจิตไม่เกิด หากจะมีก็เหลือแต่เชื้อตัณหาอุปทานที่เคยตอกย้ำไว้ เมื่อไม่มีการตอกย้ำเพิ่มย่อยคลายลงเอง ตัวตนอันเกิดจากตัณหาอุปทานก็คลายลง
ขันธ์5นั้นมีทั้งส่วนที่เป็นเหตุ และส่วนที่เป็นผล ขันธ์ 5 ในส่วนที่เป็นเหตุจะทำงานผ่านวิญญาณขันธ์ของส่วนเหตุ แต่เมื่อขันธ์5 ในส่วนที่เป็นเหตุทำงานแต่ไม่มีขันธ์5ในส่วนที่เป็นผลเสียแล้วอันเนื่องจากการปล่อยวางไม่ซ้อนสภาวะธรรมให้ทุกอย่างดำเนินไปตามที่มันเป็นเสียแล้ว ความเห็นความหมาย นึกคิดปรุงแต่งอันเป็นเหตุเกิดตัวตนย่อมไม่มี
สรุปคือการทำงานขันธ์5ส่วนเหตุยังคงมีอยู่ทุกอย่างแต่ไม่มีตัวขันธ์ 5 ที่เป็นตัวเจตนากรรมอันเป็นเหตุสร้างตัวสร้าง ขึ้นมาทำงาน

หมายเหตุ### สุดท้ายนี้อาตมาขอจบการตอบกระทู้แต่เพียงเท่านี้ เพราะแรกหมายว่าจะแนะนำวิธีการปฏิบัติอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ แต่นานเข้ามีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วย เพื่อเป็นการป้องกันกรรมที่จะเกิดแก่ทุกฝ่าย อาตมาจึงขอยุติการตอบกระทู้นี้แต่เพียงเท่านี้
ในความเห็นของอาตมา สัจธรรมมีอยู่อย่างเดียวหมายถึงความไม่ยึดติด ความปราศจากตัวตนสิ่งปรุงแต่งใดๆ แต่วิธีการเข้าถึงความไม่ยึดติดนั้นมีหลายทางจึงไม่ควรกล่าวหาวิธีใดผิดหรือถูกก่อนจะได้ศึกษาจนรู้ถ่องแท้
สุดท้ายนี้ หากสิ่งที่อาตมาเขียนไว้ ได้ทำให้โยมพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้าง จะด้วยเจตนาอย่างไรก็ตาม อาตมาขออโหสิกรรมแก่บรรดาโยมที่อ่านด้วยเถิด ส่วนกรรมใดอันเกิดจากโยมที่เข้ามาอ่านทุกท่านอาตมายกโทษ อโหสิกรรมให้ สาธุๆๆ เจริญพร…


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมก็เช่นกันครับ :b8:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


แก้ไขล่าสุดโดย ผงธุลีดิน เมื่อ 30 ก.ย. 2010, 20:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร