วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 00:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงท่าน ไม่มีอะไร และท่านผู้รู้ทุกๆท่านคะ :b8:

วันนี้ได้อ่านของทุกๆท่านอีกครั้ง ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นคะ ขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้มาเขียนข้อธรรมต่างๆให้ดิฉันได้สำรวจตรวจตราตัวเอง และได้สำรวจใจตัวเอง ได้ดูได้พิจารณาว่าเป็นไปตามเกณฑ์ข้อธรรมต่างๆบ้างหรือไม่ อ่านแล้วก็เข้าใจได้มากขึ้น ดิฉันนั่งอ่านในข้อธรรมของท่านผู้รู้ทุกๆท่านที่ได้มาแลกเปลี่ยนในกระทู้นี้ไป 2 รอบ ก็ค่อยๆเก็บรายละเอียดเปรียบเทียบกับตัวเองไปเรื่อยๆคะ ทุกๆข้อความที่ได้เขียนมาในกระทู้นี้ได้ผ่านตาดิฉันทุกตัวอักษรเพื่อเปรียบเทียบตัวเองกับสิ่งที่ทุกๆท่านได้เขียนแลกเปลี่ยนความรู้กันในนี้ กราบขอบพระคุณทุกๆท่านนะคะ :b8:

สำหรับข้อธรรมของท่านไม่มีอะไร

วันนี้รอจนกว่าตัวเองจะพร้อมที่จะอ่าน เพราะการอ่านนั้นต้องใช้สติในการดูทุกตัวอักษรจะอ่านผ่านๆคร่าวๆไม่ได้เลย ทุกตัวอักษร บางครั้งต้องอ่านซ้ำๆหลายๆรอบถึงจะเข้าใจได้ดี แต่บางครั้งก็เข้าใจได้ไม่หมดค่ะ เพราะใจมันเฉย อ่านไปก็เข้าแต่ทำไมมันไม่ซึมซับก็ไม่รุ้ อยู่ๆก็เป็นแก้วที่มีน้ำเต็มแก้วซะงั้น..ในความรุ้สึกแล้วมันไม่ดีเลยที่เป็นอย่างนี้...แต่จะให้ทำไงได้คะ ก็เมื่อจิตมันเป็นอย่างนั้น ว่างๆ ช่างมัน เหมือนไม่สนใจอะไร อ่านแล้วก็ผ่านไป

แต่ก่อนต้องตรองต้องพิจารณาให้แจ้งแก่ใจ คราวนี้กลับเป็นตรงข้าม อ่านทุกตัวอักษร มันผ่านตา แต่มันก็ผ่านใจไปด้วย บอกไม่ถูก ทำไงมันเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้ เหมือนมันไม่อิน ดูได้อ่านได้แต่ไม่อิน แต่เมื่อมันเป็นแบบนั้น ก็ช่างมัน ทำไม กลายเป็นเหมือนคนไม่ยี่ระกับอะไร ไม่อินกับอะไร บอกไม่ถูก....ยังไม่รู้เลยว่า ที่เป็นอยู่มันถูกหรือมันผิด แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นไปก่อน ไม่ได้กังวลอะไรว่าจะหลงไหมหรือไม่หลง ช่างมัน เมื่อจิตเป็นแบบนี้ก็ปล่อยมันไป บอกไม่ถูกคะ

ตั้งแต่บอกว่าโยนทุกอย่างทิ้งไปแล้วนั้น มันก็ทิ้งจริงๆ...ลึกๆมันรำคาญนะคะ อะไรยุ่งยากนักหนา ปวดหัวก็ปวดตอนนั้นคิดอย่างนี้ เมื่อมันยุ่งยากนัก ก็เลยโยนมันทิ้งไป...ตั้งแต่นั้นมันเป็นมาตลอดเลย อะไรก็ช่างมัน ทิ้งมันไป คือมันไม่ติดในใจ ไม่มีอะไรติดใจ ขนาดอ่านและตั้งใจอ่านมันก็ยังไม่ติดในใจเลย...มันเป็นอย่างนี้นะคะ แต่ขอถามเพื่อความเข้าใจได้ไหมคะ ว่าดิฉันเข้าใจได้ถูกไหม

ถามค่ะ

อ้างคำพูด:
ก็ทุกอย่างมันอนัตตาอยู่แล้ว ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว ไม่มีตัวให้ยึดได้
แล้วเหตุไฉนจึงยังหลงสร้างอัตตาตัวตนเข้าไปปฏิบัติกับธาตุขันธ์อีก
ก็ไม่ต้องหลงมีเราอีก มันก็ตรงต่ออนัตตาอยู่เองแล้ว ไร้ตัวตนอยู่แล้ว


ดิฉันขออนุญาติถามเพื่อความเข้าใจว่าดิฉันเข้าใจได้ถูกต้องไหมนะคะ :b8:

คำว่า "ไร้ตัวตน" นั้น หมายความว่า ไม่ว่าขันธ์อะไรเกิดขึ้นนั้น มันจะแสดงของมันเอง เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์โดยที่ไม่มีความรุ้สึกของเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย(ดิฉันเข้าใจถูกไหมคะ)

เปรียบเทียบให้ดูนะคะ เพื่อให้เข้าใจได้ตรงกัน

เหมือนว่า เราเห็นคนไม่รู้จักแสดง เมื่อเราเห็นเราก็ดูแล้วก็ผ่านไป แล้วมันก็ไม่สนใจ คือเห็นก็เห็น รู้ก็รู้ แลัวก็ไม่สนใจ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจดีนะคะ (พยายามอธิบายดีที่สุดก็ได้แค่นี้) :b14: ...เหมือนเราดูหนังแต่ไม่อินกับเรื่องที่เค้าแสดง..พอมีให้ดูก็ดู พอมันจบก็จบ (อธิบายได้ยากจริง :b14: )...คือ ร่างกายมันคิดก็รู้ว่ามันคิด ดูมันคิดจนเสร็จแล้วก็จบกัน ... ดิฉันยังไม่เก่งเลย แค่เห็นว่าร่างกายมันคิด ก็คิดไป พอดูมันไปจนคิดจบ ก็รู้สึกในใจขึ้นมาว่า ก็งั้นๆ มันก็แค่นั้นเท่านั้นเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดหรือรู้สึกในร่างกายก็จะรู้สึกว่า มันก็แค่นั้น ...มันเป็นอย่างนี้..แต่มันเหมือนไม่สนใจนะคะ จะเล่ายังไงดี :b5: ..ช่างมันเถอะ :b5: เล่าได้ยากก็ช่างมัน โยนมันทิ้งซะ..(เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้นะคะ คือไม่สนใจ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 22:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


การช่างมันนี้ หลายท่านมองว่ามันง่าย สบาย ทั้งที่ความเป็นจริงนั้น
ไม่ได้เป็นตามที่ท่านมองเลย ยิ่งผู้ที่สร้างตัววนไว้มาก
ยิ่งเป็นสิ่งที่ช่างมันแล้ว แต่ใจไม่ช่างด้วย ยังจะกลับไปวนในเรื่องเดิม ๆ
เพราะเหตุปัจจัยสร้างมามาก ตัวหลงก็ยังอยู่ มันก็พาวนมาก
หากจะรู้ว่ามันสบายจริงไหม ก็ลองช่างมันดู ลองพิสูจน์ดู
ว่ามันง่าย สบายจริงไหม เอาง่าย ๆ แค่หลับตาลง แล้วช่างมันดู
พอเลิกเกาะกับสิ่งต่างๆ ได้แล้วค่อยลืมตา
ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้ในชีวิตประจำวัน

จากเดิมที่มันเกาะอยู่ภายนอก มันก็วิ่งเกาะภายในทันที
พอช่างความรู้สึกนั้น มันก็ไปเกาะความรู้นึกโน้น
พอช่างความสึกโน่น มันก็มาเกาะความรู้สึกนี้อีก
หรือไม่ก็หนีไปแช่นิ่งอยู่กับอะไรสักอย่าง ไม่ไปไหน และก็ไม่ปล่อยด้วย
วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ เมื่อเราสอนให้มันเกาะอะไรไว้
มันก็จะไปเกาะสิ่งเหล่านั้นตามที่เราสอนไว้
นั่นแหละอัตตาตัวตนที่หากันอยู่ นั่นแหละ ตัวหลง ที่หลงเข้าไปรู้ ไปเกาะ

ทีนี้เมื่อเวลาจะตายมันก็จะเป็นอย่างนี้เช่นกัน
มันก็จะไปวนกับสิ่งที่เราได้สร้างไว้ สอนมันไว้
เมื่อดับลม ไปเกาะในสิ่งไหน มันก็ไปตามสิ่งนั้น
เพราะสิ่งที่ไปเกาะอยู่นั้นก็คือภพชาติ คือวังวน
จึงมีภพภูมรองรับไว้แล้ว ก็ไปจุติในภพภูมิตามที่ได้เกาะไว้


แล้วจะทราบว่า ที่ผ่านมาที่บอกว่าตัวเอง ปล่อยแล้ว วางแล้ว
มันวางจริงหรือเปล่า หรือคิดไปเอง เข้าทางทิฐิมานะของตนเอง
แล้วมันง่ายและสบายอย่างที่คิดไว้ไหม

เพราะถ้าช่างมันจริงแล้ว มันจะไม่เกาะอะไรทั้งนั้น
จะหลับตาหรือลืมตาก็ไม่เกาะ
แม้แต่สติก็ไม่หลงมีเราไปเกาะ แต่เป็นมหาสติ ที่เป็นของมันเอง
ด้วยเหตุแห่งการปล่อยนั่นแหละ เมื่อปล่อยไป ปล่อยไป มหาสติก็เกิดมาเอง
เพราะสติไม่ไปค้างที่สิ่งที่เราเกาะอยู่ มันก็พร้อม ไร้เราเข้าไปควบคุม

ส่วนเรื่องอรูปพรหมนั้น เป็นการหลงเข้าไปติด แช่อยู่ในความนิ่ง
ตัดการรับรู้ในส่วนอื่น ๆ ทิ้งหมด หนีทุกข์
เหลือแต่ตัวรู้ล้วน ๆ ที่ไม่ไปรับรู้อะไรอีก
หนีการรับรู้กับสิ่งต่าง ๆ คือเป็นการบล็อกการรับรู้ทั้งหมดให้เป็นศูนย์
เป็นการสร้างกำแพงปิดกั้นสัมผัสทั้งหลาย
เป็นการหลงเข้าใจผิด ทิฐิไม่ตรงตามความจริงของธรรม

แต่การช่างมันนั้น ดูเหมือนว่าไม่รับรู้ ไม่สนใจ แต่จริง ๆ ไม่ใช่
มันเป็นการตัดตัวหลง ที่มีเราหลงค้างในรู้ เมื่อไร้ตัวหลง มันก็ไร้เรา
รู้นั้นจะไม่ค้าง มันก็ฉับไว้ รู้ไปมา แบบผ่าน ๆ แล้ว ๆ ไป
ไม่ติด ไม่ยึดในการรู้นั้น กลายเป็นสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น
ไร้ความหมาย ไม่ติดยึดในการรู้การเห็น

ไม่ได้มีการไปปิดกั้นสัมผัสใด ๆ ไม่ได้ไปบังคับบีบคั้นหรือทำลายธาตุใดขันธ์ใด
ทุกธาตุขันธ์ปล่อยให้เป็นอัตโนมัติตามธรรมชาติของมันเอง เกิดและดับของมันเอง
รับการกระทบตามเหตุและปัจจัยที่มีอยู่ ในทุกอิริยบถการเคลื่อนไหว
ในชีวิตประจำวันอย่างปกติ ไม่มีไปสร้างพฤติกรรมใหม่ ๆ ให้เป็นจริตนิสัยอีก

สิ่งใดควรสงเคราะห์ สิ่งใดควรปล่อย มันรู้ของมันเอง
ไม่ใช่ว่ากายธาตุไม่สบายก็ช่าง ไม่สน ไม่ใช่
มันจะกรองเองว่าควรหาหมอหรือปล่อย พฤติกรรมทั้งหลายที่เป็นส่วนเกิน
ของชีวิตที่หลงสร้างๆ กันไว้ มันก็ปล่อยและเลิกของมันเอง
ยามที่ไม่ได้ใช้ธาตุขันธ์สงเคราะห์สิ่งใดใด มันก็ปล่อยธาตุขันธ์ตามธรรมชาติ
มันจึงใช้พลังน้อยลง เพราะไม่ต้องหลงแบกโมหะ ตัณหา และอุปาทาน ให้หนัก
ให้ต้องทำโน่น ทำนี่อยู่ตลอดเวลา มันก็กินน้อยลงของมันเอง ไม่ต้องไปอด
มันเลิกกินในส่วนเกินทั้งหลายไปเอง

ยามสงเคราะห์ มันก็สงเคราะห์แบบหยิบธาตุขันธ์ขึ้นมาใช้ตามที่มันพอใช้
ไม่หลงใช้ ใช้เกิน ไม่มีกิเลสไปกดทับในการใช้ให้เป็นภาระหนักอีก
จึงใช้ได้อย่างเต็มที เต็มความสามารถของธาตุขันธ์
ใช้เสร็จก็แล้ว ๆ ไป ไม่ติดในการใช้นั้น

เป็นรู้ที่อัตโนมัติในการใช้ ไม่แข็งนิ่งเป็นตอไม้ที่ทำอะไรไม่ได้
หรือเชื่องช้าเหมือนหุ่นยนต์
แต่เป็นรู้ที่ไร้กิเลสครอบ พร้อมใช้ โดยไร้เราไปหลงรู้กับอะไร
เป็นตัวรู้ที่เป็นธรรมชาติของมันเองอย่างนั้น ไร้มายา ไร้ตัวไร้ตน
แล้วจะเป็นอรูปพรหมได้อย่างไร มันคนละเนื้อหากัน

แต่บางคนที่หลงเข้าใจผิด คิดว่าเหตุแห่งทุกข์คือ ขันธ์ คืออายตนะ
ก็ไปทำลายมันเสีย หรือบังคับเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน
เพื่อจะได้ไม่เกิดทุกข์อีก ซึ่งก็เป็นการหลงเข้าใจผิดอีก
ขันธ์หรืออายตนะนี้ ไม่ใช่เหตุของทุกข์ แต่ความหลงต่างหากที่เป็นเหตุ
หลงมีเราแล้วหลงเอาเราเข้าไปยึด แล้วไม่ได้เป็นไปตามที่ยึด มันจึงทุกข์
ขันธ์ทุกขันธ์มันก็เป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ตามเหตุและปัจจัยของมัน เหมือนทุกสิ่งในธรรมชาตินี้ ไม่ได้ต่างกันเลย

เหมือนต้นไมและสัตว์ป่าทั้งหลายที่อยู่ในป่าใหญ่ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น
จะมีอะไรเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ หรือดับไป มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น
จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แต่พอมนุษย์ที่เต็มไปด้วยโมหะเข้าไป
ไปเสริมไปแต่ง ไปทำลาย จนป่าไม่เป็นป่า กลายเป็นสวน เป็นบ้าน เป็นหนทาง

ส่วนไม้ป่าก็กลายเป็นไม้ประดับ ไม้เลี้ยง หรือวัตถุดิบ
ไปแปรสภาพเป็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ ตามที่เราให้เป็น
จนสูญเสียความเป็นเดิมแท้ของมัน
สัตว์ทั้งหลายก็ไม่เป็นสัตว์ป่า แต่เป็นสัตว์เลี้ยงไปเสีย
สอนให้มันเป็นดั่งที่เราอยากให้เป็น อยู่อย่างที่เราอยากให้อยู่
จนสูญเสียความเป็นเดิมแท้ของมัน แล้วความจริงของธรรมชาติมันใช่อย่างนี้หรือ
ใช่ที่จะต้องเข้าไปทำอะไรกับธรรมชาติเดิมแท้อีกหรือ

ขันธ์นี้ก็เช่นกัน เมื่อไม่ปล่อยให้มันเป็นตามความจริงของมันเอง
แล้วหลงเอาเราเข้าไปฝึกไปทำมัน ก็เท่ากับไปสร้างจริตนิสัยให้กับมัน
จนลืมความเป็นจริงของธรรมชาติขันธ์เอง ที่มันไม่ยึด ไม่ติดในตัวเองอยู่แล้ว
ที่มันอนิจจังในตัวมันเองอยู่แล้ว อนัตตาอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว
ทุกอย่างแค่สมมุติ แต่กลับไปหลงในสมมุติเสียเอง
ทุกอย่างแค่ชั่วคราว แต่กลับไปหลงในสิ่งชั่วคราวทั้งหลาย
ให้เป็นตุเป็นตะ เป็นตัวเป็นตน

เมื่อไปฝึกให้มันหลงทำ หลงค้น หลงหา ในอจินไตยของฌาน ของกรรม ของโลก
หรือแม้แต่ไปค้นในเรื่องของพุทธองค์ท่าน
ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ค้นหาไม่หมด รู้ไม่หมด ไม่สิ้น
ทั้งที่การรู้นั้นก็เพียงแค่รู้ใน ที่มาที่ไป แห่งเหตุปัจจัยที่จะตัดกิเลสก็พอ
ไม่ได้หมายให้ไปรู้เสียทั้งหมด จนกลายเป็นตัณหาในรู้ ตัณหาในปัญญา

เมื่อหลงเข้าไปทำ ย่อมเกิดผล มีเหตุย่อมมีปัจจัย เป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อผลปรากฎแล้วพอใจ ก็ยิ่งมีกำลังใจในการทำต่อไป มันจึงทำไม่เลิก
ยิ่งฝึกก็ยิ่งอัตโนมัติมากขึ้น จึงหลงเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นอัตโนมัติของธรรมชาติ
แต่จริงๆ แล้วมันแค่ของเลียนแบบ เป็นแค่เงา แต่ไม่ใช่ของจริง
หรือแม้แต่ทำแล้วไม่เกิดผล แต่ด้วยความหลง ก็ยังหลงคิดว่า
ทำไม่พอ ทำไม่ถูก ต้องค้นหาต่อไป ทำต่อไปให้สำเร็จ มันก็หลงวนกลับไปทำต่ออีก
ก็วนอยู่ในการทำกายทำจิตอยู่เช่นนั้น เมื่อทำไปทุกภพทุกชาตินานเข้า ๆ เข้า
ก็กลายเป็นว่าการทำกายทำจิต เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว การยึดเป็นเรื่องปกติแล้ว
จนหลงเป็นทิฐิมานะที่เหนียวแน่กับการยึดติดในธาตุขันธ์นี้

เหมือนการกำหนดสติที่เราฝึก ๆ กันอยู่ ว่าต้องฝึกให้มีสติมาก ๆ จะได้รู้เท่าทันกิเลส
แล้วการมีสติต้องไปฝึกอย่างนั้นจริงหรือ ทำไมเราจึงไม่มีสติ หรือขาดสติ สติหายไปไหน
ก็หายไปค้างอยู่กับผัสสะเก่าที่ไม่ยอมปล่อยให้มันอนิจจัง ไม่ยอมแล้ว ๆ ไป
เจออะไรเข้าก็หลงเข้าไปค้าง แช่ จมอยู่กับสิ่งนั้น รู้ในสิ่งนั้น ไม่ปล่อย
สติมันก็ค้าง รู้ก็ค้าง อยู่กับสิ่งนั้น พอผัสสะใหม่เกิดขึ้นก็หาว่าไม่มีสติ
ทั้ง ๆ ที่สติก็ยังอยู่กับผัสสะเก่า หรือผัสสะไหนสักอันที่มันหลงค้างอยู่
ที่ไม่ยอมปล่อยนั้น ก็ปล่อยสิ ช่างมันสิ ปล่อยให้ผัสสะเก่าที่มันผ่านไปแล้ว
ให้ผ่านไปตามธรรมชาติของมัน สติมันก็มีของมันเอง

แล้วไม่ต้องไปสร้างความตึงความเครียดให้ขันธ์อีกด้วย
ที่ต้องคอยมีสติให้ทัน ไม่ทัน ก็ช่างมันในรู้ที่หลงค้างนั้น มันก็ตัดหลงรู้ให้ ก็เลิกค้าง
สติมันก็ทันของมันเอง ปล่อยให้รู้ของธรรมชาติรู้ของมันเอง แล้วมันจะไม่หลง
ไม่ค้าง เป็นมหาสติของมันเอง แล้วมันจะเห็นชัดในธรรมและกิเลสของมันเอง
กลั่นกรองธรรมไปของมันเอง วางเอง จนไม่ต้องไปช่างมันอีก มันจะเลิกหลงไปเอง
เป็นธรรมโดยธรรมของมันเอง

การไม่แจ้งธรรมนั้น ไม่ใช่เพราะมีปัญญาไม่พอ
การแจ้งธรรมนั้น ไม่ได้แจ้งโดยการคิด หรือนึกไปเอง
แต่เป็นการแจ้งที่นอกเหนือขันธ์ เป็นของมันเอง ไม่มีเราเข้าไปแจ้งในธรรม
แต่หมายถึงนอกเหนือเรา ไร้เราในการแจ้งธรรม
แต่ด้วยเหตุแห่งการหลงยึดในทิฐิมานะที่เหนียวแน่อยู่กับขันธ์
จึงไม่อาจแจ้งธรรมแบบฉับพลัน มันจึงคลายไม่ออก วางไม่ได้

จึงได้นำความเป็นจริงของธาตุของขันธ์ ของธรรมชาตินี้ บอกกล่าว
ส่วนจะเห็น หรือ ไม่เห็น ก็แล้วแต่กรรมของแต่ละบุคคล
การหยิบเอาคำว่า ช่างมัน มาใช้ให้ตรงตามสมัย ด้วยเหตุว่าเข้าใจง่าย
ส่วนที่มาที่ไปและเนื้อแท้ของ คำว่า ช่างมัน นั้น มีลงไว้ค่อนข้างมากแล้ว

ค่อย ๆอ่าน ลองวางทิฐิเดิมลงก่อน เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่หายไปไหน
อ่านเสร็จแล้วค่อยกลับไปแบกมันก็ยังอยู่ อย่าด่วนตัดสินใจว่าไม่ใช่
และก็อย่าด่วนตัดสินใจว่าใช่ ค่อย ๆ อ่าน ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องตั้งใจมาก พอดี ๆ

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีรีบ และเชื่องช้า เพราะมันอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ในทุกขณะเวลาที่ดำรงชีวิตอยู่ ก้าวตามทุกเวลาที่ผ่านไป ถ้าจะช้าก็โมหะพาช้า
หลงค้างหลงแช่ ถ้าจะเร็วก็เพราะตัณหาพาเร็ว อยากโน่นอยากนี่
อย่าให้ทิฐิมานะนั้นมาบัง
จะไม่เห็นเนื้อหาที่แท้จริงในสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้

ไม่ได้บอกว่าการปฏิบัติ หรือการเจริญธาตุขันธ์นั้นผิด
การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ถูกไม่ผิด อย่างไงก็ถึง จะช้าหรือเร็ว หรือเมื่อไหร่ไม่รู้
เมื่อไม่ตรงมันก็อ้อม ส่วนจะอ้อมมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่บุคคล
การแจ้งธรรมอย่างฉับพลันอย่างในสมัยพุทธกาล ในสมัยนี้เหมือนจะไม่มี
เพราะเป็นกรรมของคนรุ่นหลังอย่างเรา ๆ ที่วิบากมันมากจึงหลงวนมาก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเลย ให้ตรงตามมันก็จะแจ้งตามไปเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นเรื่องแปลก แต่จริง อยู่อย่างหนึ่ง

เวลา มีความเป็น เรา ที่มีอยู่ มองไม่เห็น

เวลา มีความเป็น เขา กลับมองเห็น

ยิ่งพูดยืดยาวมากเท่าไหร่ ถ้อยคำมักจะย้อนกลับไปหาผู้พูด บ่งบอกถึง สิ่งที่ผู้พูด ยังติดยังข้องอยู่ แต่มองไม่เห็น เพราะมองแต่นอกตัว มองสิ่งที่ยังอยากมอง

ใครจะข้องจะขัด จะเป็นอะไรยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน ใครจะค้นหาอะไร ยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน

วลัยพร ก็ยังมีกิเลสนะ ฉะนั้น เป็นเรื่องชิวๆ ยอมรับแบบสบายๆ

ผิดกับที่คิดว่า ไม่มีอะไร ทั้งๆที่มีนี่สิ เอาเป็นว่า เหตุมี ผลย่อมมี

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


[quoteฮือ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 21 ส.ค. 2012, 23:29, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 23:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เป็นเรื่องแปลก แต่จริง อยู่อย่างหนึ่ง

เวลา มีความเป็น เรา ที่มีอยู่ มองไม่เห็น

เวลา มีความเป็น เขา กลับมองเห็น

ยิ่งพูดยืดยาวมากเท่าไหร่ ถ้อยคำมักจะย้อนกลับไปหาผู้พูด บ่งบอกถึง สิ่งที่ผู้พูด ยังติดยังข้องอยู่ แต่มองไม่เห็น เพราะมองแต่นอกตัว มองสิ่งที่ยังอยากมอง

ใครจะข้องจะขัด จะเป็นอะไรยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน ใครจะค้นหาอะไร ยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน

วลัยพร ก็ยังมีกิเลสนะ ฉะนั้น เป็นเรื่องชิวๆ ยอมรับแบบสบายๆ

ผิดกับที่คิดว่า ไม่มีอะไร ทั้งๆที่มีนี่สิ เอาเป็นว่า เหตุมี ผลย่อมมี
ป้าเป็นอะไรไปเหรอ เป็นอาจารย์ให้ยังไม่รู้อีก แย่หน่อยเดียว onion

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
การช่างมันนี้ หลายท่านมองว่ามันง่าย สบาย ทั้งที่ความเป็นจริงนั้น
ไม่ได้เป็นตามที่ท่านมองเลย ยิ่งผู้ที่สร้างตัววนไว้มาก
ยิ่งเป็นสิ่งที่ช่างมันแล้ว แต่ใจไม่ช่างด้วย ยังจะกลับไปวนในเรื่องเดิม ๆ
เพราะเหตุปัจจัยสร้างมามาก ตัวหลงก็ยังอยู่ มันก็พาวนมาก
หากจะรู้ว่ามันสบายจริงไหม ก็ลองช่างมันดู ลองพิสูจน์ดู
ว่ามันง่าย สบายจริงไหม เอาง่าย ๆ แค่หลับตาลง แล้วช่างมันดู
พอเลิกเกาะกับสิ่งต่างๆ ได้แล้วค่อยลืมตา
ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้ในชีวิตประจำวัน

จากเดิมที่มันเกาะอยู่ภายนอก มันก็วิ่งเกาะภายในทันที
พอช่างความรู้สึกนั้น มันก็ไปเกาะความรู้นึกโน้น
พอช่างความสึกโน่น มันก็มาเกาะความรู้สึกนี้อีก
หรือไม่ก็หนีไปแช่นิ่งอยู่กับอะไรสักอย่าง ไม่ไปไหน และก็ไม่ปล่อยด้วย
วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ เมื่อเราสอนให้มันเกาะอะไรไว้
มันก็จะไปเกาะสิ่งเหล่านั้นตามที่เราสอนไว้
นั่นแหละอัตตาตัวตนที่หากันอยู่ นั่นแหละ ตัวหลง ที่หลงเข้าไปรู้ ไปเกาะ

ทีนี้เมื่อเวลาจะตายมันก็จะเป็นอย่างนี้เช่นกัน
มันก็จะไปวนกับสิ่งที่เราได้สร้างไว้ สอนมันไว้
เมื่อดับลม ไปเกาะในสิ่งไหน มันก็ไปตามสิ่งนั้น
เพราะสิ่งที่ไปเกาะอยู่นั้นก็คือภพชาติ คือวังวน
จึงมีภพภูมรองรับไว้แล้ว ก็ไปจุติในภพภูมิตามที่ได้เกาะไว้


แล้วจะทราบว่า ที่ผ่านมาที่บอกว่าตัวเอง ปล่อยแล้ว วางแล้ว
มันวางจริงหรือเปล่า หรือคิดไปเอง เข้าทางทิฐิมานะของตนเอง
แล้วมันง่ายและสบายอย่างที่คิดไว้ไหม

เพราะถ้าช่างมันจริงแล้ว มันจะไม่เกาะอะไรทั้งนั้น
จะหลับตาหรือลืมตาก็ไม่เกาะ
แม้แต่สติก็ไม่หลงมีเราไปเกาะ แต่เป็นมหาสติ ที่เป็นของมันเอง
ด้วยเหตุแห่งการปล่อยนั่นแหละ เมื่อปล่อยไป ปล่อยไป มหาสติก็เกิดมาเอง
เพราะสติไม่ไปค้างที่สิ่งที่เราเกาะอยู่ มันก็พร้อม ไร้เราเข้าไปควบคุม

ส่วนเรื่องอรูปพรหมนั้น เป็นการหลงเข้าไปติด แช่อยู่ในความนิ่ง
ตัดการรับรู้ในส่วนอื่น ๆ ทิ้งหมด หนีทุกข์
เหลือแต่ตัวรู้ล้วน ๆ ที่ไม่ไปรับรู้อะไรอีก
หนีการรับรู้กับสิ่งต่าง ๆ คือเป็นการบล็อกการรับรู้ทั้งหมดให้เป็นศูนย์
เป็นการสร้างกำแพงปิดกั้นสัมผัสทั้งหลาย
เป็นการหลงเข้าใจผิด ทิฐิไม่ตรงตามความจริงของธรรม

แต่การช่างมันนั้น ดูเหมือนว่าไม่รับรู้ ไม่สนใจ แต่จริง ๆ ไม่ใช่
มันเป็นการตัดตัวหลง ที่มีเราหลงค้างในรู้ เมื่อไร้ตัวหลง มันก็ไร้เรา
รู้นั้นจะไม่ค้าง มันก็ฉับไว้ รู้ไปมา แบบผ่าน ๆ แล้ว ๆ ไป
ไม่ติด ไม่ยึดในการรู้นั้น กลายเป็นสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น
ไร้ความหมาย ไม่ติดยึดในการรู้การเห็น

ไม่ได้มีการไปปิดกั้นสัมผัสใด ๆ ไม่ได้ไปบังคับบีบคั้นหรือทำลายธาตุใดขันธ์ใด
ทุกธาตุขันธ์ปล่อยให้เป็นอัตโนมัติตามธรรมชาติของมันเอง เกิดและดับของมันเอง
รับการกระทบตามเหตุและปัจจัยที่มีอยู่ ในทุกอิริยบถการเคลื่อนไหว
ในชีวิตประจำวันอย่างปกติ ไม่มีไปสร้างพฤติกรรมใหม่ ๆ ให้เป็นจริตนิสัยอีก

สิ่งใดควรสงเคราะห์ สิ่งใดควรปล่อย มันรู้ของมันเอง
ไม่ใช่ว่ากายธาตุไม่สบายก็ช่าง ไม่สน ไม่ใช่
มันจะกรองเองว่าควรหาหมอหรือปล่อย พฤติกรรมทั้งหลายที่เป็นส่วนเกิน
ของชีวิตที่หลงสร้างๆ กันไว้ มันก็ปล่อยและเลิกของมันเอง
ยามที่ไม่ได้ใช้ธาตุขันธ์สงเคราะห์สิ่งใดใด มันก็ปล่อยธาตุขันธ์ตามธรรมชาติ
มันจึงใช้พลังน้อยลง เพราะไม่ต้องหลงแบกโมหะ ตัณหา และอุปาทาน ให้หนัก
ให้ต้องทำโน่น ทำนี่อยู่ตลอดเวลา มันก็กินน้อยลงของมันเอง ไม่ต้องไปอด
มันเลิกกินในส่วนเกินทั้งหลายไปเอง

ยามสงเคราะห์ มันก็สงเคราะห์แบบหยิบธาตุขันธ์ขึ้นมาใช้ตามที่มันพอใช้
ไม่หลงใช้ ใช้เกิน ไม่มีกิเลสไปกดทับในการใช้ให้เป็นภาระหนักอีก
จึงใช้ได้อย่างเต็มที เต็มความสามารถของธาตุขันธ์
ใช้เสร็จก็แล้ว ๆ ไป ไม่ติดในการใช้นั้น

เป็นรู้ที่อัตโนมัติในการใช้ ไม่แข็งนิ่งเป็นตอไม้ที่ทำอะไรไม่ได้
หรือเชื่องช้าเหมือนหุ่นยนต์
แต่เป็นรู้ที่ไร้กิเลสครอบ พร้อมใช้ โดยไร้เราไปหลงรู้กับอะไร
เป็นตัวรู้ที่เป็นธรรมชาติของมันเองอย่างนั้น ไร้มายา ไร้ตัวไร้ตน
แล้วจะเป็นอรูปพรหมได้อย่างไร มันคนละเนื้อหากัน

แต่บางคนที่หลงเข้าใจผิด คิดว่าเหตุแห่งทุกข์คือ ขันธ์ คืออายตนะ
ก็ไปทำลายมันเสีย หรือบังคับเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน
เพื่อจะได้ไม่เกิดทุกข์อีก ซึ่งก็เป็นการหลงเข้าใจผิดอีก
ขันธ์หรืออายตนะนี้ ไม่ใช่เหตุของทุกข์ แต่ความหลงต่างหากที่เป็นเหตุ
หลงมีเราแล้วหลงเอาเราเข้าไปยึด แล้วไม่ได้เป็นไปตามที่ยึด มันจึงทุกข์
ขันธ์ทุกขันธ์มันก็เป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ตามเหตุและปัจจัยของมัน เหมือนทุกสิ่งในธรรมชาตินี้ ไม่ได้ต่างกันเลย

เหมือนต้นไมและสัตว์ป่าทั้งหลายที่อยู่ในป่าใหญ่ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น
จะมีอะไรเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ หรือดับไป มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น
จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แต่พอมนุษย์ที่เต็มไปด้วยโมหะเข้าไป
ไปเสริมไปแต่ง ไปทำลาย จนป่าไม่เป็นป่า กลายเป็นสวน เป็นบ้าน เป็นหนทาง

ส่วนไม้ป่าก็กลายเป็นไม้ประดับ ไม้เลี้ยง หรือวัตถุดิบ
ไปแปรสภาพเป็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ ตามที่เราให้เป็น
จนสูญเสียความเป็นเดิมแท้ของมัน
สัตว์ทั้งหลายก็ไม่เป็นสัตว์ป่า แต่เป็นสัตว์เลี้ยงไปเสีย
สอนให้มันเป็นดั่งที่เราอยากให้เป็น อยู่อย่างที่เราอยากให้อยู่
จนสูญเสียความเป็นเดิมแท้ของมัน แล้วความจริงของธรรมชาติมันใช่อย่างนี้หรือ
ใช่ที่จะต้องเข้าไปทำอะไรกับธรรมชาติเดิมแท้อีกหรือ

ขันธ์นี้ก็เช่นกัน เมื่อไม่ปล่อยให้มันเป็นตามความจริงของมันเอง
แล้วหลงเอาเราเข้าไปฝึกไปทำมัน ก็เท่ากับไปสร้างจริตนิสัยให้กับมัน
จนลืมความเป็นจริงของธรรมชาติขันธ์เอง ที่มันไม่ยึด ไม่ติดในตัวเองอยู่แล้ว
ที่มันอนิจจังในตัวมันเองอยู่แล้ว อนัตตาอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว
ทุกอย่างแค่สมมุติ แต่กลับไปหลงในสมมุติเสียเอง
ทุกอย่างแค่ชั่วคราว แต่กลับไปหลงในสิ่งชั่วคราวทั้งหลาย
ให้เป็นตุเป็นตะ เป็นตัวเป็นตน

เมื่อไปฝึกให้มันหลงทำ หลงค้น หลงหา ในอจินไตยของฌาน ของกรรม ของโลก
หรือแม้แต่ไปค้นในเรื่องของพุทธองค์ท่าน
ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ค้นหาไม่หมด รู้ไม่หมด ไม่สิ้น
ทั้งที่การรู้นั้นก็เพียงแค่รู้ใน ที่มาที่ไป แห่งเหตุปัจจัยที่จะตัดกิเลสก็พอ
ไม่ได้หมายให้ไปรู้เสียทั้งหมด จนกลายเป็นตัณหาในรู้ ตัณหาในปัญญา

เมื่อหลงเข้าไปทำ ย่อมเกิดผล มีเหตุย่อมมีปัจจัย เป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อผลปรากฎแล้วพอใจ ก็ยิ่งมีกำลังใจในการทำต่อไป มันจึงทำไม่เลิก
ยิ่งฝึกก็ยิ่งอัตโนมัติมากขึ้น จึงหลงเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นอัตโนมัติของธรรมชาติ
แต่จริงๆ แล้วมันแค่ของเลียนแบบ เป็นแค่เงา แต่ไม่ใช่ของจริง
หรือแม้แต่ทำแล้วไม่เกิดผล แต่ด้วยความหลง ก็ยังหลงคิดว่า
ทำไม่พอ ทำไม่ถูก ต้องค้นหาต่อไป ทำต่อไปให้สำเร็จ มันก็หลงวนกลับไปทำต่ออีก
ก็วนอยู่ในการทำกายทำจิตอยู่เช่นนั้น เมื่อทำไปทุกภพทุกชาตินานเข้า ๆ เข้า
ก็กลายเป็นว่าการทำกายทำจิต เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว การยึดเป็นเรื่องปกติแล้ว
จนหลงเป็นทิฐิมานะที่เหนียวแน่กับการยึดติดในธาตุขันธ์นี้

เหมือนการกำหนดสติที่เราฝึก ๆ กันอยู่ ว่าต้องฝึกให้มีสติมาก ๆ จะได้รู้เท่าทันกิเลส
แล้วการมีสติต้องไปฝึกอย่างนั้นจริงหรือ ทำไมเราจึงไม่มีสติ หรือขาดสติ สติหายไปไหน
ก็หายไปค้างอยู่กับผัสสะเก่าที่ไม่ยอมปล่อยให้มันอนิจจัง ไม่ยอมแล้ว ๆ ไป
เจออะไรเข้าก็หลงเข้าไปค้าง แช่ จมอยู่กับสิ่งนั้น รู้ในสิ่งนั้น ไม่ปล่อย
สติมันก็ค้าง รู้ก็ค้าง อยู่กับสิ่งนั้น พอผัสสะใหม่เกิดขึ้นก็หาว่าไม่มีสติ
ทั้ง ๆ ที่สติก็ยังอยู่กับผัสสะเก่า หรือผัสสะไหนสักอันที่มันหลงค้างอยู่
ที่ไม่ยอมปล่อยนั้น ก็ปล่อยสิ ช่างมันสิ ปล่อยให้ผัสสะเก่าที่มันผ่านไปแล้ว
ให้ผ่านไปตามธรรมชาติของมัน สติมันก็มีของมันเอง

แล้วไม่ต้องไปสร้างความตึงความเครียดให้ขันธ์อีกด้วย
ที่ต้องคอยมีสติให้ทัน ไม่ทัน ก็ช่างมันในรู้ที่หลงค้างนั้น มันก็ตัดหลงรู้ให้ ก็เลิกค้าง
สติมันก็ทันของมันเอง ปล่อยให้รู้ของธรรมชาติรู้ของมันเอง แล้วมันจะไม่หลง
ไม่ค้าง เป็นมหาสติของมันเอง แล้วมันจะเห็นชัดในธรรมและกิเลสของมันเอง
กลั่นกรองธรรมไปของมันเอง วางเอง จนไม่ต้องไปช่างมันอีก มันจะเลิกหลงไปเอง
เป็นธรรมโดยธรรมของมันเอง

การไม่แจ้งธรรมนั้น ไม่ใช่เพราะมีปัญญาไม่พอ
การแจ้งธรรมนั้น ไม่ได้แจ้งโดยการคิด หรือนึกไปเอง
แต่เป็นการแจ้งที่นอกเหนือขันธ์ เป็นของมันเอง ไม่มีเราเข้าไปแจ้งในธรรม
แต่หมายถึงนอกเหนือเรา ไร้เราในการแจ้งธรรม
แต่ด้วยเหตุแห่งการหลงยึดในทิฐิมานะที่เหนียวแน่อยู่กับขันธ์
จึงไม่อาจแจ้งธรรมแบบฉับพลัน มันจึงคลายไม่ออก วางไม่ได้

จึงได้นำความเป็นจริงของธาตุของขันธ์ ของธรรมชาตินี้ บอกกล่าว
ส่วนจะเห็น หรือ ไม่เห็น ก็แล้วแต่กรรมของแต่ละบุคคล
การหยิบเอาคำว่า ช่างมัน มาใช้ให้ตรงตามสมัย ด้วยเหตุว่าเข้าใจง่าย
ส่วนที่มาที่ไปและเนื้อแท้ของ คำว่า ช่างมัน นั้น มีลงไว้ค่อนข้างมากแล้ว

ค่อย ๆอ่าน ลองวางทิฐิเดิมลงก่อน เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่หายไปไหน
อ่านเสร็จแล้วค่อยกลับไปแบกมันก็ยังอยู่ อย่าด่วนตัดสินใจว่าไม่ใช่
และก็อย่าด่วนตัดสินใจว่าใช่ ค่อย ๆ อ่าน ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องตั้งใจมาก พอดี ๆ

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีรีบ และเชื่องช้า เพราะมันอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ในทุกขณะเวลาที่ดำรงชีวิตอยู่ ก้าวตามทุกเวลาที่ผ่านไป ถ้าจะช้าก็โมหะพาช้า
หลงค้างหลงแช่ ถ้าจะเร็วก็เพราะตัณหาพาเร็ว อยากโน่นอยากนี่
อย่าให้ทิฐิมานะนั้นมาบัง
จะไม่เห็นเนื้อหาที่แท้จริงในสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้

ไม่ได้บอกว่าการปฏิบัติ หรือการเจริญธาตุขันธ์นั้นผิด
การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ถูกไม่ผิด อย่างไงก็ถึง จะช้าหรือเร็ว หรือเมื่อไหร่ไม่รู้
เมื่อไม่ตรงมันก็อ้อม ส่วนจะอ้อมมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่บุคคล
การแจ้งธรรมอย่างฉับพลันอย่างในสมัยพุทธกาล ในสมัยนี้เหมือนจะไม่มี
เพราะเป็นกรรมของคนรุ่นหลังอย่างเรา ๆ ที่วิบากมันมากจึงหลงวนมาก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเลย ให้ตรงตามมันก็จะแจ้งตามไปเอง
ผมอ่านสิ่งที่คุณเขียนมานี่ผมเข้าใจทุกอย่างที่คุณเขียน และผมก็ใช้สิ่งที่คุณเขียนอยู่ทุกวัน ผมนี่ตัวช่างมันเลย ผมเข้าใจว่าทุกวันนี้ความทุกข์เกิดจากความคิด (ทุกทางใจนะครับ)กันทั้งนั้นและสิ่งที่คุณเขียนมานี้ดีมากๆเลย สำหรับคนที่มีความทุกข์ทางใจถ้าเข้าใจหมดนี่ หมดทุกข์ทางใจได้สบายเลย ซึ้งเป็นพื้นผิวของกิเลส แต่ก็ถือว่าวิเศษสุดแล้วเพียงทำได้แค่นี้วัฎฎะก็หายไปครึ่งแล้ว

แต่ประเด็นที่ผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ประเด็นผมอยู่ที่การขุดรากเหง้ากิเลส โลภะ โทษะ โมหะ ที่มันนอนเนื่องอยู่ในอนุสัยกิเลสต่างหาก เฉพาะความเห็นถูกกำจัดไม่หมดหรอกครับ มันต้องมีสติ สมาธิที่ถูกต้องจริงๆถึงจะกำจัดรากเหง้าของกิเลสได้หมด ขอท่านดูบทอธิฐานความเพียรซิ พระองค์เป็นคนแสดงไว้เองนะครับ ผมไม่ใช่คนดีๆอย่างพวกท่านนะครับ ผมนี่โคตรเลว ผมเปลี่ยนชีวิตมา ตอนนี้คนที่ว่าดีทั่วๆไปผมกล้าบอกยังไม่ดีเท่าผมเลย( อันนี้ต้องคุยให้เห็นจริงๆเพื่อจะได้ยื่นยันในคำสอนของพระพุทธองค์และสิ่งที่ผมปฎิบัติอยู่ )ของผมเรียนรู้ง่ายไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากคือสิ่งที่คุณเขียนมานั้นแหละยากที่จะมีคนเข้าใจได้ลึกซึ้งเพียงพอ เพราะมันเป็นสัมมาทิฎฐิ น้อยคนที่จะเข้าใจ แต่ในเว็บสนทนานี้น่าจะเข้าใจได้ทุกคน

เชื่อเถอะคุณก็หวังดี ผมก็หวังดี มันมีอะไรลึกซึ้งกว่าที่คุณกล่าวมานี้ผมยืนยัน เจาะลึกลงไปที่สุด ละเอียดที่สุด ก็จะพบสภาวะที่แท้จริง จะเกืดขึ้นในมโนทวาร ส่วนปัญจทวาร นั้นไม่ยาก ผมคนหนึ่งล่ะที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อสิ่งที่เรากำลังคุยกันอยู่ โดยใช่ตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งอด ทั้งทน ในสิ่งที่ทำได้ยาก จนกล้าบอกว่าหลายสิ่งหลายอย่าง หมด หดหาย ไปจากใจมากมาย จากคนที่โคตรเลว พาคนเดินบนเส้นทางธรรมะเป็นสิบๆคนได้ มันคงไม่เป็นเรื่องปกตินักหรอกจริงมั้ย สิ่งนี้คุณพิสูจน์ได้ไม่มีอะไรเสีย ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็เลิกได้ แต่ถ้าไม่ลองดูคุณอาจจะพลาดสิ่งที่ดีที่สุดไปก็ได้ด้วยความปรารถนาดีbigtoo

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 23:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
เป็นเรื่องแปลก แต่จริง อยู่อย่างหนึ่ง

เวลา มีความเป็น เรา ที่มีอยู่ มองไม่เห็น

เวลา มีความเป็น เขา กลับมองเห็น

ยิ่งพูดยืดยาวมากเท่าไหร่ ถ้อยคำมักจะย้อนกลับไปหาผู้พูด บ่งบอกถึง สิ่งที่ผู้พูด ยังติดยังข้องอยู่ แต่มองไม่เห็น เพราะมองแต่นอกตัว มองสิ่งที่ยังอยากมอง

ใครจะข้องจะขัด จะเป็นอะไรยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน ใครจะค้นหาอะไร ยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน

วลัยพร ก็ยังมีกิเลสนะ ฉะนั้น เป็นเรื่องชิวๆ ยอมรับแบบสบายๆ

ผิดกับที่คิดว่า ไม่มีอะไร ทั้งๆที่มีนี่สิ เอาเป็นว่า เหตุมี ผลย่อมมี



ป้าเป็นอะไรไปเหรอ เป็นอาจารย์ให้ยังไม่รู้อีก แย่หน่อยเดียว onion




ตาทู่เอ๊ยตาทู่ มีแต่คาดเดาเอาเองตลอด


ฉานจะโพสอะไร มันก็เรื่องของฉาน แค่ฉานบอกว่า ฉานยังมีกิเลส มาเดือดร้อนอะไรกับฉาน

ตาทู่เอ๊ย นายน่ะแหละ คนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ยังมีการมายื่นหน้า ทำเป็นลิเกออกแขกหลงโรง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
เป็นเรื่องแปลก แต่จริง อยู่อย่างหนึ่ง เวลา มีความเป็น เรา ที่มีอยู่ มองไม่เห็น เวลา มีความเป็น เขา กลับมองเห็น ยิ่งพูดยืดยาวมากเท่าไหร่ ถ้อยคำมักจะย้อนกลับไปหาผู้พูด บ่งบอกถึง สิ่งที่ผู้พูด ยังติดยังข้องอยู่ แต่มองไม่เห็น เพราะมองแต่นอกตัว มองสิ่งที่ยังอยากมอง ใครจะข้องจะขัด จะเป็นอะไรยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน ใครจะค้นหาอะไร ยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน วลัยพร ก็ยังมีกิเลสนะ ฉะนั้น เป็นเรื่องชิวๆ ยอมรับแบบสบายๆ ผิดกับที่คิดว่า ไม่มีอะไร ทั้งๆที่มีนี่สิ เอาเป็นว่า เหตุมี ผลย่อมมี
ป้าเป็นอะไรไปเหรอ เป็นอาจารย์ให้ยังไม่รู้อีก แย่หน่อยเดียว onion
ตาทู่เอ๊ยตาทู่ มีแต่คาดเดาเอาเองตลอด ฉานจะโพสอะไร มันก็เรื่องของฉาน แค่ฉานบอกว่า ฉานยังมีกิเลส มาเดือดร้อนอะไรกับฉาน ตาทู่เอ๊ย นายน่ะแหละ คนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ยังมีการมายื่นหน้า ทำเป็นลิเกออกแขกหลงโรง
นั้นแน่ ดื้ออีก

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 23:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:

.....
ผมคนหนึ่งล่ะที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อสิ่งที่เรากำลังคุยกันอยู่ โดยใช่ตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งอด ทั้งทน ในสิ่งที่ทำได้ยาก จนกล้าบอกว่าหลายสิ่งหลายอย่าง หมด หดหาย ไปจากใจมากมาย จากคนที่โคตรเลว พาคนเดินบนเส้นทางธรรมะเป็นสิบๆคนได้ มันคงไม่เป็นเรื่องปกตินักหรอกจริงมั้ย

สีลลัพตปรามาส....

อ้างคำพูด:
สิ่งนี้คุณพิสูจน์ได้ไม่มีอะไรเสีย ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็เลิกได้ แต่ถ้าไม่ลองดูคุณอาจจะพลาดสิ่งที่ดีที่สุดไปก็ได้ด้วยความปรารถนาดีbigtoo

ไม่ได้มีดีแค่สำนักเดียวหรอก...อย่าทำใจคับแคบซิ...มันแสดงให้เห็นกึ๋น...รู้มัย
อิอิ.... :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
เป็นเรื่องแปลก แต่จริง อยู่อย่างหนึ่ง เวลา มีความเป็น เรา ที่มีอยู่ มองไม่เห็น เวลา มีความเป็น เขา กลับมองเห็น ยิ่งพูดยืดยาวมากเท่าไหร่ ถ้อยคำมักจะย้อนกลับไปหาผู้พูด บ่งบอกถึง สิ่งที่ผู้พูด ยังติดยังข้องอยู่ แต่มองไม่เห็น เพราะมองแต่นอกตัว มองสิ่งที่ยังอยากมอง ใครจะข้องจะขัด จะเป็นอะไรยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน ใครจะค้นหาอะไร ยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน วลัยพร ก็ยังมีกิเลสนะ ฉะนั้น เป็นเรื่องชิวๆ ยอมรับแบบสบายๆ ผิดกับที่คิดว่า ไม่มีอะไร ทั้งๆที่มีนี่สิ เอาเป็นว่า เหตุมี ผลย่อมมี
ป้าเป็นอะไรไปเหรอ เป็นอาจารย์ให้ยังไม่รู้อีก แย่หน่อยเดียว onion
ตาทู่เอ๊ยตาทู่ มีแต่คาดเดาเอาเองตลอด ฉานจะโพสอะไร มันก็เรื่องของฉาน แค่ฉานบอกว่า ฉานยังมีกิเลส มาเดือดร้อนอะไรกับฉาน ตาทู่เอ๊ย นายน่ะแหละ คนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ยังมีการมายื่นหน้า ทำเป็นลิเกออกแขกหลงโรง


นั้นแน่ ดื้ออีก




เอาเป็นว่า วลัยพรเข้าใจ ในสิ่งที่คุณbigtoo มีอยู่ และเป็นอยู่

ฉะนั้น วลัยพร ขอจบการสนทนาทั้งปวงกับคุณ ไม่ว่าคุณจะโพสอะไรมาก็ตาม

เพราะมองเห็นแต่เหตุ ที่เกิดขึ้นมาใหม่ไม่รู้จบ ไม่ใช่วลัยพร แต่เป็นตัวคุณเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 00:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:

.....
ผมคนหนึ่งล่ะที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อสิ่งที่เรากำลังคุยกันอยู่ โดยใช่ตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งอด ทั้งทน ในสิ่งที่ทำได้ยาก จนกล้าบอกว่าหลายสิ่งหลายอย่าง หมด หดหาย ไปจากใจมากมาย จากคนที่โคตรเลว พาคนเดินบนเส้นทางธรรมะเป็นสิบๆคนได้ มันคงไม่เป็นเรื่องปกตินักหรอกจริงมั้ย

สีลลัพตปรามาส....

อ้างคำพูด:
สิ่งนี้คุณพิสูจน์ได้ไม่มีอะไรเสีย ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็เลิกได้ แต่ถ้าไม่ลองดูคุณอาจจะพลาดสิ่งที่ดีที่สุดไปก็ได้ด้วยความปรารถนาดีbigtoo

ไม่ได้มีดีแค่สำนักเดียวหรอก...อย่าทำใจคับแคบซิ...มันแสดงให้เห็นกึ๋น...รู้มัย
อิอิ.... :b9:
เห็นกึ๋น เลยเหรอ ถ้าผมเป็นอย่างนั้นก็ไปอย่าง ผมไปทุกที่นะถ้าผมยึดติดแต่ที่ท่านโกเอ็นก้าอย่างเดียว ผมจะไปกราบไหว้ครูอาจารย์ท่านอื่นเหรอ ทั้งภิกษุณี และทุกท่านดีกว่าว่าง่ายๆ
พี่กบก็... แต่ที่นี้ผมก็กล้าพูดอีกนั้นแหละว่า หลักสูตรระบบการจัดการเขาดี เพราะเขาเป็นศูนย์วิจัยครับพิสูจน์ได้นี่

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
เป็นเรื่องแปลก แต่จริง อยู่อย่างหนึ่ง เวลา มีความเป็น เรา ที่มีอยู่ มองไม่เห็น เวลา มีความเป็น เขา กลับมองเห็น ยิ่งพูดยืดยาวมากเท่าไหร่ ถ้อยคำมักจะย้อนกลับไปหาผู้พูด บ่งบอกถึง สิ่งที่ผู้พูด ยังติดยังข้องอยู่ แต่มองไม่เห็น เพราะมองแต่นอกตัว มองสิ่งที่ยังอยากมอง ใครจะข้องจะขัด จะเป็นอะไรยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน ใครจะค้นหาอะไร ยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน วลัยพร ก็ยังมีกิเลสนะ ฉะนั้น เป็นเรื่องชิวๆ ยอมรับแบบสบายๆ ผิดกับที่คิดว่า ไม่มีอะไร ทั้งๆที่มีนี่สิ เอาเป็นว่า เหตุมี ผลย่อมมี
ป้าเป็นอะไรไปเหรอ เป็นอาจารย์ให้ยังไม่รู้อีก แย่หน่อยเดียว onion
ตาทู่เอ๊ยตาทู่ มีแต่คาดเดาเอาเองตลอด ฉานจะโพสอะไร มันก็เรื่องของฉาน แค่ฉานบอกว่า ฉานยังมีกิเลส มาเดือดร้อนอะไรกับฉาน ตาทู่เอ๊ย นายน่ะแหละ คนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ยังมีการมายื่นหน้า ทำเป็นลิเกออกแขกหลงโรง


นั้นแน่ ดื้ออีก




เอาเป็นว่า วลัยพรเข้าใจ ในสิ่งที่คุณbigtoo มีอยู่ และเป็นอยู่

ฉะนั้น วลัยพร ขอจบการสนทนาทั้งปวงกับคุณ ไม่ว่าคุณจะโพสอะไรมาก็ตาม

เพราะมองเห็นแต่เหตุ ที่เกิดขึ้นมาใหม่ไม่รู้จบ ไม่ใช่วลัยพร แต่เป็นตัวคุณเอง
อย่าลืมเข้าใจตนเองด้วยนะนั้นวิเศษสุด :b8:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 00:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หากสอนให้เห็น..อริยะสัจ4 และ..มรรค์8 แล้วละก้อ...ก็ใช้ได้

หากคนสอนเดินผ่านมาแล้วได้...ก็ยิ่งดี...

สังเกตุว่า...ยิ่งปฏิบัติ...อัตตายิ่งโต...พึงระลึกว่า....ตูเริ่มโง่อีกแหระ..

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
หากสอนให้เห็น..อริยะสัจ4 และ..มรรค์8 แล้วละก้อ...ก็ใช้ได้

หากคนสอนเดินผ่านมาแล้วได้...ก็ยิ่งดี...

สังเกตุว่า...ยิ่งปฏิบัติ...อัตตายิ่งโต...พึงระลึกว่า....ตูเริ่มโง่อีกแหระ..

:b8:
ส่วนใหญ่คนก็เป็นอย่างนั้นแหละมองตัวเองไม่เห็น เห็นแต่คนอื่น ร่วมถึงตัวผมด้วย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 00:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เห็นกึ๋น เลยเหรอ ถ้าผมเป็นอย่างนั้นก็ไปอย่าง ผมไปทุกที่นะถ้าผมยึดติดแต่ที่ท่านโกเอ็นก้าอย่างเดียว ผมจะไปกราบไหว้ครูอาจารย์ท่านอื่นเหรอ ทังภกษุณี และทุกท่านดีกว่าว่าง่ายๆ
พี่กบก็... แต่ที่นี้ผมก็กล้าพูดอีกนั้นแหละว่า หลักสูตรระบบการจัดการเขาดี เพราะเขาเป็นศูนย์วิจัยครับพิสูจน์ได้นี่


อิอิ...ไปสำนักนั้น..นี้..แล้วเห็นอะไรบ้าง...เล่าให้ฟังหน่อยดิ..

เรื่องการจัดระบบนี้นะ...อ๊อกฟอร์ด....เคมบริต...MIT ...เขาก็ทำได้ดี...ดีมากด้วย...การจัดการมันเป็นเรื่องวิชาการ...

ระบบดี...มันก็ดี.....แต่อย่าเอาไปปะปนกับธรรม....เห็นบิกทูชื่นชอบการจัดการมากเลย...

งี้แหละ...นักธุรกิจ...มักจะติดนิสัยเดิม... มาด้วย...

โทษที...ที่พูดตรง..ๆ.. :b9: :b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร