วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 06:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2016, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ขณะสวดมนต์แล้วได้เอนตัวลงนอนอย่างมีสติ...ได้บริกรรมพอง กับ ยุบ ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไร...จนหลับไปไม่รู้ตัว...ระยะหนึ่ง...จิตได้เกิดกลางดึก คือ มีสติรู้ขึ้นมาทันทีของการพองยุบของท้อง และรู้สึกว่ามีนิ้วมือมากดที่สะดือแรงมาก เวลาที่พองออก ท้องก็จะพองออกมาก มือที่กดก็จะแรงไปตามการพองและยุบ จนรู้สึกกลัวมากเหมือนไส้จะหลุดออกมา.. แต่ผมก็พยายามดึงสติให้อยู่กับคำบริกรรมพอง ยุบอีก แต่พยายามแล้วจิตก็ทนไม่ได้ จิตสั่นไปหมดเหมือนท้องจะแตก จิตคิดตอนนั้นครับ


asoka เขียน:
:b38:
เป็นผลของสมาธิอย่างหนึ่งโดยมีนิมิตปนอยู่นิดๆ

ถ้าไปติดใจสงสัยก็เสร็จเขา คือโมหะพาไป จะปรุงไปได้อีกมากมาย

แต่ถ้าเรียกสติสัมปชัญญะกลับคืนมาสู่หน้าที่หลัก ก็เพียง นิ่งรู้นิ่งสังเกตต่อไปเดี๋ยวเดียวอารมณ์ความรู้สึกที่แปลกๆเหล่านั้นก็จะดับไป

เมื่อไม่มีอะไรมากวนแล้วจิตใจก็จะเข้าถึงความสงบ ตั้งมั่น
ควรแก่งานเจริญวิปัสสนาภาวนาจริงๆ
onion


:b9: :b9: :b9:

กิเลสตัณหา..มันโผล่หน้ามาแล้ว..อโสกะกลับจะมุดดินลงไปหมายทำลายกิเลส.. :b32: :b32: :b32:

ความกลัวตาย...ความไม่อยากตาย..ความอยากให้อาการเหล่านี้หายไป...ปรากฏขึ้นมาแล้ว...อโสกะกลับมาบังคับให้จิตมานิ่งๆสังเกตุเฉยๆ..ให้มันดับไปเอง..ซะนี้..นี้แหละที่ผมว่าอโสกะทำ..มันเป็นสมถะ...

ถ้าอโสกะจะพลิกคำพูดนิดหน่อย...ให้ตรงใจกักกาย...โชว์ปัญญานิดหน่อย...เผื่อกักกายจะชมอโสกะบ้าง...ก็ต้องพลิกแพลงคำตอบเดิมน้านแหละ..มาเป็นว่า...
"อ้อนี้เราทุกข์เพราะอยากให้อาการที่เราไม่ต้องการนี้หายไป...ทุกข์เพราะเราไม่ต้องการอาการที่เป็น...ทุกข์เพราะเราไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ...เราทุกข์เพราะเราอยากเองแท้ๆ..เอาละ..เราไม่อยากแล้วละ...มันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่มัน...ชั่งมัน...แค่นี้เราก็ไม่ทุกข์แล้ว...ปล่อยมันไป.".

:b32: :b32: :b32:
ใช้ปัญญาสมถะนิดหน่อย...กักกายก็รักอโสกะแล้วละทีนี้.. :b13: :b13:[/quote]


นั่นแหละโฮ่แล้ว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2016, 16:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ขณะสวดมนต์แล้วได้เอนตัวลงนอนอย่างมีสติ...ได้บริกรรมพอง กับ ยุบ ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไร...จนหลับไปไม่รู้ตัว...ระยะหนึ่ง...จิตได้เกิดกลางดึก คือ มีสติรู้ขึ้นมาทันทีของการพองยุบของท้อง และรู้สึกว่ามีนิ้วมือมากดที่สะดือแรงมาก เวลาที่พองออก ท้องก็จะพองออกมาก มือที่กดก็จะแรงไปตามการพองและยุบ จนรู้สึกกลัวมากเหมือนไส้จะหลุดออกมา.. แต่ผมก็พยายามดึงสติให้อยู่กับคำบริกรรมพอง ยุบอีก แต่พยายามแล้วจิตก็ทนไม่ได้ จิตสั่นไปหมดเหมือนท้องจะแตก จิตคิดตอนนั้นครับ


asoka เขียน:
:b38:
เป็นผลของสมาธิอย่างหนึ่งโดยมีนิมิตปนอยู่นิดๆ

ถ้าไปติดใจสงสัยก็เสร็จเขา คือโมหะพาไป จะปรุงไปได้อีกมากมาย

แต่ถ้าเรียกสติสัมปชัญญะกลับคืนมาสู่หน้าที่หลัก ก็เพียง นิ่งรู้นิ่งสังเกตต่อไปเดี๋ยวเดียวอารมณ์ความรู้สึกที่แปลกๆเหล่านั้นก็จะดับไป

เมื่อไม่มีอะไรมากวนแล้วจิตใจก็จะเข้าถึงความสงบ ตั้งมั่น
ควรแก่งานเจริญวิปัสสนาภาวนาจริงๆ
onion


:b9: :b9: :b9:

กิเลสตัณหา..มันโผล่หน้ามาแล้ว..อโสกะกลับจะมุดดินลงไปหมายทำลายกิเลส.. :b32: :b32: :b32:

ความกลัวตาย...ความไม่อยากตาย..ความอยากให้อาการเหล่านี้หายไป...ปรากฏขึ้นมาแล้ว...อโสกะกลับมาบังคับให้จิตมานิ่งๆสังเกตุเฉยๆ..ให้มันดับไปเอง..ซะนี้..นี้แหละที่ผมว่าอโสกะทำ..มันเป็นสมถะ...

ถ้าอโสกะจะพลิกคำพูดนิดหน่อย...ให้ตรงใจกักกาย...โชว์ปัญญานิดหน่อย...เผื่อกักกายจะชมอโสกะบ้าง...ก็ต้องพลิกแพลงคำตอบเดิมน้านแหละ..มาเป็นว่า...
"อ้อนี้เราทุกข์เพราะอยากให้อาการที่เราไม่ต้องการนี้หายไป...ทุกข์เพราะเราไม่ต้องการอาการที่เป็น...ทุกข์เพราะเราไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ...เราทุกข์เพราะเราอยากเองแท้ๆ..เอาละ..เราไม่อยากแล้วละ...มันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่มัน...ชั่งมัน...แค่นี้เราก็ไม่ทุกข์แล้ว...ปล่อยมันไป.".

:b32: :b32: :b32:
ใช้ปัญญาสมถะนิดหน่อย...กักกายก็รักอโสกะแล้วละทีนี้.. :b13: :b13:



นั่นแหละโฮ่แล้ว :b32:[/quote]
:b12:
ที่กรัชกายว่านั้นมันคือ "วิปัสสนึก" ทั้งเพเพราะใช้ความคิดนึกเอาตามหลักของเหตุผล

"มันอาจจะอิ่มใจด้วยเหตุผล แต่มันจะไม่อิ่มจริงโดยธรรม"

จงอย่าได้นึกประมาทวิธีปฏิบัติแบบนิ่งรู้นิ่งสังเกตเชียวนะ
เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้รู้ให้เห็นหลังการนิ่งรู้นิ่งสังเกตนั้นมันเป็นปรมัตถธรรมล้วนๆ ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ที่สำคัญคือเมื่อนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์อยู่เช่นนั้น ปัจจุบันที่เป็นตัวสมุทัยจะโผล่แสดงตัวออกมาโดยแฝงอยู่หลังความยินดียินร้าย สังเกตให้ดีๆ อันนี้แหละคือการต่อสู้จริงๆของธรรมกับอธรรม
ของปัญญาสัมมาทิฏฐิ กับ ตัณหาอุปาทาน มิจฉาทิฏฐิ
สิ่งที่ท่านต้องการดังสรุปไว้ในสติปัฏฐาน 4 ก็เพียง เอายินดียินร้ายออกให้ได้ทุกครั้งไปที่มีผัสสะและอารมณ์ธรรม

พูดความจริงจากสภาวะจริงๆที่พึงเกิดจริงอย่างนี้ไม่ทราบว่ากรัชกายจะพอมีสติปัญญา นึกพิจารณาเทียบธรรมทันหรือไม่หนอ หรือไม่รูเรื่องเลย

grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2016, 19:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b9: :b9: :b9:

กิเลสตัณหา..มันโผล่หน้ามาแล้ว..อโสกะกลับจะมุดดินลงไปหมายทำลายกิเลส.. :b32: :b32: :b32:

ความกลัวตาย...ความไม่อยากตาย..ความอยากให้อาการเหล่านี้หายไป...ปรากฏขึ้นมาแล้ว...อโสกะกลับมาบังคับให้จิตมานิ่งๆสังเกตุเฉยๆ..ให้มันดับไปเอง..ซะนี้..นี้แหละที่ผมว่าอโสกะทำ..มันเป็นสมถะ...



:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2016, 21:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b9: :b9: :b9:

กิเลสตัณหา..มันโผล่หน้ามาแล้ว..อโสกะกลับจะมุดดินลงไปหมายทำลายกิเลส.. :b32: :b32: :b32:

ความกลัวตาย...ความไม่อยากตาย..ความอยากให้อาการเหล่านี้หายไป...ปรากฏขึ้นมาแล้ว...อโสกะกลับมาบังคับให้จิตมานิ่งๆสังเกตุเฉยๆ..ให้มันดับไปเอง..ซะนี้..นี้แหละที่ผมว่าอโสกะทำ..มันเป็นสมถะ...



:b9: :b9: :b9:

:b38:
กบต้องสังเกตให้ดีๆ

กิเลสตัณหาโผล่ รู้ว่ากิเลสตัณหาโผล่ นิ่งรู้นิ่งสังเกตไว้

สักพักความกลัวตาย...ความไม่อยากตาย..ความอยากให้อาการเหล่านี้หายไป...ปรากฏขึ้นมาแล้ว.ก็ให้รู้ทันปัจจุบันของทุกอารมณ์นั้นๆ

เราจะเห็นปฏิกิริยาและอาการตอบโต้ของสมุทัยที่มีอยู่ในจิต
ปรวนแปร เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆด้วยมายาการของมันที่พยายามจะให้เราเลิกละจากการภาวนา หรือสนองตอบความยินดียินร้ายของมัน จากกระบวนการที่จะเกิตามมาเป็นลูกโซ่เหล่านี้ หากไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ไม่ช้าเราจะได้เห็นการดับสงบไปของอารมณ์นั้นๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2016, 21:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b9: :b9: :b9:

กิเลสตัณหา..มันโผล่หน้ามาแล้ว..อโสกะกลับจะมุดดินลงไปหมายทำลายกิเลส.. :b32: :b32: :b32:

ความกลัวตาย...ความไม่อยากตาย..ความอยากให้อาการเหล่านี้หายไป...ปรากฏขึ้นมาแล้ว...อโสกะกลับมาบังคับให้จิตมานิ่งๆสังเกตุเฉยๆ..ให้มันดับไปเอง..ซะนี้..นี้แหละที่ผมว่าอโสกะทำ..มันเป็นสมถะ...



:b9: :b9: :b9:


asoka เขียน:
:b38:
กบต้องสังเกตให้ดีๆ

กิเลสตัณหาโผล่ รู้ว่ากิเลสตัณหาโผล่ นิ่งรู้นิ่งสังเกตไว้

สักพักความกลัวตาย...ความไม่อยากตาย..ความอยากให้อาการเหล่านี้หายไป...ปรากฏขึ้นมาแล้ว.ก็ให้รู้ทันปัจจุบันของทุกอารมณ์นั้นๆ

เราจะเห็นปฏิกิริยาและอาการตอบโต้ของสมุทัยที่มีอยู่ในจิต
ปรวนแปร เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆด้วยมายาการของมันที่พยายามจะให้เราเลิกละจากการภาวนา หรือสนองตอบความยินดียินร้ายของมัน จากกระบวนการที่จะเกิตามมาเป็นลูกโซ่เหล่านี้ หากไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ไม่ช้าเราจะได้เห็นการดับสงบไปของอารมณ์นั้นๆ


ก็นี้แหละ..สมถะ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2016, 07:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
สมถะกับวิปัสสนาเขาอิงอาศัยกันไปโดยธรรม

ที่พูดอธิบายกบอาจะเห็นคล้ายสมถะแต่มันเป็นวิปัสสนาสรุปท้ายตอนที่เห็นมันดับไป

คำพูดมันดูสั้นแต่ปฏิบัติการณ์มีรายละเอียดที่ยากจะบรรยาย
ให้รู้ซ่อนอยู่ด้วย ลงมือทำ พบของจริงแล้วจะรู้สิ่งที่โดยมา

การนั่งเฉยๆ มีแต่เพียงความนิ่งรู้นิ่งสังเกตผัสสะ อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิดทั้งหลายอยู่นั้นมันเป็นกระบวนการของวิปัสสนาภาวนาโดยธรรม ปัญญาความรู้เห็นธรรม เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงเขาเกิดเองเป็นเองอยู่ในกระบวนการนั้น

onion
ฝากมาให้กบ+กรัช พิจารณา

https://m.youtube.com/watch?v=tfczjSO3ANo

:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2016, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
สมถะกับวิปัสสนาเขาอิงอาศัยกันไปโดยธรรม

ที่พูดอธิบายกบอาจะเห็นคล้ายสมถะแต่มันเป็นวิปัสสนาสรุปท้ายตอนที่เห็นมันดับไป

คำพูดมันดูสั้นแต่ปฏิบัติการณ์มีรายละเอียดที่ยากจะบรรยาย
ให้รู้ซ่อนอยู่ด้วย ลงมือทำ พบของจริงแล้วจะรู้สิ่งที่โดยมา

การนั่งเฉยๆ มีแต่เพียงความนิ่งรู้นิ่งสังเกตผัสสะ อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิดทั้งหลายอยู่นั้นมันเป็นกระบวนการของวิปัสสนาภาวนาโดยธรรม ปัญญาความรู้เห็นธรรม เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงเขาเกิดเองเป็นเองอยู่ในกระบวนการนั้น

onion
ฝากมาให้กบ+กรัช พิจารณา

https://m.youtube.com/watch?v=tfczjSO3ANo

:b36:


อ้างคำพูด:
สมถะกับวิปัสสนาเขาอิงอาศัยกันไปโดยธรรม



พูดอยู่นั่นแหละ สมถะ วิปัสสนา :b32:

ท่านอโศกยังไม่รู้จักเลยว่าธรรมะนี่มันคืออะไรเริ่มต้นจากตรงไหน เออ

นี่ๆทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนามันก็ธรรมด้วยกันนั่นแหละ ไม่ต้องไปพูดแนบหรอกว่ามันอิงอาศัยกันโดยธรรม กลัวจะไม่เป็นธรรมหรอ :b32:

จะบอกให้ สมถะ ก็ดี วิปัสสนาก็ดี มันก็ธรรมด้วยกันนั่นแหละเออ :b1:

บอกไม่เชื่อว่าให้ไปเริ่มต้นใหม่ ที่ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ไหว้พระ สวดมนต์ ปล่อยนก ปล่อยปลาไปก่อน ฯลฯ เวลายังเหลือก็ไปเรียนเสียให้แน่ใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2016, 09:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะกับวิปัสสนา...ต้องคู่กัน...นั้นไม่เถียงคับ...

ทั้งคู่..ต้องมี..ต้องทำ...

ทำเพื่ออะไร...?

ไม่ใช่ทำเพื่อได้ทำ....แต่ทำเพื่อให้เกิดความรู้สึก...รู้สึกตามธรรมนั้นจริงๆ...จึงเรียกว่าเป็นญาณ...วิปัสสนาญาณเป็นผลจากวิปัสสนากรรมฐาน...

ความรู้สึกตามธรรมนั้นๆ..จริงๆ....เริ่มตั้งแต่...ความรู้สึกในไตรลักษณ์....รู้สึกในความดับไป...รู้สึกถึงภัยของวัฎฎะสงสาร..ฯลฯ...เป็นผล...เกิดเองเมื่อทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์...เราจะไปบังคับให้มันเกิดตอนนั้นตอนนี้ก็ไม่ได้...ที่เราทำได้..ก็แค่ส่วนของกรรมฐาน...

ผล...ถึงจะแสดงว่า...ทำมาถูก...

ผลจริง..รึไม่จริง...ดูการได้มา...และที่กำลังปรากฎอยู่ในมือของผู้นั้น....ก็รู้ได้ว่า..ทำมาถูกทางรึไม่ถูกทาง...คับ

มันก็แค่นี้....ไม่มีอะไรมาก...เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2016, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อัดกระโดงคางท่านอโศกกับกบนอกกะลาอีกคนละทีสิ :b32:

อ้างคำพูด:
ดิฉันเคยไปฝึกปฏิบัติธรรม ใน (...) ที่พิษณุโลก หลักสูตร 10 วันเต็ม การพิจารณาวิปัสสนา ตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง และรู้สึกเหมือนกับว่าการพิจารณาจะเป็นไปตามที่ครูอาจารย์แนะนำในหลักสูตร เมื่อปี 53 ที่ผ่านมา ผ่านมาหลายปีแล้ว กลับมาแรกๆก้อปฏิบัติวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงตลอด ช่วงหลังห่างไม่ได้ปฏิบัติอีก มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิต
แต่
ดิฉันยังรู้สึกว่า เสียงที่รู้สึกได้ในจิตยังส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนสวดมนต์หรือดนตรีอะไรแว่วๆอยู่ในจิตตลอดเวลา เหมือนสัญญาณเตือนว่าให้กลับไปเส้นทางนี้ ไม่ทราบว่าเป็นการอุปาทานเองไปมั๊ย เคยปรึกษาพี่ที่เป็นเสมือนญาติธรรมกัน ท่านว่าเป็นสัญญาณความทรงจำเก่าจากอดีตชาติอย่าไปยึดติด
แต่
ทุกครั้งที่จิตว่างๆ จากการงานธุระ หรือไม่มีเรื่องให้คิด เสียงนี้จะผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ทั้งหลายใน...ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ


ทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนา ไม่ใช่พูดเอา มันต้องทำ เข้าใจไหม ทำ,ปฏิบัติน่า ทำแล้วนั่นแหละจึงจะรู้ว่ามันเป็นอันหยัง เออ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2016, 13:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่แล้ว....ไม่ใช่พูดเอา...ไม่ใช่จำตำราเยอะๆ...จำศัพท์แสงโน้นนั้นนี้...แต่ศีลตัวเดียวเอาไม่รอด..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2016, 20:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อัดกระโดงคางท่านอโศกกับกบนอกกะลาอีกคนละทีสิ :b32:

อ้างคำพูด:
ดิฉันเคยไปฝึกปฏิบัติธรรม ใน (...) ที่พิษณุโลก หลักสูตร 10 วันเต็ม การพิจารณาวิปัสสนา ตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง และรู้สึกเหมือนกับว่าการพิจารณาจะเป็นไปตามที่ครูอาจารย์แนะนำในหลักสูตร เมื่อปี 53 ที่ผ่านมา ผ่านมาหลายปีแล้ว กลับมาแรกๆก้อปฏิบัติวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงตลอด ช่วงหลังห่างไม่ได้ปฏิบัติอีก มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิต
แต่
ดิฉันยังรู้สึกว่า เสียงที่รู้สึกได้ในจิตยังส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนสวดมนต์หรือดนตรีอะไรแว่วๆอยู่ในจิตตลอดเวลา เหมือนสัญญาณเตือนว่าให้กลับไปเส้นทางนี้ ไม่ทราบว่าเป็นการอุปาทานเองไปมั๊ย เคยปรึกษาพี่ที่เป็นเสมือนญาติธรรมกัน ท่านว่าเป็นสัญญาณความทรงจำเก่าจากอดีตชาติอย่าไปยึดติด
แต่
ทุกครั้งที่จิตว่างๆ จากการงานธุระ หรือไม่มีเรื่องให้คิด เสียงนี้จะผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ทั้งหลายใน...ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ


ทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนา ไม่ใช่พูดเอา มันต้องทำ เข้าใจไหม ทำ,ปฏิบัติน่า ทำแล้วนั่นแหละจึงจะรู้ว่ามันเป็นอันหยัง เออ :b32:

:b11:
เขาทำกันมาตั้งนานแล้วหละลุง

ลุงทำเป็นหรือเปล่าล่ะ?
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2016, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อัดกระโดงคางท่านอโศกกับกบนอกกะลาอีกคนละทีสิ :b32:

อ้างคำพูด:
ดิฉันเคยไปฝึกปฏิบัติธรรม ใน (...) ที่พิษณุโลก หลักสูตร 10 วันเต็ม การพิจารณาวิปัสสนา ตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง และรู้สึกเหมือนกับว่าการพิจารณาจะเป็นไปตามที่ครูอาจารย์แนะนำในหลักสูตร เมื่อปี 53 ที่ผ่านมา ผ่านมาหลายปีแล้ว กลับมาแรกๆก้อปฏิบัติวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงตลอด ช่วงหลังห่างไม่ได้ปฏิบัติอีก มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิต
แต่
ดิฉันยังรู้สึกว่า เสียงที่รู้สึกได้ในจิตยังส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนสวดมนต์หรือดนตรีอะไรแว่วๆอยู่ในจิตตลอดเวลา เหมือนสัญญาณเตือนว่าให้กลับไปเส้นทางนี้ ไม่ทราบว่าเป็นการอุปาทานเองไปมั๊ย เคยปรึกษาพี่ที่เป็นเสมือนญาติธรรมกัน ท่านว่าเป็นสัญญาณความทรงจำเก่าจากอดีตชาติอย่าไปยึดติด
แต่
ทุกครั้งที่จิตว่างๆ จากการงานธุระ หรือไม่มีเรื่องให้คิด เสียงนี้จะผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ทั้งหลายใน...ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ


ทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนา ไม่ใช่พูดเอา มันต้องทำ เข้าใจไหม ทำ,ปฏิบัติน่า ทำแล้วนั่นแหละจึงจะรู้ว่ามันเป็นอันหยัง เออ :b32:

:b11:
เขาทำกันมาตั้งนานแล้วหละลุง

ลุงทำเป็นหรือเปล่าล่ะ?
s004



ยังไม่เห็นทำอะไรเลย เห็นแต่โหนสมถะ วิปัสสนา คิกๆๆ

ถ้าจะเปรียบนะ ก็เหมือนลูกมีพ่อเป็นผู้มีอิทธิพล อ้างเพื่อข่มขู่ผู้อื่น :b32:

เอาที่เขาทำจริงๆมาให้ดู ก็ร้อง อึ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2016, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อัดกระโดงคางท่านอโศกกับกบนอกกะลาอีกคนละทีสิ :b32:

อ้างคำพูด:
ดิฉันเคยไปฝึกปฏิบัติธรรม ใน (...) ที่พิษณุโลก หลักสูตร 10 วันเต็ม การพิจารณาวิปัสสนา ตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง และรู้สึกเหมือนกับว่าการพิจารณาจะเป็นไปตามที่ครูอาจารย์แนะนำในหลักสูตร เมื่อปี 53 ที่ผ่านมา ผ่านมาหลายปีแล้ว กลับมาแรกๆก้อปฏิบัติวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงตลอด ช่วงหลังห่างไม่ได้ปฏิบัติอีก มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิต
แต่
ดิฉันยังรู้สึกว่า เสียงที่รู้สึกได้ในจิตยังส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนสวดมนต์หรือดนตรีอะไรแว่วๆอยู่ในจิตตลอดเวลา เหมือนสัญญาณเตือนว่าให้กลับไปเส้นทางนี้ ไม่ทราบว่าเป็นการอุปาทานเองไปมั๊ย เคยปรึกษาพี่ที่เป็นเสมือนญาติธรรมกัน ท่านว่าเป็นสัญญาณความทรงจำเก่าจากอดีตชาติอย่าไปยึดติด
แต่
ทุกครั้งที่จิตว่างๆ จากการงานธุระ หรือไม่มีเรื่องให้คิด เสียงนี้จะผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ทั้งหลายใน...ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ


ทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนา ไม่ใช่พูดเอา มันต้องทำ เข้าใจไหม ทำ,ปฏิบัติน่า ทำแล้วนั่นแหละจึงจะรู้ว่ามันเป็นอันหยัง เออ :b32:

:b11:
เขาทำกันมาตั้งนานแล้วหละลุง

ลุงทำเป็นหรือเปล่าล่ะ?



ซัดปลายคางท่านอโศกอีกสักทีเถอะ :b1:

อ้างคำพูด:
เสียงแว่วจากในหัว

มีใครพออธิบายสาเหตุของอาการที่ดิฉันเป็นได้บ้างคะ ดิฉันมักจะได้ยินเสียงพระสวดเกือบตลอดเวลา เป็นร้อยๆรูป กัณฑ์ใหญ่ หรือบางทีก็เปลี่ยนเป็นเสียงดนตรีบรรเลงโหมโรงแบบไพเราะมาก ดังก้องเหมือนกำลังจะมีพิธีใหญ่อะไรสักอย่าง และสลับกับเสียงดังกังวานทั่วบ้าน เป็นเสียง ผญ และ ผช ลักษณะเป็นกลุ่มมากกว่าสองคน กำลังคุยกันเหมือนประชุมอยู่ตลอด แต่ฟังไมชัดเจนเนื่องจากเสียงพึมพำมาก ดิฉันจะได้ยินเสียงเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา จนเริ่มชินกับเสียงเหล่านี้ จนคิดว่า เป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่บางทีเสียงก็ดังชัดแบบแปลกกว่าทุกทีที่เคยขึ้นมาเฉยๆ ทำให้ดิฉันรู้สึก เหมือนตัวเองผิดปกติหรือป่าวหรือกำลังป่วยเป็นโรคอะไรเกี่ยวกับโสตการรับฟังของตัวเองอยู่รึป่าว

เลยอยากขอคำแนะนำเพื่อประกอบการพิจารณาในการปฎิบัติตัวที่เหมาะสมต่อไปค่ะ



จิตมีทั้งกุศล อกุศล (ฝ่ายดี-ฝ่ายร้าย) ซึ่งมันสู้มันต้านกันอยู่ทุกขณะจิตแล้วโยงถึงร่างกายด้วย (เพราะกายกับใจสัมพันธ์กัน)

ผู้ที่ชอบอ้างศัพท์แสงฝ่ายดีฝ่ายเดียว นั่นๆแสดงว่าไม่เข้าใจสภาพนามธรรมแล้ว พูดเอาแต่ได้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2016, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศกน่าจะเข้าใจที่กรัชกายพูดแน่ๆเลย จึงหายไป ก็บอกแล้ว :b1: :b13: บอกนานแล้ว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2016, 04:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ใช่แล้ว....ไม่ใช่พูดเอา...ไม่ใช่จำตำราเยอะๆ...จำศัพท์แสงโน้นนั้นนี้...แต่ศีลตัวเดียวเอาไม่รอด..


:b32: :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร