วันเวลาปัจจุบัน 17 มิ.ย. 2025, 01:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 03:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"เช่นนั้นนี่ไม่ไหวจะเคลียร์ ทั้งลื่นทั้งรั้น"!!!!!!!!

คุณเช่นนั้นครับ ประโยคข้างบนเป็นคำที่ผมปรามาสคุณครับ ที่ผมว่าอย่างนั้น
ก็เพราะผมดูคุณตั้งแต่ต้นจนมาถึงขณะนี้....เอาเหตุผลจากคุณไม่ได้เลย

คุณอาจจะรั้นเถียงต่อไปอีกว่า ไม่จริงคุณนั้นแหล่ะมีเหตุผลมากกว่าใคร
ดังนั้นเราต่างต้องยอมรับว่า ใครแสดงความเห็นด้วยเหตุผล บุคคลนั้นจึงจะน่าเชื่อถือ

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว คุณเช่นนั้นต้องถอยกลับไปที่จุดเริ่มต้น จุดนั้นก็คือ

คุณเช่นนั้นว่า........ไตรลักษณ์ หมายถึง ธรรมสองธรรมนี้
เช่นนั้น เขียน:
ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน


เช่นนั้นเอาความเห็นนี้มาปรามาสคนอื่นหาว่า เขาเหล่านั้นพูดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัส
ประโยคนั้นก็คือ...ไตรลักษณ์ หมายถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
คุณเช่นนั้น ถามหาหลักฐาน ซึ่งคุณเช่นนั้นชอบอ้างเอามาปรามาสคนอื่นบ่อยๆ
นั้นก็คือ บาลีและคำแปลบาลีสยามรัฐ ต่อมาเขาก็เอาหลักฐานที่ว่ามาให้ดู
แทนที่จะรู้สึกรู้สา ยังถ่อสังขารลากยาวความเห็นตัวเองต่อไป

เช่นนั้น พวกเรายังไม่เห็นคุณเอาหลักฐาน บาลีและแปลบาลีสยามรัฐกับความเห็นของคุณ
มาให้ชาวบ้านเขาดูเลย ไหนไปเอาบาลีสยามรัฐพร้อมคำแปลมาให้ดูหน่อย!

(แล้วอย่ามามั่วนิ่มน่ะ ความสำคัญต้องมีคำว่า.."ไตรลักษณ์"ด้วย)

ถ้าหามาไม่ได้ ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดมันเสียเวลาเปล่าครับ มันไร้สติ
เดียวจะไม่รู้ว่าสติของเช่นนั้นคืออะไร นั้นก็คือคำที่ชอบว่าชาวบ้าน
พูดอะไรที่ไม่ใช่พุทธพจน์ ระลึกไว้ซะ แล้วก็ไปเอาหลักฐานมาให้เขาดู :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
"เช่นนั้นนี่ไม่ไหวจะเคลียร์ ทั้งลื่นทั้งรั้น"!!!!!!!!

คุณเช่นนั้นครับ ประโยคข้างบนเป็นคำที่ผมปรามาสคุณครับ ที่ผมว่าอย่างนั้น
ก็เพราะผมดูคุณตั้งแต่ต้นจนมาถึงขณะนี้....เอาเหตุผลจากคุณไม่ได้เลย

คุณอาจจะรั้นเถียงต่อไปอีกว่า ไม่จริงคุณนั้นแหล่ะมีเหตุผลมากกว่าใคร
ดังนั้นเราต่างต้องยอมรับว่า ใครแสดงความเห็นด้วยเหตุผล บุคคลนั้นจึงจะน่าเชื่อถือ

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว คุณเช่นนั้นต้องถอยกลับไปที่จุดเริ่มต้น จุดนั้นก็คือ

คุณเช่นนั้นว่า........ไตรลักษณ์ หมายถึง ธรรมสองธรรมนี้
เช่นนั้น เขียน:
ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน


เช่นนั้นเอาความเห็นนี้มาปรามาสคนอื่นหาว่า เขาเหล่านั้นพูดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัส
ประโยคนั้นก็คือ...ไตรลักษณ์ หมายถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
คุณเช่นนั้น ถามหาหลักฐาน ซึ่งคุณเช่นนั้นชอบอ้างเอามาปรามาสคนอื่นบ่อยๆ
นั้นก็คือ บาลีและคำแปลบาลีสยามรัฐ ต่อมาเขาก็เอาหลักฐานที่ว่ามาให้ดู
แทนที่จะรู้สึกรู้สา ยังถ่อสังขารลากยาวความเห็นตัวเองต่อไป

เช่นนั้น พวกเรายังไม่เห็นคุณเอาหลักฐาน บาลีและแปลบาลีสยามรัฐกับความเห็นของคุณ
มาให้ชาวบ้านเขาดูเลย ไหนไปเอาบาลีสยามรัฐพร้อมคำแปลมาให้ดูหน่อย!

(แล้วอย่ามามั่วนิ่มน่ะ ความสำคัญต้องมีคำว่า.."ไตรลักษณ์"ด้วย)

ถ้าหามาไม่ได้ ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดมันเสียเวลาเปล่าครับ มันไร้สติ
เดียวจะไม่รู้ว่าสติของเช่นนั้นคืออะไร นั้นก็คือคำที่ชอบว่าชาวบ้าน
พูดอะไรที่ไม่ใช่พุทธพจน์ ระลึกไว้ซะ แล้วก็ไปเอาหลักฐานมาให้เขาดู :b13:


มั่วตามมาอีก
หลักฐานที่ยกมาทั้งหมด
ไม่มีหลักฐาน หรือพระสูตรไหนที่สามารถ หักล้าง
สังขตะสูตร กับ อสังขตะสูตรได้แม้แต่พระสูตร หรือ อรรถกถา เลย
มีแต่อนุมานเอา และแสดงคล้อยตามอรรถาจารย์ที่สรุปเอาเองทั้งนั้น
ว่า สังขตะลักษณะ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


ความสำคัญ อยู่ที่ คำนี้ คือ ติลักขณะ
เน้นๆ ต้องมี "ติลักขณะ" ตามที่พระพุทธองค์ บัญญัติไว้แก่สังขตะลักษณะ โดยไม่พ่วงอนัตตา

เพราะ พุทธบัญญัติ ไม่ได้พ่วงอนัตตลักขณะ เข้ากับสังขตะลักขณะ และอสังขตลักขณะ

จำไว้โฮฮับ อย่าสู่รู้เกินพระพุทธองค์
สิ่งใดที่พระพุทธองค์ ไม่ได้บัญญัติ ไม่ได้สอน ก็อย่าเติมเอง
ถ้ารับไม่ได้ ก็ไม่ต้องมั่วออกมา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน


เช่นนั้น อย่าแกล้งมึน ความเห็นที่เช่นนั้นแสดงไว้น่ะ
ชาวบ้านเขาอยากเห็นหลักฐานที่เป็นพุทธพจน์
อย่าดีแต่เที่ยวตีหน้าซื่อกล่าวหาชาวบ้าน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
มั่วตามมาอีก
หลักฐานที่ยกมาทั้งหมด
ไม่มีหลักฐาน หรือพระสูตรไหนที่สามารถ หักล้าง
สังขตะสูตร กับ อสังขตะสูตรได้แม้แต่พระสูตร หรือ อรรถกถา เลย
มีแต่อนุมานเอา และแสดงคล้อยตามอรรถาจารย์ที่สรุปเอาเองทั้งนั้น
ว่า สังขตะลักษณะ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


ความสำคัญ อยู่ที่ คำนี้ คือ ติลักขณะ
เน้นๆ ต้องมี "ติลักขณะ" ตามที่พระพุทธองค์ บัญญัติไว้แก่สังขตะลักษณะ โดยไม่พ่วงอนัตตา

เพราะ พุทธบัญญัติ ไม่ได้พ่วงอนัตตลักขณะ เข้ากับสังขตะลักขณะ และอสังขตลักขณะ

จำไว้โฮฮับ อย่าสู่รู้เกินพระพุทธองค์
สิ่งใดที่พระพุทธองค์ ไม่ได้บัญญัติ ไม่ได้สอน ก็อย่าเติมเอง
ถ้ารับไม่ได้ ก็ไม่ต้องมั่วออกมา

ผมก็ว่าอย่างนั้น แบบนี้ต้องกลับไปจุดเริ่มต้น
แล้วเอาพุทธพจน์มากางเถอะเช่นนั้น
ถ้าขืนแกล้งมึน ศักดิ์ศรีก็ไม่เหลือแล้ว :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน


เช่นนั้น อย่าแกล้งมึน ความเห็นที่เช่นนั้นแสดงไว้น่ะ
ชาวบ้านเขาอยากเห็นหลักฐานที่เป็นพุทธพจน์
อย่าดีแต่เที่ยวตีหน้าซื่อกล่าวหาชาวบ้าน :b32:


กลับไปดูความเห็น ต้นๆ 28 พ.ค. 2013
นะโฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
มั่วตามมาอีก
หลักฐานที่ยกมาทั้งหมด
ไม่มีหลักฐาน หรือพระสูตรไหนที่สามารถ หักล้าง
สังขตะสูตร กับ อสังขตะสูตรได้แม้แต่พระสูตร หรือ อรรถกถา เลย
มีแต่อนุมานเอา และแสดงคล้อยตามอรรถาจารย์ที่สรุปเอาเองทั้งนั้น
ว่า สังขตะลักษณะ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


ความสำคัญ อยู่ที่ คำนี้ คือ ติลักขณะ
เน้นๆ ต้องมี "ติลักขณะ" ตามที่พระพุทธองค์ บัญญัติไว้แก่สังขตะลักษณะ โดยไม่พ่วงอนัตตา

เพราะ พุทธบัญญัติ ไม่ได้พ่วงอนัตตลักขณะ เข้ากับสังขตะลักขณะ และอสังขตลักขณะ

จำไว้โฮฮับ อย่าสู่รู้เกินพระพุทธองค์
สิ่งใดที่พระพุทธองค์ ไม่ได้บัญญัติ ไม่ได้สอน ก็อย่าเติมเอง
ถ้ารับไม่ได้ ก็ไม่ต้องมั่วออกมา

ผมก็ว่าอย่างนั้น แบบนี้ต้องกลับไปจุดเริ่มต้น
แล้วเอาพุทธพจน์มากางเถอะเช่นนั้น
ถ้าขืนแกล้งมึน ศักดิ์ศรีก็ไม่เหลือแล้ว :b32:

เมื่อโฮฮับ ก็ว่าอย่างนั้น
ก็เป็นอันจบ
อนุโมทนาที่โฮฮับ จะไม่สู่รู้เกิน พระพุทธองค์

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
จำไว้โฮฮับ อย่าสู่รู้เกินพระพุทธองค์
สิ่งใดที่พระพุทธองค์ ไม่ได้บัญญัติ ไม่ได้สอน ก็อย่าเติมเอง
ถ้ารับไม่ได้ ก็ไม่ต้องมั่วออกมา

ผมก็ว่าอย่างนั้น แบบนี้ต้องกลับไปจุดเริ่มต้น
แล้วเอาพุทธพจน์มากางเถอะเช่นนั้น
ถ้าขืนแกล้งมึน ศักดิ์ศรีก็ไม่เหลือแล้ว :b32:

เมื่อโฮฮับ ก็ว่าอย่างนั้น
ก็เป็นอันจบ
อนุโมทนาที่โฮฮับ จะไม่สู่รู้เกิน พระพุทธองค์

แปลกดี เอาสมองส่วนไหนคิด คนที่เขาเอาพุทธพจน์มาอ้าง ก็มีหลักฐาน
ดันว่า เป็นพวกสู่รู้

แต่ไอ้พวกปากดี กล่าวหาชาวบ้านเสียๆหายๆ ชาวบ้านขอหลักฐานเป็นพุทธพจน์กลับไม่มี :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เช่นนั้น เขียน:
พุทธฏีกา เขียน:
"ทำไม อนัตตา จึงมีส่วนในธรรมทุกอย่าง" ไม่ทุกอย่างครับ

มีสองอย่าง
สังขาร กับ วิสังขาร สังขตะปรุงแต่ง กับ อสังขตะพ้นจากสภาพปรุงแต่ง พ้นการปรุงแต่ง

ธรรมสองอย่างนั้น เป็นอนัตตาเพราะว่า พ้นจากสภาพสัตว์
บุคคลตัวตนเราเขาด้วย ไม่เป็นไปตามอำนาจด้วย ^^

มิได้ครับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นแหละ กำหนดด้วยความเป็นลักษณะ ของ สังขตะ
(ความปรุงแต่ง,จิต เจตสิก รูป)หรือเรียกอีกอย่างว่า สังขารธรรมก็ได้ ^^


ต่อไปก็
อนิจจัง มีลักษณะเป็นสังขตะ ?????
ทุกขัง มีลักษณะเป็นสังขตะ ????
อนัตตา มีลักษณะเป็นสังขตะ ????


มิได้ครับ ข้างต้นเขียนไว้ชัดแล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นแหละ กำหนดด้วยความเป็นลักษณะ ของ สังขตะ
(ความปรุงแต่ง,จิต เจตสิก รูป)หรือเรียกอีกอย่างว่า สังขารธรรมก็ได้ ^^

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตามีอยู่ใน จิต เจตสิก รูป เพราะจิตเจตสิกรูป เป็นสังขตะ(ปรุงแต่งด้วยปัจจัย)
พุทธฏีกาจึงกล่าวว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กำหนดด้วยความเป็นลักษณะ
ของความปรุงแต่งนั้นๆ (คือจิต เจตสิก รูป) เป็นสังขตธรรม เป็นสังขารธรรมก็ได้ ^^


เช่นนั้น เขียน:
อย่าอนุมานต่อไปเลยครับท่านพุทธฎีกา
เมื่อพุทธบัญญัติต่อสังขตะลักษณะมีอย่างไร
ก็ต้องจบตามนั้น
เพราะในอุปปาทสูตร แสดงพุทธวจนะเกี่ยวกับ ธาตุ (ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้)
ไม่ได้บัญญัติเรื่องสังขตะลักษณะว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถ้าบัญญัติ ว่าสังขตะลักษณะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ต้องบัญญัติว่า
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจัง สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา
ท่านกำลังเอามาปนกัน และบิดเบือนข้อธรรมที่พระพุทธองค์แสดง

^^

มิได้ครับ พุทธฏีกามีความเคารพในพระไตรปิฏกและอรรกถามาก ไม่กล้า
ที่จะบิดเบือน เว้นไว้แต่ว่า ไม่รู้ รู้ไม่ทั่วถึงเท่านั้น เลยต้องมานั่งตรวจทาน
ตรวจสอบ ความเห็นของตนเอง ที่เห็นโยมพี่เช่นนั้น กล้าโพสต์ ว่า

เช่นนั้น เขียน:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ


ถ้าบัญญัติ ว่าสังขตะลักษณะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ต้องบัญญัติว่า
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจัง สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา
ท่านกำลังเอามาปนกัน และบิดเบือนข้อธรรมที่พระพุทธองค์แสดง

ความจริงไม่มีใครเอาไปปนกันหรอกครับ มีตรัสในที่ทั่วไปเยอะแยะมากมายเช่น

อนิจจัง


อ้างคำพูด:
[๓๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา
แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด
จึงหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
----------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
อนิจจวรรคที่ ๒ อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0



ทุกขัง


อ้างคำพูด:
[๔๐] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นทุกข์ เวทนาเป็น
ทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารเป็นทุกข์ วิญญาณเป็นทุกข์. อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่
อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
-------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ๒. ทุกขสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งขันธ์ ๕
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0



อนัตตา


อ้างคำพูด:
[๔๑] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา เวทนา
เป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา
แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น.
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว. ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
----------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ๓. อนัตตสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งขันธ์ ๕
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0



หรือ.....

อ้างคำพูด:
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ
เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะ
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้
ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้
เป็นอย่างนั้นเลย.
-----------------------------------------------------------
พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔
มหาวรรค ภาค ๑
ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... agebreak=0


.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เช่นนั้น เขียน:
ท่านกำลังเอามาปนกัน และบิดเบือนข้อธรรมที่พระพุทธองค์แสดง

อนุโมทนาครับ ที่ทำให้พุทธฏีกาเข้าใจว่า ตัวเองไม่ได้บิดเบือน หรือเข้าใจว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน
เหมือนที่โยมพี่เช่นนั้น ยึดและเข้าใจ ไม่คลายทิฏฐินั้นเสีย ^^

เช่นนั้น เขียน:
เพราะในอุปปาทสูตร แสดงพุทธวจนะเกี่ยวกับ ธาตุ (ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้)
ไม่ได้บัญญัติเรื่องสังขตะลักษณะว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถ้าบัญญัติ ว่าสังขตะลักษณะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ต้องบัญญัติว่า
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจัง สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา

คงต้องเสียสละเวลาอ่านพระสูตรที่ยกมาแล้วนะครับ และก็คงเป็นความเข้าใจผิด
คลาดเคลื่อนเอามากๆ เสียแล้วละครับ ที่นำ สังขตธรรม และอสังขตธรรม
มาเข้าใจเอา ตามที่เพื่อนๆ กัลยาณมิตร พยายามชี้แจง เป็นต้นว่า

โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน


:b32:


พุทธฏกีาจะนำ ลักษณะของสังขตะ และอสังขตะที่เป็นพุทธพจน์มานะครับ^^

อ้างคำพูด:
[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓
ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขต-
*ธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ
------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
สังขตสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 944&Z=3948




อ้างคำพูด:
[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ
เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ
ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ
------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
อสังขตสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... agebreak=0


สังขตลักษณะ ๓ หมายถึงหรือแปลเป็นไทยอีกทีว่า ลักษณะของความปรุงแต่ง ๓ ^^
อสังขตลักษณะ ๓ หมายถึงหรือแปลเป็นไทยอีกทีว่า ลักษณะของความไม่ปรุงแต่ง ๓

พอแบ่งอย่างนี้ก็จะทำความเข้าใจได้ว่า อะไรยังเป็นโลกียธรรม หรือโลกุตตรธรรม
อะไรเป็นธรรมในวัฏฏะ อะไรเป็นธรรมในวิวัฏฏะ อะไรปรุงแต่ง อะไรไม่ปรุงแต่ง
อะไรในโลก อะไรไม่ข้องในโลก พ้นโลก อะไรเป็นธรรมหยาบ อะไรเป็นธรรม
ประณีต แปลไทยเป็นไทย ก็คือ

ลักษณะของความปรุงแต่ง ๓ อย่าง= สังขตลักษณะ ๓ ของธรรมที่ปรุงแต่ง
ลักษณะของความไม่ปรุงแต่ง ๓ อย่าง = อสังขตลักษณะ ๓ ของธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง


สังขตลักษณะ (ลักษณะของความปรุงแต่ง ๓) ของจิต เจตสิก รูป(สังขตธรรม,สังขารธรรม,สังขาร)
- ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ (อุปาทะ,เกิด)
- ความเสื่อมปรากฏ ๑ (ภังคะ, ดับ)
- เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ (ฐิติ,ตั้งอยู่โดยมีความปรุงแต่งปรากฏ คือเกิดดับ)

------- ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏแก่สิ่งซึ่งเป็น ความปรุงแต่ง-------


อสังขตลักษณะ (ลักษณะของความไม่ปรุงแต่ง ๓) พ้นเป็นขันธวิมุตติ กาลวิมุตติ (วิสังขาร)
- ไม่ปรากฏความเกิด ๑ (ไม่เกิด)
- ไม่ปรากฏความเสื่อม ๑ (ไม่ดับ)
- เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ (ตั้งอยู่โดยไม่มีความปรุงแต่งปรากฏ คือไม่เกิดไม่ดับ)

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เช่นนั้น เขียน:
Quote Tipitaka:
อุปปาทสูตร
[๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้น
ก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้ง
อยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้ว
จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร
ทั้งปวงเป็นทุกข์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่าง
นั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึง
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม
ทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ


ถามพุทธฎีกาว่า
ธาตุที่พระองค์บรรลุ คือ สังขตะธรรม ที่ท่านพุทธฏีกา บอกว่าเป็นสังขารธรรม
หรือ ธาตุ ที่พระองค์บรรลุ คือ ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้
หรือ ธาตุที่พระองค์บรรลุ คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง

ตอบ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย

พุทธฏีกาไม่ได้บอกเน้นเฉพาะสังขตธรรมนะครับ ^^
ทรงตรัสรู้ ธาตุเป็นเอนกอนันต์ ย่อๆ ยกมา ๒ ธาตุก็พอคือ
สังขตธาตุ และอสังขตธาตุ

- ความตั้งอยู่ตามธรรมดา (ธัมมฐิติ)

อ้างคำพูด:
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุเป็นผู้ฉลาดในธาตุ
ฉลาดในอายตนะ ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท และฉลาดในฐานะและอฐานะ ดูกร
อานนท์ ด้วยเหตุเท่านี้แล จึงควรเรียกได้ว่า ภิกษุเป็นบัณฑิต มีปัญญาพิจารณา ฯ

พ. ดูกรอานนท์ มี ธาตุนี้มี ๒ อย่าง คือ สังขตธาตุ อสังขตธาตุ
ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล ธาตุ ๒ อย่าง แม้ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่
จึงควรเรียกได้ว่า ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ ฯ
-----------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๕. พหุธาตุกสูตร



ก็ไม่ใช่จะมีธาตุเพียงเท่านี้นะครับ เดี๋ยวพาไปประเด็นอื่นอีก ^^

- ความเป็นไปตามธรรมดา (ธัมมนิยาม)

อ้างคำพูด:
[86] ธรรมนิยาม 3 (กำหนดแห่งธรรมดา, ความเป็นไปอันแน่นอนโดยธรรมดา, กฎธรรมชาติ — orderliness of nature; natural law)
1. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา (สังขารคือสังขตธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง — all conditioned states are impermanent)
2. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา (สังขารคือสังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ — all conditioned states are subject to oppression, conflict or suffering)
3. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา (ธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม หรือสังขารและวิสังขารทั้งปวงไม่ใช่ตน — all states are not-self or soulless)

หลักความจริงนี้ แสดงให้เห็นลักษณะ 3 อย่าง ที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ ของสภาวธรรมทั้งหลาย (ดู [76] ไตรลักษณ์) พระพุทธเจ้าจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม หลักทั้งสามนี้ ก็คงมีอยู่เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าเป็นแต่ทรงค้นพบ และนำมาเปิดเผยแสดงแก่เวไนย.

ดู [223] นิยาม 5.
A.I.285. องฺ.ติก. 20/576/368.
-----------------------------------------------------------
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=223


[๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้น
ก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้ง
อยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้ว
จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร
ทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่าง
นั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึง
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม
ทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ
-------------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
อุปปาทสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/576/368



แม้ไม่มีใครอ่านความเห็นนี้ก็ แต่สามัญลัษณะของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ก็ปรากฏอยู่โดย สภาพเป็นธัมมนิยาม อยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
และเกิดขึ้นกับ จิต เจตสิก รูป หรือสังขารธรรม สังขตธรรมนั่นเอง
ส่วนที่เป็นสังขารก็ตาม วิสังขารก็ตาม ไม่เนื่องด้วยตนจึงเป็นอนัตตา^^

- ธรรมที่คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง (อิทัปปัจจัย)

อ้างคำพูด:
[๖๑] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท
เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ พระตถาคต
ทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ๑-
ธัมมนิยาม ๒- อิทัปปัจจัย ๓- ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ทั่วถึงซึ่ง
ธาตุอันนั้น ครั้นแล้ว ย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
กระทำให้ตื้น
และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมี
ชราและมรณะ ... เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ... เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมี
ภพ ... เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ... เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ...
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ...
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม
รูป ... เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี
สังขาร พระตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น
คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้
ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น ครั้นแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนก กระทำให้ตื้น และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น
มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
----------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
๑๐. ปัจจัยสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... =590&Z=641



ตอบอีกครั้งนะครับ เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง หรือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย เมื่อพิจารณา
ทบทวนเสียสละเวลา และพร้อมลดความยึดถือเห็นผิดของตนลงเสียบ้าง อาจจะ
ทำใ้ห้เริ่มเข้าใจได้ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง หมายถึงสังขตธาตุ สังขตธรรม
หมายถึงสังขารธรรม ความประชุมร่วมกันของปัจจัยปรุงแต่งใน จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘
ทั้งหมดนี้ มีสภาพเป็น ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม ที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นๆ ที่เข้ามาขอแลกเปลี่ยน
ความเห็น เป็นอิทัปปัจจัย มีสามัญลักษณะ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

1. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา (สังขารคือสังขตธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง — all conditioned states are impermanent)

2. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา (สังขารคือสังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ — all conditioned states are subject to oppression, conflict or suffering)

3. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา (ธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม หรือสังขารและวิสังขารทั้งปวงไม่ใช่ตน — all states are not-self or soulless

การกล่าวว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามนี้ว่า

เช่นนั้น เขียน:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ

สมควรหรือไม่ บัณฑิต ผู้รู้ กัลยาณมิตรทั้งหลาย พิจารณาโดยแยบคายครับ
หรือที่ เพื่อนๆ กัลยาณมิตรท้วงติง โปรดพิจารณาด้วยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่า
ไม่จบด้วย พุทธพจน์อีก ก็อันที่จริงพุทธฏีกาจบหรือเริ่มด้วยพุทธพจน์เสมอ
ก็ถือเอา ปัจจัยสูตร กับ อุปปาทสูตร แสดงลำดับ ความลุ่มลึก ของพระธรรม
คำสอน ที่ควรแก่การรักษาความเห็นที่ถูกต้องเอาไว้ ยึดถือ สาระธรรมเป็นใหญ่
ไม่เอาความคิดเห็นตัวเองเ็ป็นที่ตั้ง เอาหลักเอาฐานมาแสดง และสนทนากัน
ด้วยความเมตตาทั้งต่อหน้าและลับหลัง หวังประโยชน์เกื้อกูลต่อกันนะครับ

ขอเจริญพร ^^

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
[๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้น
ก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้ง
อยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้ว
จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร
ทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่าง
นั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึง
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม
ทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ

พุทธฎีกา เขียน:
สังขตลักษณะ ๓ หมายถึงหรือแปลเป็นไทยอีกทีว่า ลักษณะของความปรุงแต่ง ๓ ^^
อสังขตลักษณะ ๓ หมายถึงหรือแปลเป็นไทยอีกทีว่า ลักษณะของความไม่ปรุงแต่ง ๓

พอแบ่งอย่างนี้ก็จะทำความเข้าใจได้ว่า อะไรยังเป็นโลกียธรรม หรือโลกุตตรธรรม
อะไรเป็นธรรมในวัฏฏะ อะไรเป็นธรรมในวิวัฏฏะ อะไรปรุงแต่ง อะไรไม่ปรุงแต่ง
อะไรในโลก อะไรไม่ข้องในโลก พ้นโลก อะไรเป็นธรรมหยาบ อะไรเป็นธรรม
ประณีต แปลไทยเป็นไทย ก็คือ

ลักษณะของความปรุงแต่ง ๓ อย่าง= สังขตลักษณะ ๓ ของธรรมที่ปรุงแต่ง
ลักษณะของความไม่ปรุงแต่ง ๓ อย่าง = อสังขตลักษณะ ๓ ของธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง

สังขตลักษณะ (ลักษณะของความปรุงแต่ง ๓) ของจิต เจตสิก รูป(สังขตธรรม,สังขารธรรม,สังขาร)
- ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ (อุปาทะ,เกิด)
- ความเสื่อมปรากฏ ๑ (ภังคะ, ดับ)
- เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ (ฐิติ,ตั้งอยู่โดยมีความปรุงแต่งปรากฏ คือเกิดดับ)

------- ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏแก่สิ่งซึ่งเป็น ความปรุงแต่ง-------


อสังขตลักษณะ (ลักษณะของความไม่ปรุงแต่ง ๓) พ้นเป็นขันธวิมุตติ กาลวิมุตติ (วิสังขาร)
- ไม่ปรากฏความเกิด ๑ (ไม่เกิด)
- ไม่ปรากฏความเสื่อม ๑ (ไม่ดับ)
- เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ (ตั้งอยู่โดยไม่มีความปรุงแต่งปรากฏ คือไม่เกิดไม่ดับ)


กราบนมัสการท่านพุทธฏีกา
เมื่อท่าน กล้าแทรก ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลงไว้เป็นอธิบายด้านล่างของ สังขตลักษณะ
แล้วอสังขตนะลักษณะ ทำไมท่านจึงไม่แทรก ไตรลักษณ์ของ อสังขตะด้วย อนัตตาห้อยท้ายด้วยล่ะครับท่าน ในเมื่อ พระพุทธองค์แสดงว่า "ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" ตามที่ท่านทำตัวโตๆ ไว้ข้างล่าง

อ้างคำพูด:
[86] ธรรมนิยาม 3 (กำหนดแห่งธรรมดา, ความเป็นไปอันแน่นอนโดยธรรมดา, กฎธรรมชาติ — orderliness of nature; natural law)
1. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา (สังขารคือสังขตธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง — all conditioned states are impermanent)
2. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา (สังขารคือสังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ — all conditioned states are subject to oppression, conflict or suffering)
3. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา (ธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม หรือสังขารและวิสังขารทั้งปวงไม่ใช่ตน — all states are not-self or soulless)

หลักความจริงนี้ แสดงให้เห็นลักษณะ 3 อย่าง ที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ ของสภาวธรรมทั้งหลาย (ดู [76] ไตรลักษณ์) พระพุทธเจ้าจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม หลักทั้งสามนี้ ก็คงมีอยู่เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าเป็นแต่ทรงค้นพบ และนำมาเปิดเผยแสดงแก่เวไนย.

ดู [223] นิยาม 5.
A.I.285. องฺ.ติก. 20/576/368.


ความพยายามของท่านที่่จะบิดเบือน พุทธพจน์ ตามทิฏฐิของท่านที่ไม่คลายตัวยังคงมีอยู่ต่อไป
อนุมานได้ว่า
ท่านไม่สามารถ หาเหตุผลอันสมควรที่จะแทรก เอาว่า อนัตตาเป็นลักษณะของอสังขตะ
ซึ่งในความเป็นจริง อนัตตา เป็นองค์ธรรมแห่งมัคคภาวนา ในการถอนสักกายทิฏฐิ และมานานุสัย และอวิขขานุสัย เป็นองค์ธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระพุทธองค์

ความพยายามของท่านพุทธฏีกา
ที่พยายามตู่พุทธพจน์ ว่า
สังขตะลักษณะต้อง ประกอบด้วยอนัตตา เป็นพุทธประสงค์ จึงไม่จริง

และแม้แต่การสรุปเอาเองของผู้แต่งคำแปลข้างบน
ก็สรุปเอาเองอีกเช่นกันว่า ไตรลักษณ์ของสภาวะธรรมทั้งหลาย
ยิ่งใช้ไม่ได้ที่เขียนเช่นนั้น
ถ้า
ไตรลักษณ์ของสภาวธรรมทั้งหลาย
ก็จะเป็น สัพเพธัมมา อนิจจัง
สัพเพธัมมา ทุกขัง
สัพเพธัมมา อนัตตา
จริงหรือไม่จริง ท่านพุทธฎีกา

การด่วนสรุปเห็นเอาตาม อัตโนมัติของอรรถาจารย์ หรืออาจารย์
โดยไม่พิจารณาถึงความสอดคล้องกับพุทธพจน์ ย่อมเป็นการหลับหูหลับตา ^ ^

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 30 พ.ค. 2013, 16:37, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้ใกล้ธรรมะมากที่สุด ใกล้จนติดขนคิ้วเลย :b1: มาเริ่มถกจากคนหรือมนุษย์นี่เลย เห็นๆตำตาตำใจ ซึ่งเห็น ยืน นั่ง นอน เดินกันโต๋เต๋ๆ แกว่งไปแกว่งมาเนี่ย (แกว่งแขน) เอากันชัดๆ ว่ากันให้เคลียร์ ว่าเขาเป็นใคร เมื่อจำแนกโดยขันธ์ ได้ขันธ์ครบ ๕ ไหม จาก 5 ย่อลงให้เหลือ 2 ได้ไหม จาก 2 ย่อให้เหลือ 1 ได้ไหม แล้วเรียกว่าอะไร น่าจะตื่นเต้นไม่น้อยนะ เอากันเห็นๆ ไม่ใช้จินตนาการมากด้วย :b1:

นึกเสียดายลุงหมาน แว้บไปสะก่อนจะเข้าเรื่องอยู่แล้ว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบนมัสการท่านพุทธฎีกา
เมื่อท่าน นำอิทัปปัจยตา มาแสดง ก็ยิ่งเป็นการดี
เพราะธรรมธาตุนี้ ลึกซึ้ง
ด้วยธรรมธาตุนี้
พระองค์จึง แสดง จำแนก เปิดเผย ทำให้ตื้นได้ ซึ่ง :-
สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

พระพุทธองค์ เมื่อจำแนกธรรม
พระพุทธองค์ จำแนกธรรมออกเป็น 2 คือ
สังขตะธรรม และอสังขตะธรรม

เมื่อพระพุทธองค์ จำแนกลักษณะ ของ ธรรมมทั้งสอง
คือสังขตะธรรม และอสังขตะธรรม พระพุทธองค์ก็จำแนกโดยลักษณะ 3
คือ สังขตะลักษณะ 3
อสังขตะลักษณะ 3

ดังนั้น อย่าตู่พระพุทธองค์อีกต่อไปว่า
พระพุทธองค์แสดงสังขตะลักษณะ 3 ด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มีแต่อรรถาจารย์ชั้นหลังทั้งนั้น ที่แสดงเช่นนี้ และหลับหูหลับตาสอนกันสืบๆ ต่อกันมา

สังขตะธรรม และอสังขตะธรรมมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่อาจมีลักษณะร่วมกันได้

ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา > อนัตตา จึงไม่ใช่ลักษณะขององค์ธรรม
แต่อนัตตาเป็นองค์ธรรมในมัคคปัญญาที่รื้อถอนอัตตาทั้งปวง ต่อสังขตะธรรม และอสังขตธรรม ^ ^

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร