วันเวลาปัจจุบัน 12 มิ.ย. 2025, 01:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ฟุ้งซ่านกันเข้าไป คิดกันเข้าไปคิดให้สมองบวมหัวปูดเป็นลูกมะนาวนะนักธรรมประเทศไทย :b13:

ก็เพราะนักปฏิบัติธรรมบางคนก็คิดว่าตัวเอง ไปดับนั้นดับนี่ได้ไง เลยต้องอธิบายให้เข้าใจไม่งั้นมันก็จะหลงว่าตัวเองเป็น อริยบุคคล เป็นโสดาบัน เป็น สกิทาคามี หรือถึงขั้น อนาคามี ก็ว่าไป :b18:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




z2dHrD.gif
z2dHrD.gif [ 10.08 KiB | เปิดดู 2924 ครั้ง ]
หากจะยืน เดิน นั่ง นอนคิดนะขอรับนิ คิดชักชวนสมัครพรรคพวกไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปิดทอง 9 วัด ปิดทองฝังนิมิต ปล่อยโคกระบือ ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปิดทองหลวงพ่อโสธรเป็นต้น ที่เป็นวัตถุธรรมเป็นรูปธรรมพอมองเห็นกันได้
แต่ถึงกับเอาหลักปฏิจจสมุปบาทมาคิดๆๆเนี่ยปวดหมองข้างเดียวเปล่าๆนะ

พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท (หรือหลักปัจจยาการ) ทั้งที่เป็นภายในจิตใจของบุคคล 1 และที่เป็นไปในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์หรือในทางสังคม 1

ที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั่นเป็นปฏิจจสมุปบาทภายในจิตใจของคน ต่อให้คิดกันเถียงกันจนถ่ายออกมาเป็นเลือดก็ไม่มีทางคิดออก (แค่ศัพท์ของเค้าก็แย่แล้ว) มันต้องลงมือทำลงมือพิสูจน์จากประสบการณ์ตรง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ผู้ปกครอง) ไม่จัดสรรปันทรัพย์ให้แก่เหล่าชนผู้ไร้ทรัพย์=>ความยากจนระบาดทั่ว=>อทินนาทานระบาดทั่ว=>การใช้อาวุธระบาดทั่ว=>ปาณาติบาตระบาดทั่ว=>มุสาวาทระบาด - การส่อเสียด- กาเมสุมิจฉาจาร - ผรุสวาทและสัมผัปปบาป - อภิชฌาและพยาบาท - มิจฉาทิฏฐิ-อธรรมราคะ ความละโมบ มิจฉาธรรม - ความไม่นับถือพอแม่สมณพราหมณ์ และการไม่เคารพนับถือกันตามฐานะระบาดทั่ว=>อายุวรรณะเสื่อม


ตัวอย่าง ปัจจยาการ -อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน ที่เป็นไปในความมพันธ์ระหว่างมนุษย์หรือในทางสังคม (พอมองเห็นได้ แต่เราก็ยังงงกับศัพท์ของเขาอยู่อีก)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หากจะยืน เดิน นั่ง นอนคิดนะขอรับนิ คิดชักชวนสมัครพรรคพวกไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปิดทอง 9 วัด ปิดทองฝังนิมิต ปล่อยโคกระบือ ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปิดทองหลวงพ่อโสธรเป็นต้น ที่เป็นวัตถุธรรมเป็นรูปธรรมพอมองเห็นกันได้
แต่ถึงกับเอาหลักปฏิจจสมุปบาทมาคิดๆๆเนี่ยปวดหมองข้างเดียวเปล่าๆนะ

พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท (หรือหลักปัจจยาการ) ทั้งที่เป็นภายในจิตใจของบุคคล 1 และที่เป็นไปในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์หรือในทางสังคม 1

ที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั่นเป็นปฏิจจสมุปบาทภายในจิตใจของคน ต่อให้คิดกันเถียงกันจนถ่ายออกมาเป็นเลือดก็ไม่มีทางคิดออก (แค่ศัพท์ของเค้าก็แย่แล้ว) มันต้องลงมือทำลงมือพิสูจน์จากประสบการณ์ตรง :b1:


อ่านแล้วได้อุบายในการคิดก็เป็นประโยชน์ครับ บางทีธรรมะที่โพสกันมันก็มีสาระสอดแทรกอยู่

อ้างคำพูด:
nongkong เขียน
ท่านลองไปเอา ขี้หมา มากองไว้ ใกล้ๆกับจานข้าวท่านดูไหมเจ้าค่ะ เอาแบบใหม่ๆสดๆ กลิ่นกำลังดี แล้วมาวางไว้ใกล้ๆจานข้าวท่าน แล้วท่านก็กินข้าวโดยที่เห็น ก้อนขี้หมานั้น ท่านจะ กิน ข้าวลงไหม ลองนึกดู จมุกได้กลิ่น ก็รู้ว่าจมุกได้กลิ่น ตาเห็นก็รู้ว่าตาเห็น จิตรู้ก็รุ้ว่าจิตรู้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นละหลังจากจิตท่านรู้สภาวะตามความเป็นจริงไม่ใช่ไปมีความเห็นต่อสิ่งต่างๆว่าเป็นแบบโน้นแบบนี้


ธรรมแบบนี้เอามาเป็นตัวอย่างไม่ได้ครับ เพราะไม่ใช่สภาวะจริงที่จะเกิดขึ้น เป็นจินตนาการจากมโนวิญญาณ สร้างเรื่องราวให้เกิดขึ้นทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่การพิจารณาตามมรรค

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หากจะยืน เดิน นั่ง นอนคิดนะขอรับนิ คิดชักชวนสมัครพรรคพวกไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปิดทอง 9 วัด ปิดทองฝังนิมิต ปล่อยโคกระบือ ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปิดทองหลวงพ่อโสธรเป็นต้น ที่เป็นวัตถุธรรมเป็นรูปธรรมพอมองเห็นกันได้
แต่ถึงกับเอาหลักปฏิจจสมุปบาทมาคิดๆๆเนี่ยปวดหมองข้างเดียวเปล่าๆนะ

พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท (หรือหลักปัจจยาการ) ทั้งที่เป็นภายในจิตใจของบุคคล 1 และที่เป็นไปในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์หรือในทางสังคม 1

ที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั่นเป็นปฏิจจสมุปบาทภายในจิตใจของคน ต่อให้คิดกันเถียงกันจนถ่ายออกมาเป็นเลือดก็ไม่มีทางคิดออก (แค่ศัพท์ของเค้าก็แย่แล้ว) มันต้องลงมือทำลงมือพิสูจน์จากประสบการณ์ตรง :b1:


อ่านแล้วได้อุบายในการคิดก็เป็นประโยชน์ครับ บางทีธรรมะที่โพสกันมันก็มีสาระสอดแทรกอยู่

อ้างคำพูด:
nongkong เขียน
ท่านลองไปเอา ขี้หมา มากองไว้ ใกล้ๆกับจานข้าวท่านดูไหมเจ้าค่ะ เอาแบบใหม่ๆสดๆ กลิ่นกำลังดี แล้วมาวางไว้ใกล้ๆจานข้าวท่าน แล้วท่านก็กินข้าวโดยที่เห็น ก้อนขี้หมานั้น ท่านจะ กิน ข้าวลงไหม ลองนึกดู จมุกได้กลิ่น ก็รู้ว่าจมุกได้กลิ่น ตาเห็นก็รู้ว่าตาเห็น จิตรู้ก็รุ้ว่าจิตรู้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นละหลังจากจิตท่านรู้สภาวะตามความเป็นจริงไม่ใช่ไปมีความเห็นต่อสิ่งต่างๆว่าเป็นแบบโน้นแบบนี้


ธรรมแบบนี้เอามาเป็นตัวอย่างไม่ได้ครับ เพราะไม่ใช่สภาวะจริงที่จะเกิดขึ้น เป็นจินตนาการจากมโนวิญญาณ สร้างเรื่องราวให้เกิดขึ้นทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่การพิจารณาตามมรรค

คุณน้องยกตัวอย่างว่า ธาตุขันธ์มันยังมีเหตุปัจจัย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกระบวนการปฏิจสมุปปบาท ไม่ใช่พวกที่บอกผัสสะดับ หรือ อะไรต่อมิอะไรดับ การเจริญ มรรค 8 พอได้สัมมาปัญญา การเจริญ กรรมฐานก็จะเข้าถึงฌานโดย จิตสงบสุขในฌาน แต่ถ้ายังละสังโยชน์ตัวราคะไม่ได้ ก็จะเป็นติดสุขในฌาน หรือที่เรียกว่า วิปัสนานุปกิเลศ นี่กระมัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วไป ทำบุญ ทำทาน คุณน้องทำมาตั้งแต่เด็กจนโต ตัวตนจริงๆคุนน้องเป็นคนขี้สงสารคน เมตตาผู้อื่นนะ ดูหน้าตาก็รู้ :b32: แต่คุณน้องก็ยังไม่พ้นทุกข์ คุณน้องเลยหันมาปฏิบัติธรรมเพราะต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ที่คุณพูดมาคุณไปนึกว่า กระบวนการปฏิจจ์เป็นกระบวนการขันธ์ห้าไง
คุณว่าสังโยชน์เป็นสังขารเกิดแล้วดับ ถ้างั้นคุณว่าอวิชาเกิดแล้วดับมั้ย?

นั่นมันเป็นสิ่งที่โฮฮับ นึกเองเออเอง ว่าเช่นนั้นไปนึกแบบนั้น
ผมไม่ได้นึกเองเออเอง ผมก็เอามาจากความเห็นคุณนั้นแหล่ะ
และขณะนี้ผมกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณเป็นดังที่ผมว่าจริงๆ
ผมจึงได้ถามข้อข้องใจในสิ่งที่คุณกล่าว....

เพราะโฮฮับ มีความเห็นส่วนบุคคลว่า
อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขาร
และสังขารนั้นคือสังขารขันธ์ ในขันธ์ 5
โฮฮับจึงพยายามพิสูจน์ไปเรื่อยเปื่อยตามเรื่องตามราว

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แล้วถามต่อเลย ในวงปฏิจจฯตรงช่วงชรามรณะมันคืออะไร? คุณช่วยอธิบายหน่อยครับ

คือ กองทุกข์อันมีปัจจัย

นี่หรือเป็นคำตอบ คำอธิบาย ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ อธิบายไม่ได้ก็บอกว่า อธิบายไม่ได้
อย่าดันทุรังเลยครับ เคยได้ยินเด็กๆมันถามปัญหาธรรมะกันมั้ย มันถามว่า..
ธรรมะคืออะไร อีกคนมันตอบว่า ธรรมะคือคุณากร ตลกมั้ยครับ :b32:

ถามแล้วไม่ใช่ไม่มีคำตอบ มีครับ ชราก็คือรูปหรือกายที่เสื่อมโทรม
มรณะก็คือรูปหรือกายที่ละทิ้งนามหรือจิตไป และนามหรือจิตที่เหลือก็คือ
กองทุกข์ซึ่งเป็นอวิชา ส่วนสังขารที่มีผลต่อจากอวิชา มันก็คือวิบากอัน
เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในกุศลและอกุศล ของรูปนาม[/quote]
โผล่มาแล้วไงครับ " นามจิตที่เหลือก็คือ กองทุกข์ซึ่งเป็นอวิชชา
ส่วนสังขารที่มีผลต่อจากอวิชชา ก็คือวิบากอันเกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในกุศลและอกุศล"
กองทุกข์ เป็นอวิชชา ?????

เมื่อยังมีวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่
ความปรากฏแห่ง ชราและมรณะ จึงมี นั่นคือทุกข์
เมื่อไม่ปรากฏความเวียนว่ายตายเกิด
ความปรากฏแห่งความไม่สลาย จึงมี นั่นคือความสิ้นทุกข์

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
พูดอะไรครับผมว่าคุณหลงแล้วครับ อนุสัยมันเป็นสังโยชน์เหมือนกันนะครับ
ส่วนอาสวะมันเป็น กิเลสที่เกิดจากกระบวนการขันธ์หรืออุปาทานขันธ์อันได้เคยเกิดไปแล้ว
แต่จิตจดจำไว้เป็นสัญญา

สรุปก็คือ อนุศัยก็คือสังโยชน์มันติดตัวมาตั้งแต่เกิด ตามที่ผมบอกไว้แต่ต้น
ส่วนอาสวะไม่ได้ติดตัวมา เพราะมันเป็นกระบวนการขันธ์ มันเกิดแล้วจิตจดจำไว้เป็นสัญญา

โฮฮับ เปิดลิงค์ ศึกษาพระสูตรนี้ให้จงดีนะครับ
Quote Tipitaka:
มหามาลุงโกฺยวาทสูตร ที่ ๔.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=2814&Z=2961&pagebreak=0

มามุขเดิมอีกแล้ว ทำไมไม่ทำแบบที่กล่าวหาผมตอนแรกครับ
โพสมาเลยซิครับ เป็นวรรคไหนตอนไหน ที่สนับสนุนความเห็นคุณ
โพสและอธิบายให้คุณอื่นเข้าใจด้วย ทำใจหนักแน่นไว้นะครับ เพราะผมกำลังจะว่าคุณ..
มั่วนิ่ม

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ก็ไอ้อนุสัยนั้นแหล่ะ มันเป็นสังโยชน์ เข้าใจมั้ย

สังโยชน์เป็นปัจจัยให้ อนุสัยหนาแน่นขึ้นครับ เพราะอนุสัยคืออาสวะ เข้าใจใหม่นะครับโฮฮับ

สังโยชน์มันมีอยู่สิบ ท่านแบ่งสังโยชน์ในสิบนี่ออกมาต่างหากเพราะว่า
มันมีสังโยชน์บางตัว เป็นกิเลสสังโยชน์ที่ละเอียดมันดับได้ยาก จึงให้บัญญัติมันว่า..
อนุสัยกิเลส

ทั้งสังโยชน์ อนุสัยและอาสวะ มันเป็นตัวเดียวกัน
ต่างกันที่ลักษณะและเหตุปัจจัย ดังที่ได้พูดมาแล้ว


ในมหามาลุงโกยฺวาทสูตร
พระพุทธองค์แสง โอรัมภาคิยสังโยชน์ โดยปรารภถึงความคิดความเห็นของนักบวชนอกพระพุทธศาสนาว่า สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ พยาบาท สังโยชน์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เหมือนเด็กอ่อนก็มีติดตัวมา

พระองค์ได้เคยจำแนก โอรัมภาคิยสังโยชน์ โดยรายละเอียดมาจึงตรัสถามมาลุงกยบุตร ว่าจำได้ไหมว่าพระองค์แสดง โอรัมภาคิยสังโยชน์ไว้ ว่าอย่างนี้อย่างนี้ คือ

Quote Tipitaka:
" ดูกรมาลุงกยบุตร นักบวช พวกอัญญเดียรถีย์จักโต้เถียง ด้วยคำโต้เถียง
อันเปรียบด้วยเด็กนี้ได้ มิใช่หรือว่า แม้แต่ความคิดว่า กายของตน ดังนี้ ย่อมมีแก่เด็ก
กุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ ก็สักกายทิฏฐิจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน ส่วนสักกายทิฏฐิ
อันเป็นอนุสัยเท่านั้น
ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น

แม้แต่ความคิดว่า ธรรมทั้งหลายดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ ก็ความสงสัยในธรรมทั้งหลายจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน ส่วนวิจิกิจฉาอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น

แม้แต่ความคิดว่า ศีลทั้งหลายดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ สีลัพพตปรามาสในศีลทั้งหลายจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน ส่วนสีลัพพตปรามาสอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น

แม้แต่ความคิดว่า กามทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนยังนอนหงายอยู่ ก็กามฉันทะ
ในกามทั้งหลายจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
ส่วนกามราคะอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตาม
แก่เด็กนั้น


แม้แต่ความคิดว่า สัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ก็ความพยาบาท ในสัตว์ทั้งหลายจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน ส่วนพยาบาทอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น

ดูกรมาลุงกยบุตร นักบวช พวกอัญญเดียรถีย์จักโต้เถียง
ด้วยคำโต้เถียงอันเปรียบด้วยเด็กอ่อนนี้ได้มิใช่หรือ?"....


โฮฮับ ส่วนที่ขีดเส้นใต้คือสังโยชน์
ส่วนที่ทำตัวสีน้ำเงิน คืออนุสัย
อนุสัยคืออาสวะ การเข้าไปทำความพอใจในภายหลังอันด้วยอำนาจจากอาสวะอนุสัยเป็นปัจจัยแก่สังโยชน์ จึงเป็นปัจจัยให้ตัณหาเจริญขึ้น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 11 พ.ค. 2012, 12:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ดูตอนต้นก็ใช้ได้ แต่ดูไปเรื่อยก็รู้ว่าพูดมาโดยไม่เข้าใจ อาสวะเกิดจากกระบวนการขันธ์
ที่มีต่อตัณหาเกิดเป็น อุปาทานขันธ์ เกิดภพชาติหมายความว่า เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นแล้ว
การยึดมั่นถือมัน ไม่ได้หมายถึงกรรมหรือการกระทำแต่หมายถึง กิเลสหรืออวิชา


ถ้าเป็นตามที่โฮฮับพูด นามรูป ก็จะเป็นปัจจัยแก่อาสวะ
โฮฮับ ทำความเข้าใจเรื่องปฏิจสมุปบาทใหม่นะครับ

แล้วยังไงล่ะเล่นง่ายดีครับ สั้นๆด้วนๆแบบนี้ จะให้ผมทำความเข้าใจอย่างไรไม่บอกมาล่ะครับ
บอกทางที่เขาเดินมันผิด แล้วทางที่ถูกเป็นอย่างไรครับ

ทำความเข้าใจใหม่ คือ ไปเรียนรู้ศึกษาใหม่หมด

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 12:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แล้วไม่ต้องเถียงมาอีกว่านะว่า อริยมรรคไม่ได้ปฏิบัติที่กระบวนการขันธ์
หรือมรรคสมังคีหรือสัมมาวิมุติไม่ได้ดับกระบวนการปฏิจจฯ

อริยมรรค ไม่ได้ปฏิบัติที่กระบวนการขันธ์
และมรรคสมังคีหรือสัมมาวิมุติก็ไม่ได้ดับกระบวนการปฏิจจสมุปบาท

แล้วอริยมรรค เขาปฏิบัติกันที่ไหนครับ
แล้วอะไรดับกระบวนการปฏิจจ์ หรือไม่ก็ต้องทำอย่างไรกับกระบวนการปฏิจจ์ครับ

คุณเช่นนั้นครับ คุณยังไม่ได้ให้ความกระจ่างแก่
ผู้มีปัญญาอันน้อยนิดอย่างผมเลยนะครับ


ผมถามคุณว่า...
โฮฮับ เขียน:
แล้วอริยมรรค เขาปฏิบัติกันที่ไหนครับ
แล้วอะไรดับกระบวนการปฏิจจ์ หรือไม่ก็ต้องทำอย่างไรกับกระบวนการปฏิจจ์ครับ


รบกวนช่วยตอบหน่อยครับ :b32:

ตอบให้แล้วไม่อ่าน
อริยมรรค ปฏิบัติกันที่จิต
ไม่มีการดับกระบวนการปฏิจจสมุปบาท
มีแต่การดำเนินไปตามปฏิจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร

นี่เป็นการตอบครั้งที่ สอง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
และที่ผมพูดคือการสาธยายพุทธพจน์นั้นครับ
กำลังอธิบายความเรื่องหนึ่งอยู่ แต่เอาอีกเรื่องมาแล้วมันจะรู้เรื่องหรือ
ธรรมแต่อย่างของพระพุทธเจ้ามีเหตุมีปัจจัยในตัวของธรรมนั้นอยู่แล้ว
คนมันดูไม่ออก ก็เลยต้องเที่ยวถามหาคนพูด

หรือครับ ไหนล่ะครับพุทธพจน์ที่ โฮฮับกำลังสาธยาย
โฮฮับ เขียน:
แล้วอริยมรรค เขาปฏิบัติกันที่ไหนครับ
แล้วอะไรดับกระบวนการปฏิจจ์ หรือไม่ก็ต้องทำอย่างไรกับกระบวนการปฏิจจ์ครับ

ปฏิบัติที่จิตครับ
ไม่มีการดับกระบวนการปฏิจจสมุปบาทครับ
มีแต่การดำเนินไปตามปฏิจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวารครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หากจะยืน เดิน นั่ง นอนคิดนะขอรับนิ คิดชักชวนสมัครพรรคพวกไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปิดทอง 9 วัด ปิดทองฝังนิมิต ปล่อยโคกระบือ ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปิดทองหลวงพ่อโสธรเป็นต้น ที่เป็นวัตถุธรรมเป็นรูปธรรมพอมองเห็นกันได้
แต่ถึงกับเอาหลักปฏิจจสมุปบาทมาคิดๆๆเนี่ยปวดหมองข้างเดียวเปล่าๆนะ

พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท (หรือหลักปัจจยาการ) ทั้งที่เป็นภายในจิตใจของบุคคล 1 และที่เป็นไปในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์หรือในทางสังคม 1

ที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั่นเป็นปฏิจจสมุปบาทภายในจิตใจของคน ต่อให้คิดกันเถียงกันจนถ่ายออกมาเป็นเลือดก็ไม่มีทางคิดออก (แค่ศัพท์ของเค้าก็แย่แล้ว) มันต้องลงมือทำลงมือพิสูจน์จากประสบการณ์ตรง :b1:

พิสูจน์โดยประสบการณ์ตรงอย่างไร โดยไม่ต้องคิดพิจารณาปฏิจสมุปบาท :b6:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:

พิสูจน์โดยประสบการณ์ตรงอย่างไร โดยไม่ต้องคิดพิจารณาปฏิจสมุปบาท




ที่ว่าพิจารณากันนั่นน่า มันพิจารณาตัวอักษรเหล่านี้ฮิ

อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส = ทุกขสมุทัย


นี่ปฏิจจสมุปบาทของจริงจากประสบการณ์ตรง :b1:



เมื่อไหร่รู้เข้าใจแล้วมันสงบระงับ จะเป็นไปตามตัวอักษรเหล่านี้ฮิ :b1:

(วิชชา) อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส = ทุกขนิโรธ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
แล้วไป ทำบุญ ทำทาน คุณน้องทำมาตั้งแต่เด็กจนโต ตัวตนจริงๆคุนน้องเป็นคนขี้สงสารคน เมตตาผู้อื่นนะ ดูหน้าตาก็รู้ :b32: แต่คุณน้องก็ยังไม่พ้นทุกข์ คุณน้องเลยหันมาปฏิบัติธรรมเพราะต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด



พลิกคำพูดพลิกความคิดนิดเดียว พ้นทุกข์ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด :b20:

ที่คุณ nong ยังเป็นทุกข์ ยังไม่พ้นทุกข์ เวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะคุณ nong คิด..ยึดมั่นถือมั่นว่า เราเป็นทุกข์ ฉันทุกข์...ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดก็ทำนองเดียวกัน คือคุณ nong คิดยึดติดถือมั่นตัวตนว่า ฉัน-เรา เวียนว่ายตายเกิด :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คุณครับที่ว่าเข้าใจน่ะเข้าใจจริงหรือเปล่า ให้ผมทดสอบอารมณ์แบบที่
ชาวบ้านเขาชอบพูดกันมั้ยครับ จะชี้ให้เห็นเลยว่า คำพูดของคุณ ความเห็นของคุณ
ที่แสดงออกมา มันมีสังโยชน์สามอย่างไร ที่รู้วิจิกิจฉายังเต็มเปี่ยมอยู่เลยครับ


สังโยขน์3 มีอะไรบ้างค่ะ เอาตามเข้าใจของคุณโฮนะค่ะ ไม่ต้องเอาบัญญัติมาพูดกัน เรานักปฎิบัติคุยกันอย่างง่ายๆ เอาใจคุยด้วยใจแต่เขียนออกมาเป็นตัวอักษรในสิ่งที่คุณโฮเข้าใจ เอาแค่นิยามก่อน ค่ะ...เราจะได้คุยกันแบบเป็นหลักการ ...เพราะจริงแล้ว คุณเป็นคนคุยสนุกจากที่ได้อ่านๆของคุณมา แต่ในส่วนตัวดิฉันคิดว่า ดิฉันคงเหนื่อยในการคุยกับคุณ เพราะสำนวนคุณนั้นแพรวพราวดิฉันคงตามไม่ทัน ดิฉันจะคุยกับคุณในแบบของดิฉันแล้วกัน ตอนนี้เอาแค่สังโยชน์3 ในแบบที่คุณเข้าใจ บัญญัตนะ หาอ่านได้มากมาย คนปฎิบัติธรรมเพื่อเดินทางถึงพระนิพพานนะ เข้าอ่านสังโยชน์10 กันทุกคนอยู่แล้ว หาอ่านที่ไหนก็ได้ แต่เรามาคุยเรื่องความเข้าใจในสังโยชน์3 กันดีกว่า

คุณ7/11ครับ ตั้งสติให้ดีก่อนแล้วก็ลำดับ ความเห็นของคุณกับของผมใหม่ครับ

มันเป็นคุณไม่ใช่หรือที่บอกว่าเข้าใจหมดแล้ว
ผมต่างหากที่ต้องถามคุณครับ ไม่ใช่คุณมาถามผม
ผมจะสอบอารมณ์คุณ ผมต้องเป็นผู้ถาม

แล้วอีกอย่างนะครับยังไม่ได้สอบอารมณ์เลยถอดใจซะแล้ว
หาว่าผมพูดจาแพรวพราว ไอ้พูดจาแบบนี่แหล่ะที่งัดเอากิเลสคน
ออกมาเต้นมูนวอล์คหลายคนแล้ว

เอาใหม่นะครับ ที่คุณถามผมคุณต้องตอบมาก่อนครับ:b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร