วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 21:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูเส้นทางธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดง จะเห็นว่าพระองค์ผ่อนลงๆ เพื่อให้เหมาะกับผู้ฟังซึ่งมีสติปัญญาแตกต่างกัน

มรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น <= => ศีล สมาธิ ปัญญา => ทาน ศีล ภาวนา => บุญกิริยาวัตถุ 10

สมาธิกับปัญญารวมอยู่ในภาวนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


มรรค ๘ = ปัญญา ศีล สมาธิ เรียงตามกฏของเหตุปัจจัย คือ ความรู้ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ถูก พอคิดถูกทำถูก จิตก็สงบเป็นสมาธิ

ศีล สมาธิ ปัญญา คือ ให้ไปถือศีลให้บริสุทธิก่อน แล้วจึงมาทำสมาธิจนได้ฌาน ปัญญาจึงจะเกิด ไม่มีในพระไตรปิฏก ผิดกฏธรรมชาติ ศีลทำให้เกิดสมาธิได้ แต่สมาธิไม่สามารถทำให้เกิดความรู้ที่จะเอามาดับทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ใช้การพิจารณาสิ่งที่รู้เห็นในสมาธิ ผู้ที่จะรู้เห็นอย่างนี้ได้ คือ เอกบุคคลในโลก เป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาผู้เปรียบไม่ได้ ฯ หรือ ผู้ที่จะหาปัญญาในสมาธิได้ มีแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น

ผู้ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ ยังไม่รู้ ยังไม่ใช่พุทธ ในทางธรรม ยังถือว่าเป็นพราหมณ์

ศีลสัมปทาสำหรับวิปัสสนา มีไว้สำหรับผู้ที่มีปัญญาอยู่แล้ว อาศัยศีล อาศัยสมาธิ เพื่อไปเพิ่มปัญญา เพื่อจะได้พัฒนาจาก เสขะบุคคล ไปเป็น อเสขะบุคคลเร็วขึ้น มีสอนเฉพาะผู้ที่บวชเป็นพระแล้ว นับเป็นมรรคเบื้องสูง หรือ อรหันตมรรค ไม่ใช่โสดาปัตติมรรค

ถ้าเข้าใจกฏธรรมชาติ ๒ กฏ เข้าใจว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงจะมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงไม่มี เป็นลำดับขั้นไป สลับกันไปมาไม่ได้ เอาผลเป็นเหตุเอาเหตุเป็นผลไม่ได้ รู้ว่าไม่มีอะไรหยุดอยู่กับที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ที่มันเปลี่ยนไปก็ไม่ใช่เกืดขึ้นมาลอยๆ มันต้องมีเหตุปัจจัย ฯ การศึกษาธรรมจะไม่มีหลง

ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรค คือ ความแน่นอนแห่งสัทธรรมในศาสนานี้ท่านจะต้องเดือดร้อนใจในภายหลังสิ้นกาลนาน (เสรีววาณิชชาดกที่ ๓)

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 14:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ก็แสดงว่า...สภาวะถูกต้องก็ใช้ได้...
ถ้าเป็นความจริงที่แท้จริงนะครับ ไม่ใช่ความจริงที่สมมุติ ไม่ได้มาจากความตรึก แต่ก็พูดได้แสดงได้ตอนที่ไม่ได้บวชนี่แหละครับ ถ้าบวชแล้ว ถึงเป็นความจริง บางเรื่องพระพุทธองค์ก็ห้ามแสดง เข้าข่ายอาบัติ เผลอๆ ถึงปราชิก รวมถึงเรื่องเปรตพวกนี้ด้วย ถ้ามีใครมาถามหลังจากบวช พูดได้คำเดียวว่า ... มันไม่ใช่กิจของสงฆ์
:b8:

:b1: ท่านจะบวชหรือครับ เมื่อไหร่ครับ อนุโมทนาด้วยนะครับ

Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ผมนำหลักการปฏิบัติวิปัสสนาของท่านมาปฏิบัติหลายวันแล้ว ได้ผลดีครับ
:b8: ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอครับ เราถือท่านเป็นบรมครู ไม่ใช่ของกระผม ผมเป็นสาวกก็เอามาบอกต่อ ที่ผมรู้ก็เพราะได้พบสัตตบรุษมาก่อน ท่านชื่อ สินธพ ทรวงแก้ว ... มีกฏเหล็กอยู่ข้อหนึ่งสำหรับผู้วิปัสสนา คือ ห้ามกินเหล้าเด็ดขาด พอกินเหล้า สภาวะจิตคนจะเท่าเดรัจฉาน จะไม่มีโสภณะจิตเกิดขึ้นมาเลย พอเมาได้ที่ ความพอใจไม่พอใจที่เกิดขึ้นตอนนั้น จะทับความจริงที่เราอุตส่าห์สะสมมาจนมิด ทำให้เราต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ บางคนวิปัสสนาไปได้ ๘๐-๙๐% จะได้โสดาปัตติผล พอไปกินเหล้า หรือ 0% ทันที เจ้าตัวจะรู้เองด้วยว่ามันหายไป
:b8:


:b1: ครับ เพราะเบญจขันธ์ไม่เที่ยงครับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

พระพุทธองค์อุปมาขันธ์ ๕ ไว้ดังนี้ครับ

323 อุปมาของขันธ์ ๕

ปัญหา เราจะอธิบายขันธ์ ๕ โดยเปรียบเทียบกับอะไร จึงจะเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้ง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคานี้พึงนำลุ่มฟองน้ำใหญ่มา บุรุษผู้มีจักษุ พึงพิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นพิจารณาอยู่ กลุ่มฟองน้ำนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย แม้ฉันใดรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่โดยแยบคายรูปนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิเลย ฉันนั้นเหมือนกัน

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกลงในฤดูใบไม้ร่วง (สารทสมัย) ฟองน้ำในน้ำย่อมบังเกิดขึ้นและดับไป บุรุษผู้มีจักษุ พึงพิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นพิจารณาอยู่ กลุ่มฟองน้ำนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย แม้ฉันใดเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่โดยแยบคายรูปนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันนั้น

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่ พยับแดดย่อมเต้นระยิบระยับในเวลาเที่ยง เมื่อบุรุษพิจารณาโดยแยบคาย พยับแดดนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันนั้น สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่โดยแยบคายรูปนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า ฉันนั้นเหมือนกันแล

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการด้วยไม่แก่น ถือเอาจอบอันคมพึงเข้าไปสู่ป่า พึงเห็นต้นกล้วยขนาดใหญ่ ลำต้นตรง ยังอ่อน ยังไม่เกิดแกน พึงตัดโคน ตัดปลาย ปอกกาบใบออก ไม่พึงได้แม้แต่กระพี้ในต้นกล้วยนั้น เมื่อบุรุษพิจารณาโดยแยบคาย ต้นกล้วยนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันใด สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักเล่นกล พึงเล่นกลที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง
เมื่อบุรุษพิจารณาโดยแยบคาย กลนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันใด วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมปรากฏเป็นของว่างฉันนั้นเหมือนกันแล”


เผณปิณฑสูตร ขันธ. สํ. (๒๔๒-๒๔๖)
ตบ. ๑๗ : ๑๗๑-๑๗๓๐ ตท. ๑๗ : ๑๔๙-๑๕๑
ตอ. K.S. ๓ : ๑๑๘-๑๒๐

http://www.84000.org/true/323.html
http://dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=17933

:b41: :b39: :b46: :b53:
ขอบคุณสำหรับทุกความรู้ครับ
เกิดสังขารใดๆ ขออภัยทุกท่านครับ :b41: :b46: :b53: :b39: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


narapan เขียน:
Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ก็แสดงว่า...สภาวะถูกต้องก็ใช้ได้...
ถ้าเป็นความจริงที่แท้จริงนะครับ ไม่ใช่ความจริงที่สมมุติ ไม่ได้มาจากความตรึก แต่ก็พูดได้แสดงได้ตอนที่ไม่ได้บวชนี่แหละครับ ถ้าบวชแล้ว ถึงเป็นความจริง บางเรื่องพระพุทธองค์ก็ห้ามแสดง เข้าข่ายอาบัติ เผลอๆ ถึงปราชิก รวมถึงเรื่องเปรตพวกนี้ด้วย ถ้ามีใครมาถามหลังจากบวช พูดได้คำเดียวว่า ... มันไม่ใช่กิจของสงฆ์
:b8:

:b1: ท่านจะบวชหรือครับ เมื่อไหร่ครับ อนุโมทนาด้วยนะครับ

Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ผมนำหลักการปฏิบัติวิปัสสนาของท่านมาปฏิบัติหลายวันแล้ว ได้ผลดีครับ
:b8: ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอครับ เราถือท่านเป็นบรมครู ไม่ใช่ของกระผม ผมเป็นสาวกก็เอามาบอกต่อ ที่ผมรู้ก็เพราะได้พบสัตตบรุษมาก่อน ท่านชื่อ สินธพ ทรวงแก้ว ... มีกฏเหล็กอยู่ข้อหนึ่งสำหรับผู้วิปัสสนา คือ ห้ามกินเหล้าเด็ดขาด พอกินเหล้า สภาวะจิตคนจะเท่าเดรัจฉาน จะไม่มีโสภณะจิตเกิดขึ้นมาเลย พอเมาได้ที่ ความพอใจไม่พอใจที่เกิดขึ้นตอนนั้น จะทับความจริงที่เราอุตส่าห์สะสมมาจนมิด ทำให้เราต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ บางคนวิปัสสนาไปได้ ๘๐-๙๐% จะได้โสดาปัตติผล พอไปกินเหล้า หรือ 0% ทันที เจ้าตัวจะรู้เองด้วยว่ามันหายไป
:b8:


:b1: ครับ เพราะเบญจขันธ์ไม่เที่ยงครับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

พระพุทธองค์อุปมาขันธ์ ๕ ไว้ดังนี้ครับ

323 อุปมาของขันธ์ ๕

ปัญหา เราจะอธิบายขันธ์ ๕ โดยเปรียบเทียบกับอะไร จึงจะเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้ง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคานี้พึงนำลุ่มฟองน้ำใหญ่มา บุรุษผู้มีจักษุ พึงพิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นพิจารณาอยู่ กลุ่มฟองน้ำนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย แม้ฉันใดรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่โดยแยบคายรูปนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิเลย ฉันนั้นเหมือนกัน

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกลงในฤดูใบไม้ร่วง (สารทสมัย) ฟองน้ำในน้ำย่อมบังเกิดขึ้นและดับไป บุรุษผู้มีจักษุ พึงพิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นพิจารณาอยู่ กลุ่มฟองน้ำนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย แม้ฉันใดเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่โดยแยบคายรูปนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันนั้น

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่ พยับแดดย่อมเต้นระยิบระยับในเวลาเที่ยง เมื่อบุรุษพิจารณาโดยแยบคาย พยับแดดนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันนั้น สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่โดยแยบคายรูปนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า ฉันนั้นเหมือนกันแล

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการด้วยไม่แก่น ถือเอาจอบอันคมพึงเข้าไปสู่ป่า พึงเห็นต้นกล้วยขนาดใหญ่ ลำต้นตรง ยังอ่อน ยังไม่เกิดแกน พึงตัดโคน ตัดปลาย ปอกกาบใบออก ไม่พึงได้แม้แต่กระพี้ในต้นกล้วยนั้น เมื่อบุรุษพิจารณาโดยแยบคาย ต้นกล้วยนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันใด สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักเล่นกล พึงเล่นกลที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง
เมื่อบุรุษพิจารณาโดยแยบคาย กลนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันใด วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมปรากฏเป็นของว่างฉันนั้นเหมือนกันแล”


เผณปิณฑสูตร ขันธ. สํ. (๒๔๒-๒๔๖)
ตบ. ๑๗ : ๑๗๑-๑๗๓๐ ตท. ๑๗ : ๑๔๙-๑๕๑
ตอ. K.S. ๓ : ๑๑๘-๑๒๐

http://www.84000.org/true/323.html
http://dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=17933

:b41: :b39: :b46: :b53:
ขอบคุณสำหรับทุกความรู้ครับ
เกิดสังขารใดๆ ขออภัยทุกท่านครับ :b41: :b46: :b53: :b39: :b42:



:b8: :b8: :b8: อนุโมทนาด้วยนะค่ะ :b16: :b16: :b16:

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7df3dcdbacbbaf8e

ลองอ่านดูนะครับ (ถ้าจะอ่านกรุณาอ่านให้จบด้วยนะครับ)
ถูกผิดอย่างไร ลองพิจารณาดูนะครับ

ป.ล.ว่าจะไม่ลงเพราะดูเหมือนกระทู้จะจบไม่อยากสานต่อ อันนี้อันสุดท้ายของผมสำหรับกระทู้นี้แล้วครับ

ขอสันติจงมีแด่ใจทั้งปวง :b43: :b43: :b39:



:b8: :b8: :b8: tongue :b35: :b35: :b35: ป.ล.ดูเหมือนกระทู้จะจบไม่อยากสานต่อ


ขอสันติจงมีแด่ใจทั้งปวง
:b8: :b8: :b8:


ขอสันติจงมีแด่ใจทั้งปวง
:b8: :b8: :b8: :b48: :b48: :b48: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2011, 14:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
narapan เขียน:
:b1: ท่านโฮฮับครับ
ฝึกสติแบบฉบับ พระอาจารย์สมบูรณ์ ฉตฺตสุวณฺโณ
เข้าตามหลักที่ท่านอธิบายมั๊ยครับ

เรามาฝึกสติกันครับ

อย่าพูดว่าหลักของผมซิครับ เดี๋ยวเจอข้อหาตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิ
ตอนนี้พวกขบวนการ "ตามล่าแม่มด" ยิ่งเยอะอยู่ด้วย
ยิ่งเป็นกระทู้แนวนี้ รับรองได้มาด้อมๆมองๆอยู่ ที่รู้เห็นอยู่คนสองคนครับ
:b13:

ส่วนเรื่องคำสอนของพระอาจารย์ที่คุณไปเอามา มันก็เป็นแนวเดียวกันนั้นแหล่ะครับ
ต่างกันที่บัญญัติที่ใช้ครับ


ท่านโฮฮับครับ

ตัวเน้นสีแดงข้างบนกระทบกระเทียบใครหรือครับ :b10:
ไม่ได้ตามอ่านกระทู้เก่าๆ ของท่าน

ปล.กลัวถูกกล่าวหา ว่าปล่อยปะละเลย :b13:

:b41: :b46: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2011, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b24: :b24: :b24: :b13: :b5: :b8:

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2011, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


ขอสันติจงมีแด่ใจทั้งปวง


ขอสันติจงมีแด่ใจทั้งปวง
:b48: :b48: :b48:

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2011, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


narapan เขียน:
โฮฮับ เขียน:
narapan เขียน:
:b1: ท่านโฮฮับครับ
ฝึกสติแบบฉบับ พระอาจารย์สมบูรณ์ ฉตฺตสุวณฺโณ
เข้าตามหลักที่ท่านอธิบายมั๊ยครับ

เรามาฝึกสติกันครับ

อย่าพูดว่าหลักของผมซิครับ เดี๋ยวเจอข้อหาตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิ
ตอนนี้พวกขบวนการ "ตามล่าแม่มด" ยิ่งเยอะอยู่ด้วย
ยิ่งเป็นกระทู้แนวนี้ รับรองได้มาด้อมๆมองๆอยู่ ที่รู้เห็นอยู่คนสองคนครับ
:b13:

ส่วนเรื่องคำสอนของพระอาจารย์ที่คุณไปเอามา มันก็เป็นแนวเดียวกันนั้นแหล่ะครับ
ต่างกันที่บัญญัติที่ใช้ครับ


ท่านโฮฮับครับ

ตัวเน้นสีแดงข้างบนกระทบกระเทียบใครหรือครับ :b10:
ไม่ได้ตามอ่านกระทู้เก่าๆ ของท่าน

ปล.กลัวถูกกล่าวหา ว่าปล่อยปะละเลย :b13:

:b41: :b46: :b53:

ไม่รู้น่ะดีแล้วครับ หาเหาใส่หัวเปล่าๆ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2011, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
:b8: :b8: :b8:
:b8: :b8: :b8:
:b8: :b8: :b8:
:b8: :b8: :b8:
:b8: :b8: :b8:



ขอสันติจงมีแด่ใจทั้งปวง ขอสันติจงมีแด่ใจทั้งปวง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2011, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ไม่รู้น่ะดีแล้วครับ หาเหาใส่หัวเปล่าๆ :b13:


:b12: ครับไม่รู้ก็ดีครับ :b13:

ไม่เห็นท่านซุปฯ สงสัยไปติวเข้ม

ขอถามท่านโฮฮับแทนสักข้อนะครับ
สงสัยมานานแล้วครับ ว่า

ไม่รู้ กับ วางรู้ ผลจะได้เหมือนกันมั๊ยครับ

:b12: :b13:

:b41: :b46: :b53: :b39: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2011, 04:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


narapan เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ไม่รู้น่ะดีแล้วครับ หาเหาใส่หัวเปล่าๆ :b13:

:b12: ครับไม่รู้ก็ดีครับ :b13:
ไม่เห็นท่านซุปฯ สงสัยไปติวเข้ม

ขอถามท่านโฮฮับแทนสักข้อนะครับ
สงสัยมานานแล้วครับ ว่า
ไม่รู้ กับ วางรู้ ผลจะได้เหมือนกันมั๊ยครับ
:b12: :b13:
:b41: :b46: :b53: :b39: :b42:

บัญญัติสองคำนี่มันตรงข้ามกันครับ
ความไม่รู้ เป็นกิเลส ที่เรียกว่า โมหะความหลง
ใจของคนเมื่อรับอะไรเข้ามา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นกิเลสควรละควรปล่อยวาง
ก็จะปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ และสิ่งที่ตามมาก็คือทุกข์

ส่วนวางรู้ เป็นมรรค ที่เรียกว่า สติระลึกรู้
อันนี้มันเป็นเรื่องที่ใจรับอะไรเข้ามา จิตจะไประลึกรู้สิ่งนั้น สิ่งที่ไประลึกรู้เรียกว่าสัญญา
สัญญาก็คือสิ่งที่จิตเคยประสบมาแล้วไปจำไว้ ตัวสัญญาจะเป็นเหตุให้เกิดสติ
สตินี่จะเป็นตัววางรู้สิ่งที่จิตไปรับมา

ตามนี่แหล่ะครับ

คุณนราพันธ์ครับ การบอกธรรมในแนว ที่เหมือนกับการท่องตำรา
ผมไม่ค่อยถนัดครับ ผมสันทัดในการสนทนา ประเภทเอากันสดๆ
ตามความคิดที่เหล่าเพื่อนสมาชิกแสดงออกมาในกระทู้นั้นๆ
แบบนี้มันถึงจะเรียกว่า ธรรมชาติ มันเห็นตัวตนเห็นนิสัยกันจริงๆครับ


อ้อ!อีกเรื่องครับ ไม่ทราบว่าที่คุณถามเรื่องนี้มา คุณโยงมาจากที่ผมบอกว่า "ไม่รู้น่ะดีแล้ว"หรือเปล่า
ถ้าโยงมา จะอธิบายสั้นๆให้ฟัง ชื่อคนที่คุณต้องการรู้มันเป็นความปรุงแต่ง ที่เกิดจากกิเลสที่เรียกว่า
ความอยาก ฉะนั้นเรารู้แล้วว่าเป็นกิเลส ก็ควรละควรวางลง
ถ้าเราไม่ปล่อยวาง จนเกิดการปรุงแต่งมันเป็นทุกข์ มันเหมือนกับอยู่ดีไม่ว่าดีเอาเหามาใส่หัว
มันจะมีอาการคัน เอาหวีสางตัวมันออกไปแล้ว แต่ไข่มันยังไม่ยอมหมด
มันก็เหมือนกับ การให้เหตุผลในกระทู้นี้ สู้ไม่ได้ดันหนีไปวางไข่กระทู้อื่น
กระทู้อื่นไม่พอยังเอาห้องpmเป็นที่วางไข่ แพร่เชื้อให้เกิดเหาตัวเล็กๆอีก

ผมดูๆแล้วมันก็เหมือนกับคนในกระทู้นี้ครับ การสนทนาธรรมมันไม่มีใครถูกใครผิดหรอก
มันก็แค่เป็นการแสดงความเห็นในเว็บบอร์ด โดยมรรยาทแล้วเขาไม่ชี้ถูกชี้ผิดหรอกครับ
สิ่งที่เขาดูกัน เขาดูที่เหตุผลที่เอามาสนับสนุนความเห็นตัวเอง

การสนทนาชนิดที่มีเหตุมีผลกับคำถามทุกข์คำถาม มันไม่ใช่ ทิฐิหรือการไม่ยอมแพ้
เขามีเหตุผลที่จะตอบเขาก็ต้องตอบ มันเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อความเห็น
ที่ตัวเองแสดงแต่ต้น มันต้องมองย้อนดูตัวเองครับว่า
ทำไมเราไม่มีเหตุผลอธิบายกับสิ่งที่เราเชื่อ แต่เราคิดว่าของเราถูก
กับคนอื่นเขามีเหตุผลอธิบายประกอบ เรากับไปว่าของเขาผิด
หรือการคิดว่าพวกเยอะแล้วจะถูก การคิดแบบนี้เป็นทิฐิมานะหรือเปล่า
เรื่องมันใช้แค่วิจารณญาณพื้นๆก็รู้ได้ครับว่า ใครมีทิฐิมานะ
การไปตั้งกลุ่มนินทาคนอื่นที่มีความเห็นไม่เหมือนตน มันเป็นมานะหรือเปล่า

และการข้อความpmส่วนตัวไปนินทากันยิ่งหนักไปใหญ่ อัตตามากจนล้นครับ
เรื่องมันแค่เป็นการสนทนาในกันเว็บ ชื่อยูชเนมที่ใช้ ก็ไม่จริง ตัวตนจริงๆเป็นใครก็ไม่รู้
นี่ลืมตัวเอาจริงเอาจัง จนเกินขอบเขตของการสนทนาในเว็บบอร์ด
ปากก็อ้างธรรมป่าวๆ แต่การกระทำกับตรงข้ามครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2011, 05:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกให้เลยครับ ผมไม่ใช่พวกใครทั้งนั้น จะว่าไปแล้วผมก็เป็นอีกพวก คือพวกที่สาม
ตอนแรกเป็นแค่คนดู ผมก็เฝ้ามองดูธรรมหรือความเห็นของคุณซูปแก
มันตรงกับผมบ้างไม่ตรงกับผมบ้าง แต่ผมเฉยเสียเพราะเห็นว่า มันมีลักษณะคล้ายๆแนวบทความ
ผมก็เคยบอกไว้ตอนต้นแล้วว่า โดยมรรยาทมันไม่มีใครถูกใครผิด และถ้ายิ่งเป็นเรื่องการปฏิบัติ
มันต้องเป็นคนปฏิบัติคือตัวเองเท่านั้นที่จะรู้

แต่ที่ต้องแสดงความเห็นก็เพราะ สิ่งที่เราเห็นเรารู้สดๆตรงหน้า
มีคนมาแสดงมากระทำให้เห็น อันนี้แหล่ะครับที่เป็นจริง เห็นจริง
ใครๆก็สามารถหยิบยกเอาสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามาพิจารณาได้เลยครับว่ามันคืออะไร
ผิดถูกกุศลอกุศลมันรู้อยู่แก่ใจครับ ถึงปากจะปฏิเสธแต่ใจตัวเองรับรู้ได้ครับ

ธรรมแท้มันไม่ได้อยู่ที่บทความหรือตำรา ธรรมแท้ๆมันอยู่ที่การกระทำครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2011, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: ขอบคุณครับท่านโฮฮับ

ทุกคำตอบล้วนมีธรรมที่มีประโยชน์แฝงอยู่ ไม่มีผิดไม่มีถูกจริงครับ
ท่านตอบคำถามให้หลายแง่มุมดีครับ

ผมไม่ได้โยงเข้ากับอะไรเลยครับ :b12:

พอดีท่านพูดมาว่า ไม่รู้น่ะดีแล้ว ผมจึงนึกได้
ไม่รู้ ในที่นี้หมายถึง เราไม่ต้องรู้เรื่องนั้นเลยตั้งแต่แรก กับเรารู้แล้วเราต้องวางรู้ทีหลัง
สมมุติว่า ลูกเราถูกครูตีจนสลบเราไม่รู้เลยตั้งแต่แรก เราจะไม่รู้สึกอะไร
แต่มีคนมาบอกภายหลัง พอเรารู้ เรื่องมันจบไปแล้ว และลูกเราก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เราจึงวางเรื่องที่รู้นั้นด้วยปัญญา

นี่แหละครับคือที่มาของคำถาม :b12:

:b41: :b46: :b53: :b39: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2011, 10:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


narapan เขียน:
:b12: ขอบคุณครับท่านโฮฮับ

ทุกคำตอบล้วนมีธรรมที่มีประโยชน์แฝงอยู่ ไม่มีผิดไม่มีถูกจริงครับ
ท่านตอบคำถามให้หลายแง่มุมดีครับ

ผมไม่ได้โยงเข้ากับอะไรเลยครับ :b12:

พอดีท่านพูดมาว่า ไม่รู้น่ะดีแล้ว ผมจึงนึกได้
ไม่รู้ ในที่นี้หมายถึง เราไม่ต้องรู้เรื่องนั้นเลยตั้งแต่แรก กับเรารู้แล้วเราต้องวางรู้ทีหลัง
สมมุติว่า ลูกเราถูกครูตีจนสลบเราไม่รู้เลยตั้งแต่แรก เราจะไม่รู้สึกอะไร
แต่มีคนมาบอกภายหลัง พอเรารู้ เรื่องมันจบไปแล้ว และลูกเราก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เราจึงวางเรื่องที่รู้นั้นด้วยปัญญา นี่แหละครับคือที่มาของคำถาม :b12:

:b41: :b46: :b53: :b39: :b42:


:b12: อิอิ น๊าาาาา smiley

ขอยืมคำถามท่าน นารา นี่ล่ะ

:b12: :b12: :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร