วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ค. 2025, 01:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:


รู้ไหม อานาปนสติ ต้องใช้ไปจนวันตาย ส่วนคำเรียกของแนวทางปฏิบัติต่างๆ ล้วนมาจากสภาวะนั้นๆ แต่ยังไงก็ไม่พ้น อานาปนสติ คนที่ไม่หายใจ มีแต่คนตายเท่านั้นแหละ

แม้กระทั่ง การกำหนดรูปนาม ก็ต้องหายใจ ไม่หายใจ ก็ตายน่ะสิ เพียงแต่ใช้ชื่อสมมุติว่า รูปนาม เท่านั้นเอง

และโยนิโสมนสิการ ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึกนึกคิด แต่หมายถึงการปฏิบัติด้วย ปฏิบัติทั้งนอกและใน ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและ ขณะทำสมาธิ


ไหนตอบมาสักข้อสิว่า ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ ตาทู่รู้อะไรได้บ้าง



จะบอกอะไรให้ เรื่องการสั่นสะเทือนไปหมดแล้วทั่วร่างกาย เป็นเรื่องปกติ ของจิต ขณะเป็นสมาธิอยู่ หรือ มีสมาธิเกิดขึ้นอยู่

เคยบ้างไหมล่ะ เหมือนมีกระแสไฟฟ้า วิ่งผ่านไปทั่วร่างกาย รูขุมขนไหน รู้ชัดหมด นี่ก็เรื่องปกติ ของจิต ขณะเป็นสมาธิอยู่

สภาวะที่เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ มีความพิศดารมากมาย พระผู้มีพระภาค จงทรงวางหลักโยนิโสมนสิการไว้ให้ จะได้ผ่านอุปกิเลสไปได้ ไม่ยึดติดหรือติดแค่สภาวะพิศดาร ตลอดจนรู้ต่างๆที่เกิดขึ้นมามากมาย

ที่ถามไปน่ะ ตอบมาสิ ว่ารู้ชัดอย่างไรบ้าง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
walaiporn เขียน:


รู้ไหม อานาปนสติ ต้องใช้ไปจนวันตาย ส่วนคำเรียกของแนวทางปฏิบัติต่างๆ ล้วนมาจากสภาวะนั้นๆ แต่ยังไงก็ไม่พ้น อานาปนสติ คนที่ไม่หายใจ มีแต่คนตายเท่านั้นแหละ

แม้กระทั่ง การกำหนดรูปนาม ก็ต้องหายใจ ไม่หายใจ ก็ตายน่ะสิ เพียงแต่ใช้ชื่อสมมุติว่า รูปนาม เท่านั้นเอง

และโยนิโสมนสิการ ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึกนึกคิด แต่หมายถึงการปฏิบัติด้วย ปฏิบัติทั้งนอกและใน ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและ ขณะทำสมาธิ


ไหนตอบมาสักข้อสิว่า ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ ตาทู่รู้อะไรได้บ้าง



จะบอกอะไรให้ เรื่องการสั่นสะเทือนไปหมดแล้วทั่วร่างกาย เป็นเรื่องปกติ ของจิต ขณะเป็นสมาธิอยู่ หรือ มีสมาธิเกิดขึ้นอยู่

เคยบ้างไหมล่ะ เหมือนมีกระแสไฟฟ้า วิ่งผ่านไปทั่วร่างกาย รูขุมขนไหน รู้ชัดหมด นี่ก็เรื่องปกติ ของจิต ขณะเป็นสมาธิอยู่

สภาวะที่เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ มีความพิศดารมากมาย พระผู้มีพระภาค จงทรงวางหลักโยนิโสมนสิการไว้ให้ จะได้ผ่านอุปกิเลสไปได้ ไม่ยึดติดหรือติดแค่สภาวะพิศดาร ตลอดจนรู้ต่างๆที่เกิดขึ้นมามากมาย

ที่ถามไปน่ะ ตอบมาสิ ว่ารู้ชัดอย่างไรบ้าง
การทำสมาธิวิปัสนานั้น จะต้องรู้ชัดเฉพาะขอบเขตของร่างกายเท่านั้น ทั่วทั้งร่างกายมีแต่แรงสั่นสะเทือน เราจะต้องรู้สิ่งที่ปรากฎทั่วร่างกายให้ได้ก่อน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ทั้งร่างกาย ร่างกายกับจิตใจเชื่อมโยงถึงกันตลอดเวลา เมื่อปฎิบัติไปนานๆแล้วร่างกายทั้งร่างกายจะหลอมละลายลงไม่มีร่างกายหลงเหลือจะเป็นลักษณะแรงสั่นทะเทือนเบา ทั้งจักวาลมีแต่แรงสั่นสะเทือน เมื่อเราถึงสภาวะนั้นสติเข้าไปรู้ชัดเท่ากับเราเข้าถึงธรรมะที่แท้จริงเรียกว่าภาวนามยปัญญา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
walaiporn เขียน:


รู้ไหม อานาปนสติ ต้องใช้ไปจนวันตาย ส่วนคำเรียกของแนวทางปฏิบัติต่างๆ ล้วนมาจากสภาวะนั้นๆ แต่ยังไงก็ไม่พ้น อานาปนสติ คนที่ไม่หายใจ มีแต่คนตายเท่านั้นแหละ

แม้กระทั่ง การกำหนดรูปนาม ก็ต้องหายใจ ไม่หายใจ ก็ตายน่ะสิ เพียงแต่ใช้ชื่อสมมุติว่า รูปนาม เท่านั้นเอง

และโยนิโสมนสิการ ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึกนึกคิด แต่หมายถึงการปฏิบัติด้วย ปฏิบัติทั้งนอกและใน ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและ ขณะทำสมาธิ


ไหนตอบมาสักข้อสิว่า ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ ตาทู่รู้อะไรได้บ้าง



จะบอกอะไรให้ เรื่องการสั่นสะเทือนไปหมดแล้วทั่วร่างกาย เป็นเรื่องปกติ ของจิต ขณะเป็นสมาธิอยู่ หรือ มีสมาธิเกิดขึ้นอยู่

เคยบ้างไหมล่ะ เหมือนมีกระแสไฟฟ้า วิ่งผ่านไปทั่วร่างกาย รูขุมขนไหน รู้ชัดหมด นี่ก็เรื่องปกติ ของจิต ขณะเป็นสมาธิอยู่

สภาวะที่เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ มีความพิศดารมากมาย พระผู้มีพระภาค จงทรงวางหลักโยนิโสมนสิการไว้ให้ จะได้ผ่านอุปกิเลสไปได้ ไม่ยึดติดหรือติดแค่สภาวะพิศดาร ตลอดจนรู้ต่างๆที่เกิดขึ้นมามากมาย

ที่ถามไปน่ะ ตอบมาสิ ว่ารู้ชัดอย่างไรบ้าง
การทำสมาธิวิปัสนานั้น จะต้องรู้ชัดเฉพาะขอบเขตของร่างกายเท่านั้น ทั่วทั้งร่างกายมีแต่แรงสั่นสะเทือน เราจะต้องรู้สิ่งที่ปรากฎทั่วร่างกายให้ได้ก่อน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ทั้งร่างกาย ร่างกายกับจิตใจเชื่อมโยงถึงกันตลอดเวลา เมื่อปฎิบัติไปนานๆแล้วร่างกายทั้งร่างกายจะหลอมละลายลงไม่มีร่างกายหลงเหลือจะเป็นลักษณะแรงสั่นทะเทือนเบา ทั้งจักวาลมีแต่แรงสั่นสะเทือน เมื่อเราถึงสภาวะนั้นสติเข้าไปรู้ชัดเท่ากับเราเข้าถึงธรรมะที่แท้จริงเรียกว่าภาวนามยปัญญา



นี่แหละตาทู่ รู้แค่นี้ มาเรียก ภาวนามยปัญญา เป็นเหตุของตาทู่

ไปหาหลวงพ่อพุทธฟัง พูดเรื่อง สมาธิ สัมมาสมาธิ แต่ท่านมักเรียกว่า อริยสมาธิ

หรือไม่ก็ฟัง หลวงพ่อชาบ่อยๆ การปล่อยวาง การเข้าถึงตัวตนฯลฯ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


สัมปชัญญะนั้นหมายความว่ารู้ตวทั่วพร้อม คิดถึงปลายนิ้วก็ต้องรู้ว่ามีอะไรอยู่ คิดถึงกลางกระหม่อมก็ต้องรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไม่รู้ก็ยังไม่เรียกสัมปชัญญะ ข้าพเจ้าไม่ต้องนั่งสมาธิเพียงแค่ขณะที่ข้าพเจ้าคิดถึงตรงไหนตรงนั้นก็ปรากฎความรู้สึกขึ้นมารู้สึกจริงๆถึงแรงสั่นสะเทือน นี่เรียกว่ารู้ชัด และกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ต้องผ่านขบวนการมากมาย ต้องอุเบกขา กับทุกขเวทนาทางกายมากมาย ต้องข้ามเวทนาที่รุนแรง จนร่างกายแตกสลายในมโนทวาร หมดความสงสัยทุกอย่าง ไม่ใช่นั่งสมาธิเอาสบายได้ฌานหรอกครับ มันคนละเรื่อง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ตกลง นั่งวันละกี่รอบ ครั้งละกี่ชม. ปฏิบัติวันละกี่ชม.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
สัมปชัญญะนั้นหมายความว่ารู้ตวทั่วพร้อม คิดถึงปลายนิ้วก็ต้องรู้ว่ามีอะไรอยู่ คิดถึงกลางกระหม่อมก็ต้องรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไม่รู้ก็ยังไม่เรียกสัมปชัญญะ ข้าพเจ้าไม่ต้องนั่งสมาธิเพียงแค่ขณะที่ข้าพเจ้าคิดถึงตรงไหนตรงนั้นก็ปรากฎความรู้สึกขึ้นมารู้สึกจริงๆถึงแรงสั่นสะเทือน นี่เรียกว่ารู้ชัด และกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ต้องผ่านขบวนการมากมาย ต้องอุเบกขา กับทุกขเวทนาทางกายมากมาย ต้องข้ามเวทนาที่รุนแรง จนร่างกายแตกสลายในมโนทวาร หมดความสงสัยทุกอย่าง ไม่ใช่นั่งสมาธิเอาสบายได้ฌานหรอกครับ มันคนละเรื่อง



ถ้าไม่รู้ ในเรื่องสภาวะสมาธิ อย่าแค่นที่จะคุยเลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ป้าเอ่ยป้านั่งผ่านตายให้ได้ก่อน นิพพานมันอยู่หลังความตาย สมาธิมันเรื่องเล็กๆน่า

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ป้าเอ่ยป้านั่งผ่านตายให้ได้ก่อน นิพพานมันอยู่หลังความตาย สมาธิมันเรื่องเล็กๆน่า



เรื่องสภาวะ เอาสาระอะไรไม่ได้หรอกตาทู่ คุยไปมีแต่มุดลงดิน

อยากจะพูดอะไร ก็ตามสบายนะ เพราะมันเป็นเหตุของตาทู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
ป้าเอ่ยป้านั่งผ่านตายให้ได้ก่อน นิพพานมันอยู่หลังความตาย สมาธิมันเรื่องเล็กๆน่า



เรื่องสภาวะ เอาสาระอะไรไม่ได้หรอกตาทู่ คุยไปมีแต่มุดลงดิน

อยากจะพูดอะไร ก็ตามสบายนะ เพราะมันเป็นเหตุของตาทู่
แค่นั้นป้ายังไม่รู้แล้วเราจะคุยกันรู้เรื่องเหรอ แค่ความรู้สึกที่มันเกิดในร่างกายเราอยู่ในขณะนี้มันมีจริงยังรับรู้ไม้ได้ เรื่องสมาธินั้นมันก็แค่ความสุขที่พอจะหาได้ก็เท่านั้น ป้าหาเวลาสัก10วันไปเข้าอบรมดูนะจะได้รู้ มีนักอภิธรรมใหญ่ๆหลายคนอยากพิสูจน์ และได้ยอมรับกันมากมายลองดูได้นี่ครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: กราบขอบพระคุณท่านไม่มีอะไรและท่านผู้รู้ทุกๆท่านนะคะ ที่มาแนะนำ มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อเปิดปัญญาทางธรรมให้แก่ ผุ้ฝึกหัดทางธรรมอย่างดิฉัน :b8: :b8:

เพิ่งเห็นนะคะ..เพิ่งได้เห็นก็เข้ามาอ่านได้ความรู้มากมาย แต่ในส่วนตัวดิฉันไม่พร้อมที่จะรับข้อมูลมากนั้นเลยได้ไม่เติมที่ นะคะ เดี๋ยวถ้าดิฉันพร้อมมากกว่านี้เมื่อไหร่ดิฉันจะมาอ่านซ้ำนะคะ ตอนนี้ได้แค่ 20 % เท่านั้นเองคะ

หลายวันที่ผ่านมา ดิฉันลองทำแล้ว ทำแบบสัญญานะคะ ช่างมันแบบสัญญา ในส่วนตัวการช่างมันทุกๆขันธ์นั้น ในความรู้สึกมันยากมาก เพราะปล่อยขันธ์นั้นก็ไปเกาะขันธ์นี้จริงๆ แต่อีกอย่างที่ดิฉันมีปัญหาคือ..

หลังจากดิฉันได้ลองทำ ข้อสอบที่ดิฉันเจอคือความคิดนะคะ เป็นเรื่องการคิดของสังขาร ไม่มีสัญญาในอดีตมาเกี่ยวข้อง เป็นลักษณะของสังขาร ปกติจะไม่ค่อยได้คิดอะไร สมองจะว่างๆ พอมันคิดขึ้นมาก็จะเห็นชัดมาก พอมันเห็นชัด ดิฉันก็แค่เหลือบมอง แค่มองว่ามันคิดเฉยๆ ความคิดก็หยุดชะงักไป เหมือนมันหายไปกลางอากาศ มันเป็นแบบนี้บ่อยๆ ตลอดเวลาก็เริ่มมึนหัว หนักที่กระหม่อม แรกๆก็บอกว่าช่างมัน ที่อาการข้างเคียงมันเกิดก็เกิดแค่รูปเราไม่ได้ทุกข์ไปกับอาการที่ฟ้องออกมาทางกายซะหน่อย

พอเป็นแบบนี้สัก2-3วัน คือมึนและหนักๆที่กระหม่อมก็เริ่มคิดและตรวจสอบตัวเองแล้วว่า เราทำมาถูกหรือได้พิจารณากลับไปกลับมาหลายๆรอบในการทำของตัวเอง ก็เห็นว่า มันไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง คือปกติเราคิดเราก็รู้เท่าทันกับมัน เห็นมันคิดตั้งแต่เริ่มต้นจนมันหยุดคิด แล้วเราก็จะรู้สึกเฉยๆว่าธรรมดาอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เดือนร้อนกับการคิดมากมาย แต่เมื่อทำแบบช่างมัน มันกลับตื้อๆ

พอคิดได้อย่างนี้ก็เริ่มใหม่ เริ้มต้นทำให้ พอร่างกายคิดก็มองมัน มันก็ดันหยุดค้างแบบอัตโนมัติอีก บอกตัวเองว่า นี่มันไม่ใช่ธรรมชาติของวิถีของมันเลยนะ จะค้างกลางอากาศได้ไง ก็เริ่มบอกตัวเองว่าคิดต่อสิ ให้มันเป็นเหมือนที่เราเคยเป็น แต่กลับไม่ได้ มันหายไปกลางอากาศทุกครั้งที่เรารู้และมองมัน มันเป็นแบบนี้เสมอ ผลข้างเคียงคือ มันตื้อๆ มึนๆมา 4-5 วัน ตลอดเวลา

ก็หาทางแก้ ไปถามเพื่อนธรรมหลายๆคนให้ช่วยแก้ไข ทุกๆท่านก็เมตตาแนะนำช่วยเหลือ ก็ให้ความรู้กันมา พอช่วยให้หลุดจากตรงนั้นก็ไปเกาะตรงนี้..หาวิธีแก้ให้ตัวเองมาหลายวันแล้ว มึนก็มึนหัว และยังมาจริงจังหาทางออกให้ตัวเองอีก คิดไปคิดมาปวดหัว..แก้นั่นก็เป็นนี่ แก้นี่ก็เป็นโน้น ตลอดเวลา..ปวดหัว เลยโยนมันทิ้งทั้งกระบิเลยคะ...คือไม่สนใจแล้ว..ช่างมันเถอะ บอกตัวเองอย่างนี้

แล้วมานั่งนึกย้อนวิถีการปฎิบัติของตัวเองเห็นว่า เราจริงจังมากไป เราสร้างกรอบให้ตัวเองเยอะไป ใครจะเป็นแบบไหนก็ช่าง แต่เราต้องเป๊ะในตัวเรา เคร่งครัดในตัวเอง ไม่เคยคิดว่าร่างกายเป็นเรา คิดว่ามันเป็นแค่เครื่องมือพาเราไปพระนิพพานไม่ได้สนใจอะไร เลยไม่ค่อยได้คิดว่า เราเคร่งครัดกับตัวเองมากไปหรือ

มานั่งสำรวจ ตัวเองกลับเห็นอะไรมากมาก หลังจากยกทุกอย่างทิ้งทั้งกระบิ คือไม่สนใจ มันยากมากก็ช่างมัน ตั้งใจมากไปสนใจมากไปก็ปวดหัว ปวดหัวนัก ก็โยนมันทิ้ง ทิ้งมันง่ายๆแบบนั้นเลย เมื่อทิ้งแล้ว เห็นหลายๆอย่างที่เป็นข้อเสียของตัวเองในเรื่องความเคร่งครัด ความต้องเป๊ะ ทุกอย่างมันเยอะเกินไปหมด..มันสำนึกได้นะ ไม่ไช่คิดได้ มันสำนึกได เลยปล่อยทุกอย่างออกจากตัวเองและบอกตัวเองว่า ต่อไปจะไม่มีกฏเกณฑ์ให้ตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากก็ไม่ทำ โยนมันทิ้งง่ายๆแบบนี้แหละสบายใจ

หลังจากโยนมันทิ้งและไม่แยแสมันแล้ว เพราะมันทำให้ปวดหัวมาหลายวัน เลยรำคาญโยนมันทิ้งซะอย่างงั้น โยนทิ้งแล้ว ใจก็เบา ร่างกายมันคิดอะไร ในที่สุดมันจะมีคำเข้าใจต่อจากความคิดที่ร่างกายคิดขึ้นว่า มันก็เท่านั้น..มันก็เท่านั้น...ทุกอย่างที่รู้สึก ที่คิด ที่ปรุง ที่คิดถึงอดีต ที่คิดถึงอนาคต ที่รุ้สึกในเวทนาต่างๆ มันก็เท่านั้น...ทุกอย่างมันก็เท่านั้นจริงๆ

ใจมันก็นิ่งอยู่ในตัวมากขึ้น จะถามว่าสงลไหม เรียกไม่ได้ว่าสงบ เพราะไม่ได้ทำอะไรกับมัน รู้ตัวรู้ตนทุกอย่าง แต่มันนิ่ง นิ่งแบบเป็นไปตามธรรมชาติที่มันเป็น โดยเราไม่ได้กด ไม่ได้ดัดให้มันนิ่ง มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แค่นี้ก็พอใจแล้วในตอนนี้..

ยาวมาก กราบขอโทษนะคะ เพราะเป็นคนเขียนสั้นไม่เป็น :b9: .... :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
แค่ความรู้สึกที่มันเกิดในร่างกายเราอยู่ในขณะนี้มันมีจริงยังรับรู้ไม้ได้



รู้แค่ เศษเสี้ยวแหว่งๆ ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของสภาวะสัมปชัญญะ ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ แค่นที่จะพยายามคุย

ตาทู่ เอ๊ยตาทู่ รู้แค่นี้ ยังขี้โม้คุยโตขนาดนี้ ถ้ารู้เห็นความวิจิตรพิศดารของจิตมากกว่านี้ ยิ่งกว่ายกโรงหนังโรงลิเกมาตั้งหน้าบ้าน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
แค่ความรู้สึกที่มันเกิดในร่างกายเราอยู่ในขณะนี้มันมีจริงยังรับรู้ไม้ได้



รู้แค่ เศษเสี้ยวแหว่งๆ ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของสภาวะสัมปชัญญะ ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ แค่นที่จะพยายามคุย

ตาทู่ เอ๊ยตาทู่ รู้แค่นี้ ยังขี้โม้คุยโตขนาดนี้ ถ้ารู้เห็นความวิจิตรพิศดารของจิตมากกว่านี้ ยิ่งกว่ายกโรงหนังโรงลิเกมาตั้งหน้าบ้าน
รับรู้ได้มั้ยละในขณะนี้นะที่ติ่งหูนะ อันพิศดารนั้นมันเฉพาะตนมันเล่ากันฟังมันก็มีแต่งงไม่รู้จะคุยไปทำไม เอาแค่ทุกคนสัมผัสได้จริงๆตรงนี้ดีกว่านะป้า ถ้าอย่างอื่นก้ว่าคุยอีก

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 19:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ในหลายๆวันที่มีปัญหาในการเดินทางของตัวเอง...ก็ได้ทบทวนและได้คิดพิจารณาต่างๆนานา...เห็นว่า ทำไมมันยุ่งยากอย่างนี้ กว่าจะเดินไปถึงพระนิพพาน ครูบาอาจารย์สอนว่า อนุสสติสำคัญ...อุปสมานุสสติสำคัญ..ครูบาอาจารย์สอนว่า คิดถึงพระนิพพาน มั่นใจในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน เมื่อตายไปก็ไปพระนิพพาน....มันก็ง่ายๆอย่างนี้

ย้อนมาดูตัวเองในตอนนี้...เราสามารถเดินสบายๆแบบไร้ความห่วง ไม่ต้องทำอะไร มีแต่อุปสมานุสสติ..เราจะถึงไหม...เรามั่นใจในพระนิพพานขนาดว่า ยึดแค่อุปสมานุสสติตัวเดียว เราจะไปได้ถึงไหม ถามความมั่นคงในใจตัวเอง ..เมื่อสำรวจตรวจตราตัวเอง ก็มั่นใจว่าได้..เป็นแบบที่เราเป็นสบายๆ ..ไม่ต้องทำอะไร มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย และพระนิพพาน แค่นี้ตายเราก็ถึงแน่นอน...กำลังใจของตัวเองบอกว่าเป็นอย่างนี้

เมื่อมันเป็นอย่างนี้ ทำไมเราถึงดิ้นรนขวนขวายมันมากนัน จนมันกระทบกายของเรา..เมื่อกำลังใจว่าถึง ก็ถึง ถึงพระินิพพาน...ฉะนั้นทุกอย่างก็ปล่อยออก..ช่างมัน...โยนมันทิ้งไปกับความกังวลใดๆ โยนมันทิ้งไปกับกรอบขอบเขตในการปฎิบัติของตัวเอง โยนมันทิ้งไปกับกฏเกณฑ์ต่างๆที่โลกได้กำหนดขึ้นมา...โยนมันทิ้งไปในทุกๆอย่าง.....วันนี้อยู่ๆก็เห็นทุกข์เวทนาเกิดขึ้นแบบไม่มีสาเหตุ ก็เห็นแล้วก็รู้แจ้งแก่ใจว่า..ก็เท่านั้น ก็มันเป็นอย่างนั้น...เมื่อคิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี่ ก็รู้ในใจว่า มันก็เท่านั้น..ทุกอย่างมันก็เท่านั้น เท่านั้นเอง เมื่อคืนฟังเทศน์ของหลวงปู่ชา มีคำหนึ่งที่สะุดุดในใจคือ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น คำๆนี้เมื่อได้ยินมันแตกยอดออกไปทั่วร่างกาย มันซึมซับคำๆนี้ได้มาก มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น..

มันอาจเป็นแค่อารมณ์ชั่วคราวในตอนนี้ ที่อะไรก็โยนมันทิ้ง..ไม่รู้สึกผิดที่ใดๆกับสิ่งที่เราเคยปฎิบัติมาหลายๆปี แล้วอยู่ๆก็ไม่ทำ..ในเมื่อเรารู้ลมหายใจตลอดเวลา...การตั้งท่ากับไม่ตั้งท่ามันก็เหมือนๆกัน..จากตั้งท่าก็ไม่ตั้งท่า........ปล่อยไปตามธรรมชาติของมัน...ถ้าอยากลับมาทำมาปฎิบัติอีกก็ทำ..ไม่ต่างกัน แค่จากไม่ตั้งท่า มาตั้งท่าทำกรรมฐานเฉพาะเวลา.....ทุกอย่างมันไม่ต่างกันเลย โยนมันทิ้งแล้ว นิ่ง..เงียบ..สงบดี ไม่ได้ร้อนรน รู้ก็เฉย...วันนี้มีคนมาด่าก็เฉย มันเฉยๆแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ไ้ด้เฉยๆแบบอยู่ในสมาธิ ไม่รู้จะเล่ายังไง แต่มันเป็นแบบนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
แค่ความรู้สึกที่มันเกิดในร่างกายเราอยู่ในขณะนี้มันมีจริงยังรับรู้ไม้ได้



รู้แค่ เศษเสี้ยวแหว่งๆ ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของสภาวะสัมปชัญญะ ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ แค่นที่จะพยายามคุย

ตาทู่ เอ๊ยตาทู่ รู้แค่นี้ ยังขี้โม้คุยโตขนาดนี้ ถ้ารู้เห็นความวิจิตรพิศดารของจิตมากกว่านี้ ยิ่งกว่ายกโรงหนังโรงลิเกมาตั้งหน้าบ้าน



รับรู้ได้มั้ยละในขณะนี้นะที่ติ่งหูนะ อันพิศดารนั้นมันเฉพาะตนมันเล่ากันฟังมันก็มีแต่งงไม่รู้จะคุยไปทำไม เอาแค่ทุกคนสัมผัสได้จริงๆตรงนี้ดีกว่านะป้า ถ้าอย่างอื่นก้ว่าคุยอีก



โฮะๆๆๆๆๆ ตาทู่เอ๊ยตาทู่ อย่างฮาจริงๆ ติ่งหู ทำเป็นเวอร์ชั่นคันหู ภาคพิศดารไปได้

เอาเป็นว่า ตาทู่มีเหตุอันใด สภาวะเป็นอันใด นั่นเหตุปัจจัยของตาทู่

ฉานก็แค่เข้ามาพักผ่อนอิริยาบท เท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนา เข้ามาเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ เหมือนลิเก ต้องออกแขก อะไรประมาณนั้น

ถ้าจะให้โฆษณา ตอนนี้ โฆษณาเฉพาะธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ คือ เรื่อง โยนิโสมนสิการ เพราะทำได้จริง เห็นผลทันตา จึงมาบอกเล่าสู่กันฟัง ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มิได้นำพา เพราะเหตุของแต่ละคน เหตุของใครก็ของคนนั้น

ส่วนสภาวะอื่นๆน่ะ สักแต่จะเรียกชื่อกันไป ตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน

ตราบใดที่ยังมีกิเลส ไม่ว่าดี/ชั่ว ทุกคนมีหมด แต่วลัยพรไม่นำพา เพราะเหตุของใคร เป็นของคนนั้น คนอื่นๆรับแทนกันไม่ได้หรอก

ในมุมองของวลัยพร ไม่มีใครดีกว่าใคร หรือเลวไปกว่าใคร แต่เหตุปัจจัยที่มีอยู่ต่อกันต่างหาก ที่ทำให้มีความรู้สึกนึกคิดเช่นนั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร