วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 16:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 29 ก.ค. 2012, 09:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนยังตอบไม่ตรงคำถาม แฮะ

:b6:


โพสต์ เมื่อ: 29 ก.ค. 2012, 11:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
สมาธิสูตร
[๖] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่า
เป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็น
อารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในเตโชธาตุว่าเป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความ
สำคัญในวาโยธาตุว่าเป็นวาโยธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอากาสานัญ-
*จายตนฌานว่าเป็นอากาสานัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญใน
วิญญาณัญจายตนฌานว่าเป็นวิญญาณัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความ
สำคัญในอากิญจัญญายตนฌานว่าเป็นอากิญจัญญายตนฌานเป็นอารมณ์ ไม่พึงมี
ความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานว่า เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
เป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกนี้ว่าเป็นโลกนี้เป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความ
สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้
สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุหรือหนอแล ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ
ว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็น
อารมณ์ ... ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่า
พึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็น
ปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์
... ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มี
สัญญา ก็การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า
นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลส
ทั้งปวง ความสิ้นแห่งตัณหา ความปราศจากความกำหนัด ความดับ นิพพาน
ดังนี้ ดูกรอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมีความ
สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้
สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๖
สาริปุตตสูตร
[๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรท่าน
สารีบุตรผู้มีอายุ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมีความ
สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้
สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุหรือหนอ ฯ
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญใน
ปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็น
โลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมี
แก่ภิกษุ ฯ
อา. ดูกรท่านสารีบุตร ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุ
เป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์
ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ก็การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร ฯ
สา. ดูกรท่านอานนท์ สมัยหนึ่ง ผมอยู่ ณ ป่าอันธวัน ใกล้พระนคร
สาวัตถีนี้แหละ ณ ที่นั้น ผมเข้าสมาธิ โดยประการที่ผมมิได้มีความสำคัญใน
ปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์เลย มิได้มีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็น
อาโปธาตุเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในเตโชธาตุว่าเป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์
มิได้มีความสำคัญในวาโยธาตุว่าเป็นวาโยธาตุเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญใน
อากาสานัญจายตนฌานว่าเป็นอากาสานัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มีความ
สำคัญในวิญญาณัญจายตนฌานว่าเป็นวิญญาณัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มี
ความสำคัญในอากิญจัญญายตนฌานว่าเป็นอากิญจัญญายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้
มีความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานว่าเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
เป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในโลกนี้ว่าเป็นโลกนี้เป็นอารมณ์ มิได้มีความ
สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าผมเป็นผู้มีสัญญา ฯ
อา. ก็ในสมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้มีสัญญาอย่างไร ฯ
สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นแก่ผมว่า การดับภพ
เป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้แล สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไป
ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อไฟมีเชื้อกำลังไหม้อยู่เปลวอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เปลว
อย่างหนึ่งย่อมดับไป แม้ฉันใด ดูกรท่านผู้มีอายุ สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น
แก่ผมว่า การดับภพเป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้ สัญญาอย่างหนึ่ง
ย่อมดับไป ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็แลในสมัยนั้น ผมได้มี
สัญญาว่า การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้ ฯ


โพสต์ เมื่อ: 29 ก.ค. 2012, 11:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
๘. โกสัมพีสูตร
[๒๖๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระมุสิละ ท่านพระปวิฏฐะ ท่านพระนารทะ
และท่านพระอานนท์ อยู่ ณ โฆสิตาราม เขตเมืองโกสัมพี ฯ
[๒๖๙] ครั้งนั้น ท่านพระปวิฏฐะได้กล่าวคำนี้กะท่านพระมุสิละว่า ดูกร
ท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตาม
อาการ และจากการทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ดังนี้หรือ ฯ
พระมุสิละกล่าวว่า ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟัง
ตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ และการทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้
ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ฯ
ป. ท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความ
ตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัว
ท่านว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ฯลฯ เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ...
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ... เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ...
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ...
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ...
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
ดังนี้หรือ ฯ
ม. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น
อย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯ
[๒๗๐] ป. ดูกรท่านมุสิละ อนึ่ง เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การ
ฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละ
มีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ดังนี้หรือ ฯ
ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น
อย่างนี้ว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ
ป. ดูกรท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะ
ตัวท่านว่า เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ฯลฯ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ... เพราะ
ตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ... เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ... เพราะผัสสะดับ เวทนา
จึงดับ ... เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ... เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ...
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ... เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... เพราะ
อวิชชาดับ สังขารจึงดับ ดังนี้หรือ ฯ
ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น
อย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ฯ
[๒๗๑] ป. ดูกรท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟัง
ตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละ
มีญาณเฉพาะตัวท่านว่า ภพดับ เป็นนิพพานหรือ ฯ
ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น
อย่างนี้ว่า ภพดับ เป็นนิพพาน ฯ
ป. ถ้าอย่างนั้น ท่านมุสิละ ก็เป็นพระอรหันตขีณาสพ ฯ
เมื่อพระปวิฏฐะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านมุสิละได้นิ่งอยู่ ฯ
[๒๗๒] ครั้งนั้นแล ท่านพระนารทะได้กล่าวกะท่านปวิฏฐะว่า สาธุ
ท่านปวิฏฐะ ผมพึงได้ปัญหานั้น ท่านจงถามปัญหาอย่างนั้น ผมจะแก้ปัญหานั้น
แก่ท่าน ท่านปวิฏฐะกล่าวว่า ท่านนารทะได้ปัญหานั้น ผมขอถามปัญหานั้นกะท่าน
นารทะ และขอท่านนารทะจงแก้ปัญหานั้นแก่ผม ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความ
เชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความ
เพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมี
ชราและมรณะ ดังนี้หรือ ฯ
นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น
อย่างนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ฯ
ป. ท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
การตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะ
ตัวท่านว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ฯลฯ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี
สังขาร ดังนี้หรือ ฯ
นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความ
ตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยอิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯ
[๒๗๓] ป. ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟัง
ตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะ
มีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ฯลฯ เพราะอวิชชา
ดับ สังขารจึงดับ ดังนี้หรือ ฯ
นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น
อย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ฯ
[๒๗๔] ป. ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟัง
ตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะ
มีญาณเฉพาะตัวท่านว่า ภพดับเป็นนิพพาน ดังนี้หรือ ฯ
นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความ
ตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า
ภพดับเป็นนิพพาน ฯ
ป. ถ้าอย่างนั้น ท่านนารทะก็เป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ ฯ
นา. อาวุโส ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันตขีณาสพ อาวุโส เปรียบเหมือนบ่อน้ำ
ในหนทางกันดาร ที่บ่อนั้นไม่มีเชือกโพงจะตักน้ำก็ไม่มี ลำดับนั้นบุรุษถูกความร้อน
แผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิว ระหาย เดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้น ก็รู้ว่ามีน้ำ
แต่จะสัมผัสด้วยกายไม่ได้ ฉันใด ดูกรอาวุโส ข้อว่า ภพดับเป็นนิพพาน ผม
เห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่า ผมไม่ใช่พระอรหันตขีณาสพ
ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
[๒๗๕] เมื่อท่านพระนารทะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าว
กะท่านพระปวิฏฐะว่า ดูกรท่านปวิฏฐะ ท่านชอบพูดอย่างนี้ ท่านได้พูดอะไร
กะท่านนารทะบ้าง พระปวิฏฐะกล่าวว่า ท่านอานนท์ ผมพูดอย่างนี้ ไม่ได้พูด
อะไรกะท่านนารทะ นอกจากกัลยาณธรรม นอกจากกุศลธรรม ฯ
จบสูตรที่ ๘


โพสต์ เมื่อ: 29 ก.ค. 2012, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ก็เหลือแต่...วิเวกในอุปาทาน...ในขั้นที่ละเอียดยิ่งกว่านี้...ละซินะ


ถ้าเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นกับตัวคุณกบเองในปัจจุบัน แล้วมีคนบอกกับคุณว่า สิ่งนี้เป็นนั่นเป็นนี่ หรือมีคำเรียกว่านั่น ว่านี่

แต่คุณยังไม่ปักใจเชื่อ คุณไปค้นหาตามตำรา คุณก็นำสภาวะไปเทียบเคียงกับตำรา


พอดีมีคนแนะนำ ให้คุณไปหาพระอาจารย์ท่านหนึ่ง คุณไปพบท่าน เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ท่านฟังทั้งหมด

ท่านฟังจนจบ ท่านจะถามคุณว่า แล้วคุณว่า คืออะไร?



ผมไม่ปล่อยให้ท่านถามผมก่อนหรอก....ผมจะลองภูมิพระอาจารย์คนนั้นก่อน... :b32: :b32: :b32:

เห็นพอคุยได้ก็จะคุยต่อ....เห็นพอถามได้....ก็จะถาม :b12:

สมมุติว่า....รู้สึกว่าท่านพอคุยพอถามได้....แล้วท่านถามกลับว่า...คืออะไร?

หากท่านมาในแนวทางปริยัติ...ผมก็จะตอบตามที่คิดได้จำได้จากตำรา

หากท่านมาในแนวทางปฏิบัติ...ผมก็จะตอบเท่าที่ตัวเองรู้สึก

:b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 29 ก.ค. 2012, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
Quote Tipitaka:
สมาธิสูตร
[๖] .........
พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า
นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลส
ทั้งปวง ความสิ้นแห่งตัณหา ความปราศจากความกำหนัด ความดับ นิพพาน
ดังนี้ ดูกรอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมีความ
สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้
สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๖


:b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้ำค่ะ ขอถามเรื่องนั่งสมาธิต่อน่ะค่ะ ตอนนี้เวลาที่เรานั่งสมาธิหรือสวดมนต์
พอจิตเป็นสมาธิแล้ว เราจะเหมือนคนหลับไปเลยค่ะ คือเงียบไปเลย
แล้วก็สวดมนต์ต่อ พอสวดต่อก็จะมีอาการแบบนี้อีก เป็นเพราะอะไรเหรอค่ะ
แต่เราไม่ได้ง่วงนอนน่ะ คือพอสวดๆไปจิตก็เงียบไปเลยค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:


โพสต์ เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณน้ำค่ะ ขอถามเรื่องนั่งสมาธิต่อน่ะค่ะ ตอนนี้เวลาที่เรานั่งสมาธิหรือสวดมนต์
พอจิตเป็นสมาธิแล้ว เราจะเหมือนคนหลับไปเลยค่ะ คือเงียบไปเลย
แล้วก็สวดมนต์ต่อ พอสวดต่อก็จะมีอาการแบบนี้อีก เป็นเพราะอะไรเหรอค่ะ
แต่เราไม่ได้ง่วงนอนน่ะ คือพอสวดๆไปจิตก็เงียบไปเลยค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:




"เหมือนคนหลับ คือ เงียบไปเลย"

หมายถึง เวลานั่งสมาธิ ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่ คุณเต้ ไม่สามารถรู้ที่กายได้ คือ กายก็ไม่รู้ อะไรๆก็ไม่รู้ มันหายเงียบไปหมดแบบนั้น ใช่ไหมคะ?


เวลาสวดมนต์ พอรู้สึกว่า จิตเป็นสมาธิ จิตก็เงียบไป แล้วสักพัก กลับมารู้สึกตัวต่อ จึงสวดมนต์ต่อ คือ รู้สึกตัว กับ รู้สึกเงียบ สลับกันเป็นระยะๆ ใช่แบบนี้หรือเปล่าคะ?

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้ำเขียน


อ้างคำพูด:
"เหมือนคนหลับ คือ เงียบไปเลย"

หมายถึง เวลานั่งสมาธิ ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่ คุณเต้ ไม่สามารถรู้ที่กายได้ คือ กายก็ไม่รู้ อะไรๆก็ไม่รู้ มันหายเงียบไปหมดแบบนั้น ใช่ไหมคะ?


เวลาสวดมนต์ พอรู้สึกว่า จิตเป็นสมาธิ จิตก็เงียบไป แล้วสักพัก กลับมารู้สึกตัวต่อ จึงสวดมนต์ต่อ คือ รู้สึกตัว กับ รู้สึกเงียบ สลับกันเป็นระยะๆ ใช่แบบนี้หรือเปล่าคะ?




ใช่ค่ะคุณน้ำ :b8: :b41: :b55: :b48:


โพสต์ เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 22:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณน้ำเขียน


อ้างคำพูด:
"เหมือนคนหลับ คือ เงียบไปเลย"

หมายถึง เวลานั่งสมาธิ ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่ คุณเต้ ไม่สามารถรู้ที่กายได้ คือ กายก็ไม่รู้ อะไรๆก็ไม่รู้ มันหายเงียบไปหมดแบบนั้น ใช่ไหมคะ?


เวลาสวดมนต์ พอรู้สึกว่า จิตเป็นสมาธิ จิตก็เงียบไป แล้วสักพัก กลับมารู้สึกตัวต่อ จึงสวดมนต์ต่อ คือ รู้สึกตัว กับ รู้สึกเงียบ สลับกันเป็นระยะๆ ใช่แบบนี้หรือเปล่าคะ?




ใช่ค่ะคุณน้ำ :b8: :b41: :b55: :b48:




เวลานั่งสมาธิ ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่ ไม่สามารถรู้ที่กายได้ คือ กายก็ไม่รู้ อะไรๆก็ไม่รู้ มันหายเงียบไปหมดแบบนั้น


เพิ่มการเดินจงกรม น่ะค่ะ

คุณเต้ ต้องตั้งเวลา ในการเดินกับนั่ง คือ ให้เดินมากกว่านั่ง ส่วนเวลา อยู่ที่ความสะดวก แต่ให้เดินมากกว่านั่ง จนกว่า ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ สามารถรู้ชัดภายในกายและจิตได้น่ะค่ะ





เวลาสวดมนต์ พอรู้สึกว่า จิตเป็นสมาธิ จิตก็เงียบไป แล้วสักพัก กลับมารู้สึกตัวต่อ จึงสวดมนต์ต่อ คือ รู้สึกตัว กับ รู้สึกเงียบ สลับกันเป็นระยะๆ


สภาวะนี้ เป็นเรื่องปกติค่ะ ไม่ต้องทำอะไร แค่รู้ไปค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 02 ส.ค. 2012, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้ำเขียน


อ้างคำพูด:
เวลานั่งสมาธิ ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่ ไม่สามารถรู้ที่กายได้ คือ กายก็ไม่รู้ อะไรๆก็ไม่รู้ มันหายเงียบไปหมดแบบนั้น


เพิ่มการเดินจงกรม น่ะค่ะ

คุณเต้ ต้องตั้งเวลา ในการเดินกับนั่ง คือ ให้เดินมากกว่านั่ง ส่วนเวลา อยู่ที่ความสะดวก แต่ให้เดินมากกว่านั่ง จนกว่า ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ สามารถรู้ชัดภายในกายและจิตได้น่ะค่ะ





คงจะใช่ค่ะคุณน้ำ ช่วงนี้เราไม่ได้เดินจงกลมมาเดือนกว่า เพราะเราเอาอิฐบล๊อกมาปูที่ดินทั้งหมด
ทีนี้ตรงอิฐบล๊อกที่วางๆ เรียงกันอยู่ จะมีช่องว่างนิดๆ ตอนกลางคืนเราเดินจงกลม รองเท้าก็ไม่ได้ใส่

เดินๆอยู่ ก็เห็นเจ้าลูกงูโผล่หัวมาจากช่องอิฐบล๊อก เราสยองเลย เราก็เลยหยุดเดินจงกลมเลย
แต่ตอนนี้เราเอาปูนไปปิดตามร่องๆหมดแล้ว แต่ก็ยังกลัวๆอยู่
ขอบคุณน่ะค่ะ :b8: สำหรับความรู้เพิ่มมาอีกขอบคุณค่ะ :b41: :b55: :b48:


โพสต์ เมื่อ: 02 ส.ค. 2012, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณต้ ... ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่ หากมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เช่น

รู้สึกกายไม่ใช่กาย แต่เหมือนอะไรที่เป็นแท่งๆ ปรากฏขึ้นแทนกาย คำว่ากายหายไป หรือ

รู้สึกกายไม่ใช่กาย แต่เหมือนอะไรที่กลวงๆ ที่ปรากฏอยู่ ปราศจากตัวตน เขา เรา หรือ

รู้สึกเหมือนมีกายซ้อนกายอยู่ คือ มีอีกร่างซ้อนอยู่ หรือ

รู้สึกว่า กายหายไปหมด แขนขา อวัยวะต่างๆไม่มี มีแต่ความว่าง ปรากฏขึ้นแทน รู้สึกว่า มันว่างไปหมด หรือ

เห็นโอภาสหรือแสงสว่าง ที่สว่างมากๆ ไม่มีคำจำกัดความ หรือ

เห็นสีแสงต่างๆ ปรากฏในรูปของรัศมี สว่างเจิดจ้า หรือ

รู้สึกถึงพลังของสมาธิที่เกิดขึ้น มีแสงสว่างมากมาย ห่อหุ้มกายนี้อยู่ หรือ

รู้สึกเงียบ สงบ ปราศจากความรู้สึกอื่นๆ นั่งไป ๒ ชม. เหมือน นั่งแค่ ๕ นาที หรือเกิดนานมากหลายชม. แต่ขาดความรู้สึกตัว ฯลฯ



ลักษณะหรือรู้สึกถึงอาการดังกล่าว ที่ยกมาเป็นตัวอย่าง หรือ อาจจะมีลักษณะอาการอื่นๆเกิดขึ้น นอกเหนือจากนี้


เมื่อมี สภาวะเหล่านี้เกิดขึ้น รู้แต่สภาวะที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถ รู้สึกถึงกายที่นั่งอยู่ หรือ ส่วนต่างๆในกาย ที่เคลื่อนไหวอยู่ เช่น ท้องพองยุบ จุดชีพจรต่างๆ

แม้กระทั่ง กายที่มีอยู่ กลับเป็นความว่าง ที่ปรากฏขึ้นแทนที่กาย ที่มีอยู่ แต่ไม่สามารถรู้ชัดในสิ่งที่เกิดขึ้น ซ้อนอยู่ในความว่างนี้ได้


ทั้งหมดนี้ หรือมีมากกว่านี้ ล้วนเป็นเรื่องปกติของจิต ขณะที่เป็นสมาธิ


ขณะนั้นๆ ให้แค่ดู แค่รู้ คือ ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ในสิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ตามความเป็นจริง ไม่ต้องใส่คำเรียกใดๆลงไป หรือไปหาคำเรียกมาใส่ ในภายหลัง สักแต่ว่า เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเท่านั้นพอ


แนวทางการปฏิบัติ ให้ปรับอินทรีย์ ระหว่าง สติกับสมาธิ ให้เกิดความสมดุลย์ โดยให้เดิน ก่อนนั่ง เดินให้มากกว่านั่ง ทุกๆครั้ง หมั่นสังเกตุดู


หากสติกับสมาธิ มีความสมดุลย์ เป็นเหตุให้ ตัวสัมปชัญญะเกิด จึงสามารถรู้ชัดภายในกายที่มีอยู่ หรือ สามารถรู้ชัด สภาวะที่ซ้อนอยู่ภายในความว่าง ที่ปรากฏอยู่ หรือ

แม้กระทั่งเกิดโอภาส สว่างมากมายแค่ไหน หรือ แม้กระทั่งนิมิตอื่นๆ หรือ สภาวะอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้น อาจจะแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ก็ตาม ขณะที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ กำลังเกิดขึ้น สามารถรู้ชัดในกายที่มีอยู่ได้ รู้ไปพร้อมๆกัน แต่ละขณะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ได้


บางครั้ง จิตเป็นสมาธิอยู่นานหลายชม. ก็จะสามารถรู้ชัดอยู่ภายในกายและจิต มีความรู้สึกตัวเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ เป็นระยะๆ


ถ้ามีอะไรมากกว่านี้ ถามได้นะคะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 02 ส.ค. 2012, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คงจะใช่ค่ะคุณน้ำ ช่วงนี้เราไม่ได้เดินจงกลมมาเดือนกว่า เพราะเราเอาอิฐบล๊อกมาปูที่ดินทั้งหมด
ทีนี้ตรงอิฐบล๊อกที่วางๆ เรียงกันอยู่ จะมีช่องว่างนิดๆ ตอนกลางคืนเราเดินจงกลม รองเท้าก็ไม่ได้ใส่

เดินๆอยู่ ก็เห็นเจ้าลูกงูโผล่หัวมาจากช่องอิฐบล๊อก เราสยองเลย เราก็เลยหยุดเดินจงกลมเลย
แต่ตอนนี้เราเอาปูนไปปิดตามร่องๆหมดแล้ว แต่ก็ยังกลัวๆอยู่
ขอบคุณน่ะค่ะ :b8: สำหรับความรู้เพิ่มมาอีกขอบคุณค่ะ :b41: :b55: :b48:



ใจตรงกัน โพสตรงกันพอดี

สิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นเหตุค่ะ ทำให้คุณเต้ เกิดความระมัดระวังมากขึ้น

คุณเต้ ควรทำต่อเนื่องค่ะ เดินก่อนนั่ง จนกว่าอินทรีย์เกิดความสมดุลย์ เมื่อสภาวะเข้าสู่ความสมดุลย์ จะไม่มีการถอยหลัง ต่อไป ไม่จำเป็นต้องเดินก่อนที่จะนั่ง สามารถนั่งได้เลย แต่ต้องใช้เวลานะคะ ทำต่อเนื่องไปก่อนค่ะ


การเกิด ล้วนเป็นทุกข์นะคะ ไม่ว่าจะเป็นเหตุนอกตัว แม้กระทั่ง สังขารที่มีอยู่ น้ำมองเห็นแต่ทุกข์นะคะ เป็นเหตุให้ ปฏิบัติต่อเนื่อง เพราะ ไม่อยากเกิด มองเห็นการเกิด ล้วนเป็นทุกข์

เดี๋ยวนี้ ปฏิบัติสบายๆ ปฏิบัติตามเหตุปัจจัย ตามสะดวก เพราะจับจุดสภาวะได้ถูก ไม่ต้องปฏิบัติเพราะความอยากแบบก่อนๆ คือ อยากรู้ อยากเห็นสภาวะ เพียรเพราะอยาก แต่ไม่รู้ว่าอยาก


อันนี้เล่าสู่กันฟังนะคะ

เรื่องนนี้ นานมาแล้ว น้ำได้ไปกราบพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านมีแต่ดวงตา ที่กลอกกลิ้งไปมา ให้รู้ว่า ยังมีชีวิตอยู่ แต่กาย เคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว เนื่องจากโรคที่ท่านเป็นอยู่

มองดูแล้ว เหมือนมนุษย์ผักน่ะคุณเต้ อาหารก็ให้ทางสายยาง เห็นแล้ว เกิดความสังเวชใจมากๆ เห็นแล้ว ใจคิดว่า ไม่อยากเป็นแบบท่าน

ช่วงหลังๆมานี่ น้ำป่วยบ่อย วิบากกรรมจากมอด ป่วยหนักมาก แทบเอาชีวิตไม่รอด เป็นเหตุให้รู้ว่า สังขารนี้ เป็นทุกข์แท้หนอ ต้องคอยดูแล เอาใจใส่

การมีชีวิตอยู่ มีแต่ทุกข์จริงๆ มองเห็นแต่ทุกข์ ทั้งๆที่ ชีวิตจริงๆ แสนสบาย คือ มีความเป็นอยู่ สบายมากๆ มีคู่ครองดี มีชีวิตครอบครัวดี เรียกว่า ดีหมด



สำหรับคุณเต้ เรื่องการปฏิบัติ ไม่ต้องไปแต่งองค์ทรงเครื่องให้สภาวะที่เกิดขึ้น คำเรียกต่างๆน่ะค่ะ ไม่ต้องใส่ลงไป เมื่อถึงวินาที ที่ต้องตาย คำเรียกต่างๆนี้ ช่วยอะไรไม่ได้เลย มีแต่สติเท่านั้น ที่รู้อยู่

แค่ทำต่อเนื่อง มีสภาวะอะไรเกิดขึ้น แปลกประหลาดมหัศจรรย์แค่ไหน แค่รู้ไปอย่างเดียว ไม่ต้องไปค้นหาว่าเรียกว่าอะไร จะเป็นการสร้างวิจิกิจฉาให้เกิดเปล่าๆ

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่นั้น เป็นเรื่องปกติของจิตจริงๆ ส่วนคำเรียกต่างๆ แล้วแต่จะนำไปเทียบเคียงกันเอาเอง ล้วนเป็นการปรุงแต่ง แต่งองค์ทรงเครื่อง ให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่แตกต่างกับการแต่งกายภายนอก

เมือปฏิบัติต่อเนื่อง ถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม จะรู้เองว่า สภาวะที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น คืออะไร ถึงวันนั้นแล้ว รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เพราะจิตปล่อยวางบัญญัติ โดยตัวของจิตเอง รู้จึงสักแต่ว่ารู้ เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้แหละค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 02 ส.ค. 2012, 16:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณน้ำค่ะ ขอถามเรื่องนั่งสมาธิต่อน่ะค่ะ ตอนนี้เวลาที่เรานั่งสมาธิหรือสวดมนต์
พอจิตเป็นสมาธิแล้ว เราจะเหมือนคนหลับไปเลยค่ะ คือเงียบไปเลย
แล้วก็สวดมนต์ต่อ พอสวดต่อก็จะมีอาการแบบนี้อีก เป็นเพราะอะไรเหรอค่ะ
แต่เราไม่ได้ง่วงนอนน่ะ คือพอสวดๆไปจิตก็เงียบไปเลยค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:

:b8:
ขออนุญาตแทรกนิดหนึ่งนะครับ

อนุโมทากับคุณbbby ที่แม้เพียงแค่การสวดมนต์ก็สามารถทำให้เกิดสมาธิจนจิตลงภวังค์โดยอัตโนมัติ....

ถ้าคุณbbbyได้ศึกษาประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ....มาเพิ่มเติมเสริมธรรมอีกสักหน่อย อาจมีอะไรดีๆเกิดขึ้นเร็วๆนี้ก็ได้นะครับ

หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นยิ่งว่านี้คือ พอนั่งลงหลับตาจะทำสมาธิ จิตดับลงภวังค์ทันทีเงียบเฉยอยู่อย่างนั้นไม่มีอะไรก้าวหน้า พอพบหลวงปู่มั่น หลวงปู่ให้นั่งลอกนิ้วหัวแม่มือแทนการนั่งสมาธิ

นั่งลอกนิ้วหัวแม่มือคือ นั่งพิจารณาหัวแม่มือโดยนึกลอกหัวแม่มือออกเป็นชั้นๆตั้งแต่นอกสุดจากหนังและเล็บ เข้าไปข้างในถึงเอ็น เลือด เนื้อ กระดูก ไขกระดูก จนหมดเป็นสูญ ไม่มีอะไรให้ลอกต่อ แล้วก็ค่อยๆประกอบนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาใหม่เริ่มจากสูญ จนครบหัวแม่มือเหมือนเดิม ทำกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ จนที่สุด ก็เป็นหลวงปู่เจี๊ยที่เราเคารพกราบไหว้ อัฐิกลายเป็นพระธาตุอยู่ปัจจุบันนี้


ลองเอามาพิจารณานะครับว่าคุณควรจะทำอะไรต่อไป

"ลับมีดไว้จนคมแล้ว ไม่เอาไปใช้งาน เฝ้าแต่ลับมีดซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นั่น จะเสียเหล็กคมมีดเปล่าๆ ต่อยอดให้เป็น ดังเช่นที่ครูบาอาจารย์สอนกล่าว จักพ้นความมัวเมาและมืดมิดอวิชชา"


โพสต์ เมื่อ: 02 ส.ค. 2012, 16:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าใจพูด.....เน๊าะ... :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 02 ส.ค. 2012, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 17:04
โพสต์: 133


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
bbby เขียน:
คุณน้ำค่ะ ขอถามเรื่องนั่งสมาธิต่อน่ะค่ะ ตอนนี้เวลาที่เรานั่งสมาธิหรือสวดมนต์
พอจิตเป็นสมาธิแล้ว เราจะเหมือนคนหลับไปเลยค่ะ คือเงียบไปเลย
แล้วก็สวดมนต์ต่อ พอสวดต่อก็จะมีอาการแบบนี้อีก เป็นเพราะอะไรเหรอค่ะ
แต่เราไม่ได้ง่วงนอนน่ะ คือพอสวดๆไปจิตก็เงียบไปเลยค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:

:b8:
ขออนุญาตแทรกนิดหนึ่งนะครับ

อนุโมทากับคุณbbby ที่แม้เพียงแค่การสวดมนต์ก็สามารถทำให้เกิดสมาธิจนจิตลงภวังค์โดยอัตโนมัติ....

ถ้าคุณbbbyได้ศึกษาประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ....มาเพิ่มเติมเสริมธรรมอีกสักหน่อย อาจมีอะไรดีๆเกิดขึ้นเร็วๆนี้ก็ได้นะครับ

หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นยิ่งว่านี้คือ พอนั่งลงหลับตาจะทำสมาธิ จิตดับลงภวังค์ทันทีเงียบเฉยอยู่อย่างนั้นไม่มีอะไรก้าวหน้า พอพบหลวงปู่มั่น หลวงปู่ให้นั่งลอกนิ้วหัวแม่มือแทนการนั่งสมาธิ

นั่งลอกนิ้วหัวแม่มือคือ นั่งพิจารณาหัวแม่มือโดยนึกลอกหัวแม่มือออกเป็นชั้นๆตั้งแต่นอกสุดจากหนังและเล็บ เข้าไปข้างในถึงเอ็น เลือด เนื้อ กระดูก ไขกระดูก จนหมดเป็นสูญ ไม่มีอะไรให้ลอกต่อ แล้วก็ค่อยๆประกอบนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาใหม่เริ่มจากสูญ จนครบหัวแม่มือเหมือนเดิม ทำกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ จนที่สุด ก็เป็นหลวงปู่เจี๊ยที่เราเคารพกราบไหว้ อัฐิกลายเป็นพระธาตุอยู่ปัจจุบันนี้


ลองเอามาพิจารณานะครับว่าคุณควรจะทำอะไรต่อไป

"ลับมีดไว้จนคมแล้ว ไม่เอาไปใช้งาน เฝ้าแต่ลับมีดซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นั่น จะเสียเหล็กคมมีดเปล่าๆ ต่อยอดให้เป็น ดังเช่นที่ครูบาอาจารย์สอนกล่าว จักพ้นความมัวเมาและมืดมิดอวิชชา"



:b8: อนุโมทนาครับ

:b8: อนุโมทนากับ คุณ walaiporn และคุณ bbby ด้วยนะครับ

ตัวแดงๆนั้น ช่างมาได้ทันท่วงท่าจริงๆ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร