วันเวลาปัจจุบัน 15 มิ.ย. 2025, 19:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 18:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สัตว์ ที่จิตเจือแล้วด้วยอวิชชา สัตว์รับอารมณ์ ประกอบกรรม สัตว์นั้นแล่นขึ้นสู่ทางเดินแห่งกรรม
ความเป็นสัตว์นั้น จะตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่รูปและนามนี้ ไม่ได้ตั้งอยู่ในที่แห่งใดเลย

วิญญาณ จึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป เพราะจิตอันเจือด้วยอวิชชา แล่นขึ้นสู่วิถี จึงรู้จึงเห็นขันธ์ 5 ต่างๆนาๆ ไปตามกรรม ความประกอบด้วยอำนาจแห่งอาสวะอนุัสัยอันเป็นพื้นจิตนั้น

วิญญาณ จึงเป็นเบื้องต้น มีนามรูปเป็นเบื้องปลาย
กองทุกข์ทั้งมวลจึงเกิดขึ้น

ถ้าวิญญาณอันเจือด้วยอวิชชาดับ นามรูปอันเป็นที่รักที่น่าปราถนาน่าพอใจจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลจึงอุบัติขึ้น

ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
1 เมื่ออวิชชาดับ รูปนั้นยังคงอยู่แต่ จิตเราไม่เกี่ยวข้อง เห็นความเป็นไปในธรรมดาแห่งรูปนั้น ในความเป็นจริงรูปนั้นยังคงอยุ่ แต่ในทางปฎิบัตินั้นด้วยใจเราไม่ติดเราจึงคิดว่า รูปนั้นดับ ที่ดับคือดับออกไปจากใจเรา

1.เมื่ออวิชชาดับ ด้วยการอุบัติขึ้นแห่งวิมุติญาณทัสสนะ คืออรหัตผล
รูปอันอาศัยภพ หลังจากจุติจิตของอรหัตผลบุคคล ย่อมดับ คือจิตไม่ทำปฏิสนธิในภพใหม่
2.เมื่ออวิชชาดับ รูปอันเป็นที่รักที่น่าปราถนาน่าพอใจนั้นดับ ที่เห็นอยู่รู้อยู่คือ รูป ตามสภาพตามเป็นจริง
จิตที่เข้าไปเกี่ยวข้องจึงเป็นเพียงกิริยาจิต
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
2 เวทนา ซึ่งแปลว่า สุข ทุกข์ ไม่สุขและไม่ทุกข์นั้น ถ้าอวิชชาดับ เวทนาจะดับด้วย เพราะจากที่เราสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ อารมณ์ทั้งสามนี้ จะเปลี่ยนเป็นการวางเฉยแทน ไม่รู้สึกแทน ศัพท์ธรรมก็จะตรงกับคำว่า อุเบกขา......เวทนาจะเปลี่ยนเป็นอุเบกขาแทน

ถึงอวิชชาดับ เวทนาอันเป็นธรรมชาติธรรมดา ไม่ได้ดับไปด้วย เพราะแม้พระพุทธเจ้าก็ตาม พระอรหันต์ก็ตาม ก็ยังคงเสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา อยู่
แต่ อวิชชาดับ เวทนาอันเป็นที่น่ารักน่าปราถนาน่ายินดี อันก่อให้เกิดความทุกข์ นั้นดับ คือความไม่ตามยินดี ไม่ตามยินร้ายในเวทนานั้น เวทนาอันเจือไปกับอวิชชานั้นดับเพราะรู้แจ้ง
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
3 สัญญา เมื่ออวิชชาดับ สัญญาทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นปัญญาแทน เนื่องจากปัญญาเกิดทำให้มองย้อนไปถึงสัญญาที่เราได้เรียนรุ้มาในอดีตทำให้เราสามารถมองได้ทะลุแจ้งแทงได้ตลอด สัญญาถึงเปลี่ยนมาเป็นปัญญาได้ทั้งหมด

สัญญา คือสัญญาขันธ์
ปัญญา คือสังขารขันธ์
ไม่มีการเปลี่ยนจากขันธ์หนึ่งสู่ขันธ์หนึ่งได้
เมืออวิชชาดับ สัญญาอันเป็นที่รักที่ปราถนาที่พอใจ จึงดับ สัญญาที่ยังคงอยู่เป็นสัญญาที่ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ในโลก
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
4 สังขาร ซึ่งแปลว่า การปรุงแต่ง เมื่ออวิชชาดับ การปรุงแต่งต่างๆก็จะดับไปด้วย เพราะเมื่ออวิชชาดับแล้ว จะไม่มีการปรุงต่างๆ เราก็จะไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต จะมีแต่ปัจจุบันอย่างเดียว เราจะอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว

สังขารขันธ์ ในขันธ์ 5 เป็นความคิดปรุง ปรุงคิด โดยคิดปรุงปรุงคิด จากสัญญา จากเวทนา
หากไม่มีสัญญาไม่มีเวทนาความคิดปรุงหรือปรุงคิดย่อมทำไม่ได้ คือปรุงประกอบไม่ได้
เมื่ออวิชชาดับ ความคิดความปรุงอันซ่านไปกับความเศร้าหมองต่างๆ ความรักความชังความยินดีความไม่ยินดี จึงดับ ความคิดความปรุงจึงคิดไปกับจิตอันรู้อารมณ์ในปัจจุบันตามเป็นจริง
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
5 วิญญาณ แปลว่า ประสาทการรับรู้เมื่ออวิชชาดับประสาทการรับรู้ไม่ได้ดับไปด้วย แต่เนื่องจากอวิชชาดับ ความยึดมึ่นถือมั่นในตัวตนก็ดับ ทำให้ทุกอย่างที่ประสาทการรับรู้สมผัสหรือแสดงออกมา จะเป็นกิริยาที่แสดงออกทั้งหมด เหมือนที่เราเคยเห็นพระทองคำหลายๆท่าน ยังแสดงการ ดุ การเตือน การว่า บางที่กิริยาเดิม ที่มีนิสัยโวยวายก็ยังโวยวายอยู่ นั้นคือมีแต่กิริยาที่แสดงออก เพราะตัวตน มานะตัวตนได้ถอนออกจากจิตแล้ว

สัตว์นั้นแล่นไปใน รูปบ้าง ในเวทนาบ้าง ในสัญญาบ้าง ในสังขารบ้าง คือแล่นไปในขันธ์ทั้งหลาย
รู้ไปในขันธ์ทั้งหลายนั้น แต่รู้ไปตามสภาพของสัตว์คือเจือด้วยอวิชชา
เมื่ออวิชชาดับ ด้วยการอุบัิติแห่งวิมุติญาณทัสสนะ ความเห็นแจ้งในขันธ์ทั้งหลายย่อมเห็นตามเป็นจริง
วิญญาณที่แล่นไปสู่ขันธ์ต่างๆ ย่อมไม่ก่อให้เกิดทุกข์

อวิชชา ที่สัมพันธ์ กับขันธ์5
จึงอธิบายได้ว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป

เจริญธรรม


:b8: ถึงคุณเช่นนั้น :b8:

ผ่านมา 10 กว่าวันจึงสามารถเข้าใจได้ทั้งหมดในสิ่งที่ท่านได้บอกกล่าว การเข้าใจเป็นการเข้าใจด้วยใจและกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ก่อนที่ดิฉันจะได้ถามคำถามเหล่านี้ออกมา ดิฉันได้อธิษฐานจิตต่อหน้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอบารมีพระรัตนตรัย ที่เป็นที่พึ่งของลูก ลูกขอรวมบุญบารมีทั้งหมดที่ลุกได้สะสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอผลบุญเหล่านี้ส่งผลชี้ทางสว่างให้แก่่่่่่่่ลูก ในการเดินทางธรรม ขอความกรุณาแก้ไขข้อสงสัยต่างๆในใจลูกให้หมดไป เพื่อเป็นผลให้ลูกได้มั่นใจในเส้นทางของตน ด้วยเถิด..หลังจากนั้นดิฉันก็ได้เข้ามาถามคำถามให้ข้อสงสัยในใจตน

วันนี้ดิฉันได้เข้าใจและกระจ่างแก่ใจในข้อสงสัยต่างๆแล้ว ที่ผ่านมา มีข้อสอบมากมายเพื่อให้ดิฉันได้ทดสอบและเข้าใจในเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน จนถึงตอนนี้ ทุกอย่างกระจ่างชัดแก่ใจ ด้วยสิ่งที่คุณเช่นนั้นได้แนะนำและชี้ทางให้ สิ่งที่ท่านให้ ไม่ได้เพียงแต่ให้ปัญญาในทางธรรมแก่ดิฉันเท่านั้น แต่ท่านให้ชี้ทางเดินในทางโลกให้ดิฉันเข้าใจด้วยว่า ต่อไปนี้ดิฉันจะดำรงค์ชีวิตอย่างไร โดยไม่สับสนกับสภาวะจิตของตน ต่อไปดิฉันจะดำรงค์ชีวิตอย่างไร เพื่อความสงบของจิต สังวรตัวเองอย่างไร จับผิดตัวเองอย่างไร และพิจารณาตัวเองอย่างไร ทุกอย่างได้คำตอบในข้อความนี้ทั้งหมด

ที่เขียนมายาวๆเพื่อมากราบขอบของพระคุณท่านค่ะ กราบขอบพระคุณในทุกๆสิ่งในด้านทางธรรมและทางโลก ธรรมทานเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ในสิ่งที่ท่านให้เหมือนการมอบชีวิตในทางเดินแห่งเส้นทางสงบของตนให้กับดิฉัน ต่อไปไ่ม่จำเป็นตัววิ่งหา ไขว่คว้าหาความวุ่นวาย เพื่อให้ใครทดสอบหรือสอบถาม เพราะเราเท่านั้นที่จะเข้าใจในตัวของเราเอง..กราบขอบพระคุณท่านอีกครั้งค่ะ ขอบพระคุณที่ได้ให้ชีวิตให้ทางเดินที่สงบแก่ดิฉัน สาธุ สาธู สาธุ กราบ กราบ กราบ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 18:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
สัตว์ ที่จิตเจือแล้วด้วยอวิชชา สัตว์รับอารมณ์ ประกอบกรรม สัตว์นั้นแล่นขึ้นสู่ทางเดินแห่งกรรม
ความเป็นสัตว์นั้น จะตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่รูปและนามนี้ ไม่ได้ตั้งอยู่ในที่แห่งใดเลย

วิญญาณ จึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป เพราะจิตอันเจือด้วยอวิชชา แล่นขึ้นสู่วิถี จึงรู้จึงเห็นขันธ์ 5 ต่างๆนาๆ ไปตามกรรม ความประกอบด้วยอำนาจแห่งอาสวะอนุัสัยอันเป็นพื้นจิตนั้น

วิญญาณ จึงเป็นเบื้องต้น มีนามรูปเป็นเบื้องปลาย
กองทุกข์ทั้งมวลจึงเกิดขึ้น

ถ้าวิญญาณอันเจือด้วยอวิชชาดับ นามรูปอันเป็นที่รักที่น่าปราถนาน่าพอใจจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลจึงอุบัติขึ้น

ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
1 เมื่ออวิชชาดับ รูปนั้นยังคงอยู่แต่ จิตเราไม่เกี่ยวข้อง เห็นความเป็นไปในธรรมดาแห่งรูปนั้น ในความเป็นจริงรูปนั้นยังคงอยุ่ แต่ในทางปฎิบัตินั้นด้วยใจเราไม่ติดเราจึงคิดว่า รูปนั้นดับ ที่ดับคือดับออกไปจากใจเรา

1.เมื่ออวิชชาดับ ด้วยการอุบัติขึ้นแห่งวิมุติญาณทัสสนะ คืออรหัตผล
รูปอันอาศัยภพ หลังจากจุติจิตของอรหัตผลบุคคล ย่อมดับ คือจิตไม่ทำปฏิสนธิในภพใหม่
2.เมื่ออวิชชาดับ รูปอันเป็นที่รักที่น่าปราถนาน่าพอใจนั้นดับ ที่เห็นอยู่รู้อยู่คือ รูป ตามสภาพตามเป็นจริง
จิตที่เข้าไปเกี่ยวข้องจึงเป็นเพียงกิริยาจิต
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
2 เวทนา ซึ่งแปลว่า สุข ทุกข์ ไม่สุขและไม่ทุกข์นั้น ถ้าอวิชชาดับ เวทนาจะดับด้วย เพราะจากที่เราสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ อารมณ์ทั้งสามนี้ จะเปลี่ยนเป็นการวางเฉยแทน ไม่รู้สึกแทน ศัพท์ธรรมก็จะตรงกับคำว่า อุเบกขา......เวทนาจะเปลี่ยนเป็นอุเบกขาแทน

ถึงอวิชชาดับ เวทนาอันเป็นธรรมชาติธรรมดา ไม่ได้ดับไปด้วย เพราะแม้พระพุทธเจ้าก็ตาม พระอรหันต์ก็ตาม ก็ยังคงเสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา อยู่
แต่ อวิชชาดับ เวทนาอันเป็นที่น่ารักน่าปราถนาน่ายินดี อันก่อให้เกิดความทุกข์ นั้นดับ คือความไม่ตามยินดี ไม่ตามยินร้ายในเวทนานั้น เวทนาอันเจือไปกับอวิชชานั้นดับเพราะรู้แจ้ง
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
3 สัญญา เมื่ออวิชชาดับ สัญญาทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นปัญญาแทน เนื่องจากปัญญาเกิดทำให้มองย้อนไปถึงสัญญาที่เราได้เรียนรุ้มาในอดีตทำให้เราสามารถมองได้ทะลุแจ้งแทงได้ตลอด สัญญาถึงเปลี่ยนมาเป็นปัญญาได้ทั้งหมด

สัญญา คือสัญญาขันธ์
ปัญญา คือสังขารขันธ์
ไม่มีการเปลี่ยนจากขันธ์หนึ่งสู่ขันธ์หนึ่งได้
เมืออวิชชาดับ สัญญาอันเป็นที่รักที่ปราถนาที่พอใจ จึงดับ สัญญาที่ยังคงอยู่เป็นสัญญาที่ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ในโลก
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
4 สังขาร ซึ่งแปลว่า การปรุงแต่ง เมื่ออวิชชาดับ การปรุงแต่งต่างๆก็จะดับไปด้วย เพราะเมื่ออวิชชาดับแล้ว จะไม่มีการปรุงต่างๆ เราก็จะไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต จะมีแต่ปัจจุบันอย่างเดียว เราจะอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว

สังขารขันธ์ ในขันธ์ 5 เป็นความคิดปรุง ปรุงคิด โดยคิดปรุงปรุงคิด จากสัญญา จากเวทนา
หากไม่มีสัญญาไม่มีเวทนาความคิดปรุงหรือปรุงคิดย่อมทำไม่ได้ คือปรุงประกอบไม่ได้
เมื่ออวิชชาดับ ความคิดความปรุงอันซ่านไปกับความเศร้าหมองต่างๆ ความรักความชังความยินดีความไม่ยินดี จึงดับ ความคิดความปรุงจึงคิดไปกับจิตอันรู้อารมณ์ในปัจจุบันตามเป็นจริง
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
5 วิญญาณ แปลว่า ประสาทการรับรู้เมื่ออวิชชาดับประสาทการรับรู้ไม่ได้ดับไปด้วย แต่เนื่องจากอวิชชาดับ ความยึดมึ่นถือมั่นในตัวตนก็ดับ ทำให้ทุกอย่างที่ประสาทการรับรู้สมผัสหรือแสดงออกมา จะเป็นกิริยาที่แสดงออกทั้งหมด เหมือนที่เราเคยเห็นพระทองคำหลายๆท่าน ยังแสดงการ ดุ การเตือน การว่า บางที่กิริยาเดิม ที่มีนิสัยโวยวายก็ยังโวยวายอยู่ นั้นคือมีแต่กิริยาที่แสดงออก เพราะตัวตน มานะตัวตนได้ถอนออกจากจิตแล้ว

สัตว์นั้นแล่นไปใน รูปบ้าง ในเวทนาบ้าง ในสัญญาบ้าง ในสังขารบ้าง คือแล่นไปในขันธ์ทั้งหลาย
รู้ไปในขันธ์ทั้งหลายนั้น แต่รู้ไปตามสภาพของสัตว์คือเจือด้วยอวิชชา
เมื่ออวิชชาดับ ด้วยการอุบัิติแห่งวิมุติญาณทัสสนะ ความเห็นแจ้งในขันธ์ทั้งหลายย่อมเห็นตามเป็นจริง
วิญญาณที่แล่นไปสู่ขันธ์ต่างๆ ย่อมไม่ก่อให้เกิดทุกข์

อวิชชา ที่สัมพันธ์ กับขันธ์5
จึงอธิบายได้ว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป

เจริญธรรม


:b8: ถึงคุณเช่นนั้น :b8:

ผ่านมา 10 กว่าวันจึงสามารถเข้าใจได้ทั้งหมดในสิ่งที่ท่านได้บอกกล่าว การเข้าใจเป็นการเข้าใจด้วยใจและกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ก่อนที่ดิฉันจะได้ถามคำถามเหล่านี้ออกมา ดิฉันได้อธิษฐานจิตต่อหน้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอบารมีพระรัตนตรัย ที่เป็นที่พึ่งของลูก ลูกขอรวมบุญบารมีทั้งหมดที่ลุกได้สะสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอผลบุญเหล่านี้ส่งผลชี้ทางสว่างให้แก่่่่่่่่ลูก ในการเดินทางธรรม ขอความกรุณาแก้ไขข้อสงสัยต่างๆในใจลูกให้หมดไป เพื่อเป็นผลให้ลูกได้มั่นใจในเส้นทางของตน ด้วยเถิด..หลังจากนั้นดิฉันก็ได้เข้ามาถามคำถามให้ข้อสงสัยในใจตน

วันนี้ดิฉันได้เข้าใจและกระจ่างแก่ใจในข้อสงสัยต่างๆแล้ว ที่ผ่านมา มีข้อสอบมากมายเพื่อให้ดิฉันได้ทดสอบและเข้าใจในเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน จนถึงตอนนี้ ทุกอย่างกระจ่างชัดแก่ใจ ด้วยสิ่งที่คุณเช่นนั้นได้แนะนำและชี้ทางให้ สิ่งที่ท่านให้ ไม่ได้เพียงแต่ให้ปัญญาในทางธรรมแก่ดิฉันเท่านั้น แต่ท่านให้ชี้ทางเดินในทางโลกให้ดิฉันเข้าใจด้วยว่า ต่อไปนี้ดิฉันจะดำรงค์ชีวิตอย่างไร โดยไม่สับสนกับสภาวะจิตของตน ต่อไปดิฉันจะดำรงค์ชีวิตอย่างไร เพื่อความสงบของจิต สังวรตัวเองอย่างไร จับผิดตัวเองอย่างไร และพิจารณาตัวเองอย่างไร ทุกอย่างได้คำตอบในข้อความนี้ทั้งหมด

ที่เขียนมายาวๆเพื่อมากราบขอบของพระคุณท่านค่ะ กราบขอบพระคุณในทุกๆสิ่งในด้านทางธรรมและทางโลก ธรรมทานเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ในสิ่งที่ท่านให้เหมือนการมอบชีวิตในทางเดินแห่งเส้นทางสงบของตนให้กับดิฉัน ต่อไปไ่ม่จำเป็นตัววิ่งหา ไขว่คว้าหาความวุ่นวาย เพื่อให้ใครทดสอบหรือสอบถาม เพราะเราเท่านั้นที่จะเข้าใจในตัวของเราเอง..กราบขอบพระคุณท่านอีกครั้งค่ะ ขอบพระคุณที่ได้ให้ชีวิตให้ทางเดินที่สงบแก่ดิฉัน สาธุ สาธู สาธุ กราบ กราบ กราบ :b8: :b8:



เพียรให้เข้าถึง ความไม่จม ไม่ลอย ด้วยเถิด สาธุ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 22:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
:b8: ถึงคุณเช่นนั้น :b8:

ผ่านมา 10 กว่าวันจึงสามารถเข้าใจได้ทั้งหมดในสิ่งที่ท่านได้บอกกล่าว การเข้าใจเป็นการเข้าใจด้วยใจและกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว

:b8: :b8: :b8:
ผู้อ่อนน้อมต่อธรรม...ย่อมเห็นธรรมได้ไม่ยาก
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 00:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุ อนุโมทนา ครับ คุณขนมจีบซาลาเปา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 02:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน
ที่ผมบอกว่าผัสสะทุกตัว นอกจากพระอรหันต์ย่อมเกิดอุปาทานขันธ์
คือมันเกิดกระบวนขันธ์ขึ้น แต่เหตุปัจจัยแห่งกิเสที่เรียกว่าสังโยชน์
มันแตกต่างกันครับ ยกตัวอย่างเห็นรูปโป้นั้นก็คือผัสสะ โสดาบันหรือปุถุชน
ก็จะเกิดอุปาทานขันธ์ขึ้น ในลักษณะของกามเรื่องการสมสู่ แต่ในผัสสะตัวเดียวกันนั้น
พระอนาคามี จะไม่เกิดอุปาทานขันธ์ในเรื่องกามแล้ว แต่จะเกิดผลของสังโยชน์
เป็นอุปาทานขันธ์ ของมานะบ้าง ความฟุ้งซ่านบ้างฯล


ถ้ากำหนดรู้วิญญาณขันธ์ที่เกิดจากจักษุธาตุ เป็นไปได้ไหมครับว่า ความเห็นว่าเป็นแสงคือการรู้สภาวะตามความเป็นจริง แล้วดูสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้น เพราะวิญญาณเกิดที่จักษุธาตุไม่ได้เกิดที่แสง แต่เพราะความสืบต่อทำให้เห็นความเป็นจริงไม่ตลอดสาย จิตกลับมาปรุงแต่งเหมือนเดิม คือไม่ได้เห็นเป็นแสงอีกต่อไปแต่กลับมองเห็นเป็นรูปโป็ไป

ทำความเข้าใจครับ ความหมายของคำว่า สภาวะรู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปมีความเห็นต่อ
สิ่งต่างๆว่าเป็นแบบโน้นแบบนี้ ความหมายที่แท้จริงมันกว้าง แต่พอบอกสังเขปครับว่า
ให้เห็นตามความเป็นจริงคือ เห็นแล้วไม่ยึดเอามาถือมั่น
การถือมั่นก็คือเห็นเป็นรูปโป๊ เห็นเป็นผู้หญิงสวยต่างๆ จนเกิดอาการขึ้นที่จิต
ซึ่งเป็นอกุศลจิต

อันที่จริงเราก็เห็นแบบนั้นเหมือนกับคนอื่น แต่จะต่างกันที่
คนหนึ่งยึดเอารูปนั้นมายึดมั่นถือมั่นจนเป็นทุกข์ แต่อีกคนเห็นรูปแล้วรู้ว่ารูปนั้นจะทำให้เกิดทุกข์
และรู้ว่าทุกข์ที่เกิดคืออะไร หรือนิยามสั้นๆว่าอีกคนเห็นเป็นคนโป๊เป็นตัวเป็นตน
แต่อีกคนเห็นเป็นรูปที่เหมือนกันในเชิงที่ไม่ยึดมาเป็นตัวตน

รูปที่เราเห็นมันกลายเป็นนามที่กายใจของเราแล้ว และโดยลักษณะโดยธรรมชาติ
มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์และอนัตตา
การเห็นตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 03:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ที่คุณพูดมาคุณไปนึกว่า กระบวนการปฏิจจ์เป็นกระบวนการขันธ์ห้าไง
คุณว่าสังโยชน์เป็นสังขารเกิดแล้วดับ ถ้างั้นคุณว่าอวิชาเกิดแล้วดับมั้ย?

นั่นมันเป็นสิ่งที่โฮฮับ นึกเองเออเอง ว่าเช่นนั้นไปนึกแบบนั้น

ผมไม่ได้นึกเองเออเอง ผมก็เอามาจากความเห็นคุณนั้นแหล่ะ
และขณะนี้ผมกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณเป็นดังที่ผมว่าจริงๆ
ผมจึงได้ถามข้อข้องใจในสิ่งที่คุณกล่าว....

ทำไมคุณไม่ตอบครับ หรือว่าตอบไม่ได้
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แล้วถามต่อเลย ในวงปฏิจจฯตรงช่วงชรามรณะมันคืออะไร? คุณช่วยอธิบายหน่อยครับ

คือ กองทุกข์อันมีปัจจัย

นี่หรือเป็นคำตอบ คำอธิบาย ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ อธิบายไม่ได้ก็บอกว่า อธิบายไม่ได้
อย่าดันทุรังเลยครับ เคยได้ยินเด็กๆมันถามปัญหาธรรมะกันมั้ย มันถามว่า..
ธรรมะคืออะไร อีกคนมันตอบว่า ธรรมะคือคุณากร ตลกมั้ยครับ :b32:

ถามแล้วไม่ใช่ไม่มีคำตอบ มีครับ ชราก็คือรูปหรือกายที่เสื่อมโทรม
มรณะก็คือรูปหรือกายที่ละทิ้งนามหรือจิตไป และนามหรือจิตที่เหลือก็คือ
กองทุกข์ซึ่งเป็นอวิชา ส่วนสังขารที่มีผลต่อจากอวิชา มันก็คือวิบากอัน
เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในกุศลและอกุศล ของรูปนาม
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
พูดอะไรครับผมว่าคุณหลงแล้วครับ อนุสัยมันเป็นสังโยชน์เหมือนกันนะครับ
ส่วนอาสวะมันเป็น กิเลสที่เกิดจากกระบวนการขันธ์หรืออุปาทานขันธ์อันได้เคยเกิดไปแล้ว
แต่จิตจดจำไว้เป็นสัญญา

สรุปก็คือ อนุศัยก็คือสังโยชน์มันติดตัวมาตั้งแต่เกิด ตามที่ผมบอกไว้แต่ต้น
ส่วนอาสวะไม่ได้ติดตัวมา เพราะมันเป็นกระบวนการขันธ์ มันเกิดแล้วจิตจดจำไว้เป็นสัญญา

โฮฮับ เปิดลิงค์ ศึกษาพระสูตรนี้ให้จงดีนะครับ
Quote Tipitaka:
มหามาลุงโกฺยวาทสูตร ที่ ๔.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=2814&Z=2961&pagebreak=0

มามุขเดิมอีกแล้ว ทำไมไม่ทำแบบที่กล่าวหาผมตอนแรกครับ
โพสมาเลยซิครับ เป็นวรรคไหนตอนไหน ที่สนับสนุนความเห็นคุณ
โพสและอธิบายให้คุณอื่นเข้าใจด้วย ทำใจหนักแน่นไว้นะครับ เพราะผมกำลังจะว่าคุณ..
มั่วนิ่ม
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ก็ไอ้อนุสัยนั้นแหล่ะ มันเป็นสังโยชน์ เข้าใจมั้ย

สังโยชน์เป็นปัจจัยให้ อนุสัยหนาแน่นขึ้นครับ เพราะอนุสัยคืออาสวะ เข้าใจใหม่นะครับโฮฮับ

สังโยชน์มันมีอยู่สิบ ท่านแบ่งสังโยชน์ในสิบนี่ออกมาต่างหากเพราะว่า
มันมีสังโยชน์บางตัว เป็นกิเลสสังโยชน์ที่ละเอียดมันดับได้ยาก จึงให้บัญญัติมันว่า..
อนุสัยกิเลส

ทั้งสังโยชน์ อนุสัยและอาสวะ มันเป็นตัวเดียวกัน
ต่างกันที่ลักษณะและเหตุปัจจัย ดังที่ได้พูดมาแล้ว

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ดูตอนต้นก็ใช้ได้ แต่ดูไปเรื่อยก็รู้ว่าพูดมาโดยไม่เข้าใจ อาสวะเกิดจากกระบวนการขันธ์
ที่มีต่อตัณหาเกิดเป็น อุปาทานขันธ์ เกิดภพชาติหมายความว่า เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นแล้ว
การยึดมั่นถือมัน ไม่ได้หมายถึงกรรมหรือการกระทำแต่หมายถึง กิเลสหรืออวิชา


ถ้าเป็นตามที่โฮฮับพูด นามรูป ก็จะเป็นปัจจัยแก่อาสวะ
โฮฮับ ทำความเข้าใจเรื่องปฏิจสมุปบาทใหม่นะครับ

แล้วยังไงล่ะเล่นง่ายดีครับ สั้นๆด้วนๆแบบนี้ จะให้ผมทำความเข้าใจอย่างไรไม่บอกมาล่ะครับ
บอกทางที่เขาเดินมันผิด แล้วทางที่ถูกเป็นอย่างไรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 03:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แล้วไม่ต้องเถียงมาอีกว่านะว่า อริยมรรคไม่ได้ปฏิบัติที่กระบวนการขันธ์
หรือมรรคสมังคีหรือสัมมาวิมุติไม่ได้ดับกระบวนการปฏิจจฯ

อริยมรรค ไม่ได้ปฏิบัติที่กระบวนการขันธ์
และมรรคสมังคีหรือสัมมาวิมุติก็ไม่ได้ดับกระบวนการปฏิจจสมุปบาท

แล้วอริยมรรค เขาปฏิบัติกันที่ไหนครับ
แล้วอะไรดับกระบวนการปฏิจจ์ หรือไม่ก็ต้องทำอย่างไรกับกระบวนการปฏิจจ์ครับ

คุณเช่นนั้นครับ คุณยังไม่ได้ให้ความกระจ่างแก่
ผู้มีปัญญาอันน้อยนิดอย่างผมเลยนะครับ


ผมถามคุณว่า...
โฮฮับ เขียน:
แล้วอริยมรรค เขาปฏิบัติกันที่ไหนครับ
แล้วอะไรดับกระบวนการปฏิจจ์ หรือไม่ก็ต้องทำอย่างไรกับกระบวนการปฏิจจ์ครับ


รบกวนช่วยตอบหน่อยครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 03:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
ผ่านมา 10 กว่าวันจึงสามารถเข้าใจได้ทั้งหมดในสิ่งที่ท่านได้บอกกล่าว การเข้าใจเป็นการเข้าใจด้วยใจและกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ก่อนที่ดิฉันจะได้ถามคำถามเหล่านี้ออกมา ดิฉันได้อธิษฐานจิตต่อหน้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอบารมีพระรัตนตรัย ที่เป็นที่พึ่งของลูก ลูกขอรวมบุญบารมีทั้งหมดที่ลุกได้สะสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอผลบุญเหล่านี้ส่งผลชี้ทางสว่างให้แก่่่่่่่่ลูก ในการเดินทางธรรม ขอความกรุณาแก้ไขข้อสงสัยต่างๆในใจลูกให้หมดไป เพื่อเป็นผลให้ลูกได้มั่นใจในเส้นทางของตน ด้วยเถิด..หลังจากนั้นดิฉันก็ได้เข้ามาถามคำถามให้ข้อสงสัยในใจตน

วันนี้ดิฉันได้เข้าใจและกระจ่างแก่ใจในข้อสงสัยต่างๆแล้ว ที่ผ่านมา มีข้อสอบมากมายเพื่อให้ดิฉันได้ทดสอบและเข้าใจในเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน จนถึงตอนนี้ ทุกอย่างกระจ่างชัดแก่ใจ ด้วยสิ่งที่คุณเช่นนั้นได้แนะนำและชี้ทางให้ สิ่งที่ท่านให้ ไม่ได้เพียงแต่ให้ปัญญาในทางธรรมแก่ดิฉันเท่านั้น แต่ท่านให้ชี้ทางเดินในทางโลกให้ดิฉันเข้าใจด้วยว่า ต่อไปนี้ดิฉันจะดำรงค์ชีวิตอย่างไร โดยไม่สับสนกับสภาวะจิตของตน ต่อไปดิฉันจะดำรงค์ชีวิตอย่างไร เพื่อความสงบของจิต สังวรตัวเองอย่างไร จับผิดตัวเองอย่างไร และพิจารณาตัวเองอย่างไร ทุกอย่างได้คำตอบในข้อความนี้ทั้งหมด

ที่เขียนมายาวๆเพื่อมากราบขอบของพระคุณท่านค่ะ กราบขอบพระคุณในทุกๆสิ่งในด้านทางธรรมและทางโลก ธรรมทานเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ในสิ่งที่ท่านให้เหมือนการมอบชีวิตในทางเดินแห่งเส้นทางสงบของตนให้กับดิฉัน ต่อไปไ่ม่จำเป็นตัววิ่งหา ไขว่คว้าหาความวุ่นวาย เพื่อให้ใครทดสอบหรือสอบถาม เพราะเราเท่านั้นที่จะเข้าใจในตัวของเราเอง..กราบขอบพระคุณท่านอีกครั้งค่ะ ขอบพระคุณที่ได้ให้ชีวิตให้ทางเดินที่สงบแก่ดิฉัน สาธุ สาธู สาธุ กราบ กราบ กราบ :b8: :b8:

คุณครับที่ว่าเข้าใจน่ะเข้าใจจริงหรือเปล่า ให้ผมทดสอบอารมณ์แบบที่
ชาวบ้านเขาชอบพูดกันมั้ยครับ จะชี้ให้เห็นเลยว่า คำพูดของคุณ ความเห็นของคุณ
ที่แสดงออกมา มันมีสังโยชน์สามอย่างไร ที่รู้วิจิกิจฉายังเต็มเปี่ยมอยู่เลยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 05:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
ทำความเข้าใจครับ ความหมายของคำว่า สภาวะรู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปมีความเห็นต่อ
สิ่งต่างๆว่าเป็นแบบโน้นแบบนี้ ความหมายที่แท้จริงมันกว้าง แต่พอบอกสังเขปครับว่า
ให้เห็นตามความเป็นจริงคือ เห็นแล้วไม่ยึดเอามาถือมั่น
การถือมั่นก็คือเห็นเป็นรูปโป๊ เห็นเป็นผู้หญิงสวยต่างๆ จนเกิดอาการขึ้นที่จิต
ซึ่งเป็นอกุศลจิต

อันที่จริงเราก็เห็นแบบนั้นเหมือนกับคนอื่น แต่จะต่างกันที่
คนหนึ่งยึดเอารูปนั้นมายึดมั่นถือมั่นจนเป็นทุกข์ แต่อีกคนเห็นรูปแล้วรู้ว่ารูปนั้นจะทำให้เกิดทุกข์
และรู้ว่าทุกข์ที่เกิดคืออะไร หรือนิยามสั้นๆว่าอีกคนเห็นเป็นคนโป๊เป็นตัวเป็นตน
แต่อีกคนเห็นเป็นรูปที่เหมือนกันในเชิงที่ไม่ยึดมาเป็นตัวตน

รูปที่เราเห็นมันกลายเป็นนามที่กายใจของเราแล้ว และโดยลักษณะโดยธรรมชาติ
มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์และอนัตตา
การเห็นตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ครับ
onion
[color=#FF0000]เห็นธรรมตามความเป็นจริง อีกสำนวนหนึ่ง[/color] :b38:
[color=#000040]เมื่อตาเห็นรูป ก็รู้ว่า ตาเห็นรูป
เมื่อหูได้ยินเสียง ก็รู้ว่า หูได้ยินเสียง
เมื่อจิตคิดนึก ก็รู้ว่า จิตคิดนึก
เมื่อใจหงุดหงิด ก็รู้ว่าใจหงุดหงิด
เมื่อจิตรู้ ก็รู้ว่าจิตรู้
เมื่อจิตยึด ก็รู้ว่าจิตยึด
เมื่อจิตปล่อย ก็รู้ว่าจิตปล่อย
ฯลฯ
[/color]
:b39:
ทุกเรื่องเกิดขึ้นให้รู้แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา แม้จิตตัวรู้ เมื่อหมดงาน หมดเหตุหรือปัจจัย ก็ดับไป
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 06:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
ผ่านมา 10 กว่าวันจึงสามารถเข้าใจได้ทั้งหมดในสิ่งที่ท่านได้บอกกล่าว การเข้าใจเป็นการเข้าใจด้วยใจและกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ก่อนที่ดิฉันจะได้ถามคำถามเหล่านี้ออกมา ดิฉันได้อธิษฐานจิตต่อหน้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอบารมีพระรัตนตรัย ที่เป็นที่พึ่งของลูก ลูกขอรวมบุญบารมีทั้งหมดที่ลุกได้สะสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอผลบุญเหล่านี้ส่งผลชี้ทางสว่างให้แก่่่่่่่่ลูก ในการเดินทางธรรม ขอความกรุณาแก้ไขข้อสงสัยต่างๆในใจลูกให้หมดไป เพื่อเป็นผลให้ลูกได้มั่นใจในเส้นทางของตน ด้วยเถิด..หลังจากนั้นดิฉันก็ได้เข้ามาถามคำถามให้ข้อสงสัยในใจตน

วันนี้ดิฉันได้เข้าใจและกระจ่างแก่ใจในข้อสงสัยต่างๆแล้ว ที่ผ่านมา มีข้อสอบมากมายเพื่อให้ดิฉันได้ทดสอบและเข้าใจในเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน จนถึงตอนนี้ ทุกอย่างกระจ่างชัดแก่ใจ ด้วยสิ่งที่คุณเช่นนั้นได้แนะนำและชี้ทางให้ สิ่งที่ท่านให้ ไม่ได้เพียงแต่ให้ปัญญาในทางธรรมแก่ดิฉันเท่านั้น แต่ท่านให้ชี้ทางเดินในทางโลกให้ดิฉันเข้าใจด้วยว่า ต่อไปนี้ดิฉันจะดำรงค์ชีวิตอย่างไร โดยไม่สับสนกับสภาวะจิตของตน ต่อไปดิฉันจะดำรงค์ชีวิตอย่างไร เพื่อความสงบของจิต สังวรตัวเองอย่างไร จับผิดตัวเองอย่างไร และพิจารณาตัวเองอย่างไร ทุกอย่างได้คำตอบในข้อความนี้ทั้งหมด

ที่เขียนมายาวๆเพื่อมากราบขอบของพระคุณท่านค่ะ กราบขอบพระคุณในทุกๆสิ่งในด้านทางธรรมและทางโลก ธรรมทานเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ในสิ่งที่ท่านให้เหมือนการมอบชีวิตในทางเดินแห่งเส้นทางสงบของตนให้กับดิฉัน ต่อไปไ่ม่จำเป็นตัววิ่งหา ไขว่คว้าหาความวุ่นวาย เพื่อให้ใครทดสอบหรือสอบถาม เพราะเราเท่านั้นที่จะเข้าใจในตัวของเราเอง..กราบขอบพระคุณท่านอีกครั้งค่ะ ขอบพระคุณที่ได้ให้ชีวิตให้ทางเดินที่สงบแก่ดิฉัน สาธุ สาธู สาธุ กราบ กราบ กราบ :b8: :b8:

คุณครับที่ว่าเข้าใจน่ะเข้าใจจริงหรือเปล่า ให้ผมทดสอบอารมณ์แบบที่
ชาวบ้านเขาชอบพูดกันมั้ยครับ จะชี้ให้เห็นเลยว่า คำพูดของคุณ ความเห็นของคุณ
ที่แสดงออกมา มันมีสังโยชน์สามอย่างไร ที่รู้วิจิกิจฉายังเต็มเปี่ยมอยู่เลยครับ


ความเข้าใจ ที่เหลือก็เพียรให้เข้าถึง เข้าใจ ทำให้นำมาคิดเพื่อใช้ในการ หยุดคิด :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 07:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อะไรกันนักหนา คนหนึ่งจะเข้ามาอ่านธรรม อีกคนก็มาย้ำคิดย้ำทำแต่ความเห็นไร้สาระ ให้ระบายหน่อยเหอะ มันรกกระทู้นะ ไอ้ความเห็นนึดๆหน่อยแต่อยากมีส่วนแจมกระทู้กับชาวบ้าน อย่าเอามาทำในกระทู้ที่มีเนื้อหาสาระเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านได้ไหม จะอ่านธรรมมีธรรมไรก็เอามาโชว์ไม่มีก็เงียบไป มันรกกระทู้เห็นแล้วหงุดหงิด อืมระบายแค่นี้แหละ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เมื่อตาเห็นรูป ก็รู้ว่า ตาเห็นรูป
เมื่อหูได้ยินเสียง ก็รู้ว่า หูได้ยินเสียง
เมื่อจิตคิดนึก ก็รู้ว่า จิตคิดนึก
เมื่อใจหงุดหงิด ก็รู้ว่าใจหงุดหงิด
เมื่อจิตรู้ ก็รู้ว่าจิตรู้
เมื่อจิตยึด ก็รู้ว่าจิตยึด
เมื่อจิตปล่อย ก็รู้ว่าจิตปล่อย


asoka เขียน:
สภาวะรู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปมีความเห็นต่อสิ่งต่างๆว่าเป็นแบบโน้นแบบนี้


ขอสอดความเห็นของท่าน อโสกะ หน่อยเจ้าค่ะ ดิฉันว่าความเห็นท่านมันแม่งๆพึลึกเป็นเชิงทฤษฏี ซึ่งดิฉันฟังมาบ่อยแล้วประโยคแบบนั้น มันก็เหมือนเดิมคล้ายๆกันหมดกับธรรมที่ท่านเคยบอกแต่เวลาปฏิบัติจริงมันยังใช้ไม่ได้นะเจ้าค่ะ เพราะอินทรีย์ยังไม่แกร่งพอ ดิฉันเลยต้องถามวิธีปฏิบัติจากท่าน เช่นนั้น และท่านโฮ เพื่อไม่ให้หลง ไอ้ จิตรู้ ก็รู้ว่าจิตรู้ หูได้ยินก็รู้ว่าหูได้ยิน จมูกได้กลิ่นก็รู้ จมุกได้กลิ่น แล้วปฏิกิริยาต่อ รุป นาม ที่มากระทบกับธาตุขันธ์นี่หละเจ้าค่ะ ไม่เห็นบอกวิธีปฏิบัติบ้าง ระดับ อนาคามี และพระอรหันต์ จะไม่เกิดอุปทานขันธ์ต่อ รูป นาม แล้วอย่างเราๆละ ท่านลองไปเอา ขี้หมา มากองไว้ ใกล้ๆกับจานข้าวท่านดูไหมเจ้าค่ะ เอาแบบใหม่ๆสดๆ กลิ่นกำลังดี แล้วมาวางไว้ใกล้ๆจานข้าวท่าน แล้วท่านก็กินข้าวโดยที่เห็น ก้อนขี้หมานั้น ท่านจะ กิน ข้าวลงไหม ลองนึกดู จมุกได้กลิ่น ก็รู้ว่าจมุกได้กลิ่น ตาเห็นก็รู้ว่าตาเห็น จิตรู้ก็รุ้ว่าจิตรู้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นละหลังจากจิตท่านรู้สภาวะตามความเป็นจริงไม่ใช่ไปมีความเห็นต่อสิ่งต่างๆว่าเป็นแบบโน้นแบบนี้ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




54498d4a82e6eaf1fa88e1aa892edab6.gif
54498d4a82e6eaf1fa88e1aa892edab6.gif [ 325.17 KiB | เปิดดู 4048 ครั้ง ]
นักธรรมประเทศไทยใกล้กินขี้หมาแร้ววววว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟุ้งซ่านกันเข้าไป คิดกันเข้าไปคิดให้สมองบวมหัวปูดเป็นลูกมะนาวนะนักธรรมประเทศไทย :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นักธรรมประเทศไทยใกล้กินขี้หมาแร้ววววว :b32:

นึกว่าจะนั่งฟังเงียบๆทำตาปริบๆเอ๋อเหร๋อเหมือนในรูป :b32: แต่พอได้ทีก็ออกมาแขวะชาวบ้าน :b18:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร