วันเวลาปัจจุบัน 06 มิ.ย. 2025, 22:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อย่าเอา มามั่วอีกต่อไปเลยโฮฮับ
พระสูตรที่พระพุทธองค์ระบุตรงๆ ว่าลักขณะ ๓ มีอยู่
ไม่ใช่สิ่งที่โฮฮับ พยายามแถออกมา
บอกกีหนแล้วว่า ให้หาบาลี ยืนยันออกมาว่า
พระพุทธองค์ แสดงลักษณะ ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอาแบบบัญญัติตรงๆ เลยนะ
รู้สึกให้หามาเกือบปีแล้วมั้ง โฮฮับ

ยังไงแล้วตีณิของเช่นนั้น มันหมายถึงไตรลักษณ์หรือ แปลเองหรือเปล่า
จะถกธรรมกัน มันต้องเอาเนื้อที่อธิบาย ไม่ใช่เล่นคำศัพท์ นี่เล่นทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มี
ที่อ้างอิงว่า ตีณิแปลว่าไตรลักษณ์

ไอ้คำว่าตีณิหมายถึง ความเกิดขึ้นปรากฏ ความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ
แต่มันไม่ใช่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจมั้ย
ไอ้ตีณิมันเป็นเหตุให้เกิดไตรลักษณ์ แต่มันไม่ใช่ไตรลักษณ์

หัดมีสติอ่านความเห็นผมหน่อยนะ ผมก็บอกอยู่ว่า ไตรลักษณ์เป็นคำที่บัญญัติขึ้นภายหลัง
แต่มันไม่สำคํญเท่า เขากล่าวถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสามคำนี้เป็นพุทธพจน์



อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภาษาของเขา เรียก "ติลักขณะ" ลักษณะ 3

ไตรลักษณ์ ก็แปลว่า ลักษณะ 3 ไตร ก็แปลว่า 3

ติ ก็แปลว่า 3


อันนั้น อรรถาจารย์เรียก บัญญัติขึ้นเอง
แต่พระพุทธองค์ บัญญัติ ติลักขณะ 3 แก่ สังขตะธรรม และอสังขตะธรรม


อสังขตธรรมได้แก่นิพพาน นอกนั้นเป็นสังขตธรรมทั้งนั้น สังขตธรรมนี่แหละ เป็นติลักขณะครบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ปาปุณาติ เตเนว ธมฺมราเคน
บาลี เตน+เอว
เตนะ แปลว่า นั้น
เอวะ แปลว่า นั่นเทียว
ปาปุณาติ เตเนว ธมฺมราเคน แปลว่า ย่อมยินดีในธรรมที่บรรลุตรงนั้นนั่นเทียว
(ธรรมในขณะนั้นคือปฐมฌาน) .........

โฮฮับ ต้องสอบทานกับภิกษุสงฆ์ที่เรียนบาลี ด้วยนะครับ
ท่านจะมีความกรุณามาก ในการอธิบายศัพท์บาลีอย่างถูกต้อง

เช่นนั้นหาเรื่องให้เหนื่อยอีกแล้ว :b13:

บัญญัติก็เห็นอยู่ทนโท่ ....ว่าเตเนว

ไงซิกแซกไปเป็นเตนเอวไปได้ เตเนวมันเป็นบาลีที่มีความหมายในตัวของมันเอง
ดันไปเปลี่ยนแปลงมันหน้าตาเฉย

เต....แปลว่าสาม เนว......แปลว่า จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่
มันตรงกับไตรลักษณ์ ที่ว่า สภาวะหนึ่งเดียนั้นแต่มีลักษณะสามอย่างในสภาวะเดียวนั้น
พูดง่ายๆก็คือ จะว่าสามก็ใช่ จะว่าไม่ใช่สามก็ใช่


เช่นนั้นจะคุยธรรมอย่าอ้างอะไรลอยซิครับ นี่แค่ไตรลักษณ์คำเดียว
ชาวบ้านเขาต้องหาหลักฐานมาโชว์กันซะเหนื่อย

และแน่ใจแล้วหรือว่า ธรรมที่บรรลุคือปฐมฌาน ทิ้งการบ้านไว้
อย่าลืมมีสมาธิแล้วค่อยตอบ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เช่นนั้น เขียน:
วิริยะ เขียน:
อ้างคำพูด:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ


ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕

[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0

......

[๑๕๗] ดูกรอานนท์ มรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นไฉน?
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเพราะอุปธิวิเวก เพราะละ
กุศลธรรมได้ เพราะระงับความคร้านกายได้โดยประการทั้งปวง บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในกาย ในสมาบัตินั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค เป็น
ดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของมิใช่ตัวตน. เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น ครั้นเธอเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขาร
ทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้. เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 814&Z=2961

:b1:


ที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ............
เป็นการแปลเกินจากพระบาลีอันเป็นพุทธพจน์ ครับ คุณวิริยะ
มหาเปรียญเก้า ยัดใส่เข้าไปเอง ตามอำเภอใจ

ถ้าหากตรวจสอบดูกับฉบับแปล มหาจุฬาฯ
ส่วนที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ก็จะไม่ปรากฏ

แนะนำให้คุณวิริยะสอบทานกับแม่กองบาลีดูครับ

เจริญพร คุณโยมเช่นนั้น

ประเด็นชวนเวียนหัวน่าจะอยู่ตรงที่ กล่าวว่า ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ไม่ใช่กฏของไตรลักษณ์ ซึ่งนั่นจะทำให้เข้าใจว่า สัญลักษณ์ เครื่องหมาย หรือ
นิมิตที่ทำให้รู้ว่า มีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่มีอยู่ใน​​​ ขันธ์และ
อุปาทานขันธ์ ๕ ที่มีมาในพุทธวจนะ ! ไม่มีไม่ทรงตรัสสอน !!!

และอาจกล่าวไม่ถูกต้องนักถึงสิ่งที่ พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดง ตรัสสอนอยู่โดยปกติ
ถึงสามัญลักษณะ(๓) ถึงความเป็นไปตามธรรมดา(ธรรมนิยาม)
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/576/368 มีมาใน พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อุปปาทสูตร

ส่วนลักษณะ ๓ อย่างที่มีอยู่ใน สังขตธรรม และอสังขตธรรม อนุโมทนาครับ
เปิดใจฟังกันดีๆ ข้อที่ ทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรมมี ๓ ลักษณะเช่นเดียวกัน
แต่เพียงแต่ว่า ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งทั้งหมด เป็นสังขตธรรม ส่วนธรรมที่ไม่มี
ปัจจัยใดๆ ปรุงแต่งนั่นก็เป็น อสังขตธรรม ส่วนการอธิบาย ลักษณะสภาพธรรม
๓ อย่างที่คุณโยมเช่นนั้น แสดงยกมาทั้ง บาลีและแปลก็ถูกต้องดีแล้ว

หรือที่คุณโยมกรัชกายว่า

กรัชกาย เขียน:
อสังขตธรรมได้แก่นิพพาน นอกนั้นเป็นสังขตธรรมทั้งนั้น สังขตธรรมนี่แหละ เป็นติลักขณะครบ

รับรองได้สอดคล้องได้มีที่มาที่ไปในพระไตรปิฏกเช่นกันครับ

ดังนั้น ที่สรุปไว้ตรงนี้ ดูไม่สมควรเท่าไหร่ครับ อนิจจังความไม่เที่ยง ทุกขัง
ความบีบคั้น ตั้งอยู่โดยสภาพไม่ได้ เป็นทุกข์ อนัตตา ความไม่อยู่ภายใ้ต้อำนาจ
บังคับบัญชา ลักษณะู ๓ อย่างนี้ (ไตรลักษณ์)มีอยู่ใน สังขตธรรม ที่มีสภาพ
มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มีในพระไตรปิฏก เป็นธรรมนิยาม มีตรัสแสดงเอาไว้แน่นอน!

เช่นนั้น เขียน:
วิริยะ เขียน:
อ้างคำพูด:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ

ที่ถูกควรกล่าวว่า อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ มีอยู่ในสังขตธรรม
ไม่ควรกล่าวว่า ไม่มีในกฏไตรลักษณ์ เพราะตัวมันเองเป็นกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติ
มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไปตามธรรมดาของเขาเอง ไม่ควรกล่าวว่าไม่มีใน
พุทธวจนะหรือที่สุดไม่ควรกล่าวว่า พระองค์ไม่ทรงสอน จึงจะควรครับ.

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


govit2552 เขียน:
ท่านเช่นนั้น ดูสิครับ ว่า เขาแปลเกิน ตรงไหน ผมยังไม่เก่งถึงขนาดนั้น ชี้ไม่ถูก
Quote Tipitaka:
[๑๕๗] กตโม จ ๑ อานนฺท มคฺโค กตมา จ ปฏิปทา
ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปหานาย ฯ อิธานนฺท
ภิกฺขุ อุปธิวิเวกา อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานา สพฺพโส กายทุฏฺฐุลฺลานํ
ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ
ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช
วิหรติ ฯ โส ยเทว ตตฺถ โหติ รูปคตํ เวทนาคตํ สญฺญาคตํ
สงฺขารคตํ วิญฺญาณคตํ เต ธมฺเม อนิจฺจโต ทุกฺขโต โรคโต
คณฺฑโต สลฺลโต อฆโต อาพาธโต ปรโต ปโลกโต สุญฺญโต
อนตฺตโต สมนุปสฺสติ ฯ โส เตหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปฏิปาเปติ ๒
โส เตหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปฏิปาเปตฺวา ๓ อมตาย ธาตุยา จิตฺตํ
อุปสํหรติ เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ
#๑ ยุ. กตโม จานนฺท มคฺโค กตมา ปฏิปทาติ ทิสฺสติ ฯ ๒ สี. ยุ. ปฏิวาเปติ ฯ
#ม. ปติฏฺฐาเปติ ฯ ๓ สี. ยุ. ปฏิวาเปตฺวา ฯ ม. ปติฏฺฐาเปตฺวา ฯ
สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานนฺติ ฯ
โส ตตฺถฏฺฐิโต อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ โน เจ อาสวานํ
ขยํ ปาปุณาติ เตเนว ธมฺมราเคน ตาย ธมฺมนนฺทิยา ปญฺจนฺนํ
โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก โหติ ตตฺถ
ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธมฺโม ตสฺมา โลกา ฯ อยมฺปิ โข อานนฺท
มคฺโค อยํ ปฏิปทา ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปหานาย ฯ
ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ
ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ ฯเปฯ
จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ฯ โส ยเทว ตตฺถ โหติ
รูปคตํ เวทนาคตํ สญฺญาคตํ สงฺขารคตํ วิญฺญาณคตํ ฯเปฯ
สญฺโญชนานํ ปหานาย ฯ


[๑๕๗] กตโม จ ๑ อานนฺท มคฺโค กตมา จ ปฏิปทา
ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปหานาย ฯ

[๑๕๗] ดูกรอานนท์ มัคคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นไฉน?

อิธานนฺท ภิกฺขุ อุปธิวิเวกา อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานา สพฺพโส กายทุฏฺฐุลฺลานํ
ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ
ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ฯ


ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเพราะอุปธิวิเวก เพราะละ
กุศลธรรมได้ เพราะระงับความคร้านกายได้โดยประการทั้งปวง บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่

เช่นนั้น เขียน:
วิริยะ เขียน:
อ้างคำพูด:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ


......

[๑๕๗] ดูกรอานนท์ มรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นไฉน?
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเพราะอุปธิวิเวก เพราะละ
กุศลธรรมได้ เพราะระงับความคร้านกายได้โดยประการทั้งปวง บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในกาย ในสมาบัตินั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค เป็น
ดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของมิใช่ตัวตน. เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น ครั้นเธอเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขาร
ทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้. เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 814&Z=2961

:b1:


ที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ............
เป็นการแปลเกินจากพระบาลีอันเป็นพุทธพจน์ ครับ คุณวิริยะ
มหาเปรียญเก้า ยัดใส่เข้าไปเอง ตามอำเภอใจ

ถ้าหากตรวจสอบดูกับฉบับแปล มหาจุฬาฯ
ส่วนที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ก็จะไม่ปรากฏ

แนะนำให้คุณวิริยะสอบทานกับแม่กองบาลีดูครับ


ที่ขีดเส้นใต้ไม่ได้แปลเกินเลยครับ เป็นสรุปความย่อเอาไว้ด้้วยซ้ำ ด้วยบาลีว่า

โส ตตฺถฏฺฐิโต เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์
สรุปความ ในบาลีและแปลด้านล่างนี้ ถึง สามัญลักษณะ ธรรมนิยาม ไตรลักษณ์
ที่คุณโยมเช่นนั้นกล่าวล่วงเกินต่อพระทรงปริยัติ ทั้งหลาย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เป็นมรรคที่จะทำให้ประจักษ์ถึง สภาพธรรมนิยาม สังขตธรรม ที่มีการประชุมกัน
อาศัยเหตุและปัจจัย มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ูํ ๕ นี้ ฯลฯ


โส ยเทว ตตฺถ โหติ รูปคตํ เวทนาคตํ สญฺญาคตํ
สงฺขารคตํ วิญฺญาณคตํ เต ธมฺเม
[อนิจฺจโต] [ทุกฺขโต] โรคโต
คณฺฑโต สลฺลโต อฆโต อาพาธโต ปรโต ปโลกโต สุญฺญโต

[อนตฺตโต] สมนุปสฺสติ ฯ

เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในกาย ในสมาบัตินั้น โดยความเป็นของ[ไม่เที่ยง] [เป็นทุกข์] เป็นโรค เป็น
ดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
[เป็นของมิใช่ตัวตน.]

เช่นนั้น เขียน:
วิริยะ เขียน:
อ้างคำพูด:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ


สมควรเห็นอย่างไรครับโยมพี่เช่นนั้น. เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย
คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในกาย ในสมาบัติ
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของมิใช่ตัวตน

โส เตหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปฏิปาเปติ ๒
โส เตหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปฏิปาเปตฺวา ๓ อมตาย ธาตุยา จิตฺตํ
อุปสํหรติ เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ
สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานนฺติ ฯ


เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น ครั้นเธอเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขาร
ทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้.

โส ตตฺถฏฺฐิโต อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ โน เจ อาสวานํ
ขยํ ปาปุณาติ เตเนว ธมฺมราเคน ตาย ธมฺมนนฺทิยา ปญฺจนฺนํ
โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก โหติ ตตฺถ
ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธมฺโม ตสฺมา โลกา ฯ


โส ตตฺถฏฺฐิโต

เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ย่อมเป็นโอปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
ความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕

อยมฺปิ โข อานนฺท มคฺโค อยํ ปฏิปทา ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปหานาย ฯ

ดูกร อานนท์ มรรคแม้นี้แล ปฏิปทาแม้นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕.

ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ
ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ ฯเปฯ
จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ฯ โส ยเทว ตตฺถ โหติ
รูปคตํ เวทนาคตํ สญฺญาคตํ สงฺขารคตํ วิญฺญาณคตํ ฯเปฯ
สญฺโญชนานํ ปหานาย ฯ


ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่.

ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุข
ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข.

ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข
ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. เธอพิจารณา
เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในภายในสมาบัตินั้น ฯลฯ
เพื่อละสังโยชน์

.............เจริญพร.

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


พุทธฏีกา เขียน:

โส ตตฺถฏฺฐิโต อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ โน เจ อาสวานํ
ขยํ ปาปุณาติ เตเนว ธมฺมราเคน ตาย ธมฺมนนฺทิยา ปญฺจนฺนํ
โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก โหติ ตตฺถ
ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธมฺโม ตสฺมา โลกา ฯ


โส ตตฺถฏฺฐิโต

เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ย่อมเป็นโอปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
ความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕


เตเนว ธมฺมราเคน ตาย ธมฺมนนฺทิยา ปญฺจนฺนํ
โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก โหติ ตตฺถ
ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธมฺโม ตสฺมา โลกา ฯ


อ้างคำพูด:
อนึ่ง มีอธิบายว่า เมื่อแทงตลอดธรรมชาตินั้นโดยอาการนี้ ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุนั้น.

บทว่า โส ตตฺถ ฐิโต คือ เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนาอันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น.

บทว่า อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ ย่อมบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย คือเจริญมรรค ๔ โดยลำดับแล้วจึงบรรลุ.

บทว่า เตเนว ธมฺมราเคน เพราะความยินดีในธรรมนั้น คือเพราะความพอใจยินดีในธรรมคือสมถะและวิปัสสนา.

จริงอยู่ เมื่อสามารถถือเอาความพอใจและความยินดีในสมถะและวิปัสสนาโดยประการทั้งปวง ย่อมบรรลุพระอรหัต. เมื่อไม่สามารถย่อมเป็นพระอนาคามี.
---------------------------------------------------------------
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค
มหามาลุงโกฺยวาทสูตร ทรงโปรดพระมาลุงกยะและพระอานนท์
๔. อรรถกถามหามาลุงกยโอวาทสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=13&i=153


.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
ที่ถูกควรกล่าวว่า อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ มีอยู่ในสังขตธรรม
ไม่ควรกล่าวว่า ไม่มีในกฏไตรลักษณ์ เพราะตัวมันเองเป็นกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติ
มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไปตามธรรมดาของเขาเอง ไม่ควรกล่าวว่าไม่มีใน
พุทธวจนะหรือที่สุดไม่ควรกล่าวว่า พระองค์ไม่ทรงสอน จึงจะควรครับ.


กราบนมัสการ ท่านพุทธฏีกา
ตามที่ท่านพุทธฏีกา หาข้อมูลมา ก็คือ อรรถกถา ที่ใส่กันเอาเอง โดยอรรถาจารย์ว่า
มี ทุกขลักษณะ อนิจจะลักษณะ อนัตตะลักษณะ
แต่ ไม่ว่ากัน
เพียงแต่ต้องการบทพิสูจน์ที่เป็นพุทธวจนะ ว่า
สังขตธรรม มีลักษณะสามประการ
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ขอพุทธพจน์ พร้อมบาลี

ไม่ใช่ พุทธพจน์ พร้อมอรรถกถาที่บิดเบือน

เพราะแม้แต่พระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬา(ภาษาไทย) ก็ยังไม่สวม "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์" เข้าว่าเป็นพุทธพจน์

และต้องถามท่านพุทธฏีกา ว่า ในพุทธพจน์ บทที่ว่ามานั้น ส่วนไหนของพุทธพจน์บทนั้น ยืนยันสิ่งที่ท่านนำมากล่าว

สิ่งที่พุทธฏีกา พึงจำไว้ให้ดี
การเจริญวิปัสสนา โดย อนิจจสัญญา หรือ ทุกขสัญญา หรือ อนัตตสัญญา มีอยู่
แต่ไม่ใช่ว่า พอมี ก็เหมาลงไปว่าเป็น ลักษณะของสังขตะธรรม ตามทีเรียนรู้ตามกันมา

ผมขอ พุทธวจนะยืนยัน ไม่ใช่ขอคำอธิบายของอรรถาจารย์ ครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 พ.ค. 2013, 17:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

เต....แปลว่าสาม เนว......แปลว่า จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่
มันตรงกับไตรลักษณ์ ที่ว่า สภาวะหนึ่งเดียนั้นแต่มีลักษณะสามอย่างในสภาวะเดียวนั้น
พูดง่ายๆก็คือ จะว่าสามก็ใช่ จะว่าไม่ใช่สามก็ใช่



ไม่มีปัญญามั่ว ก็อย่ามั่ว โฮฮับ
กราบเรียนถามท่านพุทธฏีกา เอาเองนะครับ
ว่า เตเนว แปลว่าอะไร มาจากอะไร
แล้วค่อยมาคุย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ในฉบับแปลของมหาจุฬาฯ(ภาษาไทย) จึงแปลดังนี้
Quote Tipitaka:
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [๒. ภิกขุวรรค]
๔. มหามาลุงกยสูตร

รูปฌาน ๔
[๑๓๓] มรรคและปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ
เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะละอกุศลธรรมทั้งหลายด้วยอุปธิวิเวก เพราะ
ระงับความเกียจคร้านทางกายได้โดยประการทั้งปวง จึงสงัดจากกามและอกุศลธรรม
ทั้งหลายแล้วบรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มีอยู่ใน
ปฐมฌานนั้นโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดุจโรค เป็นดุจหัวฝี เป็นดุจลูกศร
เป็นสิ่งคอยก่อความเดือดร้อน เป็นที่ทำให้ขัดข้อง เป็นดุจคนฝ่ายอื่น เป็นสิ่งที่ต้อง
แตกสลาย เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมทำจิตให้กลับจากธรรมเหล่านั้น
ครั้นแล้ว จึงน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า ‘ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับสังขาร
ทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ความคลายกำหนัด
ความดับ นิพพาน’ เธอดำรงอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย หากยังไม่บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ก็จะเป็นโอปปาติกะ๓
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการสิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น
จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก๔

ถ้าท่านพุทธฏีกา
ยังสงสัยเกี่ยวกับแปลบาลี
ท่านพุทธฏีกา พึงตรวจสอบ ระหว่างสองพระสูตร
คือ มหามาลุงกยสูตร กับ ฌานสูตร
สองพระสุตรนี้ จะมีบาลีที่ตรงกันทุกประการ ในส่วนที่อธิบายเกี่ยวกับ ฌานต่างๆ
จะเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงการข้อผิดพลาดของการแปล และอรรถกถา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=9041&Z=9145&pagebreak=0

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: ดีใจครับ ที่ท่านพุทธฏีกา เข้ามาแสดงความคิดเห็น :b8:

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

Quote Tipitaka:
กตโม จ ๑ อานนฺท มคฺโค กตมา จ ปฏิปทา
ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปหานาย ฯ อิธานนฺท
ภิกฺขุ อุปธิวิเวกา อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานา สพฺพโส กายทุฏฺฐุลฺลานํ
ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ
ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช
วิหรติ ฯ โส ยเทว ตตฺถ โหติ รูปคตํ เวทนาคตํ สญฺญาคตํ
สงฺขารคตํ วิญฺญาณคตํ เต ธมฺเม อนิจฺจโต ทุกฺขโต โรคโต
คณฺฑโต สลฺลโต อฆโต อาพาธโต ปรโต ปโลกโต สุญฺญโต
อนตฺตโต สมนุปสฺสติ ฯ โส เตหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปฏิปาเปติ ๒
โส เตหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปฏิปาเปตฺวา ๓ อมตาย ธาตุยา จิตฺตํ
อุปสํหรติ เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ
#๑ ยุ. กตโม จานนฺท มคฺโค กตมา ปฏิปทาติ ทิสฺสติ ฯ ๒ สี. ยุ. ปฏิวาเปติ ฯ
#ม. ปติฏฺฐาเปติ ฯ ๓ สี. ยุ. ปฏิวาเปตฺวา ฯ ม. ปติฏฺฐาเปตฺวา ฯ
สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานนฺติ ฯ
โส ตตฺถฏฺฐิโต อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ โน เจ อาสวานํ
ขยํ ปาปุณาติ เตเนว ธมฺมราเคน ตาย ธมฺมนนฺทิยา ปญฺจนฺนํ
โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก โหติ ตตฺถ
ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธมฺโม ตสฺมา โลกา ฯ อยมฺปิ โข อานนฺท
มคฺโค อยํ ปฏิปทา ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปหานาย ฯ
ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ
ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ ฯเปฯ
จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ฯ โส ยเทว ตตฺถ โหติ
รูปคตํ เวทนาคตํ สญฺญาคตํ สงฺขารคตํ วิญฺญาณคตํ ฯเปฯ
สญฺโญชนานํ ปหานาย ฯ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ฌานสูตร
[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง อากาส
นัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง ฯ
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมี
อยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด
ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอ
ย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่ง
สังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด
ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิย-
*สังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

ปฐมมฺปาหํ ภิกฺขเว ฌานํ นิสฺสาย อาสวานํ ขยํ วทามีติ อิติ โข
ปเนตํ วุตฺตํ กิญฺเจตํ ปฏิจฺจ วุตฺตํ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ วิวิจฺเจว
กาเมหิ ฯเปฯ ปฐมชฺฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ โส ยเทว ตตฺถ โหติ
รูปคตํ เวทนาคตํ สญฺญาคต๋ สงฺขารคต๋ วิญฺญาณคตํ เต ธมฺเม
อนิจฺจโต ทุกฺขโต โรคโต คณฺฑโต สลฺลโต อฆโต อาพาธโต ปรโต
ปโลกโต สุญฺญโต อนตฺตโต สมนุปสฺสติ โส เตหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ
ปติฏฺฐาเปติ โส เตหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปติฏฺฐาเปตฺวา อมตาย ธาตุยา
จิตฺตํ อุปสํ หรติ เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ
สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานนฺติ โส ตตฺถ ฐิโต
อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ โน เจ อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ เตเนว ธมฺมราเคน
ตาย ธมฺมนนฺทิยา ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํ โยชนานํ ปริกฺขยา
โอปปาติโก โหติ ตตฺถปรินิพฺพายี อนาวตฺติธมฺโม ............

กราบนมัสการท่านพุทธฏีกา
การเจริญวิปัสสนา
โดยอาศัย สัญญาต่างๆ มีอยู่พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัส
แต่
ไม่ควรกล่าวว่า พระองค์บัญญัติ ไตรลักษณ์ ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสังขตะลักษณะ 3
พระองค์ บัญญัติไว้แล้ว ในสังขตะสูตร
คำพูดของพระองค์ ไม่เคยขัดแย้งกัน

อนัตตา เป็นองค์ธรรม ที่แสดงครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์ เพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวตน
เมื่ออนัตตา เป็นองค์ธรรมที่แสดงเพื่อการนั้น อนัตตา เป็นองค์ธรรมแห่งมัคค์ เป็นส่วนของปัญญาขันธ์
จริงหรือไม่จริง ท่านพุทธฏีกา

เมื่อเป็นส่วนของปัญญาขันธ์ ตัวองค์ธรรม อนัตตาเอง ก็ต้องจัดเข้า สู่ สังขตะธรรม ไม่ใช่อสังขตะธรรม
จริงหรือไม่จริงท่านพุทธฏีกา

คำถามแรกพึงถาม ว่า "อนัตตา" เป็นองค์ธรรมประเภทไหนก่อน เพราะอนัตตา หาใช่นิพพานไม่

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=9041&Z=9145&pagebreak=0

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
อ้างคำพูด:
อนึ่ง มีอธิบายว่า เมื่อแทงตลอดธรรมชาตินั้นโดยอาการนี้ ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุนั้น.

บทว่า โส ตตฺถ ฐิโต คือ เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนาอันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น.

บทว่า อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ ย่อมบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย คือเจริญมรรค ๔ โดยลำดับแล้วจึงบรรลุ.

บทว่า เตเนว ธมฺมราเคน เพราะความยินดีในธรรมนั้น คือเพราะความพอใจยินดีในธรรมคือสมถะและวิปัสสนา.

จริงอยู่ เมื่อสามารถถือเอาความพอใจและความยินดีในสมถะและวิปัสสนาโดยประการทั้งปวง ย่อมบรรลุพระอรหัต. เมื่อไม่สามารถย่อมเป็นพระอนาคามี.
---------------------------------------------------------------
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค
มหามาลุงโกฺยวาทสูตร ทรงโปรดพระมาลุงกยะและพระอานนท์
๔. อรรถกถามหามาลุงกยโอวาทสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=13&i=153



ท่านพุทธฏีกา คงเคยได้ยิน อุปสมานุสติ ที่น้อมจิตลงไปในอมตธาตุมี นิพพานเป็นอารมณ์
การพอใจยินดีในธรรมคือสมถะและวิปัสสนา ในที่นี้
เพราะตั้งอยู่ตรงนั้น ตรงที่น้อมจิตไปในอมตธาตุ
ท่านพุทธฏีกาเป็นนักปฏิบัติ ควรพิจารณา ให้ดีถึงความสอดคล้องกันในบทปฏิบัติ เพราะ
ไตรลักษณ์ ตามอรรถาจารย์พูดเองเออเองนั้น มีนามรูปเป็นอารมณ์
แต่ ณ ขณะที่ถึงบทที่ น้อมจิตไปในอมตธาตุนั้น พ้นแล้วจากการมีนามรูปเป็นอารมณ์
เพราะถ้ายังมีสังขตะธรรม หรือนามรูปเป็นอารมณ์ จิตจะน้อมไปในอมตธาตุได้อย่างไร
จริง หรือไม่จริง ท่านพุทธฏีกา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีกหน่อยก็ได้ :b1:

ธรรมทั้งหลายทั้งปวง (สพฺเพ ธมฺมา ...) แยกประเภทได้เป็น 2 อย่างคือ

1. สังขตธรรม ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ ธรรมที่มีปัจจัย สภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่งขึ้น สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมารวมกันแต่งสรรค์ขึ้น สิ่งที่ปัจจัยประกอบเข้า หรือสิ่งที่ปรากฏและเป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สังขาร” ซึ่งมีรากศัพท์และคำแปลเหมือนกัน หมายถึง สภาวะทุกอย่าง ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ทั้งที่ดี ที่ชั่ว และที่เป็นกลางๆ ทั้งหมด เว้นแต่นิพพาน


2. อสังขตธรรม ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ ธรรมที่ไม่มีปัจจัย หรือสภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วิสังขาร” ซึ่งแปลว่า สภาวะปลอดสังขาร หรือสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน


ในบาลีบางแห่งจึงมีพุทธพจน์แสดงลักษณะของสังขตธรรม และอสังขตธรรมไว้ เรียกว่า สังขตลักษณะ และ อสังขตลักษณะ ใจความว่า

สังขตลักษณะ คือ เครื่องหมายที่ทำให้กำหนดรู้ หรือเครื่องกำหนดหมายให้รู้ว่าเป็นสังขตะ (ว่าเป็นสภาวะที่มีปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่สรรค์ขึ้น) ของสังขตธรรม มี 3 อย่าง คือ

1. ความเกิดขึ้น ปรากฏ

2. ความแตกดับหรือความสลาย ปรากฏ

3. เมื่อดำรงอยู่ความผันแปร ปรากฏ


ส่วนอสังขตลักษณะ คือ เครื่องหมายที่ทำให้กำหนดรู้ หรือเครื่องกำหนดหมายให้รู้ว่าเป็นอสังขตะ (ว่ามิใช่สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่สรรค์ขึ้น) ของอสังขตธรรม มี 3 อย่าง คือ

1. ไม่ปรากฏความเกิด

2. ไม่ปรากฏความสลาย

3. เมื่อดำรงอยู่ไม่ปรากฏความผันแปร


รวมความว่า อสังขตธรรม หรือวิสังขาร คือนิพพาน พ้นจากภาวะไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ แต่ก็เป็นอนัตตา ไร้ตัว มิใช่ตน

ส่วนธรรมอื่นนอกจากนั้น คือสังขาร หรือสังขตธรรมทั้งหมด ทั้งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ดังความในบาลีวินัยปิฏกผูกเป็นคาถายืนยันไว้ว่า

“สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติ เป็นอนัตตาวินิจฉัยมีอยู่ดังนี้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:

ท่านพุทธฏีกา คงเคยได้ยิน อุปสมานุสติ ที่น้อมจิตลงไปในอมตธาตุมี นิพพานเป็นอารมณ์
การพอใจยินดีในธรรมคือสมถะและวิปัสสนา ในที่นี้
เพราะตั้งอยู่ตรงนั้น ตรงที่น้อมจิตไปในอมตธาตุ
ท่านพุทธฏีกาเป็นนักปฏิบัติ ควรพิจารณา ให้ดีถึงความสอดคล้องกันในบทปฏิบัติ เพราะ
ไตรลักษณ์ ตามอรรถาจารย์พูดเองเออเองนั้น มีนามรูปเป็นอารมณ์
แต่ ณ ขณะที่ถึงบทที่ น้อมจิตไปในอมตธาตุนั้น พ้นแล้วจากการมีนามรูปเป็นอารมณ์
เพราะถ้ายังมีสังขตะธรรม หรือนามรูปเป็นอารมณ์ จิตจะน้อมไปในอมตธาตุได้อย่างไร
จริง หรือไม่จริง ท่านพุทธฏีกา


พูดให้คิดนะไม่ได้ค้านใครหรือส่งเสริมฝ่ายใด :b1: แต่พูดให้คิดร่วมกัน (แต่ก็ได้แค่คิดนะ)

ถ้าไม่มีนามรูป ไม่ผ่านนามรูป ไม่เกาะนามรูปไป จะเอาจิตที่ไหนน้อมไปสู่อมตธาตุล่ะ เพราะนามคือจิต แล้วจิตก็อาศัยรูป มองภาพรวมๆนะ ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร ถ้าไม่มีรูปนามเห็นๆนี้แล้วไปไหนไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ดอก คนนะไม่ใช่ผี คิกๆ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอาอีกหน่อยก็ได้ :b1:

ธรรมทั้งหลายทั้งปวง (สพฺเพ ธมฺมา ...) แยกประเภทได้เป็น 2 อย่างคือ

1. สังขตธรรม ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ ธรรมที่มีปัจจัย สภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่งขึ้น สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมารวมกันแต่งสรรค์ขึ้น สิ่งที่ปัจจัยประกอบเข้า หรือสิ่งที่ปรากฏและเป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สังขาร” ซึ่งมีรากศัพท์และคำแปลเหมือนกัน หมายถึง สภาวะทุกอย่าง ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ทั้งที่ดี ที่ชั่ว และที่เป็นกลางๆ ทั้งหมด เว้นแต่นิพพาน


2. อสังขตธรรม ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ ธรรมที่ไม่มีปัจจัย หรือสภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วิสังขาร” ซึ่งแปลว่า สภาวะปลอดสังขาร หรือสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน


ในบาลีบางแห่งจึงมีพุทธพจน์แสดงลักษณะของสังขตธรรม และอสังขตธรรมไว้ เรียกว่า สังขตลักษณะ และ อสังขตลักษณะ ใจความว่า

สังขตลักษณะ คือ เครื่องหมายที่ทำให้กำหนดรู้ หรือเครื่องกำหนดหมายให้รู้ว่าเป็นสังขตะ (ว่าเป็นสภาวะที่มีปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่สรรค์ขึ้น) ของสังขตธรรม มี 3 อย่าง คือ

1. ความเกิดขึ้น ปรากฏ

2. ความแตกดับหรือความสลาย ปรากฏ

3. เมื่อดำรงอยู่ความผันแปร ปรากฏ


ส่วนอสังขตลักษณะ คือ เครื่องหมายที่ทำให้กำหนดรู้ หรือเครื่องกำหนดหมายให้รู้ว่าเป็นอสังขตะ (ว่ามิใช่สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่สรรค์ขึ้น) ของอสังขตธรรม มี 3 อย่าง คือ

1. ไม่ปรากฏความเกิด

2. ไม่ปรากฏความสลาย

3. เมื่อดำรงอยู่ไม่ปรากฏความผันแปร


รวมความว่า อสังขตธรรม หรือวิสังขาร คือนิพพาน พ้นจากภาวะไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ แต่ก็เป็นอนัตตา ไร้ตัว มิใช่ตน

ส่วนธรรมอื่นนอกจากนั้น คือสังขาร หรือสังขตธรรมทั้งหมด ทั้งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ดังความในบาลีวินัยปิฏกผูกเป็นคาถายืนยันไว้ว่า

“สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติ เป็นอนัตตาวินิจฉัยมีอยู่ดังนี้”

คุนน้องสงสัยประโยคสีแดงค่ะ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา แล้วทำไมนิพพานเป็นอนัตตาค่ะ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่เข้าใจว่านิพพานเป็นยังไง ไม่ใช่คนที่อยากนิพพานในชาติปัจจุบัณ แต่เป็นคนที่กิเลศลดน้อยลง ๆๆเรื่อยๆ ถึงจะเห็น คิกๆ :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร