วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 18:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ธรรมะของจริง
onion
:b36:


เพียงจินตนาการตามคำพูดของเค้า ก็เป็นเพียงคิดๆวาดภาพไป อุปมาเหมือนคนเมากัญชานอนวาดภาพก้อนเมฆที่ลอยไปลอยมาในอากาศเป็นรูปเสือ สิงห์ กระทิง แรด นก หนู เป็นต้นไปตามจินตนาการ= ตัณหา แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่า นั่นแหละนก หนู จริงๆ = อุปาทาน ต่อนั้นก็สร้างภพ (ภว) ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส แล้วก็หมุนวนเริ่มต้นที่อวิชชา (ความไม่รู้ = โฮ่) เป็นต้นอีก ทั้งปี ทั้งชีวิต :b13: :b32:



พระพุทธเจ้าสอนเรื่องชีวิต (คน) นั่นเอง ดังนั้น ธรรมะคือชีวิตนี่ รึจะเถียง :b1:


:b12:
ธรรมะ คือชีวิต อาจจะใช่ ถ้าตีความว่าธรรมะคือธรรมชาติ

แต่

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน......สังเกตคำพูดนี้ให้ดี

"ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน"

เป็นสิ่งที่ชี้ตรง เจาะจงลงไปเฉพาะเรื่อง ไม่ครอบคลุมเรื่องของชีวิตทั้งหมดอย่างที่กรัชกายเห็นและเข้าใจ

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

นี่ทุกข์

นี่เหตุเกิดทุกข์

นี่ความดับทุกข์

นี่วิธีดับเหตุทุกข์หรือทางดำเนินไปให้ถึงความดับทุกข์

พระพุทธองค์ทรงสอนและชี้ชัดลงไปเฉพาะในเรื่องทั้ง 4 เรื่องนี้เป็นสำคัญ เรื่องอื่นนอกจากนี้ที่มีแสดงไว้เป็นเพียงเรื่องประกอบหรือเรื่องที่จะเอามาชี้นำให้ผู้คนเข้าถึงประเด็นธรรมทั้ง 4 ข้อ คืออริยสัจทั้ง 4 ประการนี้


ใครมีความเห็น ศึกษา ค้นคว้า ลงมือปฏิบัติ คิด พูด ทำอยู่ใน 4 เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นผู้มี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ

ใครทำนอกไปจากสี่เรื่องนี้ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด

ใครเจริญการกระทำไปในอริยสัจ 4 ได้ชื่อว่าผู้ปฏิบัติตรง
เป็นอุชุปฏิปันโน เป็นสุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน บุคคล ย่อมมีที่สุดอยู่ในกลุ่มของจัตตาริปุริสสะ ยุคานิ อัฐปุริสสะบุคคลา คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุรุษ
นั่นแหละสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

พึงสำเหนียกจดจำใส่ใจไว้ใหดีนะกรัชกาย อย่ามาเอาความเห็นผิด ความอวดรู้อวดใหญ่ที่ไม่ตรงประเด็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงคัดเลือกไว้ดีแล้วมาสอน ให้บิดเบือนไป ขยายประเด็นจนทำให้ผู้ใหม่ ผู้ยังไม่รู้ หลงทางไปในเรื่องที่ไม่รู้จบอย่างเรื่องของ ชีวิต ที่ยกมานั้น มันจะเป็นบาปมหันต์ที่มาทำให้ผู้คนหลงทางหลงประเด็นศึกษาปฏิบัติในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง เปลืองสมองเปลืองชีวิตไปกับคำแนะนำที่เป็นมิจฉาทิฏฐิของกรัชกาย ดังจะพิจารณาได้จักพฤติกรรมการเขียนการโพสต์เรื่องราวความรู้ต่างๆตามกระทู้ของกรัชกายซึ่งสะเปะสะปะ กินความกว้างขวางไปหมดจนไม่รู้ว่าจะชี้ชัดลงตรงไหนกันแน่ จะเอายังไงกัน เดี๋ยวธรรมหลุด เดี๋ยวธรรมโลกย์ มั่วกันไปหมด ไม่เป็นอุชุปัญญา อุชุวาจา อุชุกัมมะ อุชุปฏิปันโน

ปรับจิตปรับใจปรับทิศทางความเห็นเสียใหม่ให้ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิโดยแท้เสียนะกรัชกาย จะได้ไม่เป็นบาปเป็นกรรมเป็นครุกรรมหรืออนันตริยกรรมกับชีวิตของกรัชกายอีกต่อไป

onion

Kiss
อ้างคำพูด:
ธรรมะ คือชีวิต อาจจะใช่

:b32:
...ขำ555...ท่านอโศกะ...ธรรมะแปลจากบาลีเป็นภาษาไทยคือสิ่งที่มีจริง...แม้ไม่เรียกชื่อเลยก็มี...
...ท่านอโศกะว่ามาตรงๆสิคิดว่าตนเองมีชีวิตไหม...แล้วชีวิตที่มีของท่านอโศกะตอนนี้นี่มีจริงๆไหม...
...แล้วมันใช่ชีวิตของท่านอโศกะไหม...อาจจะใช่อย่างนั้นหรือ...ท่านอโศกะอาจคิดว่าไม่ใช่ตัวเอง...
...แล้วท่านอโศกะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่และกำลังอาศัยมีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ไหมภพภูมิอะไร...
...นี่เลยความรู้พื้นๆจริงๆนะ...ที่ทุกคนมีที่ไม่พิกลพิการไม่ตาบอดไม่หูหนวกครบอาการ32จริงไหม...
:b12:
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 02 พ.ย. 2016, 18:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บางทีเราก็ลืมๆกันไป พูดให้ฉุกคิดกันนะ ในเจตสิกหรือคุณสมบัติของจิตเนี่ย มีชีวิตตัวหนึ่งนะ "ชีวิตินทรีย์" ไง (ชีวิต+อินทรียฺ์ = อินทรีย์คือชีวิต - ชีวิต แปลว่า ความเป็นอยู่ ถ้าขาดตัวชีวิตนี้ ก็ กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา..) ที่เรายัง ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นต้นกันได้ เรียกว่ายังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย ไม่รู้ท่านอโศกจะเข้าใจหรือเปล่า :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้นำศัพท์ที่ท่านพูดหมายถึงชีวิตมาแบให้ดูหลายๆตัวเลย


ชีวก ชื่อหมอใหญ่ผู้เชียวชาญในการรักษาและมีชื่อเสียงมากในครั้งพุทธกาล เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร และเจ้าพิมพิสาร ได้ถวายให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้าด้วย ชื่อเต็มว่า ชีวกโกมารภัจจ์

หมอชีวก เกิดที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นบุตรของนางคณิกา (หญิงงามเมือง) ชื่อว่าสาลวดี แต่ไม่รู้จักมารดาบิดาของตน เพราะเมื่อนางสาลวดีมีครรภ์ เกรงค่าตัวจะตก จึงเก็บตัวอยู่

ครั้นคลอดแล้วก็ให้คนรับใช้เอาทารกไปทิ้งที่กองขยะ

แต่พอดี เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ เจ้าชายอภัย โอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร จะไปเข้าเฝ้า เสด็จผ่านไป เห็นการุมล้อมทารกอยู่ เมื่อทรงทราบว่า เป็นทารกและยังมีชีวิตอยู่ จึงได้โปรดให้นำไปให้นางนมเลี้ยงไว้ในวัง

ในขณะที่ทรงทราบว่าเป็นทารก เจ้าชายอภัยได้ตรัสถามว่า เด็กยังมีชีวิตอยู่ (หรือยังเป็นอยู่) หรือไม่ และได้รับคำตอบว่ายังมีชีวิตอยู่ (ชีวิต = ยังเป็นอยู่ หรือยังมีชีวิตอยู่)

ทารกนั้นจึงได้ชื่อว่า ชีวก (ผู้ยังเป็น) และเพราะเหตุที่เป็นผู้อันเจ้าชายเลี้ยงจึงได้มีสร้อยนามว่า โกมารภัจจ์ (ผู้อันพระราชกุมารเลี้ยง)

ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่า ตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตัว จึงได้เดินทางไปศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา

ศึกษาอยู่ ๗ ปี อยากทราบว่าเมื่อใดจะเรียนจบ

อาจารย์ให้ถือเสียมไปตรวจดูทั่วบริเวณ ๑ โยชน์ รอบเมืองตักสิลา เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวยา

ชีวก หาไม่พบ กลับมาบอกอาจารย์

อาจารย์ว่า สำเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแล้ว และมอบเสบียงเดินทางให้เล็กน้อย

ชีวก เดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์

เมื่อเสบียงหมดในระหว่างทาง ได้แวะหาเสบียงที่เมืองสาเกต โดยไปอาสารักษาภรรยาของเศรษฐีเมืองนั้น ซึ่งเป็นโรคปวดหัวมา ๗ ปี ไม่มีใครรักษาหาย

ภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ให้รางวัลมากมาย

หมอชีวกได้เงินมา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์ พร้อมด้วยทาสทาสีและรถม้า เดินทางกลับถึงพระนครราชคฤห์ นำเงินและของรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็นค่าปฏิการคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา

เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลนั้นไว้เป้นของตนเอง ไม่ทรงรับเอา และโปรดให้หมอชีวิตสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์

ต่อมาไม่นาน เจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด่พระเจ้าพิมพิสาร จอมชนแห่งมคธทรงหายประชวรแล้ว จะพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง ๕๐๐ นางให้เป็นรางวัล

หมอชีวกไม่รับ ขอให้ทรงถือว่า เป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น

พระเจ้าพิมพิสาร จึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

หมอชีวก ได้รักษาโรครายสำคัญหลายครั้ง เช่น ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในลำไส้ของบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี และถวายการรักษาพระพุทธเจ้าในคราวที่พระบาทห้อพระโลหิต เนื่องจากเศษหินจากก้อนศิลา ที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขา เพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ

หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ ๒-๓ ครั้ง เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไป จึงสร้างวัดถวายในอัมพวันคือสวนมะม่วงของตน เรียกว่า ชีวกัมพวัน (อัมพวันของหมอชีวก) เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ด้วยเหตุที่หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำคณะสงฆ์ และเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัว จำนวนมาก จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วย ด้วยโรคบางชนิด

นอกจากนั้น หมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรม และเรือนไฟ เพื่อเป็นที่บริหารกาย ช่วยรักษาสุขภาพของภิกษุทั้งหลาย

หมอชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล


ชีพ ชีวิต, ความเป็นอยู่

ชีวิต ความเป็นอยู่


ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการตามรักษาสหชาติธรรม (ธรรมที่เกิดร่วมด้วย) ดุจน้ำหล่อเลี้ยงดอกบัว เป็นต้น มี ๒ ฝ่าย คือ

๑. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นชีวิตรูป เป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง (ข้อที่ ๑๓) เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงเหล่ากรรมชรูป (รูปที่เกิดแต่กรรม) บางทีเรียก รูปชีวิตินทรีย์

๒. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นเจตสิกเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง) อย่างหนึ่ง (ข้อที่ ๖) เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงนามธรรม คือ จิตและเจตสิกทั้งหลาย

บางทีเรียก อรูปชีวิตินทรีย์ หรือนามชีวิตินทรีย์


(ที่สมมติบัญญัติเรียกกันว่าคนว่ามนุษย์ เป็นต้น นี่แหละธรรมะ (จิต เจตสิก รูป = คน/มนุษย์เราๆท่านๆ ชีวิตหนึ่งๆ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 06:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b37:
เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า
“สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์
การเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์นี้ เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b37:
เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า
“สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์
การเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์นี้ เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน

onion

Kiss
เบื่อลูกเมียลูกหลานญาติพี่น้องหรือยังถ้ายังเกิดอีกแน่นอน555
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 06:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1473823533873.jpg
1473823533873.jpg [ 72.21 KiB | เปิดดู 1811 ครั้ง ]
1473228986971.jpg
1473228986971.jpg [ 31 KiB | เปิดดู 1810 ครั้ง ]
Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
:b37:
เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า
“สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์
การเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์นี้ เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน

onion

Kiss
เบื่อลูกเมียลูกหลานญาติพี่น้องหรือยังถ้ายังเกิดอีกแน่นอน555
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:

:b12:
เกิดอีกไม่เกิน 3 ชาติ 7 ชาติก็พอละมั่งน้องรสริน จะเอาถึงไม่เกิดอีกเชียวหรือ

เก่งจัง!
:b4:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
:b37:
เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า
“สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์
การเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์นี้ เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน

onion

Kiss
เบื่อลูกเมียลูกหลานญาติพี่น้องหรือยังถ้ายังเกิดอีกแน่นอน555
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:

:b12:
เกิดอีกไม่เกิน 3 ชาติ 7 ชาติก็พอละมั่งน้องรสริน จะเอาถึงไม่เกิดอีกเชียวหรือ

เก่งจัง!
:b4:

Kiss
โลภะกับตัณหาคืออันเดียวกัน ตัณหาพาให้เกิด ตัณหาทาโส จึงเป็นทาสตัณหา3
1กามตัณหา คือความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
2ภวตัณหา คือความพอใจในสุขต้องการสุขนั้นเพิ่มขึ้นอยากได้อยากมีอยากเป็นเช่นอยากรวย/สวย/ฉลาด
3วิภวตัณหา คือความไม่พอใจในทุกข์ไม่ต้องการไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็นเช่นไม่อยากพิการ
:b8:
พระอรหันต์เท่านั้นที่ดับเหตุทั้ง6(ทั้งเหตุฝ่ายกุศลและเหตุฝ่ายอกุศล)
เหตุฝ่ายอกุศล3คือ โลภะ โทสะ โมหะ เหตุฝ่ายกุศล3คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ
:b12:
ความไม่รู้คือกิเลสที่สะสม แบ่งได้2คู่เกิดคนละขณะจิตไม่พร้อมกันเป็นอวิชชาล้วนๆ
คือ 1)โลภะ+โมหะ 2)โทสะ+โมหะ คือการสะสมความไม่รู้ของปุถุชน
:b1:
โสดาปัตติมรรค-ผล/สกิทาคาปัตติมรรค-ผลดับโมหะได้ตามลำดับ
รู้ว่าเป็นธัมมะสะสมกุศลตามลำดับคือ1)โลภะ+อโมหะ 2โทสะ+อโมหะ
:b16:
พระอนาคามีมรรค-ผล/พระอรหัตตมรรคดับโทสะยังสะสมโลภะอยู่
มีการสะสม1)โลภะ+อโมหะ 2อโทสะ+อโมหะ
:b20:
พระอรหัตตผลเท่านั้นที่ถึงนิพพานขณะดำรงธาตุขันธ์อยู่สะสม
1)อโลภะ+อโมหะ 2)อโทสะ+อโมหะ ดับโลภ โกรธ หลงแล้ว
เดี๋ยวนี้เองที่กำลังสะสมเหตุทั้ง6ผ่านจิต เจตสิก รูป นิพพานดังนั้น
จิตทุกดวงจำเป็นต้องรู้ที่จิตตนว่ากำลังสะสมอวิชชาหรือสะสมปัญญา
เพราะกุศลที่สะสมคือความจริงที่ดับโมหะแล้วสติตรงสภาพธรรมที่กำลังมี
อริยบุคคลอบรมเจริญความจริงที่จิตเพื่อรู้ทุกข์ ละสมุทัย ถึงมรรค ผล นิพพาน
เป็นจิต+โสภณเจตสิก+รูป สะสมปัญญาเจริญในจิตและพระอรหัตตผลเท่านั้นที่ถึงนิโรธ
:b8:
:b4: :b4:
หมายเหตุ
หมั่นฟังพระธรรมเพื่ออบรมเจริญปัญญาเพื่อสะสมความเข้าใจถูกความเห็นถูกตรงตามคำสอน
เพราะเข้าใจความจริงของสิ่งที่จิตมีตามกำลังสติปัญญาของตนคือสัมมาทิฏฐิเกิดจากฟังเข้าใจ
https://www.youtube.com/watch?v=STpTSwBHGPg
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 20:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s006
อ้างคำพูด:
พระอรหัตตผลเท่านั้นที่ถึงนิพพานขณะดำรงธาตุขันธ์อยู่สะสม
1)อโลภะ+อโมหะ 2)อโทสะ+อโมหะ ดับโลภ โกรธ หลงแล้ว
เดี๋ยวนี้เองที่กำลังสะสมเหตุทั้ง6ผ่านจิต เจตสิก รูป นิพพานดังนั้น
จิตทุกดวงจำเป็นต้องรู้ที่จิตตนว่ากำลังสะสมอวิชชาหรือสะสมปัญญา
เพราะกุศลที่สะสมคือความจริงที่ดับโมหะแล้วสติตรงสภาพธรรมที่กำลังมี
อริยบุคคลอบรมเจริญความจริงที่จิตเพื่อรู้ทุกข์ ละสมุทัย ถึงมรรค ผล นิพพาน
เป็นจิต+โสภณเจตสิก+รูป สะสมปัญญาเจริญในจิตและพระอรหัตตผลเท่านั้นที่ถึงนิโรธ

s004
ข้อความที่คาดสีแดงไว้นั้นน่าจะไม่ถูกต้องนะครับ คุณรสริน

พระอริยบุคคลทั้ง 4 จำพวก ต่างเคยได้เข้าถึงนิโรธคือความดับทุกข์และเสวยนิพพานมาแล้วทั้งนั้น แต่ จะทำนิโรธและนิพพานนั้นให้เกิดขึ้นได้เร็วได้ช้า ทรงอยู่ได้นานหรือไม่นานต่างกันไปตามชั้นอริยะของตนเท่านั้นเอง 3 ชั้นแรกยังไม่ถาวร แต่ชั้นที่ 4 ถาวร เที่ยงแท้แน่นอนแล้วที่จะเข้าถึงนิโรธ
เสวยนิพพานเมื่อไรก็ได้

:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2016, 08:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ทบทวนความจำครับ
:b27:
ความรู้พื้นฐานที่ชาวพุทธทุกคนควรมี
1.ยาก 5 อย่าง
2.ทาง 5 เส้น
3.บุคคล 5 จำพวก
4.โอวาทปาติโมกข์ 3
5. อริยสัจ 4
6. โพธิปักขิยธรรม 37
7.ไตรลักษณ์ 3
8. นิวรณ์ 5
9. สมถะและวิปัสสนา
10. ปัจจุบันอารมณ์
11. อกุศลมูล 3
12. บุญกิริยาวัตถุ 10
ยาก 5 อย่าง
1.ความเกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก
2.ความได้เกิดเป็นมนุษย์
3.ความได้พบพระพุทธศาสนา
4.การได้ฟังและศึกษาข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
5.การได้นำคำสอนอันถูกต้องนั้นมาใส่ใจประพฤติปฏิบัติ
ดัดกายใจจนบรรลุถึงมรรค ผล นิพพานตามลำดับ
ทาง 5 เส้น
1.ทางบาปอกุศล
2.ทางบุญกามกุศล
4.ทางรูปกุศล อรูปกุศล
5.ทางโลกุตรกุศล
ดูรูปประกอบจะเข้าใจดียิ่งขึ้น
บุคคล 5 จำพวก
1.ปุถุชน
2.กัลยาณชน
3.เตรียมชาวพุทธ
4.ชาวพุทธ
5.อริยชน แบ่งเป็น 4 จำพวก
5.1โสดาบัน
5.2สกิทาคามีบุคคล
5.3อนาคามีบุคคล
5.4อรหันต์บุคคล
โอวาทปาติโมกข์ 3 (ทั้งหมดมี 9)
ดูและทำความเข้าใจจากรูป
อริยสัจ 4 ทำความเข้าใจจากรูป
ข้อ 6 โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ
1.สติปัฏฐาน 4
2.สัมมัปธาน 4
3.อิทธิบาท 4
4.อินทรีย์ 5
5.พละ 5
6.โพชฌงค์ 7
7.มรรค 8
หลักจำง่ายๆ
3-4....2-5....1-7...1-8
อ่านว่า สามสี่...สองห้า....หนึ่งเจ็ด....หนึ่งแปด
ภาคขยายค่อยมาว่ารายละเอียดกันภายหลังนะครับ
ข้อ 7 ไตรลักษณ์ 3 ลักษณะสำคัญของธรรม 3 ประการซึ่งผู้ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาจะต้องพบ และรู้เห็น ถ้าไม่พบไม่รู้เห็น ไม่ใช่วิปัสสนาภาวนา
1.อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
2.ทุกขัง ความทนตั้งอยู่ไม่ได้
3.อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้

8.นิวรณ์ 5 เครื่องกางกั้น ขัดขวางไม่ให้เกิดสมาธิ ไม่ให้ถึงความดี
8.1กามฉันทะ ความยินดี พอใจในสัมผัส ของทวารทั้ง6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
8.2พยาบาท ความยินร้าย ไม่พอใจในสัมผัส
ของทวารทั้ง 6
8.3อุทธัจจะ กุกุจจะ ความฟุ้งซ่าน เพราะความยินดี ความหงุดหงิดงุ่นง่านลำคาญ เพราะความยินร้าย
8.4ถีนะ มิทธะ ความเกียจคร้าน หดหู่ ห่อเหี่ยว ท้อแท้ ถดถอย และความง่วงเหงาหาวนอน
8.5วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ความรู้ไม่จริง

9.สมถะ วิปัสสนา ภาวนา
สมถะภาวนา การเจริญเพ่งรู้อยู่กับสิ่งเดียว เรียกว่ากรรมฐานจนเกิด ความสงบจากนิวรณ์ 5 ความตั้งมั่นของจิต จนเกิดเป็นฌาณต่างๆ ตั้งแต่รูปฌาณ 1-4
อรูปฌาณ 5-8

วิปัสสนาภาวนา การนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนรู้เห็นความจริงของสภาวธรรมที่ปรากฏ ความจริงที่จะปรากฏให้รู้เห็นคือ ความเกิด ดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ข้อ 10 ปัจจุบันอารมณ์ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับจิต เป็นสิ่งสำคัญมากในการปฏิบัติธรรมหรือ
ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เพราะผู้ปฏิบัติ จะต้องเจริญสติ และปัญญาให้รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ จึงจะได้เห็นความความเกิด ดับ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่แท้จริงในกายและจิต ไม่ใช่นึกคิดเอา ตามคำบอกเล่าและตำรา
ดูรูปประกอบเพื่อความเข้าใจดียิ่งขึ้น
ข้อ 11 อกุศลมูล 3 รากเหง้าหรือที่เกิดของบาป อกุศล มี 3 อย่างคือ
1.โลภะ ความโลภ อยากได้ ด้วยอำนาจ ของกามตัณหา ความยินดีพอใจในรส แห่งการสัมผัสของทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนเกิดภวตัณหา ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี อยากเอา ต่างๆ นาๆ
2.โทสะ ความโกรธ ขุ่นมัว ไม่พอใจ ด้วยอำนาจของ
ความยินร้ายไม่พอใจต่อผัสสะของทวารทั้ง 6 ทำให้เกิด วิภวตัณหา ความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากเอา อยากจะหนีไปให้พ้นจากสิ่งที่น่ายินร้ายไม่น่าพอใจนั้นๆ
3.โมหะ อวิชชา ความหลง ไม่รู้ มืด บอด เพราะมีกิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฏฐิมาปิดบังตา ปิดบังแสงสว่างหรือปัญญาไม่ให้เห็นความจริงของสภาวธรรมต่างๆทำให้เกิดความเห็นผิดยึดผิดในรูป นาม กาย ใจ ว่าเป็นสุขขัง นิจจัง อัตตา
12.บุญกิริยาวัตถุ 10 ย่าง
1.ทาน การให้ปันสิ่งของ ของตนเอง แก่ผู้อื่น สัตว์อื่น
2.ปัตติทาน การแผ่ส่วนบุญที่ได้รับ จากการให้ทาน
3.ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาส่วนบุญ ที่ตนเองและผู้อื่นทำ
4.ศีล การรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ข้อ
5.อัปจายนะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน
6.เวยยาวัจจะ ความน้อมรับใช้ผู้อื่น
7.ภาวนา การเจริญสมาธิหรือสมถะภาวนา
8.ธรรมสวนะ การฟังธรรม
9.ธรรมเทศนา การรแสดงธรรม
10.ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ตรงให้ถูกต้องด้วยวิปัสสนาภาวนา
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2016, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ทบทวนความจำครับ
:b27:
ความรู้พื้นฐานที่ชาวพุทธทุกคนควรมี
1.ยาก 5 อย่าง
2.ทาง 5 เส้น
3.บุคคล 5 จำพวก
4.โอวาทปาติโมกข์ 3
5. อริยสัจ 4
6. โพธิปักขิยธรรม 37
7.ไตรลักษณ์ 3
8. นิวรณ์ 5
9. สมถะและวิปัสสนา
10. ปัจจุบันอารมณ์
11. อกุศลมูล 3
12. บุญกิริยาวัตถุ 10
ยาก 5 อย่าง
1.ความเกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก
2.ความได้เกิดเป็นมนุษย์
3.ความได้พบพระพุทธศาสนา
4.การได้ฟังและศึกษาข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
5.การได้นำคำสอนอันถูกต้องนั้นมาใส่ใจประพฤติปฏิบัติ
ดัดกายใจจนบรรลุถึงมรรค ผล นิพพานตามลำดับ
ทาง 5 เส้น
1.ทางบาปอกุศล
2.ทางบุญกามกุศล
4.ทางรูปกุศล อรูปกุศล
5.ทางโลกุตรกุศล
ดูรูปประกอบจะเข้าใจดียิ่งขึ้น
บุคคล 5 จำพวก
1.ปุถุชน
2.กัลยาณชน
3.เตรียมชาวพุทธ
4.ชาวพุทธ
5.อริยชน แบ่งเป็น 4 จำพวก
5.1โสดาบัน
5.2สกิทาคามีบุคคล
5.3อนาคามีบุคคล
5.4อรหันต์บุคคล
โอวาทปาติโมกข์ 3 (ทั้งหมดมี 9)
ดูและทำความเข้าใจจากรูป
อริยสัจ 4 ทำความเข้าใจจากรูป
ข้อ 6 โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ
1.สติปัฏฐาน 4
2.สัมมัปธาน 4
3.อิทธิบาท 4
4.อินทรีย์ 5
5.พละ 5
6.โพชฌงค์ 7
7.มรรค 8
หลักจำง่ายๆ
3-4....2-5....1-7...1-8
อ่านว่า สามสี่...สองห้า....หนึ่งเจ็ด....หนึ่งแปด
ภาคขยายค่อยมาว่ารายละเอียดกันภายหลังนะครับ
ข้อ 7 ไตรลักษณ์ 3 ลักษณะสำคัญของธรรม 3 ประการซึ่งผู้ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาจะต้องพบ และรู้เห็น ถ้าไม่พบไม่รู้เห็น ไม่ใช่วิปัสสนาภาวนา
1.อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
2.ทุกขัง ความทนตั้งอยู่ไม่ได้
3.อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้

8.นิวรณ์ 5 เครื่องกางกั้น ขัดขวางไม่ให้เกิดสมาธิ ไม่ให้ถึงความดี
8.1กามฉันทะ ความยินดี พอใจในสัมผัส ของทวารทั้ง6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
8.2พยาบาท ความยินร้าย ไม่พอใจในสัมผัส
ของทวารทั้ง 6
8.3อุทธัจจะ กุกุจจะ ความฟุ้งซ่าน เพราะความยินดี ความหงุดหงิดงุ่นง่านลำคาญ เพราะความยินร้าย
8.4ถีนะ มิทธะ ความเกียจคร้าน หดหู่ ห่อเหี่ยว ท้อแท้ ถดถอย และความง่วงเหงาหาวนอน
8.5วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ความรู้ไม่จริง

9.สมถะ วิปัสสนา ภาวนา
สมถะภาวนา การเจริญเพ่งรู้อยู่กับสิ่งเดียว เรียกว่ากรรมฐานจนเกิด ความสงบจากนิวรณ์ 5 ความตั้งมั่นของจิต จนเกิดเป็นฌาณต่างๆ ตั้งแต่รูปฌาณ 1-4
อรูปฌาณ 5-8

วิปัสสนาภาวนา การนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนรู้เห็นความจริงของสภาวธรรมที่ปรากฏ ความจริงที่จะปรากฏให้รู้เห็นคือ ความเกิด ดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ข้อ 10 ปัจจุบันอารมณ์ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับจิต เป็นสิ่งสำคัญมากในการปฏิบัติธรรมหรือ
ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เพราะผู้ปฏิบัติ จะต้องเจริญสติ และปัญญาให้รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ จึงจะได้เห็นความความเกิด ดับ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่แท้จริงในกายและจิต ไม่ใช่นึกคิดเอา ตามคำบอกเล่าและตำรา
ดูรูปประกอบเพื่อความเข้าใจดียิ่งขึ้น
ข้อ 11 อกุศลมูล 3 รากเหง้าหรือที่เกิดของบาป อกุศล มี 3 อย่างคือ
1.โลภะ ความโลภ อยากได้ ด้วยอำนาจ ของกามตัณหา ความยินดีพอใจในรส แห่งการสัมผัสของทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนเกิดภวตัณหา ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี อยากเอา ต่างๆ นาๆ
2.โทสะ ความโกรธ ขุ่นมัว ไม่พอใจ ด้วยอำนาจของ
ความยินร้ายไม่พอใจต่อผัสสะของทวารทั้ง 6 ทำให้เกิด วิภวตัณหา ความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากเอา อยากจะหนีไปให้พ้นจากสิ่งที่น่ายินร้ายไม่น่าพอใจนั้นๆ
3.โมหะ อวิชชา ความหลง ไม่รู้ มืด บอด เพราะมีกิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฏฐิมาปิดบังตา ปิดบังแสงสว่างหรือปัญญาไม่ให้เห็นความจริงของสภาวธรรมต่างๆทำให้เกิดความเห็นผิดยึดผิดในรูป นาม กาย ใจ ว่าเป็นสุขขัง นิจจัง อัตตา
12.บุญกิริยาวัตถุ 10 ย่าง
1.ทาน การให้ปันสิ่งของ ของตนเอง แก่ผู้อื่น สัตว์อื่น
2.ปัตติทาน การแผ่ส่วนบุญที่ได้รับ จากการให้ทาน
3.ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาส่วนบุญ ที่ตนเองและผู้อื่นทำ
4.ศีล การรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ข้อ
5.อัปจายนะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน
6.เวยยาวัจจะ ความน้อมรับใช้ผู้อื่น
7.ภาวนา การเจริญสมาธิหรือสมถะภาวนา
8.ธรรมสวนะ การฟังธรรม
9.ธรรมเทศนา การรแสดงธรรม
10.ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ตรงให้ถูกต้องด้วยวิปัสสนาภาวนา
onion



ที่ว่ามานั่นนะ (น่าจะเอามาทั้ง 45 เล่ม พระไตรปิฎก) เรื่องของคนไหม เรื่องของรูปนามไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2016, 19:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
กรัชกายนี่ทั้งดึงทั้งโหนทั้งโยนทั้งขย่ม จะเอาพระไตรปิฎกมาสนับสนุนความเห็นผิดคิดผิดของตนให้ได้ น่ากลัวจริงคนเช่นนี้
:b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 06:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb (2).jpg
กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb (2).jpg [ 69.17 KiB | เปิดดู 1771 ครั้ง ]
onion
วิปัสสนาภาวนา การนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนรู้เห็นความจริงของสภาวธรรมที่ปรากฏ ความจริงที่จะปรากฏให้รู้เห็นคือ ความเกิด ดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ข้อ 10 ปัจจุบันอารมณ์ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับจิต เป็นสิ่งสำคัญมากในการปฏิบัติธรรมหรือ
ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เพราะผู้ปฏิบัติ จะต้องเจริญสติ และปัญญาให้รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ จึงจะได้เห็นความความเกิด ดับ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่แท้จริงในกายและจิต ไม่ใช่นึกคิดเอา ตามคำบอกเล่าและตำรา
ดูรูปประกอบเพื่อความเข้าใจดียิ่งขึ้น

:b37:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
วิปัสสนาภาวนา การนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนรู้เห็นความจริงของสภาวธรรมที่ปรากฏ ความจริงที่จะปรากฏให้รู้เห็นคือ ความเกิด ดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ข้อ 10 ปัจจุบันอารมณ์ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับจิต เป็นสิ่งสำคัญมากในการปฏิบัติธรรมหรือ
ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เพราะผู้ปฏิบัติ จะต้องเจริญสติ และปัญญาให้รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ จึงจะได้เห็นความความเกิด ดับ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่แท้จริงในกายและจิต ไม่ใช่นึกคิดเอา ตามคำบอกเล่าและตำรา
ดูรูปประกอบเพื่อความเข้าใจดียิ่งขึ้น



กาย และ จิต ที่ว่า เป็นคนใช่คนไหม

1. เป็น

2. ไม่เป็น

ช่วยตอบตรงๆชัดๆสะทีเถอะขอรับ เพื่อที่กรัชกายจะได้นอนตายตาหลับ :b22:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

กาย และ จิต ที่ว่า เป็นคนใช่คนไหม

1. เป็น

2. ไม่เป็น

ช่วยตอบตรงๆชัดๆสะทีเถอะขอรับ เพื่อที่กรัชกายจะได้นอนตายตาหลับ :b22:


นี้ก็บ้า...

กายกับจิต..เป็นคน..ไม่เป็นคน..อยู่น้านแหละ...

huh huh huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:

กาย และ จิต ที่ว่า เป็นคนใช่คนไหม

1. เป็น

2. ไม่เป็น

ช่วยตอบตรงๆชัดๆสะทีเถอะขอรับ เพื่อที่กรัชกายจะได้นอนตายตาหลับ :b22:


นี้ก็บ้า...

กายกับจิต..เป็นคน..ไม่เป็นคน..อยู่น้านแหละ...

huh huh huh


เฝ้าถามท่านอโศกมานมนานแล้ว เริ่มแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กายใจ รูปนาม ใช่คนไหม ไม่ได้คำตอบแบบฟันธงสักที

กบว่าไง ที่ว่าเป็นคนหรือไม่ใช่คน เอาชัดๆ

1. คน

2. ไม่ใช่คนแต่เป็นก้อนหิน

ข้อไหน 1 หรือ 2.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร