วันเวลาปัจจุบัน 07 มิ.ย. 2025, 20:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ปรมัตถ์ มีอรรถว่า สูงสุด ที่สุด
พระพุทธองค์ เคยตรัสว่า นิพพาน เป็นปรมสุข คือสุขที่สูงสุด ที่สุด
ดังนั้น นิพพานจึงเป็นสภาวะปรมัตถ์ตามพุทธพจน์ครับ

ใครแปลปรมัตถ์ให้ฟังครับ ไหนลองเอามาดูหน่อยซิครับ

Quote Tipitaka:
[๒๘๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพาน
เป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึง
อมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม.


อ้างคำพูด:
[๒๘๗] อถ โข ภควา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ
อาโรคฺยปรมา ลาภา นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
อฏฺฐงฺคิโก จ มคฺคานํ เขมํ อมตคามินนฺติ ฯ

แล้วไหนที่บอกว่า ปรมัตถ์มีแค่นิพพานเพียงอย่างเดียว
แล้วไหนที่บอกว่า ปรมัตถ์มีอรรถว่าสูงที่สุด

เละแล้วเช่นนั้นเอ๋ย :b32:


เละอีกแล้วโฮฮับ


บอกว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่ อรรถาจารย์ทั้งหลาย บอกว่าเป็นปรมัตถ์น่ะ
มีที่เป็นปรมัตถสภาวะ แค่ข้อเดียว คือนิพพาน

เพราะ นิพพาน พระพุทธองค์ ตรัสโดยความเป็นปรมสุข

ส่วนจิต เจตสิก รูป เป็นเพียง สภาวะธรรม ไม่ใช่ปรมัตถสภาวะธรรม
ดังนั้น จิต เจตสิก รูป จึงไม่ใช่ ปรมัตถ์

กลับไปอ่านใหม่ ดีๆ โฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อย่าเอา มามั่วอีกต่อไปเลยโฮฮับ
พระสูตรที่พระพุทธองค์ระบุตรงๆ ว่าลักขณะ ๓ มีอยู่
ไม่ใช่สิ่งที่โฮฮับ พยายามแถออกมา
บอกกีหนแล้วว่า ให้หาบาลี ยืนยันออกมาว่า
พระพุทธองค์ แสดงลักษณะ ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอาแบบบัญญัติตรงๆ เลยนะ
รู้สึกให้หามาเกือบปีแล้วมั้ง โฮฮับ

ยังไงแล้วตีณิของเช่นนั้น มันหมายถึงไตรลักษณ์หรือ แปลเองหรือเปล่า
จะถกธรรมกัน มันต้องเอาเนื้อที่อธิบาย ไม่ใช่เล่นคำศัพท์ นี่เล่นทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มี
ที่อ้างอิงว่า ตีณิแปลว่าไตรลักษณ์

ไอ้คำว่าตีณิหมายถึง ความเกิดขึ้นปรากฏ ความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ
แต่มันไม่ใช่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจมั้ย
ไอ้ตีณิมันเป็นเหตุให้เกิดไตรลักษณ์ แต่มันไม่ใช่ไตรลักษณ์

หัดมีสติอ่านความเห็นผมหน่อยนะ ผมก็บอกอยู่ว่า ไตรลักษณ์เป็นคำที่บัญญัติขึ้นภายหลัง
แต่มันไม่สำคํญเท่า เขากล่าวถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสามคำนี้เป็นพุทธพจน์


แก้ไขล่าสุดโดย โฮฮับ เมื่อ 28 พ.ค. 2013, 14:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ปรมัตถ์ มีอรรถว่า สูงสุด ที่สุด
พระพุทธองค์ เคยตรัสว่า นิพพาน เป็นปรมสุข คือสุขที่สูงสุด ที่สุด
ดังนั้น นิพพานจึงเป็นสภาวะปรมัตถ์ตามพุทธพจน์ครับ

ใครแปลปรมัตถ์ให้ฟังครับ ไหนลองเอามาดูหน่อยซิครับ

Quote Tipitaka:
[๒๘๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพาน
เป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึง
อมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม.


อ้างคำพูด:
[๒๘๗] อถ โข ภควา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ
อาโรคฺยปรมา ลาภา นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
อฏฺฐงฺคิโก จ มคฺคานํ เขมํ อมตคามินนฺติ ฯ

แล้วไหนที่บอกว่า ปรมัตถ์มีแค่นิพพานเพียงอย่างเดียว
แล้วไหนที่บอกว่า ปรมัตถ์มีอรรถว่าสูงที่สุด

เละแล้วเช่นนั้นเอ๋ย :b32:


เละอีกแล้วโฮฮับ


บอกว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่ อรรถาจารย์ทั้งหลาย บอกว่าเป็นปรมัตถ์น่ะ
มีที่เป็นปรมัตถสภาวะ แค่ข้อเดียว คือนิพพาน

เพราะ นิพพาน พระพุทธองค์ ตรัสโดยความเป็นปรมสุข

ส่วนจิต เจตสิก รูป เป็นเพียง สภาวะธรรม ไม่ใช่ปรมัตถสภาวะธรรม
ดังนั้น จิต เจตสิก รูป จึงไม่ใช่ ปรมัตถ์

กลับไปอ่านใหม่ ดีๆ โฮฮับ

มันตรงไหนที่บอกว่า......มีที่เป็นปรมัตถสภาวะ แค่ข้อเดียว คือนิพพาน

และตรงไหนที่บอกว่า....ส่วนจิต เจตสิก รูป เป็นเพียง สภาวะธรรม ไม่ใช่ปรมัตถสภาวะธรรม
ดังนั้น จิต เจตสิก รูป จึงไม่ใช่ ปรมัตถ์

แล้วก็ตรงไหนที่บอกว่าปรมัตถ์แปลว่าสูงสุด

ไหนลองเม้นตัวใหญ่ๆมาดูหน่อยซิ อย่ามั่วเอาเองหลักฐานอยู่ทนโท่ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อย่าเอา มามั่วอีกต่อไปเลยโฮฮับ
พระสูตรที่พระพุทธองค์ระบุตรงๆ ว่าลักขณะ ๓ มีอยู่
ไม่ใช่สิ่งที่โฮฮับ พยายามแถออกมา
บอกกีหนแล้วว่า ให้หาบาลี ยืนยันออกมาว่า
พระพุทธองค์ แสดงลักษณะ ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอาแบบบัญญัติตรงๆ เลยนะ
รู้สึกให้หามาเกือบปีแล้วมั้ง โฮฮับ

ยังไงแล้วตีณิของเช่นนั้น มันหมายถึงไตรลักษณ์หรือ แปลเองหรือเปล่า
จะถกธรรมกัน มันต้องเอาเนื้อที่อธิบาย ไม่ใช่เล่นคำศัพท์ นี่เล่นทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มี
ที่อ้างอิงว่า ตีณิแปลว่าไตรลักษณ์

ไอ้คำว่าตีณิหมายถึง ความเกิดขึ้นปรากฏ ความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ
แต่มันไม่ใช่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจมั้ย
ไอ้ตีณิมันเป็นเหตุให้เกิดไตรลักษณ์ แต่มันไม่ใช่ไตรลักษณ์

หัดมีสติอ่านความเห็นผมหน่อยนะ ผมก็บอกอยู่ว่า ไตรลักษณ์เป็นคำที่บัญญัติขึ้นภายหลัง
แต่มันไม่สำคํญเท่า เขากล่าวถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสามคำนี้เป็นพุทธพจน์

Quote Tipitaka:
ตีณิ สงฺขตสฺส สงฺขตลกฺขณานีติ
ตีณิ อสงฺขตสฺส อสงฺขตลกฺขณานีติ


แล้วก็หัดมีสติหน่อยว่า ไตรลักษณ์ที่อรรถาจารย์บัญญัติขึ้นมา
ว่าเป็นสามัญลักษณะของธรรมชาติ นั้นใช้ไม่ได้

เพราะ อนิจจัง และทุกขัง เป็นลักขณะสัจจ์
แต่ อนัตตา เป็นสังขารขันธ์

เข้าใจไว้ด้วยโฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 28 พ.ค. 2013, 15:24, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
บอกว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่ อรรถาจารย์ทั้งหลาย บอกว่าเป็นปรมัตถ์น่ะ
มีที่เป็นปรมัตถสภาวะ แค่ข้อเดียว คือนิพพาน

เพราะ นิพพาน พระพุทธองค์ ตรัสโดยความเป็นปรมสุข


โฮฮับ อ่านให้ออก ปรมํ สุขํ

ปรมํ สูงสุด ที่สุด

ปรม+อัตถะ --->ประโยชน์สูงสุด >ปรมัตถ์

ประโยชน์สูงสุด คืออรรถที่สูงสุด ในการปฏิบัติธรรม คือบรรลุนิพพาน ซึ่งเป็นปรมสุข

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8570


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ในตัวลุงสมานเนี่ย มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มั้ย :b1:

มีครบ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8570


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ

พระพุทธองค์สอนแบบนี้
ไตรลักษณ์ ของ สังขตะ
ไตรลักษณ์ ของ อสังขตะ
ไม่ปรากฏคำว่า อนัตตา

ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน

จิต เจตสิก รูป เป็นสังขตะ
นิพพาน เป็นอสังขตะ

ปรมัตถ์ มีอรรถว่า สูงสุด ที่สุด
พระพุทธองค์ เคยตรัสว่า นิพพาน เป็นปรมสุข คือสุขที่สูงสุด ที่สุด
ดังนั้น นิพพานจึงเป็นสภาวะปรมัตถ์ตามพุทธพจน์ครับ


เอาตามที่รู้มาก็แล้วกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ


ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕

[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0

......

[๑๕๗] ดูกรอานนท์ มรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นไฉน?
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเพราะอุปธิวิเวก เพราะละ
กุศลธรรมได้ เพราะระงับความคร้านกายได้โดยประการทั้งปวง บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในกาย ในสมาบัตินั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค เป็น
ดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของมิใช่ตัวตน. เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น ครั้นเธอเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขาร
ทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้. เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 814&Z=2961

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
อ้างคำพูด:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ


ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕

[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0

......

[๑๕๗] ดูกรอานนท์ มรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นไฉน?
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเพราะอุปธิวิเวก เพราะละ
กุศลธรรมได้ เพราะระงับความคร้านกายได้โดยประการทั้งปวง บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในกาย ในสมาบัตินั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค เป็น
ดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของมิใช่ตัวตน. เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น ครั้นเธอเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขาร
ทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้. เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 814&Z=2961

:b1:


ที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ............
เป็นการแปลเกินจากพระบาลีอันเป็นพุทธพจน์ ครับ คุณวิริยะ
มหาเปรียญเก้า ยัดใส่เข้าไปเอง ตามอำเภอใจ

ถ้าหากตรวจสอบดูกับฉบับแปล มหาจุฬาฯ
ส่วนที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ก็จะไม่ปรากฏ

แนะนำให้คุณวิริยะสอบทานกับแม่กองบาลีดูครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ............
เป็นการแปลเกินจากพระบาลีอันเป็นพุทธพจน์ ครับ คุณวิริยะ
มหาเปรียญเก้า ยัดใส่เข้าไปเอง ตามอำเภอใจ

ถ้าหากตรวจสอบดูกับฉบับแปล มหาจุฬาฯ
ส่วนที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ก็จะไม่ปรากฏ

แนะนำให้คุณวิริยะสอบทานกับแม่กองบาลีดูครับ

ถ้าเอาตำราคนละเล่มมาอ้าง คงโต้กันไม่จบ
.. ก็แล๋วแต๊ ..
:b9: :b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ............
เป็นการแปลเกินจากพระบาลีอันเป็นพุทธพจน์ ครับ คุณวิริยะ
มหาเปรียญเก้า ยัดใส่เข้าไปเอง ตามอำเภอใจ

ถ้าหากตรวจสอบดูกับฉบับแปล มหาจุฬาฯ
ส่วนที่ขีดเส้นใต้ "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น" ก็จะไม่ปรากฏ

แนะนำให้คุณวิริยะสอบทานกับแม่กองบาลีดูครับ

ถ้าเอาตำราคนละเล่มมาอ้าง คงโต้กันไม่จบ
.. ก็แล๋วแต๊ ..
:b9: :b1:


พุทธวจนะ ต้องยืนตาม บาลีครับ สอบกันที่ บาลีฉบับสยามรัฐที่ใช้เป็นแม่บทในการแปล
บาลีฉบับสยามรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นฉบับถูกต้องที่สุดของเถรวาท หากมีการแปลเกินออกมา ก็ต้องตัดบทแปลเกินออก.... เพราะจะทำให้ ความเข้าใจในพุทธพจน์ถูกบิดเบือนไป

สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญต่อการศึกษาในคันถะธุระ

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน ตอนนี้ ก็เรื่อง ไตรลักษณ์ นี่ล่ะครับ
ถูกบิดเบือนมา เป็นร้อยๆ ปีแล้ว

ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกที่ดี หากทราบก็เผยแผ่ส่วนนี้ออกไปให้มากที่สุด :b38:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 04:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Quote Tipitaka:
ตีณิ สงฺขตสฺส สงฺขตลกฺขณานีติ
ตีณิ อสงฺขตสฺส อสงฺขตลกฺขณานีติ

เช่นนั้นตั้งสติดูธรรมให้ดี อย่าดูแต่ตัวหนังสือ มีสมาธิหน่อย ในประโยคนี้...
ตีณิ.... สงฺขตสฺส สงฺขต... ลกฺขณา.....นีติ

เช่นนั้นไปเอาคำศัพท์โยงกันมั่ว ในประโยคนี้มันมีธรรมอยู่สองธรรม
นั้นคือ......สังขารธรรม เป็นนาม
และอีกตัวก็คือ.......สังขาร เป็นกิริยา

ตีณิ.... สงฺขตสฺส มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง มันเป็นสังขารธรรม

สงฺขต... ลกฺขณา.....นีติ นี่ก็เป็นอีกเรื่อง มันเป็นสังขาร


ตั้งสติให้ดีก็จะรู้ว่า ท่านหมายถึง ตัวธรรม(สงฺขตสฺส) กับ กิริยาของธรรม(สงฺขต)

ตีณิ.... สงฺขตสฺส เป็นเหตุ ตีณิหมายถึงอะไร ตีณิมันมีรากศัพท์มาจาก..ไตรลิงค์
ไม่ใช่ไตรลักษณ์
มันจึงแปลความหมายว่า ความเกิดขึ้นปรากฏ ความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ
ซึ่งมันก็คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั้นเอง


ส่วน สงฺขต... ลกฺขณา.....นีติ มันเป็นผลมาจาก....ตีณิ
สงฺขต... ลกฺขณา.....นีติ มาจากคำบาลีว่า....เตเนว

เต...แปลว่า สาม
เนว...มีความหมายว่า จะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้
ดังนั้น "เตเนว" จึงมีความหมายว่า จะใช่สามหรือไม่ใช่สามก็ไม่เชิง มันก็คือ ไตรลักษณ์นั้นเอง
อนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ทุกข์เป็น อนิจจัง เป็นอนัตตา
อนัตตาเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์
เช่นนั้น เขียน:
แล้วก็หัดมีสติหน่อยว่า ไตรลักษณ์ที่อรรถาจารย์บัญญัติขึ้นมา
ว่าเป็นสามัญลักษณะของธรรมชาติ นั้นใช้ไม่ได้

เพราะ อนิจจัง และทุกขัง เป็นลักขณะสัจจ์
แต่ อนัตตา เป็นสังขารขันธ์

เข้าใจไว้ด้วยโฮฮับ

ที่ผมบอกว่า บัญญัติขึ้นมาน่ะ เข้าใจไว้ซะด้วยว่า บัญญัติก็คือแปลมาจากพุทธพจน์
ซึ่งพุทธพจน์ก็คือ เตเนว อรรถกถามาแปลหรือบัญญัติใหม่ว่า..ไตรลักษณ์

และจะเรียก เตเนวหรือไตรลักษณ์ก็ตาม มันก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สรุปคนที่เข้าใจมันเป็นผม คนที่ไม่เข้าใจเป็นเช่นนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
บอกว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่ อรรถาจารย์ทั้งหลาย บอกว่าเป็นปรมัตถ์น่ะ
มีที่เป็นปรมัตถสภาวะ แค่ข้อเดียว คือนิพพาน

เพราะ นิพพาน พระพุทธองค์ ตรัสโดยความเป็นปรมสุข


โฮฮับ อ่านให้ออก ปรมํ สุขํ

ปรมํ สูงสุด ที่สุด

ปรม+อัตถะ --->ประโยชน์สูงสุด >ปรมัตถ์

ประโยชน์สูงสุด คืออรรถที่สูงสุด ในการปฏิบัติธรรม คือบรรลุนิพพาน ซึ่งเป็นปรมสุข

ตลกดี เช่นนั้นเหมือนกำลังแต่งตัว ตุ๊กตาบาบี้ :b9:
ปรมํ ก็คือปรมัตถ์
สุขํ ก็คือสุข
นิพพานก็คือบรมสุข

มันเป็นคนละส่วน คนละตัว คนละเรื่อง โยงมาเป็นเรื่องเดียวกันได้ไง
แบบนี้ยังมีหน้ามาว่า อรรถกถาจารย์อีก ยังกับนรกสวรรค์


ความหมายจริงๆ ก็คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ล้วนเป็นปรมัตถ์
ในปรมัตถ์นั้น นิพพานเป็นสุขที่สุด


เช่นนั้นไม่รู้จักเรื่องของเหตุปัจจัย ไม่รู้เรื่องของวิชชารู้แล้วให้ละเสีย

จิต เจตสิกและรูป เป็นวิชชา เป็นปรมัตถ์ เป็นล้วนเป็นประโยชน์สุงสุดเพื่อนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ในตัวลุงสมานเนี่ย มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มั้ย :b1:

มีครบ


ถ้ายังงั้น พึงจำแนกธาตุทั้ง 4 หรือมหาภูตรูป 4 ในตัวลุงหมาน แต่อย่างๆ มีอะไรบ้าง ?

ธาตุดิน มี ...ว่าไป
ธาตุ น้ำ มี ...
ธาตุไฟ มี...
ธาตุลม มี...

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อย่าเอา มามั่วอีกต่อไปเลยโฮฮับ
พระสูตรที่พระพุทธองค์ระบุตรงๆ ว่าลักขณะ ๓ มีอยู่
ไม่ใช่สิ่งที่โฮฮับ พยายามแถออกมา
บอกกีหนแล้วว่า ให้หาบาลี ยืนยันออกมาว่า
พระพุทธองค์ แสดงลักษณะ ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอาแบบบัญญัติตรงๆ เลยนะ
รู้สึกให้หามาเกือบปีแล้วมั้ง โฮฮับ

ยังไงแล้วตีณิของเช่นนั้น มันหมายถึงไตรลักษณ์หรือ แปลเองหรือเปล่า
จะถกธรรมกัน มันต้องเอาเนื้อที่อธิบาย ไม่ใช่เล่นคำศัพท์ นี่เล่นทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มี
ที่อ้างอิงว่า ตีณิแปลว่าไตรลักษณ์

ไอ้คำว่าตีณิหมายถึง ความเกิดขึ้นปรากฏ ความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ
แต่มันไม่ใช่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจมั้ย
ไอ้ตีณิมันเป็นเหตุให้เกิดไตรลักษณ์ แต่มันไม่ใช่ไตรลักษณ์

หัดมีสติอ่านความเห็นผมหน่อยนะ ผมก็บอกอยู่ว่า ไตรลักษณ์เป็นคำที่บัญญัติขึ้นภายหลัง
แต่มันไม่สำคํญเท่า เขากล่าวถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสามคำนี้เป็นพุทธพจน์



อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภาษาของเขา เรียก "ติลักขณะ" ลักษณะ 3

ไตรลักษณ์ ก็แปลว่า ลักษณะ 3 ไตร ก็แปลว่า 3

ติ ก็แปลว่า 3

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร