วันเวลาปัจจุบัน 18 มิ.ย. 2025, 17:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 22:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับผู้ที่มีวิบากในการปฏิบัติด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่สร้างสะสมไว้มาก
ที่ไม่สามารถแจ้งธรรมทันที และยังคงยึดแน่อยู่กับทิฐิมานะ จริตนิสัยอยู่
ก็จะไปเสวยผลในการปฏิบัตินั้น ๆ และกลั่นกรองธรรมไปจนกว่าจะหยุด
แล้วแจ้งในธรรม

ช่างมันครั้งหนึ่ง มันจึงเป็นการตรงต่อความจริงแห่งธรรม
ไม่เยิ่นเย่อ ไม่ยืดเยื้อ ไม่ขึ้นกับขั้นตอน วิธีการ หรือกาลเวลา
แต่เป็นการฉับพลันต่อการปล่อย การวาง ในหนึ่งครั้ง
เป็นทั้งกำลังและเฉียบคมต่อการตัดในครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่ช่างมันก็ขาดทุกครั้ง
เมื่อท่านกล้าที่จะสมุจเฉทเด็ดขาดต่อการปล่อย ฉับพลันต่อการวาง
ธรรมย่อมสมุจเฉทเด็ดขาด ปรากฏอย่างฉับพลันในการแจ้งธรรมเช่นกัน

ทุกวันนี้ที่เราหลงเข้าไปเจริญธาตุเจริญขันธ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมาย มันเอาอะไรไป
ปฏิบัติ ก็เอาอัตตาตัวตนไปปฏิบัติ เอาอะไรไปรู้สิ่งต่าง ๆ ก็เอาเรารู้นี่ ไปรู้สิ่งต่าง ๆ
เรารู้นี่มาจากไหน อัตตาตัวตนนี่มาจากไหน ก็มาจากโมหะที่ซ้อนลงในขันธ์รู้
จนกลายเป็นอัตตาตัวตนเรารู้ขึ้น เมื่อเอาเรารู้นี้ไปปฏิบัติ ไปเจริญธาตุขันธ์อีก ก็คือ
หลงปฏิบัติโดยการเจริญอัตตาตัวตนอยู่ตลอด หลงเอาเจตนาไปปฏิบัติ ไปเจริญ
ก็หลงสร้างกรรมอยู่ตลอด ก็คือหลงสร้างเหตุและปัจจัยอยู่ตลอดเช่นกัน

จนลืมฉุกคิดว่าสิ่งที่ทำกันอยู่นั้น
มันตรงต่อธรรม หรือตรงต่อกิเลส เมื่อกิเลสแปลงร่างเป็น
เพียรพยายาม ตั้งมั่น ปรารถนา ต่อเนื่อง ต้องมี ต้องได้ ต้องเป็น ต้องเห็น
ต้องรู้ ฯลฯ กลับมองไม่เห็น หลงตามไปอย่างชนิดที่เต็มทิฐิมานะ

หลงใช้สิ่งเหล่านี้ไปกับทางโลกจนสำเร็จ
จึงหลงเข้าใจผิด ว่าคือสิ่งเดียวกันที่จะทำให้แจ้งในพระนิพพาน
ลองมองกันใหม่อีกครั้ง มีตัวไหนที่ตรงต่ออนิจจังบ้าง มีตัวไหนตรงต่ออนัตตา
มีตัวไหนตรงต่อปล่อย ตรงต่อการสละขันธ์ ตรงต่อการไร้ตัวตน
มีไหมที่มันจะตรงต่อการวางในเดี๋ยวนั้น ไม่ต่อเดี๋ยวนั้น

มันจึงกลายเป็นสิ่งเสพติด ที่ติดแล้วเลิกไม่ได้ เสพแล้ววางไม่ลง
เมื่อไม่เสพต่อมันก็ ทุรนทุราย วุ่นวายใจ กระหายที่จะไปต่ออีก
เมื่อถูกขัดขวางปฏิฆะก็เกิดอีก มันจึงต้องเสพติดธาตุขันธ์นี้ไปเรื่อย ๆ
ไม่ขันธ์นี้ก็ขันธ์โน้น เลิกไม่ได้ ตายแล้วเกิดใหม่ก็มาเสพต่ออีก
เป็นสิ่งเสพติดที่ติดข้ามภพข้ามชาติ

เมื่อธรรมชาติของกิเลส มันก็อนิจจังในตัวมันเองอยู่แล้วเช่นกัน
นั่นหมายถึง โมหะก็อนิจจังในโมหะเอง ตัณหาก็อนิจจังในตัณหาเอง
อุปาทานก็อนิจจังในอุปาทานเอง ไม่มีอะไรใน 31 ภพภูมินี้ที่ไม่ตรงต่อ
อนิจจัง กิเลสก็ไม่ยกเว้น เพราะสิ่งที่นอกเหนืออนิจจังนั้นไม่มี นอกจากพระนิพพาน

เมื่อถูกอวิชชาครอบงำ และซ้อนลงสู่ตัวรู้ จนกลายเป็นเรารู้
มีอัตตาตัวตนเกิด หลงไปปฏิบัติ หลงไปเจริญธาตุขันธ์
ให้เกิดกรรมขึ้นกับธาตุขันธ์ จนเป็นเหตุปัจจัยขึ้นใหม่อีก
เมื่อหลงไปเจริญในขันธ์ไหน ก็จะเกิดเหตุและปัจจัยกับขันธ์นั้น
เป็นผลให้ต้องกลับมาเวียน หรือวนในขันธ์นั้นอีก

ดังนั้นยิ่งหลงเข้าไปเจริญในขันธ์ใด ก็จะยิ่งเวียนกลับมาหลงในขันธ์นั้นอีก
มันจึงวางไม่ได้ ปล่อยไม่ได้ เพราะมีเหตุมีปัจจัยอยู่ตลอด
คนที่ขยันทำ ก็ทำแล้วทำอีก คนที่ชอบพิจารณา ก็พิจารณาแล้วพิจารณาอีก
คนที่ทรงรู้ก็จะทรงรู้อยู่อย่างนั้น
สร้างเหตุและปัจจัยในการหลงวนกับธาตุขันธ์ อยู่ตลอดอย่างไม่รู้ตัว

เหมือนทุกสิ่งในโลกนี้ หรือผู้คนทั้งหลายในโลกนี้มีมากมาย
แต่เราจะไม่เข้าไปข้องแวะ หรือหลงยึดติดกับทุกอย่าง ทุกคน จะมีเพียงสิ่งที่เคยสร้าง
เหตุและปัจจัยกันไว้ และจะยึดติดกับผู้คนที่เคยผูกเหตุและปัจจัยกันไว้ นอกนั้นก็คือ
ผ่าน ๆ ไปเท่านั้น เห็นแล้วก็แค่ผ่าน ๆ ไป รู้แล้วก็แค่ผ่าน ๆ ไป ไม่ติดไม่ยึด
หากไม่มีเชื้อของเหตุปัจจัย สักนิดเลย ก็จะไม่ได้เห็น ไม่ได้เจอ ไม่ได้รู้
กับสิ่งเหล่านั้นหรือผู้คนเหล่านั้น เพราะเหตุปัจจัยไม่ได้สร้างกันไว้เลย

เมื่อวนมากมันก็ยิ่งสร้างตัววนใหม่เพิ่มอีกมาก
เมื่อวนมากมันก็ยิ่งมืดมาก เมื่อวนมากมันก็มีภาระมาก
เมื่อวนมากมันก็ยิ่งผูกพันมาก เมื่อวนมากมันก็ไม่มีช่องว่างทีจะให้เกิดการคลาย
มันก็ไม่เห็นความจริงของธรรม มีแต่ยึดยิ่งมาก
เพราะวัน ๆ ก็ต้องเข้าไปวนอยู่กับธาตุกับขันธ์
วนเหตุหนึ่งจบ ก็ไปต่อกับอีกปัจจัยหนึ่ง วนไปมาอยู่อย่างนั้น
ไม่มีโอกาสได้สละธาตุสละขันธ์อย่างแท้จริงสักที
ให้สามารถตรงต่อธรรมโดยธรรมของมันเอง

เมื่อสร้างอะไรไว้ก็จะไปวนกับสิ่งนั้น เมื่อสร้างเหตุและปัจจัยไปเรื่อย ๆ
มันก็วนไปเรื่อย ๆ หยุดไม่เป็น ปล่อยไม่เป็น เลิกไม่เป็น ยึดไปเรื่อย ๆ
ดังนั้นการจะนอกเหนือเหตุและปัจจัยก็คือ ยุติการหลงเข้าไปตาม
หลงเข้าไปต่อเหตุและปัจจัยที่เกิดขึ้น ให้เกิดเป็นเหตุและปัจจัยตัวใหม่อีก
ก็ช่างมัน ช่างมันครั้งหนึ่ง มันก็ตัดเหตุและปัจจัยครั้งหนึ่ง
ช่างมันครั้งหนึ่งมันก็เลิกหลงสร้างเหตุและปัจจัยใหม่ครั้งหนึ่ง
มันจึงจะนอกเหนือเหตุและปัจจัยได้ ถ้ายังเข้าไปเสวย
เข้าไปตามดูตามรู้เหตุและปัจจัย
มันจะถูกอำนาจแห่งกรรม อำนาจแห่งวังวนของเหตุและปัจจัย
ที่เสมือนเหมือนเป็นวังน้ำวันที่พาไปวน พาไปสร้างเหตุและปัจจัยต่อ
เป็นวังวนที่ไม่จบสิ้น ยากที่จะออกมาได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 22:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


student
คุณจะว่าผมเพ่งเล็งธรรมของคุณเกินเหตุผมก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าแลกเปลี่ยนความรู้กัน[/quote]

ยินดีครับ ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 22:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อช่างมันครั้งหนึ่ง นั้นคือการปล่อยทีเดียวพร้อมกันทั้งหมดห้าขันธ์ในหนึ่งครั้ง
นั่นหมายถึง การหลงในขันธ์ห้านั้น ได้หมดลงครั้งหนึ่ง เป็นการตัดสักยทิฐิไปครั้งหนึ่ง
ไม่มีความลังเลในธรรม ด้วยความฉับพลันต่อการตัดทันที
เป็นการตัดความลังเลสงสัยในธรรมที่เคยมีทิ้ง
ส่วนสังโยชน์ข้ออื่น ๆ ก็ถูกตัดออกหมดในครั่งหนึ่งเช่นกัน
แล้วจะคลายออกจากสังโยชน์ไปทุกครั้งที่ช่างมัน คลายไป ๆ

เมื่อตัดความหลงอันเป็นจุดเริ่มของอวิชชาแล้ว
ส่วนที่เหลือย่อมไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ให้เกาะอีก ไร้ตัวไร้ตนให้กิเลสทั้งหลาย
เหตุปัจจัยทั้งหลายหรือกรรมทั้งหลาย ได้เจออัตตาตัวตนให้เกาะได้อีก
นอกจากกายธาตุที่เหลืออยู่ ที่ยังให้เหตุและปัจจัยหรือกรรมหาเจอและเกาะได้
จึงใช้กรรมต่อไป แต่ก็ไร้ผู้ไปเสวยในกรรม และเหตุปัจจัยเหล่านั้น

ดังนั้นทุกความรู้สึกที่เราไปรู้สึกก็คือช่างมัน เพราะมันเป็นเราไปรู้สึก
เป็นตัวรู้ที่ถูกซ้อนด้วยโมหะ มันจึงมักค้างในความรู้สึกต่าง ๆ
เมื่อช่างมัน มันก็ตัดเรา ตัดโมหะทิ้งไป กำลังแห่งธรรมจะตัดให้เอง
วันหนึ่งจะหลงไปกี่ครั้ง รู้ตัวก็คือช่างมัน จะช่างได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ลืมบ้าง
ก็คือช่างมัน ไร้เจตนาเข้าไปช่าง มันจึงไม่กังวนในการช่างมัน จะหลงไปก็ช่าง
หลงไปแล้วก็คือหลงไปแล้ว ผ่านไปแล้ว ก็ช่างมัน
แต่ในขณะเดียวกันนั้น มันจะกลั่นกรอง
ในธรรมไปด้วย การหลงนั้นจะสั้นลง น้อยลง ตามที่ได้ช่างมัน

แต่ผู้ที่มีกำลังอ่อน คือวนมาก เมื่อช่างแล้ว มันก็กลับมาวนอีก
รู้ตัวก็ช่างมันอีก วนอีก รู้ตัวก็ช่างมันอีก ไม่มีเจตนาไปดับในสิ่งที่วนอยู่นั้น
แต่หมายถึง ไม่ยุ่งด้วย ปล่อย ช่างมัน จะอยู่หรือไป ก็ช่างมัน
ไม่ใช่ไปเฝ้า หรือคอยไปดูมัน คอยเช็คว่าหลงอยู่ไหม ช่างมันอยู่หรือเปล่า
ไม่ใช่อย่างนั้น รู้ตัวก็ช่าง ช่างแล้วก็แล้วไป ไม่มีต่ออะไรอีก

เมื่อช่างมันแล้ว มันไปรู้สึกกับอะไรอีก รู้ตัวก็ช่างมันอีก
มันจะวนไปวนมาอย่างนี้เรื่อย ๆ
มันจะหาที่เกาะไปเรื่อย ปล่อยไม่เป็น ต้องมีที่เกาะ ที่ยึด
ถ้าเรายิ่งเคยสร้างตัววนไว้มาก มันจะวนมาก แล้วจะเห็นถึงความน่ากลัวของวังวน
อ้าวหลงอีกแล้ว ก็ช่าง อ้าวคิดอีกแล้ว ก็ช่าง อ้าวอยากอีกแล้ว ก็ช่าง
อ้าวนิ่งสงบดี ก็ช่าง ก็ช่างมันไปทุกครั้งที่รู้ตัว แล้วมันจะตัดตัววนให้เอง
ตัดเรารู้ให้เอง จะไม่แช่รู้ หรือแช่สั้นลงของมันเอง แล้วก็กลับมาสู่ปัจจุบันในสิ่งที่ทำอยู่
ถ้าหลงไปรู้สึกงมในสิ่งที่ทำอีก รู้ตัวก็ช่างอีก

การใช้ธาตุใช้ขันธ์ก็จะใช้เพื่ออนุเคราะห์ สงเคราะห์ในธาตุขันธ์เองหรือผู้อื่น
หรืออนุเคราะห์การงาน เท่านั้น นอกนั้นก็ไม่ใช้
ทำไมถึงไม่ใช้ ก็มันไม่จำเป็นต้องใช้ ตัณหาไม่มี มันก็ไม่มุ่งไปไหน
จึงเหลือแค่อนุเคราะห์ สงเคราะห์ ซึ่งมันจะออกมาเอง อัตโนมัติของมันเอง

ความอัตโนมัตินี้จะเกิดขึ้นเมื่อ คลายออกจากการยึดในธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์ไร้การ
บงการของกิเลส มันก็อิสระ อัตโนมัติได้รวดเร็ว
ดังนั้นกิเลสยิ่งน้อยลง การอัตโนมัติของธาตุขันธ์ก็จะยิ่งมากขึ้นตาม

ความต่างในการใช้ธาตุใช้ขันธ์กับผู้คนทั่วไป ดูแล้วเหมือนกัน
ใช้เหมือนกัน แต่เนื้อแท้การใช้ไม่เหมือน ผู้คนทั้งหลายใช้ด้วยความหลง หลงกดทับ
ธาตุขันธ์ให้เป็นไปตามที่ความหลงสั่งการ ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติของธาตุขันธ์
ที่มันอนิจจัง มันเปลี่ยน มันเสื่อม ไปทุกเวลา แต่ต้องการให้มันนิจจัง ถาวร
ตลอดต่อเนื่อง ทั้งที่ธรรมชาติของธาตุขันธ์มันแค่ชั่วคราว ดังนั้นเมื่อใช้มันแล้ว
สักระยะหนึ่งมันจะแสดงให้เห็นถึงธรรมแห่งอนิจจัง คือ ชั่วคราว

กินอิ่ม เดี๋ยวก็หิวใหม่ พอกินแล้ว ความหิวก็หายไป นั่งท่าไหนนานสักพัก
ก็เริ่มปวดเริ่มเมื่อย ก็เปลี่ยนท่าให้มัน มันก็คลายออก นั่นคือชั่วคราว
ไม่คงทนถาวร เป็นธรรมชาติของธาตุขันธ์ นามขันธ์ก็เช่นกัน ชั่วคราวเหมือนกัน
เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา วิ่งเข้าวิ่งออก ของมันอย่างนั้นทั้งวัน
ของชั่วคราวเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าต้องไปทำให้มันถาวร ต่อเนื่อง คงทน ไม่ใช่
เพราะมันจะไปบังอนิจจัง บังอนัตตา เป็นการหลงเข้าใจผิด

ไม่ใช่ว่านั่งท่าไหนนานแล้ว ธาตุขันธ์แสดงอนิจจังให้เห็น
แต่กลับบอกว่าต้องฝึกทนให้ได้ จึงจะชนะมันได้ อันนี้ไม่ใช่นะ
เพราะทุกอย่างมันอนิจจังอยู่แล้ว เมื่อเวทนาเกิด อย่างไรเสียก็ดับเองอยู่ดี

แต่สิ่งที่เกิดอยู่ในขณะนั้น เป็นการปรากฏของธรรม ให้เห็นความจริงว่า
จากที่มันไม่ปวด บัดนี้มันเริ่มปวดแล้วนะ ทุกข์เกิดแล้ว อนิจจังเกิดแล้ว
และในขณะเดียวกัน การถ่ายเททุกข์ของธรรมชาติจะเกิดเช่นกัน
ถ้าไม่มีเราเข้าไปกดทับธาตุขันธ์ มันจะเปลี่ยนท่าเอง เมื่อเปลี่ยนแล้ว
ทุกข์นั้นก็ดับหายไป ก็คือธรรมอีก ถ้ายังนั่งอยู่มันก็จะหมุนไปมาอย่างนี้
จนลุกจากการนั่ง มันไม่นั่งตลอด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
สำหรับผู้ที่มีวิบากในการปฏิบัติด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่สร้างสะสมไว้มาก
ที่ไม่สามารถแจ้งธรรมทันที และยังคงยึดแน่อยู่กับทิฐิมานะ จริตนิสัยอยู่
ก็จะไปเสวยผลในการปฏิบัตินั้น ๆ และกลั่นกรองธรรมไปจนกว่าจะหยุด
แล้วแจ้งในธรรม

ช่างมันครั้งหนึ่ง มันจึงเป็นการตรงต่อความจริงแห่งธรรม
ไม่เยิ่นเย่อ ไม่ยืดเยื้อ ไม่ขึ้นกับขั้นตอน วิธีการ หรือกาลเวลา
แต่เป็นการฉับพลันต่อการปล่อย การวาง ในหนึ่งครั้ง
เป็นทั้งกำลังและเฉียบคมต่อการตัดในครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่ช่างมันก็ขาดทุกครั้ง
เมื่อท่านกล้าที่จะสมุจเฉทเด็ดขาดต่อการปล่อย ฉับพลันต่อการวาง
ธรรมย่อมสมุจเฉทเด็ดขาด ปรากฏอย่างฉับพลันในการแจ้งธรรมเช่นกัน

ทุกวันนี้ที่เราหลงเข้าไปเจริญธาตุเจริญขันธ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมาย มันเอาอะไรไป
ปฏิบัติ ก็เอาอัตตาตัวตนไปปฏิบัติ เอาอะไรไปรู้สิ่งต่าง ๆ ก็เอาเรารู้นี่ ไปรู้สิ่งต่าง ๆ
เรารู้นี่มาจากไหน อัตตาตัวตนนี่มาจากไหน ก็มาจากโมหะที่ซ้อนลงในขันธ์รู้
จนกลายเป็นอัตตาตัวตนเรารู้ขึ้น เมื่อเอาเรารู้นี้ไปปฏิบัติ ไปเจริญธาตุขันธ์อีก ก็คือ
หลงปฏิบัติโดยการเจริญอัตตาตัวตนอยู่ตลอด หลงเอาเจตนาไปปฏิบัติ ไปเจริญ
ก็หลงสร้างกรรมอยู่ตลอด ก็คือหลงสร้างเหตุและปัจจัยอยู่ตลอดเช่นกัน

จนลืมฉุกคิดว่าสิ่งที่ทำกันอยู่นั้น
มันตรงต่อธรรม หรือตรงต่อกิเลส เมื่อกิเลสแปลงร่างเป็น
เพียรพยายาม ตั้งมั่น ปรารถนา ต่อเนื่อง ต้องมี ต้องได้ ต้องเป็น ต้องเห็น
ต้องรู้ ฯลฯ กลับมองไม่เห็น หลงตามไปอย่างชนิดที่เต็มทิฐิมานะ

หลงใช้สิ่งเหล่านี้ไปกับทางโลกจนสำเร็จ
จึงหลงเข้าใจผิด ว่าคือสิ่งเดียวกันที่จะทำให้แจ้งในพระนิพพาน
ลองมองกันใหม่อีกครั้ง มีตัวไหนที่ตรงต่ออนิจจังบ้าง มีตัวไหนตรงต่ออนัตตา
มีตัวไหนตรงต่อปล่อย ตรงต่อการสละขันธ์ ตรงต่อการไร้ตัวตน
มีไหมที่มันจะตรงต่อการวางในเดี๋ยวนั้น ไม่ต่อเดี๋ยวนั้น

มันจึงกลายเป็นสิ่งเสพติด ที่ติดแล้วเลิกไม่ได้ เสพแล้ววางไม่ลง
เมื่อไม่เสพต่อมันก็ ทุรนทุราย วุ่นวายใจ กระหายที่จะไปต่ออีก
เมื่อถูกขัดขวางปฏิฆะก็เกิดอีก มันจึงต้องเสพติดธาตุขันธ์นี้ไปเรื่อย ๆ
ไม่ขันธ์นี้ก็ขันธ์โน้น เลิกไม่ได้ ตายแล้วเกิดใหม่ก็มาเสพต่ออีก
เป็นสิ่งเสพติดที่ติดข้ามภพข้ามชาติ

เมื่อธรรมชาติของกิเลส มันก็อนิจจังในตัวมันเองอยู่แล้วเช่นกัน
นั่นหมายถึง โมหะก็อนิจจังในโมหะเอง ตัณหาก็อนิจจังในตัณหาเอง
อุปาทานก็อนิจจังในอุปาทานเอง ไม่มีอะไรใน 31 ภพภูมินี้ที่ไม่ตรงต่อ
อนิจจัง กิเลสก็ไม่ยกเว้น เพราะสิ่งที่นอกเหนืออนิจจังนั้นไม่มี นอกจากพระนิพพาน

เมื่อถูกอวิชชาครอบงำ และซ้อนลงสู่ตัวรู้ จนกลายเป็นเรารู้
มีอัตตาตัวตนเกิด หลงไปปฏิบัติ หลงไปเจริญธาตุขันธ์
ให้เกิดกรรมขึ้นกับธาตุขันธ์ จนเป็นเหตุปัจจัยขึ้นใหม่อีก
เมื่อหลงไปเจริญในขันธ์ไหน ก็จะเกิดเหตุและปัจจัยกับขันธ์นั้น
เป็นผลให้ต้องกลับมาเวียน หรือวนในขันธ์นั้นอีก

ดังนั้นยิ่งหลงเข้าไปเจริญในขันธ์ใด ก็จะยิ่งเวียนกลับมาหลงในขันธ์นั้นอีก
มันจึงวางไม่ได้ ปล่อยไม่ได้ เพราะมีเหตุมีปัจจัยอยู่ตลอด
คนที่ขยันทำ ก็ทำแล้วทำอีก คนที่ชอบพิจารณา ก็พิจารณาแล้วพิจารณาอีก
คนที่ทรงรู้ก็จะทรงรู้อยู่อย่างนั้น
สร้างเหตุและปัจจัยในการหลงวนกับธาตุขันธ์ อยู่ตลอดอย่างไม่รู้ตัว

เหมือนทุกสิ่งในโลกนี้ หรือผู้คนทั้งหลายในโลกนี้มีมากมาย
แต่เราจะไม่เข้าไปข้องแวะ หรือหลงยึดติดกับทุกอย่าง ทุกคน จะมีเพียงสิ่งที่เคยสร้าง
เหตุและปัจจัยกันไว้ และจะยึดติดกับผู้คนที่เคยผูกเหตุและปัจจัยกันไว้ นอกนั้นก็คือ
ผ่าน ๆ ไปเท่านั้น เห็นแล้วก็แค่ผ่าน ๆ ไป รู้แล้วก็แค่ผ่าน ๆ ไป ไม่ติดไม่ยึด
หากไม่มีเชื้อของเหตุปัจจัย สักนิดเลย ก็จะไม่ได้เห็น ไม่ได้เจอ ไม่ได้รู้
กับสิ่งเหล่านั้นหรือผู้คนเหล่านั้น เพราะเหตุปัจจัยไม่ได้สร้างกันไว้เลย

เมื่อวนมากมันก็ยิ่งสร้างตัววนใหม่เพิ่มอีกมาก
เมื่อวนมากมันก็ยิ่งมืดมาก เมื่อวนมากมันก็มีภาระมาก
เมื่อวนมากมันก็ยิ่งผูกพันมาก เมื่อวนมากมันก็ไม่มีช่องว่างทีจะให้เกิดการคลาย
มันก็ไม่เห็นความจริงของธรรม มีแต่ยึดยิ่งมาก
เพราะวัน ๆ ก็ต้องเข้าไปวนอยู่กับธาตุกับขันธ์
วนเหตุหนึ่งจบ ก็ไปต่อกับอีกปัจจัยหนึ่ง วนไปมาอยู่อย่างนั้น
ไม่มีโอกาสได้สละธาตุสละขันธ์อย่างแท้จริงสักที
ให้สามารถตรงต่อธรรมโดยธรรมของมันเอง

เมื่อสร้างอะไรไว้ก็จะไปวนกับสิ่งนั้น เมื่อสร้างเหตุและปัจจัยไปเรื่อย ๆ
มันก็วนไปเรื่อย ๆ หยุดไม่เป็น ปล่อยไม่เป็น เลิกไม่เป็น ยึดไปเรื่อย ๆ
ดังนั้นการจะนอกเหนือเหตุและปัจจัยก็คือ ยุติการหลงเข้าไปตาม
หลงเข้าไปต่อเหตุและปัจจัยที่เกิดขึ้น ให้เกิดเป็นเหตุและปัจจัยตัวใหม่อีก
ก็ช่างมัน ช่างมันครั้งหนึ่ง มันก็ตัดเหตุและปัจจัยครั้งหนึ่ง
ช่างมันครั้งหนึ่งมันก็เลิกหลงสร้างเหตุและปัจจัยใหม่ครั้งหนึ่ง
มันจึงจะนอกเหนือเหตุและปัจจัยได้ ถ้ายังเข้าไปเสวย
เข้าไปตามดูตามรู้เหตุและปัจจัย
มันจะถูกอำนาจแห่งกรรม อำนาจแห่งวังวนของเหตุและปัจจัย
ที่เสมือนเหมือนเป็นวังน้ำวันที่พาไปวน พาไปสร้างเหตุและปัจจัยต่อ
เป็นวังวนที่ไม่จบสิ้น ยากที่จะออกมาได้
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไปปฎิบัติติที่ไหน หรือปฎิบัติตรงไหน ก็เป็นอัตตาไม่ได้เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คุณจะว่าเป็นอัตตาได้อย่างไร

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 22:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อธาตุขันธ์แสดงทุกข์ให้เห็น แล้วไม่มีการเข้าไปบังคับให้เป็นไปตามเราต้องการ
โดยปกติ ทุกข์ที่เป็นทุกข์สามัญทั่วไปนั้น จะถ่ายเททุกข์ของมันเอง ตามธรรมชาติ
เดินนานเมื่อย มันก็จะหาที่นั่ง หิวมันก็จะหากิน อิ่มมันก็เลิกกิน
เหนื่อยมันก็จะหาพัก นั่งท่าไหนนานเมื่อย มันก็จะเปลี่ยนท่านั่ง
นอนท่าไหนแล้วทับธาตุเกินไป มันก็เปลี่ยนท่านอนของมันเอง ปวดเบา ปวดหนัก
มันจะหาที่ขับหาที่ถ่าย เป็นต้น คือสิ่งที่เป็นสามัญทุกข์อันเกิดจากกายธาตุนี้
ธรรมชาติของขันธ์จะรู้จักการถ่ายเททุกข์ของมันเอง มันเรียนรู้ด้วยตัวมันเองได้

แต่เมื่อโมหะซ้อนลงไป ตัณหาซ้อนลงไป อุปาทานซ้อนลงไป
หลงไปยึดให้เป็นโน่นเป็นนี่ ทุกข์ตัวใหม่เกิดขึ้นเพิ่ม
เป็นทุกข์ที่เกิดจากกิเลสซ้อนลงไปในทุกข์อีกที เป็นทุกข์ซ้อนทุกข์
จากเดิมที่ทุกข์สามัญทั่วๆไป นั่งนานเมื่อยก็เปลี่ยนท่า หรือไม่ก็ลุกหรือนอน
แล้วแต่จังหวะในขณะนั้น ก็จบในทุกข์นั้นแล้ว
ทุกข์ก็ถ่ายเทในทุกข์อย่างเรียบง่าย ไม่เยิ่นเย่อ ผ่านๆ ไป ไร้มายา ไร้กิเลส

แต่ก็กลายเป็นว่ามีเราเข้าไปบังคับธาตุขันธ์
ให้เป็นไปตาม กิเลส จริตนิสัย จารีตประเพณี กฎระเบียบสังคม และสิ่งต่าง ๆ มากมาย
ที่หลงเข้าไปยึดเป็นที่ตั้ง และสร้างพฤติกรรมใหม่ ๆ ขึ้น ว่าต้องอย่างนี้ก่อน
ต้องอย่างนั้นก่อน กลายเป็นว่า เดิมทุกข์แป๊บหนึ่ง ก็ต้องทุกข์นานขึ้น
คือมันไม่ผ่านแบบเรียบง่าย ไม่ตรงต่อความจริงของธรรมชาติ
ที่มันแค่ผ่าน ๆ ไป ไม่ติดไม่ยึด

เมื่อไปกดทับธาตุขันธ์มาก ไม่ปล่อยให้มันถ่ายเททุกข์ของมันเองตามที่มันเป็น
ก็เหมือนเวลาเราปวดเบาแล้วอั้นเอาไว้ โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหา
ถ้าอั้นไว้ไม่นาน อาการก็ไม่รุนแรง ถ้าอั้นไว้นานก็กลายเป็นโรคร้ายแรง
คือมันจะเป็นการสร้างโรคภัยไข้เจ็บรอไว้ คือ สะสมไปเรื่อย ๆ ที่ไปกดทับ
เมื่อเหตุและปัจจัยครบก็จะแสดงให้เห็น บางครั้งก็อาจแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

เหตุก็เพราะหลงใช้ธาตุขันธ์มาก จนแยกไม่ออกว่าอันไหนหลง
อันไม่ไม่หลง อันไหนคือธรรมชาติของมันเอง อันไหนคือสิ่งที่มีโมหะเจือลงไป
คือมันเอามาปนผสมจนสับสนไปหมด แยกไม่ออก อันไหนคือทุกข์สามัญ
อันไหนเป็นมายาทุกข์ หรือทุกข์อันเกิดจากโมหะ ตัณหา อุปาทานซ้อนลงไป
แล้วไม่ได้เป็นดังที่ตั้งไว้

เมื่อธาตุขันธ์นี้ถูกกิเลสครอบงำ ความเป็นอัตโนมัติของมันเอง ก็น้อยลง
มีเราที่มีโมหะซ้อนลงเข้าไปควบคุมมันแทน สอนให้มันหลง ให้มันยึด
สร้างพฤติกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา สอนให้เรียนรู้และฝึกฝนจนกลายเป็นว่า
ใช้พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นจนเป็นปกติ ครอบทับ ความเป็นจริงของธรรมชาติ
ที่นี้ทุกการใช้ที่มีเราเข้าไปเลยกลายเป็น การบังคับ การกดทับธาตุขันธ์
ให้เป็นไปตามที่เราต้องการจนชิน

เมื่อหลงใช้พฤติกรรมมากเข้า กรรมและเหตุและปัจจัยมันก็มาก มันก็วนกับพฤติกรรมนั้น
ที่นี่เมื่อมาปฏิบัติธรรม ก็ไม่รู้ว่าการใช้ธาตุใช้ขันธ์อย่างไรเป็นกิเลส
อย่างไหนเป็นธรรมชาติของมันเอง กลายเป็นว่าเราไปสร้างความซับซ้อนให้ขันธ์
สร้างความซับซ้อนในพฤติกรรม จนหลงกับมันเอง เมื่อจะมาคลายออก ก็เหมือนเงื่อนปม
ที่พันมั่วไปหมด จะคลายตรงนี้ก็ติด คลายตรงโน้นก็ติด หลงพันกันชนิดยิ่งแก้ยิ่งติด

ก็ให้ช่างมันอีกนั่นแหละ แล้วมันจะคลายออกเอง ตรงไหนที่เป็นส่วนเกินของชีวิต
ส่วนเกินของพฤติกรรม ส่วนเกินของการเป็นการอยู่ จะถูกคลายออก ด้วยการตัด
ที่แหลมคมและฉับพลันแห่งบารมีธรรมของช่างมันนี่แหละ ความชัดเจนจะมากขึ้นตาม
มันจะแยกแยะออกเอง อันไหนควรสงเคราะห์ อันไหนควรทิ้ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 22:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อท่านทั้งหลายอ่านในสิ่งที่นำมาโพสนี้
แล้ว ไม่ตรงกับทิฐิมานะของท่าน ก็ช่างมันเถอะ นะ
ไม่ต้องไปมีอะไรกับมัน ก็ปล่อยมันไป

แต่ถ้าท่านใดอ่านแล้ว คลายออกจากวังวนที่หลงวนอยู่ได้
สาธุโมทนา ด้วยครับ

สำหรับข้อถามที่ท่าน จขกท ถามไว้ น่าจะมีคำตอบจาก
ที่โพสไว้นี้แล้วนะ



สิ่งใดที่ล่วงเกิดต่อท่านทั้งหลาย ขออโสิกรรม ณ ที่นี่
ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ในกิเลสกรรมทั้งหลายอีกต่อไป
สาธุ อโหสิ อโหสิ อโหสิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
เมื่อธาตุขันธ์แสดงทุกข์ให้เห็น แล้วไม่มีการเข้าไปบังคับให้เป็นไปตามเราต้องการ
โดยปกติ ทุกข์ที่เป็นทุกข์สามัญทั่วไปนั้น จะถ่ายเททุกข์ของมันเอง ตามธรรมชาติ
เดินนานเมื่อย มันก็จะหาที่นั่ง หิวมันก็จะหากิน อิ่มมันก็เลิกกิน
เหนื่อยมันก็จะหาพัก นั่งท่าไหนนานเมื่อย มันก็จะเปลี่ยนท่านั่ง
นอนท่าไหนแล้วทับธาตุเกินไป มันก็เปลี่ยนท่านอนของมันเอง ปวดเบา ปวดหนัก
มันจะหาที่ขับหาที่ถ่าย เป็นต้น คือสิ่งที่เป็นสามัญทุกข์อันเกิดจากกายธาตุนี้
ธรรมชาติของขันธ์จะรู้จักการถ่ายเททุกข์ของมันเอง มันเรียนรู้ด้วยตัวมันเองได้

แต่เมื่อโมหะซ้อนลงไป ตัณหาซ้อนลงไป อุปาทานซ้อนลงไป
หลงไปยึดให้เป็นโน่นเป็นนี่ ทุกข์ตัวใหม่เกิดขึ้นเพิ่ม
เป็นทุกข์ที่เกิดจากกิเลสซ้อนลงไปในทุกข์อีกที เป็นทุกข์ซ้อนทุกข์
จากเดิมที่ทุกข์สามัญทั่วๆไป นั่งนานเมื่อยก็เปลี่ยนท่า หรือไม่ก็ลุกหรือนอน
แล้วแต่จังหวะในขณะนั้น ก็จบในทุกข์นั้นแล้ว
ทุกข์ก็ถ่ายเทในทุกข์อย่างเรียบง่าย ไม่เยิ่นเย่อ ผ่านๆ ไป ไร้มายา ไร้กิเลส

แต่ก็กลายเป็นว่ามีเราเข้าไปบังคับธาตุขันธ์
ให้เป็นไปตาม กิเลส จริตนิสัย จารีตประเพณี กฎระเบียบสังคม และสิ่งต่าง ๆ มากมาย
ที่หลงเข้าไปยึดเป็นที่ตั้ง และสร้างพฤติกรรมใหม่ ๆ ขึ้น ว่าต้องอย่างนี้ก่อน
ต้องอย่างนั้นก่อน กลายเป็นว่า เดิมทุกข์แป๊บหนึ่ง ก็ต้องทุกข์นานขึ้น
คือมันไม่ผ่านแบบเรียบง่าย ไม่ตรงต่อความจริงของธรรมชาติ
ที่มันแค่ผ่าน ๆ ไป ไม่ติดไม่ยึด

เมื่อไปกดทับธาตุขันธ์มาก ไม่ปล่อยให้มันถ่ายเททุกข์ของมันเองตามที่มันเป็น
ก็เหมือนเวลาเราปวดเบาแล้วอั้นเอาไว้ โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหา
ถ้าอั้นไว้ไม่นาน อาการก็ไม่รุนแรง ถ้าอั้นไว้นานก็กลายเป็นโรคร้ายแรง
คือมันจะเป็นการสร้างโรคภัยไข้เจ็บรอไว้ คือ สะสมไปเรื่อย ๆ ที่ไปกดทับ
เมื่อเหตุและปัจจัยครบก็จะแสดงให้เห็น บางครั้งก็อาจแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

เหตุก็เพราะหลงใช้ธาตุขันธ์มาก จนแยกไม่ออกว่าอันไหนหลง
อันไม่ไม่หลง อันไหนคือธรรมชาติของมันเอง อันไหนคือสิ่งที่มีโมหะเจือลงไป
คือมันเอามาปนผสมจนสับสนไปหมด แยกไม่ออก อันไหนคือทุกข์สามัญ
อันไหนเป็นมายาทุกข์ หรือทุกข์อันเกิดจากโมหะ ตัณหา อุปาทานซ้อนลงไป
แล้วไม่ได้เป็นดังที่ตั้งไว้

เมื่อธาตุขันธ์นี้ถูกกิเลสครอบงำ ความเป็นอัตโนมัติของมันเอง ก็น้อยลง
มีเราที่มีโมหะซ้อนลงเข้าไปควบคุมมันแทน สอนให้มันหลง ให้มันยึด
สร้างพฤติกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา สอนให้เรียนรู้และฝึกฝนจนกลายเป็นว่า
ใช้พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นจนเป็นปกติ ครอบทับ ความเป็นจริงของธรรมชาติ
ที่นี้ทุกการใช้ที่มีเราเข้าไปเลยกลายเป็น การบังคับ การกดทับธาตุขันธ์
ให้เป็นไปตามที่เราต้องการจนชิน

เมื่อหลงใช้พฤติกรรมมากเข้า กรรมและเหตุและปัจจัยมันก็มาก มันก็วนกับพฤติกรรมนั้น
ที่นี่เมื่อมาปฏิบัติธรรม ก็ไม่รู้ว่าการใช้ธาตุใช้ขันธ์อย่างไรเป็นกิเลส
อย่างไหนเป็นธรรมชาติของมันเอง กลายเป็นว่าเราไปสร้างความซับซ้อนให้ขันธ์
สร้างความซับซ้อนในพฤติกรรม จนหลงกับมันเอง เมื่อจะมาคลายออก ก็เหมือนเงื่อนปม
ที่พันมั่วไปหมด จะคลายตรงนี้ก็ติด คลายตรงโน้นก็ติด หลงพันกันชนิดยิ่งแก้ยิ่งติด

ก็ให้ช่างมันอีกนั่นแหละ แล้วมันจะคลายออกเอง ตรงไหนที่เป็นส่วนเกินของชีวิต
ส่วนเกินของพฤติกรรม ส่วนเกินของการเป็นการอยู่ จะถูกคลายออก ด้วยการตัด
ที่แหลมคมและฉับพลันแห่งบารมีธรรมของช่างมันนี่แหละ ความชัดเจนจะมากขึ้นตาม
มันจะแยกแยะออกเอง อันไหนควรสงเคราะห์ อันไหนควรทิ้ง
ก็เพราะมนุษย์ไม่รู้จักคำว่าวางเฉยกับความรู้สึกนะซิครับ จิตธรรมดาจึงเปลี่ยนแปลงอริยบทเพื่อคลายทุกข์หรือเรียกง่ายว่าหนีทุกข์ แสวงหาแต่สุข ถ้าคนเรารู้จักที่จะวางเฉยทั้งทุกข์และสุขจิตก็จะถูกพัฒนาขึ้น

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 22:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
เมื่อท่านทั้งหลายอ่านในสิ่งที่นำมาโพสนี้
แล้ว ไม่ตรงกับทิฐิมานะของท่าน ก็ช่างมันเถอะ นะ
ไม่ต้องไปมีอะไรกับมัน ก็ปล่อยมันไป

แต่ถ้าท่านใดอ่านแล้ว คลายออกจากวังวนที่หลงวนอยู่ได้
สาธุโมทนา ด้วยครับ

สำหรับข้อถามที่ท่าน จขกท ถามไว้ น่าจะมีคำตอบจาก
ที่โพสไว้นี้แล้วนะ



สิ่งใดที่ล่วงเกิดต่อท่านทั้งหลาย ขออโสิกรรม ณ ที่นี่
ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ในกิเลสกรรมทั้งหลายอีกต่อไป
สาธุ อโหสิ อโหสิ อโหสิ
ความเห็นของท่าน ดูเหมือนจะเข้าใจธรรมะดีพอควร แต่ผิดในหลักการมากเลย เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสแต่สิ่งที่มีประโยชน์และเป็นจริงเท่านั้น ท่านคงรู้นะครับว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสอะไรไว้มาก บทอธิฐานความเพียร อานาปานสติ ฯลฯ ทุกอย่างล้วนแต่ต้องลงมือทำทั้งนั้น ใช้แต่จินตามยปัญญาไม่ได้หรอกครับ และถ้าท่านยังไม่สามารถรับความรู้สึกที่เกิดดับทั่วร่างกายในขณะนี้นั้นซึ่งมันเกิดขึ้นจริงทุกขณะนั้นท่านยังห่างไกลความจริงมากครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณไม่มีอะไร ผมไม่รู้นะว่าคุณเคยปฎิบัติหรือเปล่า ผมฟังคุณแล้วพอรู้เลยว่าคุณมีความรู้เรื่องนี้มากเลย หรือคุณรู้อภิธรรมมากถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ ถ้าคุณไม่เคยปฎิบัติก็ลองดูได้นี่ครับไม่เห็นเสียหายปฎิบัติแล้วไม่ดีก็เลิกได้นี่ครับ คุณลองดูลิ้งค์นี้ให้จบนะครับอาจจะมีแนวคิดใหม่ๆhttp://www.youtube.com/watch?v=bGt9_Y6Hgewศูนย์ปราจีนhttp://www.thaidhamma.net/ไม่มีอะไรเสียหายที่จะลอง ผมรอดตายได้เพราะคำว่าลองดู

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 06:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
เมื่อธาตุขันธ์แสดงทุกข์ให้เห็น แล้วไม่มีการเข้าไปบังคับให้เป็นไปตามเราต้องการ
โดยปกติ ทุกข์ที่เป็นทุกข์สามัญทั่วไปนั้น จะถ่ายเททุกข์ของมันเอง ตามธรรมชาติ
เดินนานเมื่อย มันก็จะหาที่นั่ง หิวมันก็จะหากิน อิ่มมันก็เลิกกิน
เหนื่อยมันก็จะหาพัก นั่งท่าไหนนานเมื่อย มันก็จะเปลี่ยนท่านั่ง
นอนท่าไหนแล้วทับธาตุเกินไป มันก็เปลี่ยนท่านอนของมันเอง ปวดเบา ปวดหนัก
มันจะหาที่ขับหาที่ถ่าย เป็นต้น คือสิ่งที่เป็นสามัญทุกข์อันเกิดจากกายธาตุนี้
ธรรมชาติของขันธ์จะรู้จักการถ่ายเททุกข์ของมันเอง มันเรียนรู้ด้วยตัวมันเองได้

แต่เมื่อโมหะซ้อนลงไป ตัณหาซ้อนลงไป อุปาทานซ้อนลงไป
หลงไปยึดให้เป็นโน่นเป็นนี่ ทุกข์ตัวใหม่เกิดขึ้นเพิ่ม
เป็นทุกข์ที่เกิดจากกิเลสซ้อนลงไปในทุกข์อีกที เป็นทุกข์ซ้อนทุกข์
จากเดิมที่ทุกข์สามัญทั่วๆไป นั่งนานเมื่อยก็เปลี่ยนท่า หรือไม่ก็ลุกหรือนอน
แล้วแต่จังหวะในขณะนั้น ก็จบในทุกข์นั้นแล้ว
ทุกข์ก็ถ่ายเทในทุกข์อย่างเรียบง่าย ไม่เยิ่นเย่อ ผ่านๆ ไป ไร้มายา ไร้กิเลส

แต่ก็กลายเป็นว่ามีเราเข้าไปบังคับธาตุขันธ์
ให้เป็นไปตาม กิเลส จริตนิสัย จารีตประเพณี กฎระเบียบสังคม และสิ่งต่าง ๆ มากมาย
ที่หลงเข้าไปยึดเป็นที่ตั้ง และสร้างพฤติกรรมใหม่ ๆ ขึ้น ว่าต้องอย่างนี้ก่อน
ต้องอย่างนั้นก่อน กลายเป็นว่า เดิมทุกข์แป๊บหนึ่ง ก็ต้องทุกข์นานขึ้น
คือมันไม่ผ่านแบบเรียบง่าย ไม่ตรงต่อความจริงของธรรมชาติ
ที่มันแค่ผ่าน ๆ ไป ไม่ติดไม่ยึด

เมื่อไปกดทับธาตุขันธ์มาก ไม่ปล่อยให้มันถ่ายเททุกข์ของมันเองตามที่มันเป็น
ก็เหมือนเวลาเราปวดเบาแล้วอั้นเอาไว้ โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหา
ถ้าอั้นไว้ไม่นาน อาการก็ไม่รุนแรง ถ้าอั้นไว้นานก็กลายเป็นโรคร้ายแรง
คือมันจะเป็นการสร้างโรคภัยไข้เจ็บรอไว้ คือ สะสมไปเรื่อย ๆ ที่ไปกดทับ
เมื่อเหตุและปัจจัยครบก็จะแสดงให้เห็น บางครั้งก็อาจแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

เหตุก็เพราะหลงใช้ธาตุขันธ์มาก จนแยกไม่ออกว่าอันไหนหลง
อันไม่ไม่หลง อันไหนคือธรรมชาติของมันเอง อันไหนคือสิ่งที่มีโมหะเจือลงไป
คือมันเอามาปนผสมจนสับสนไปหมด แยกไม่ออก อันไหนคือทุกข์สามัญ
อันไหนเป็นมายาทุกข์ หรือทุกข์อันเกิดจากโมหะ ตัณหา อุปาทานซ้อนลงไป
แล้วไม่ได้เป็นดังที่ตั้งไว้

เมื่อธาตุขันธ์นี้ถูกกิเลสครอบงำ ความเป็นอัตโนมัติของมันเอง ก็น้อยลง
มีเราที่มีโมหะซ้อนลงเข้าไปควบคุมมันแทน สอนให้มันหลง ให้มันยึด
สร้างพฤติกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา สอนให้เรียนรู้และฝึกฝนจนกลายเป็นว่า
ใช้พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นจนเป็นปกติ ครอบทับ ความเป็นจริงของธรรมชาติ
ที่นี้ทุกการใช้ที่มีเราเข้าไปเลยกลายเป็น การบังคับ การกดทับธาตุขันธ์
ให้เป็นไปตามที่เราต้องการจนชิน

เมื่อหลงใช้พฤติกรรมมากเข้า กรรมและเหตุและปัจจัยมันก็มาก มันก็วนกับพฤติกรรมนั้น
ที่นี่เมื่อมาปฏิบัติธรรม ก็ไม่รู้ว่าการใช้ธาตุใช้ขันธ์อย่างไรเป็นกิเลส
อย่างไหนเป็นธรรมชาติของมันเอง กลายเป็นว่าเราไปสร้างความซับซ้อนให้ขันธ์
สร้างความซับซ้อนในพฤติกรรม จนหลงกับมันเอง เมื่อจะมาคลายออก ก็เหมือนเงื่อนปม
ที่พันมั่วไปหมด จะคลายตรงนี้ก็ติด คลายตรงโน้นก็ติด หลงพันกันชนิดยิ่งแก้ยิ่งติด

ก็ให้ช่างมันอีกนั่นแหละ แล้วมันจะคลายออกเอง ตรงไหนที่เป็นส่วนเกินของชีวิต
ส่วนเกินของพฤติกรรม ส่วนเกินของการเป็นการอยู่ จะถูกคลายออก ด้วยการตัด
ที่แหลมคมและฉับพลันแห่งบารมีธรรมของช่างมันนี่แหละ ความชัดเจนจะมากขึ้นตาม
มันจะแยกแยะออกเอง อันไหนควรสงเคราะห์ อันไหนควรทิ้ง

:b10:
ได้อ่านข้อธรรมที่คุณไม่มีอะไร พยายามจะสื่อให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจ ความหมายอันลึกซึ้งของ
"การปฏิบัติธรรมที่ไร้กระบวนท่า" ทำให้นึกถึง "หลวงพ่อโพธิ์ศรี"มากขึ้นจนอยากจะไปกราบสนทนาธรรมซักทีแล้วครับ

:b8:
อนุโมทนาในเมตตา กรุณา และกุศลเจตนาของคุณไม่มีอะไรนะครับ
:b16:
เจริญธรรม
:b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 06:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ไม่มีอะไร เขียน:
เมื่อธาตุขันธ์แสดงทุกข์ให้เห็น แล้วไม่มีการเข้าไปบังคับให้เป็นไปตามเราต้องการ
โดยปกติ ทุกข์ที่เป็นทุกข์สามัญทั่วไปนั้น จะถ่ายเททุกข์ของมันเอง ตามธรรมชาติ
เดินนานเมื่อย มันก็จะหาที่นั่ง หิวมันก็จะหากิน อิ่มมันก็เลิกกิน
เหนื่อยมันก็จะหาพัก นั่งท่าไหนนานเมื่อย มันก็จะเปลี่ยนท่านั่ง
นอนท่าไหนแล้วทับธาตุเกินไป มันก็เปลี่ยนท่านอนของมันเอง ปวดเบา ปวดหนัก
มันจะหาที่ขับหาที่ถ่าย เป็นต้น คือสิ่งที่เป็นสามัญทุกข์อันเกิดจากกายธาตุนี้
ธรรมชาติของขันธ์จะรู้จักการถ่ายเททุกข์ของมันเอง มันเรียนรู้ด้วยตัวมันเองได้

แต่เมื่อโมหะซ้อนลงไป ตัณหาซ้อนลงไป อุปาทานซ้อนลงไป
หลงไปยึดให้เป็นโน่นเป็นนี่ ทุกข์ตัวใหม่เกิดขึ้นเพิ่ม
เป็นทุกข์ที่เกิดจากกิเลสซ้อนลงไปในทุกข์อีกที เป็นทุกข์ซ้อนทุกข์
จากเดิมที่ทุกข์สามัญทั่วๆไป นั่งนานเมื่อยก็เปลี่ยนท่า หรือไม่ก็ลุกหรือนอน
แล้วแต่จังหวะในขณะนั้น ก็จบในทุกข์นั้นแล้ว
ทุกข์ก็ถ่ายเทในทุกข์อย่างเรียบง่าย ไม่เยิ่นเย่อ ผ่านๆ ไป ไร้มายา ไร้กิเลส

แต่ก็กลายเป็นว่ามีเราเข้าไปบังคับธาตุขันธ์
ให้เป็นไปตาม กิเลส จริตนิสัย จารีตประเพณี กฎระเบียบสังคม และสิ่งต่าง ๆ มากมาย
ที่หลงเข้าไปยึดเป็นที่ตั้ง และสร้างพฤติกรรมใหม่ ๆ ขึ้น ว่าต้องอย่างนี้ก่อน
ต้องอย่างนั้นก่อน กลายเป็นว่า เดิมทุกข์แป๊บหนึ่ง ก็ต้องทุกข์นานขึ้น
คือมันไม่ผ่านแบบเรียบง่าย ไม่ตรงต่อความจริงของธรรมชาติ
ที่มันแค่ผ่าน ๆ ไป ไม่ติดไม่ยึด

เมื่อไปกดทับธาตุขันธ์มาก ไม่ปล่อยให้มันถ่ายเททุกข์ของมันเองตามที่มันเป็น
ก็เหมือนเวลาเราปวดเบาแล้วอั้นเอาไว้ โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหา
ถ้าอั้นไว้ไม่นาน อาการก็ไม่รุนแรง ถ้าอั้นไว้นานก็กลายเป็นโรคร้ายแรง
คือมันจะเป็นการสร้างโรคภัยไข้เจ็บรอไว้ คือ สะสมไปเรื่อย ๆ ที่ไปกดทับ
เมื่อเหตุและปัจจัยครบก็จะแสดงให้เห็น บางครั้งก็อาจแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

เหตุก็เพราะหลงใช้ธาตุขันธ์มาก จนแยกไม่ออกว่าอันไหนหลง
อันไม่ไม่หลง อันไหนคือธรรมชาติของมันเอง อันไหนคือสิ่งที่มีโมหะเจือลงไป
คือมันเอามาปนผสมจนสับสนไปหมด แยกไม่ออก อันไหนคือทุกข์สามัญ
อันไหนเป็นมายาทุกข์ หรือทุกข์อันเกิดจากโมหะ ตัณหา อุปาทานซ้อนลงไป
แล้วไม่ได้เป็นดังที่ตั้งไว้

เมื่อธาตุขันธ์นี้ถูกกิเลสครอบงำ ความเป็นอัตโนมัติของมันเอง ก็น้อยลง
มีเราที่มีโมหะซ้อนลงเข้าไปควบคุมมันแทน สอนให้มันหลง ให้มันยึด
สร้างพฤติกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา สอนให้เรียนรู้และฝึกฝนจนกลายเป็นว่า
ใช้พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นจนเป็นปกติ ครอบทับ ความเป็นจริงของธรรมชาติ
ที่นี้ทุกการใช้ที่มีเราเข้าไปเลยกลายเป็น การบังคับ การกดทับธาตุขันธ์
ให้เป็นไปตามที่เราต้องการจนชิน

เมื่อหลงใช้พฤติกรรมมากเข้า กรรมและเหตุและปัจจัยมันก็มาก มันก็วนกับพฤติกรรมนั้น
ที่นี่เมื่อมาปฏิบัติธรรม ก็ไม่รู้ว่าการใช้ธาตุใช้ขันธ์อย่างไรเป็นกิเลส
อย่างไหนเป็นธรรมชาติของมันเอง กลายเป็นว่าเราไปสร้างความซับซ้อนให้ขันธ์
สร้างความซับซ้อนในพฤติกรรม จนหลงกับมันเอง เมื่อจะมาคลายออก ก็เหมือนเงื่อนปม
ที่พันมั่วไปหมด จะคลายตรงนี้ก็ติด คลายตรงโน้นก็ติด หลงพันกันชนิดยิ่งแก้ยิ่งติด

ก็ให้ช่างมันอีกนั่นแหละ แล้วมันจะคลายออกเอง ตรงไหนที่เป็นส่วนเกินของชีวิต
ส่วนเกินของพฤติกรรม ส่วนเกินของการเป็นการอยู่ จะถูกคลายออก ด้วยการตัด
ที่แหลมคมและฉับพลันแห่งบารมีธรรมของช่างมันนี่แหละ ความชัดเจนจะมากขึ้นตาม
มันจะแยกแยะออกเอง อันไหนควรสงเคราะห์ อันไหนควรทิ้ง

:b10:
ได้อ่านข้อธรรมที่คุณไม่มีอะไร พยายามจะสื่อให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจ ความหมายอันลึกซึ้งของ
"การปฏิบัติธรรมที่ไร้กระบวนท่า" ทำให้นึกถึง "หลวงพ่อโพธิ์ศรี"มากขึ้นจนอยากจะไปกราบสนทนาธรรมซักทีแล้วครับ

:b8:
อนุโมทนาในเมตตา กรุณา และกุศลเจตนาของคุณไม่มีอะไรนะครับ
:b16:
เจริญธรรม
:b20:
พี่อโศกะ ดูหนังจีนมาเหรอไม่ใช่กระบี่นะจะได้ไร้ขบวนท่านะ ถึงจะเป็นกระบี่ก็ต้องฝีกจนแตกฉานถึงจะดึงมาใช่ได้ทุกขบวนท่าโดยชำนาญ จนดูเหมือนไม่มีขบวนท่า ไม่ใช่ไร้ขบวนท่าแบบอ่านตำราแล้วเข้าใจเหมือนจะสำเร็จ แต่พอยกกระบี่ยกไม่ไหวยกไม่ขึ้น เพราะกระบี่มันหนักนะครับ ผมไม่เอาด้วยหรอกแบบคุณไม่มีอะไร แต่ในความหวังดียกนิ้วให้พี่อโศกะกับคุณไม่มีอะไรและทุกๆท่านครับ :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 07:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
คุณ bigtoo อย่าเพิ่งรีบร้อน สังเกตดูให้ดีๆ ธรรมะที่คุณไม่มีอะไรนำมาแสดง มีอะไรดีๆซ่อนอยู่นะครับ

ถ้าจะให้ดีมีเวลาลองไปศึกษาในลิ้งค์ที่ยกมาให้นี้ดูนะครับ

http://rombodhidharma.net/blogs/admin/2 ... mment-3897

:b4: :b4:
เพราะความเป็นนักกระบี่เลยต้องจับดาบ(แบกดาบ)ไปรบและใช้เพลงดาบ

ถ้าเริ่มต้นครั้งแรก เลือกอาชีพพระ คุณbigtoo ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปเรียนเพลงกระบี่ ฝึกรำดาบ หรือไปรบพุ่งกับใครให้เหนื่อยแรงและหนักสมอง ลองตรองและพิจารณาดูให้ลึกซึ้งนะครับ

คิด ตีโฉลกนี้ให้แตก เหมือนเรื่องใน "ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น" หรือ "สูตรของ
เว่ยหล่าง"นะครับ

:b10:
:b4: :b4:
เจริญธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 07:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1: :b12: :b12: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 20 ส.ค. 2012, 07:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ไม่มีอะไร เขียน:
เมื่อท่านทั้งหลายอ่านในสิ่งที่นำมาโพสนี้
แล้ว ไม่ตรงกับทิฐิมานะของท่าน ก็ช่างมันเถอะ นะ
ไม่ต้องไปมีอะไรกับมัน ก็ปล่อยมันไป

แต่ถ้าท่านใดอ่านแล้ว คลายออกจากวังวนที่หลงวนอยู่ได้
สาธุโมทนา ด้วยครับ

สำหรับข้อถามที่ท่าน จขกท ถามไว้ น่าจะมีคำตอบจาก
ที่โพสไว้นี้แล้วนะ



สิ่งใดที่ล่วงเกิดต่อท่านทั้งหลาย ขออโสิกรรม ณ ที่นี่
ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ในกิเลสกรรมทั้งหลายอีกต่อไป
สาธุ อโหสิ อโหสิ อโหสิ


ความเห็นของท่าน ดูเหมือนจะเข้าใจธรรมะดีพอควร แต่ผิดในหลักการมากเลย เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสแต่สิ่งที่มีประโยชน์และเป็นจริงเท่านั้น ท่านคงรู้นะครับว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสอะไรไว้มาก บทอธิฐานความเพียร อานาปานสติ ฯลฯ ทุกอย่างล้วนแต่ต้องลงมือทำทั้งนั้น ใช้แต่จินตามยปัญญาไม่ได้หรอกครับ และถ้าท่านยังไม่สามารถรับความรู้สึกที่เกิดดับทั่วร่างกายในขณะนี้นั้นซึ่งมันเกิดขึ้นจริงทุกขณะนั้นท่านยังห่างไกลความจริงมากครับ





ตาทู่ ถามจริงๆ นอกจากทำกับข้าวให้ภรรยา พวกงานบ้าน งานรีดเสื้อผ้า เรียกว่า งานต่างๆในบ้านทั้งหมด ตาทู่ทำเองหมดเลยหรือเปล่า?

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย นายฏีกาน้อย เมื่อ 20 ส.ค. 2012, 07:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
คุณ bigtoo อย่าเพิ่งรีบร้อน สังเกตดูให้ดีๆ ธรรมะที่คุณไม่มีอะไรนำมาแสดง มีอะไรดีๆซ่อนอยู่นะครับ

ถ้าจะให้ดีมีเวลาลองไปศึกษาในลิ้งค์ที่ยกมาให้นี้ดูนะครับ

http://rombodhidharma.net/blogs/admin/2 ... mment-3897

:b4: :b4:
เพราะความเป็นนักกระบี่เลยต้องจับดาบ(แบกดาบ)ไปรบและใช้เพลงดาบ

ถ้าเริ่มต้นครั้งแรก เลือกอาชีพพระ คุณbigtoo ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปเรียนเพลงกระบี่ ฝึกรำดาบ หรือไปรบพุ่งกับใครให้เหนื่อยแรงและหนักสมอง ลองตรองและพิจารณาดูให้ลึกซึ้งนะครับ

คิด ตีโฉลกนี้ให้แตก เหมือนเรื่องใน "ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น" หรือ "สูตรของ
เว่ยหล่าง"นะครับ

:b10:
:b4: :b4:
เจริญธรรมครับ
พี่อโศกะ ลองคิดดูดีๆเช่นกัน ผมรู้ว่าคุณไม่มีอะไร ไม่มีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ เป็นความหวังดี แต่ธรรมมะหวังดีอย่างเดียวไม่พอ สิ่งที่คุณเช่นไรแสดงนั้น มันเป็นที่สุดของคำสอนคือไม่มีอะไรเหมือนชื่อเขานั้นแหล่ะ แต่คำพูดอย่างนี้ถ้าออกมาจากคนที่หมดแล้วซึ้งกิเลสมันก็สมควร แต่ถ้ายังเป็นผู้เดินทางอยู่ คำที่กล่าวมานี้น่ากลัวมากครับ ขนาดพระศาสดายังไม่อธิบายโดยง่ายแต่ส่วนเดียว นั้นโคนไม้ นั้นเรือนว่าง นั่งตัวตรงดำรงสติเฉพาะหน้า หายใจออกรู้ หายใจเข้ารู้ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่พระศาสดาสอน ไหนบทอธิฐานความเพียรอีกล้วนเป็นการลงมือปฎิบัติทั้งนั้น ขอท่านโปรดพิจารณาครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร