วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 18:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
nongkong เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
แปลว่าไม่เคยพิจารณาจิตตอนมีเพศสัมพันธ์

ทำไมต้องพิจารณา จิต ตอนมีเพศสัมพันธ์หรอเจ้าค่ะ ในเมื่อ เสพกามราคะอยู่ ยังจะมีอารมณ์พิจารณาจิตได้ด้วยหรือ ทำไมไม่พิจารณาก่อนจะกระทำลงไป ถ้าเป็นเพศคฤหัสครองเรือน ยากเจ้าค่ะที่จะละสังโยชน์ ตัวที่4 คือกามราคะออกไปได้ ถ้ายังติดใจในกามคุณอยู่ แล้วก็เลิกฝันถึงความเป็นอริยะบุคคลขั้นสูงได้เลย
ดิฉันใช้วิธี อสุภะกรรมฐาน เห็นตามความเป็นจริงว่า รูปกายนี้ไม่เที่ยง จี้มันอยู่อย่างนั้นว่า นี่แหละตัวตนของเราไม่มีสิ่งไดเลยเป็นของเรานอกจากความตายเท่านั้น ยังจะอยากอยู่อีกหรอ จี้ร่างกายของตนว่าเป็นของเน่าของโสมม จนมันคลายความอยาก+กับดิฉันเห็นทุกข์ใน อริยสัจ ด้วยแหละเจ้าค่ะ ถึงได้ละสังโยชน์ตัวที่ 4ได้ ตัวที่5 คือ ปฏิฆะก็ยังเหลืออยู่ เพราะยังเอาออกไม่ได้ซึ่งความยินดียินร้าย การละสังโยชน์คือการบำเพ็ญเพื่อให้ได้ มรร ผล ส่วนนิพพานเป็นของแพง ชาตินี้ดิฉันมิอาจเอื้อมหรอกเจ้าค่ะ :b9:


ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ ยังมีเหตุปัจจัยที่ต้องครองเรือน ก็ต้องทำหน้าที่ จิตวิญญาณรอบๆกาย ก็ยังต้องดูแล ตามเหตุและปัจจัย นั้น
ส่วนอสุภะ หรือ :b12: :b12: :b12:
อะไรๆมันก็ไม่แน่
:b8:

งั้นอย่าคิดมากเลย แค่ศีล5ก็พอ ไม่ต้องกลัวตกนรก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
จะอธิบายให้ฟังนะครับ ในกระบวนการปฏิจจ์ท่านไม่ได้ให้
ไปรู้เรื่องผลบุญผลบาปครับ แต่ท่านต้องการให้รู้ว่า การเกิดหรือการเวียนว่าในวัฏสงสาร
มันเป็นทุกข์และจะพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยการไม่ต้องเกิด ไม่มีผลบุญ ผลบาป

อะไรเป็นเหตุปัจจัย แก่กองทุกข์ของสัตว์ที่ปฏิสนธิในอบาย ทุกคติวินิตบาต นรก?
อะไรเป็นเหตุปัจจัย แก่กองทุกข์ของสัตว์ที่ปฏิสนธิในสุขคติ โลกสวรรค์
อะไรที่เป็นของๆ ตน หลังจากที่สัตว์จุติจากภพนี้ไปสู่ภพหน้า
โฮฮับ เขียน:
ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องผลบุญผลบาป ศาสนาอื่นก็มีครับแต่พระพุทธองค์มาสอนให้เราอย่า
ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนี้ ความดีก็คือความยึดมั่น ความเลวก็เช่นกันครับ
ปฏิจจสมุบาทไม่ได้แบ่งแยกดีเลว กุศลอกุศลครับเพราะปฏิจจสมุบาททุกอย่างที่กล่าวมาเป็น
ความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นอวิชา มันส่งผลให้ต้องไปเกิดใหม่ครับ

ศาสนาอื่น ไม่ได้สอนเรื่องกรรม เรื่องเหตุปัจจัย ความรู้เรื่องผลบุญ ผลบาปจึงแตกต่างจากผู้ทำความศึกษาในพุทธศาสนา
ปฏิจสมุปบาท ครอบคลุมถึง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
โฮฮับ เขียน:
คุณไปเอาเรื่องกระบวนการขัน์
มาปนเปกับปฏิจจ์ฯ

ผู้ที่เข้าใจว่า เช่นนั้นเอาเรื่องกระบวนการขันธ์มาปนกับปฏิจสมุปบาท คือความเข้าใจเอาเองของโฮฮับ
เช่นนั้น แสดงถึง อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร
วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป
นามรูป เป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ
สฬายตนะเป็นปัจจัย แก่ผัสสะ
ณ.จุดที่เป็นอวิชชาผัสสะ พระพุทธองค์เคยวิสัชนาในพระสูตรหนึ่งว่า ณ.ตรงนี้ ปัญจุปาทานขันธ์ได้ตั้งขึ้น
โฮฮับ ศึกษาพระสูตรลุ่มๆดอนๆ จึงคิดเองเออเอง ว่าเช่นนั้นเอาไปปนนู่นปนนี่
กลับไปอ่านใหม่ต่อสิ่งที่เช่นนั้นแสดงมาตั้งแต่ต้นนะครับ
โฮฮับ เขียน:
เจตนาที่คุณบอกถ้าเป็น ความยึดมั่นถือมั่นในกุศลและอกุศล เป็นกรรมเก่าในปฏิจจ์ของอดีต
ชาติที่แล้วนะ ใช่ครับ

แต่มันไม่ได้มีผลที่เกี่ยวกับบาปบุญ สวยหล่อแบบที่คุณบอกครับ

ถ้าโฮฮับจะแย้ง ก็คงไปแย้งกับพระพุทธองค์ ที่ท่านแสดงถึงวิบากแห่งกรรม ที่มีผลต่อขันธ์ นะครับ
พระสูตรก็ยกให้อ่านแล้ว พิจารณาใหม่ตามไปนะครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 16:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
จะอธิบายให้ฟังนะครับ ในกระบวนการปฏิจจ์ท่านไม่ได้ให้
ไปรู้เรื่องผลบุญผลบาปครับ แต่ท่านต้องการให้รู้ว่า การเกิดหรือการเวียนว่าในวัฏสงสาร
มันเป็นทุกข์และจะพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยการไม่ต้องเกิด ไม่มีผลบุญ ผลบาป

อะไรเป็นเหตุปัจจัย แก่กองทุกข์ของสัตว์ที่ปฏิสนธิในอบาย ทุกคติวินิตบาต นรก?
อะไรเป็นเหตุปัจจัย แก่กองทุกข์ของสัตว์ที่ปฏิสนธิในสุขคติ โลกสวรรค์
อะไรที่เป็นของๆ ตน หลังจากที่สัตว์จุติจากภพนี้ไปสู่ภพหน้า
โฮฮับ เขียน:
ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องผลบุญผลบาป ศาสนาอื่นก็มีครับแต่พระพุทธองค์มาสอนให้เราอย่า
ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนี้ ความดีก็คือความยึดมั่น ความเลวก็เช่นกันครับ
ปฏิจจสมุบาทไม่ได้แบ่งแยกดีเลว กุศลอกุศลครับเพราะปฏิจจสมุบาททุกอย่างที่กล่าวมาเป็น
ความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นอวิชา มันส่งผลให้ต้องไปเกิดใหม่ครับ

ศาสนาอื่น ไม่ได้สอนเรื่องกรรม เรื่องเหตุปัจจัย ความรู้เรื่องผลบุญ ผลบาปจึงแตกต่างจากผู้ทำความศึกษาในพุทธศาสนา
ปฏิจสมุปบาท ครอบคลุมถึง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
โฮฮับ เขียน:
คุณไปเอาเรื่องกระบวนการขัน์
มาปนเปกับปฏิจจ์ฯ

ผู้ที่เข้าใจว่า เช่นนั้นเอาเรื่องกระบวนการขันธ์มาปนกับปฏิจสมุปบาท คือความเข้าใจเอาเองของโฮฮับ
เช่นนั้น แสดงถึง อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร
วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป
นามรูป เป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ
สฬายตนะเป็นปัจจัย แก่ผัสสะ
ณ.จุดที่เป็นอวิชชาผัสสะ พระพุทธองค์เคยวิสัชนาในพระสูตรหนึ่งว่า ณ.ตรงนี้ ปัญจุปาทานขันธ์ได้ตั้งขึ้น
โฮฮับ ศึกษาพระสูตรลุ่มๆดอนๆ จึงคิดเองเออเอง ว่าเช่นนั้นเอาไปปนนู่นปนนี่
กลับไปอ่านใหม่ต่อสิ่งที่เช่นนั้นแสดงมาตั้งแต่ต้นนะครับ
โฮฮับ เขียน:
เจตนาที่คุณบอกถ้าเป็น ความยึดมั่นถือมั่นในกุศลและอกุศล เป็นกรรมเก่าในปฏิจจ์ของอดีต
ชาติที่แล้วนะ ใช่ครับ

แต่มันไม่ได้มีผลที่เกี่ยวกับบาปบุญ สวยหล่อแบบที่คุณบอกครับ

ถ้าโฮฮับจะแย้ง ก็คงไปแย้งกับพระพุทธองค์ ที่ท่านแสดงถึงวิบากแห่งกรรม ที่มีผลต่อขันธ์ นะครับ
พระสูตรก็ยกให้อ่านแล้ว พิจารณาใหม่ตามไปนะครับ



แค่ปล่อยวาง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ตอนแรกเห็นวงปฏิจจสมุบาท อิทัปปัจจยตา อ่านอย่างไรฟังเขาอธิบายก็ไม่รู้เรื่องครับ
ตอนหลังพอเข้าเรื่องอริยสัจจ์สี่ ถึงเข้าใจวงปฏิจจ์และอิทัปปจยตา เรียกว่าเห็นแค่วงรู้แค่กฎ
ก็เข้าใจแล้วครับ ไม่ได้โม้ :b32:

โฮฮับ โม้แล้วครับ
โฮฮับ ไม่รู้เรื่องปฏิจสมุปบาทเลยครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
แค่ปล่อยวาง
:b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 00:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


หากเราพิจารณาลงดูที่หัวใจของธรรมทั้งปฏิจจสมุปบาทและขันธ์5 ว่า...หัวใจของปฏิจจสมุปบาทคืออะไร...หัวใจของเบญจขันธ์คืออะไร...ธรรมที่เป็นหัวใจที่แสดงความจริงแห่งองค์ธรรมทั้งสองจะให้คำตอบที่ยุติความเคลือบแคลงและขัดข้องใจให้แก่เราได้แน่นอนครับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 02:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


มาร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 04:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
หากเราพิจารณาลงดูที่หัวใจของธรรมทั้งปฏิจจสมุปบาทและขันธ์5 ว่า...หัวใจของปฏิจจสมุปบาทคืออะไร...หัวใจของเบญจขันธ์คืออะไร...ธรรมที่เป็นหัวใจที่แสดงความจริงแห่งองค์ธรรมทั้งสองจะให้คำตอบที่ยุติความเคลือบแคลงและขัดข้องใจให้แก่เราได้แน่นอนครับ...


หัวใจของขันธ์5คือ การรู้สภาวะธรรมให้ทันอาศัยอายตนะน้อมลงทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
หัวใจของปฏิจจสมุปบาทคือการอยู่บนสายดับ

ความเห็นเล็กๆครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
จะอธิบายให้ฟังนะครับ ในกระบวนการปฏิจจ์ท่านไม่ได้ให้
ไปรู้เรื่องผลบุญผลบาปครับ แต่ท่านต้องการให้รู้ว่า การเกิดหรือการเวียนว่าในวัฏสงสาร
มันเป็นทุกข์และจะพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยการไม่ต้องเกิด ไม่มีผลบุญ ผลบาป

อะไรเป็นเหตุปัจจัย แก่กองทุกข์ของสัตว์ที่ปฏิสนธิในอบาย ทุกคติวินิตบาต นรก?
อะไรเป็นเหตุปัจจัย แก่กองทุกข์ของสัตว์ที่ปฏิสนธิในสุขคติ โลกสวรรค์
อะไรที่เป็นของๆ ตน หลังจากที่สัตว์จุติจากภพนี้ไปสู่ภพหน้า

ถ้านรกหรือสวรรค์ในจิตนการของคุณผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเรื่องปฏิจจสมุบาท
มันไม่มีนรกสวรรต์มันมีแต่กุศลและอกุศล ซึ่งทุกอย่างเป็นกองทุกข์หรืออวิชา

พูดง่ายๆก็คือถ้าเอานรกหรือสวรรค์ในจินตนาการของคุณ มาเทียบกับปฏิจจสมุบาท
มันก็อยู่ระหว่าง อวิชากับวิญญาณ นั้นก็คือสังขาร

และสิ่งที่ติดตามตัว จากภพนี้สู่ภพหน้า มันก็คือความยึดมั่นถือมั่นต่อกุศลและอกุศล
ในภพปัจจุบันครับ พูดให้เข้าใจนั้นก็คือ ตัณหานั้นเอง
เช่นนั้น[quote="โฮฮับ เขียน:
ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องผลบุญผลบาป ศาสนาอื่นก็มีครับแต่พระพุทธองค์มาสอนให้เราอย่า
ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนี้ ความดีก็คือความยึดมั่น ความเลวก็เช่นกันครับ
ปฏิจจสมุบาทไม่ได้แบ่งแยกดีเลว กุศลอกุศลครับเพราะปฏิจจสมุบาททุกอย่างที่กล่าวมาเป็น
ความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นอวิชา มันส่งผลให้ต้องไปเกิดใหม่ครับ

[เช่นนั้น]..ศาสนาอื่น ไม่ได้สอนเรื่องกรรม เรื่องเหตุปัจจัย ความรู้เรื่องผลบุญ ผลบาปจึงแตกต่างจากผู้ทำความศึกษาในพุทธศาสนา
ปฏิจสมุปบาท ครอบคลุมถึง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร


เรื่องผลบุญผลบาป และเรื่องกรรม สิ่งที่ทำให้พุทธศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่น
มันอยู่ตรงที่ศาสนาไม่ให้ไปยึดมั่นในสิ่งนั้น ท่านสอนให้ปฏิบัติเพื่อละทิ้งสิ่งนั้น

คุณเช่นนั้น ถ้าคุณยังสนใจเรื่องนรกสวรรค์ ทำบุญเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีในภพหน้า
ผมว่าคุณไม่จำเป็นเลยที่จะมาศึกษา ปฏิจจสมุบาทและอิทัปปัจจยตา
คุณแค่ทำทานถือศีลไปตามปกติก็ได้ครับ ผมถึงบอกแต่เนิ่นแล้วว่าคุณกำลังสับสนปนเป

ย้ำให้ฟังนะครับ พระธรรมบางเรื่องเมื่อรู้แล้วปฏิบัติแล้วต้องละครับ
อย่าไปยึดเอามา ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านแล้วก็จำ เวลาเจอของจริง
ก็ไม่รู้ว่าควรใช่ธรรมใดมาแก้


และที่คุณบอกว่าปฏิจสมุปบาท ครอบคลุมถึง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
ก็ใช่ครับ ไอ้สมมุติบัญญัติที่เรียกว่านามนี่นะ ถ้ามันเป็นสภาวะที่ปราศจากรูปหรือกาย มันก็คือ
สังขารในวงปฏิจจฯ และเหตุปัจจัยมันก็มาจากการปรุงแต่งหรือสังขารขันธ์ในกระบวนการขันธ์ห้า
สรุปก็คือสังขารที่คุณบอกมา มันก็เป็นเพียงสัญญาหรือสังขารที่เกิดรูปนามครับ

สังขารขันธ์ปรุงแต่งความดีเป็นสวรรค์ สังขารในปฏิจจ์ฯก็เป็นสวรรค์
ถ้าสังขารขันธ์ปรุงแต่งความชั่วเป็นนรก สังขารในปฏิจจ์ก็เป็นนรก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คุณไปเอาเรื่องกระบวนการขัน์
มาปนเปกับปฏิจจ์ฯ
ผู้ที่เข้าใจว่า เช่นนั้นเอาเรื่องกระบวนการขันธ์มาปนกับปฏิจสมุปบาท คือความเข้าใจเอาเองของโฮฮับ
เช่นนั้น แสดงถึง อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร
วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป
นามรูป เป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ
สฬายตนะเป็นปัจจัย แก่ผัสสะ
ณ.จุดที่เป็นอวิชชาผัสสะ พระพุทธองค์เคยวิสัชนาในพระสูตรหนึ่งว่า ณ.ตรงนี้ ปัญจุปาทานขันธ์ได้ตั้งขึ้น
โฮฮับ ศึกษาพระสูตรลุ่มๆดอนๆ จึงคิดเองเออเอง ว่าเช่นนั้นเอาไปปนนู่นปนนี่
กลับไปอ่านใหม่ต่อสิ่งที่เช่นนั้นแสดงมาตั้งแต่ต้นนะครับ

พูดแบบนี้เขาเรียกว่า พูดให้ตัวเองฟังครับ หรือเรียกว่าพูดเองเออเอง

ไอ้ปัญจุปาทานขันธ์อะไรของคุณน่ะ ถ้าผู้ที่ละสักกายทิฐิได้แล้ว
ผัสสะบางตัวก็ไม่มีอุปาทานขันธ์ แล้วสิ่งที่คุณพูดอ้างพุทธองค์มันใช่ได้มั้ยครับ
ผมถึงได้บอกว่า กระบวนการขันธ์ไม่เกี่ยว ต่างก็เป็นกระบวนการแยกต่างหาก

ผลของทั้งสองกระบวนการ มันไม่เหมือนกัน
พระพุทธองค์สอนให้รู้จักกระบวนการขันธ์ห้า
เพื่อเอามาใช้ดับกระบวนการปฏิจจฯ

สรุปก็คือคุณกำลังหลงว่า กระวนการขันธ์ห้าเป็นอันเดียวกับกระบวนการปฏิจจฯ
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เจตนาที่คุณบอกถ้าเป็น ความยึดมั่นถือมั่นในกุศลและอกุศล เป็นกรรมเก่าในปฏิจจ์ของอดีต
ชาติที่แล้วนะ ใช่ครับ
แต่มันไม่ได้มีผลที่เกี่ยวกับบาปบุญ สวยหล่อแบบที่คุณบอกครับ
ถ้าโฮฮับจะแย้ง ก็คงไปแย้งกับพระพุทธองค์ ที่ท่านแสดงถึงวิบากแห่งกรรม ที่มีผลต่อขันธ์ นะครับ
พระสูตรก็ยกให้อ่านแล้ว พิจารณาใหม่ตามไปนะครับ

เอาอีกแล้วครับ มามุขเดิม เมื่อก่อนอ้างบาลี
นี่อ้างพระพุทธเจ้า

ไม่มีใครแย้งพระพุทธองค์หรอกครับ มันอยู่ที่ใครจะเข้าใจคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงบอกครับ
ไม่ใช่ตัวเข้าใจไปอย่าง พอใครคิดไม่เหมือนตน ก็เล่นอ้างพระพุทธเจ้าหน้าตาเฉย
คุณเช่นนั้นเคยเห็นธรรมที่ต๊องเอามาโพสอยู่บ่อยๆมั้ยครับ
พระสูตรที่ว่าด้วยเรื่องกล่าวตู่พระพุทธเจ้านั้นแหล่ะครับ
สำหรับผมนั้น เข้าใจพระธรรมอย่างไรผมก็พูดไปอย่างนั้น

ผมไม่ได้ปฏิเสธเรื่องวิบากกรรม เรื่องผลขันธ์ แต่ทั้งหมดมันเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่
เรากำลังถกกันครับ มันเป็นเพราะคุณไม่รู้จักแยกแยะพระธรรม ไม่รู้จักทำความเข้าใจกับ
พระธรรมให้เป็นเรื่องๆไป คุณอาศัยแต่ความจำในพระไตรปิฎกพอมีปัญหาเรื่องหนึ่ง
คุณก็ไปหยิบอีกเรื่องที่มีบัญญัติคล้ายกันมาแปะ แล้วก็โวยวายว่าอีกฝ่ายแย้งพุทธพจน์
มันจะไปแย้งอะไร ก็ในเมื่อเรากำลังคุยกันในเรื่องของพุทธพจน์ พุทธพจน์นะจริง
แต่ความเข้าใจของแต่ละคนต่างหากที่จริงหรือเทียม หรือคุณว่าไง!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ตอนแรกเห็นวงปฏิจจสมุบาท อิทัปปัจจยตา อ่านอย่างไรฟังเขาอธิบายก็ไม่รู้เรื่องครับ
ตอนหลังพอเข้าเรื่องอริยสัจจ์สี่ ถึงเข้าใจวงปฏิจจ์และอิทัปปจยตา เรียกว่าเห็นแค่วงรู้แค่กฎ
ก็เข้าใจแล้วครับ ไม่ได้โม้ :b32:

โฮฮับ โม้แล้วครับ
โฮฮับ ไม่รู้เรื่องปฏิจสมุปบาทเลยครับ

เหรอครับ! :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสรุปของปฏิจจสมุปบาททั้งหมด เป็นกระบวนการเกิด-ดับของทุกข์ หรือหลักปฏิจจสมุปบาททั้งหมด มีความมุ่งหมายเพื่อแสดงความเกิด-ดับของทุกข์เท่านั้น


ปฏิจจสมุปบาท อรรถกถาเรียกว่า ปัจจยาการ แปลว่า อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส = ทุกขสมุทัย)


(ดูคำสรุปท่อนทุกข์เกิด)


โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ

ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ จึงมีพร้อม

เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีได้ ด้วยประการฉะนี้




(วิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส = ทุกขนิโรธ)


(ดูคำสรุปท่อนทุกข์ดับ)

โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติ

ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ

เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ

ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมดังพุทธดำรัสที่ตรัสว่า "เราสอนแต่ทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้น"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ภพไงล่ะเป็นที่กักรองรับสัตว์เช่นนรกรองรับสัตว์นรก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร