วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 00:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กบว่าเท่ห์ไหม :b11:


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 00:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เท่ห์ดี..ครับผม

อยากได้...แต่ทายไม่ถูก...ทำไงดี :b12:


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 00:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่งที่อยู่หลังไมค์มาเดี๋ยวจัดให้(ได้มาตอนบวช)มีรอยจารหลวงปู่สรวงด้วยล่ะ


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 00:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เท่ห์ดี..ครับผม


ความเท่ห์นี่แหละสำคัญนัก :b11:


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 03:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
:b1: ดิฉันจะแลคเชอร์ให้ฟังทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบดังนี้..............
วงจรปฏิจสมุปบาทอยู่ภายใต้กฎอิทัปปัจยตา
กฎอิทัปปัจยตาหรือกฎธรรมชาตินั้นจะอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์อีกทีหนึ่ง
การทำให้วงจรปฏิจสมุปบาทขาดหรือดับลงได้จึงต้องใช้ความเข้าใจในไตลักษณ์มาทำลาย
พูดแบบนี้ เหมือนเอาลิงผสมกับปลา กลายเป็นมัจฉาณุยังไงยังงั้น

กฎอิทัปปัจจยตา มันเป็นกฎแห่งธรรมชาติทั้งมวล ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้ มันเป็นหลักของเหตุผลครับ
ส่วนเรื่องปฏิจสมุบาทและกฎแห่งไตรลักษณ์ เป็นเรื่องกายใจของมนุษย์

แล้วที่คุณบอกว่า ต้องใช่กฎไตรลักษณ์มาทำลายวงปฏิจฯ ก็นี่ไงมันบ่งบอกถึง
ความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของ วิชชา ไม่ใช่ความมีอยู่หรือไม่ของ อวิชชา
เปรียบให้ดู วิชชามีไตรลักษณ์ อวิชาไม่มีไตรลักษณ์
FANTASIA เขียน:
:ธรรมชาติภายนอกเป็นเพียงธาตุที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามเหตุและปัจจัยของมัน
หมายความว่าธรรมชาติภายนอกถูกควบคุอยู่ด้วยสองกฎคือไตรลักษณ์และอิทัปปัจยตา
ส่วนธรรมชาติภายในได้แก่ร่างกายกับจิตนั้นถูกควบคุมอยู่ภายใต้สามกฎ ได้แก่ ไตรลักษณ์ อิทัปจยตา และ ปฏิจสมุปบาท
สัตว์โลกจึงถือกำเนิดขึ้นมาเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ... ฯ

มันใช่ซะที่ไหนล่ะมัจฉาณุจ๋า ธรรมชาติภายนอกมันใช่คำว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปได้ซะที่ไหน
ธรรมชาติหรือธาตุภายนอก มันไม่ได้ดับไปเพียงแต่มันแปลเปลี่ยนสภาพไปตามเหตุปัจจัย

ธรรมชาติภายนอกถูกควบคุมด้วย หลัก อิทัปปัจจยตา
ส่วนภายในควบคุมด้วย ไตรลักษณ์ อิทัปปัจจยตาและวงปฏิจฯ
ในความเป็นจริงวงปฏิจฯที่ครบวงไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกับไตรลักษณ์ได้

ที่สำคัญครับ ที่คุณบอกร่างกายกับจิตถูกควบคุมด้วยไตรลักษณ์ อิทัปฯและปฏิจฯ
มันไม่ใช่ครับ ไอ้ร่างกายที่คุณว่าต้องเรียกว่า รูปและ ต้องเป็นสภาวะจักขุวิญญาณ
ถึงจะเข้ากับไตรลักษณ์ ร่างกายที่ว่ามันขึ้นกับอิทัปฯ


มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยวิบากเป็นปัจจัยของสังขาร
วิบากตัวนี้ก็คือสังขารขันธ์

FANTASIA เขียน:
หากสัตว์โลกไม่มีความหลงต่อธาตุที่ปรุงแต่งเป็นธรรมชาติทั้งภายในและภายนอกแล้วความทุกข์ย่อมไม่เกิดขึ้น
แต่เพราะความหลงนั้นมีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธองค์จึงทรงค้นพบและได้รู้แจ้งแทงตลอดในวงจรปฏิจสมุปบาท
ทำให้ทรงตรัสรู้หนทางแห่งการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง

มันจะไปหลงแหล่งอะไรครับ ธาตุหรือธรรมชาติ มันก็อยูของมันดีๆ
เพียงแตใจเราไปยึดมั่น ถือมั่นเข้ามา
FANTASIA เขียน:
แท้จริงแล้ววิชชาก็มีอยู่คู่กับอวิชชานั่นเอง
ดังคำกล่าวว่า จิตเดิมนั้นประภัสสร
และวิชชาหรือธาตุรู้นั้นก็ไม่เคยขาดตกบกพร่องไปเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เมื่อยังมีอวิชชาอยู่มากธาตุรู้จึงถูกห่อหุ้มปิดบังด้วยความหลงอยู่นั่นเอง

อย่าพยายามเอาบัญญัติมาใส่เลยมันรกกระทู้เปล่าๆ การสนทนาให้ถึงกึ๋นถึงตับ
มันต้องขูดขน แล่เนื้อเอาไขมันออก ฉะนั้นอย่าเนียนด้วยการเอาศัพย์มาเพิ่ม
มันเสียเวลา
FANTASIA เขียน:
เมื่อพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในวงจรปฏิจสมุปบาทว่าอวิชชาคือความหลงจึงสามารถใช้ความเข้าใจในไตรลักษณ์มาทำลายได้

วิชชาหรือความรู้แจ้งเห็นแจ้งจึงเปิดเผยออกมาในขณะนั้นเพราะอำนาจแห่งอวิชชาได้ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงแล้วนั่นเอง

หากว่าอวิชชาหรือความหลงไม่มีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงค้นพบมันได้
ในทางกลับกันหากว่าวิชชาหรือความรู้ไม่มีอยู่เมื่ออวิชชาหมดไปสิ่งนั้นย่อมไม่เปิดเผยออกมาดังนี้ค่ะ

ไม่ต้องคิดมากเอาแค่ ถ้าไม่มีวิชชา ไอ้คำว่า อวิชชามันจะมีมั้ย
FANTASIA เขียน:
ดังพุทธภาษิตว่า..............
ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ
:b3: ปล.ตับท่านอาจารย์ว๊านหวานค่ะ ^^

สุภาษิตใครหรา ปลื้มล่ะสิ!!!!!!!!!!


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 05:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
[ :b1: ดิฉันดูไม่ผิดเลยค่ะ........ถามแบบนี้แสดงว่าคุณไม่ได้ศึกษามาจริงๆ นั่นแหละ
"สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตา"
ท่านอาจารย์เรียนมาแค่ สัพเพ ธัมมา อนัตตา แสดงว่ายังเรียนไม่จบเลยนะคะ
ธรรมทั้งปวง ได้แก่ กุสลาธรรม อกุสลาธรรมา อพยกตาธรรมา คือสังขารอันมีอวิชชาความหลงเป็นปัจจัยนั่นเอง
เพราะฉะนั้นการจะลาวางความยึดมั่นถือมั่นได้ต้องเข้าใจด้วยว่าธรรมทั้งปวงนั้นเกิดมาจากอะไรเป็นเหตุปัจจัยที่แท้จริง
หากจะตีความตามแบบของท่านอาจารย์โฮฮับว่าอวิชชาคือความยึดมั่นถือมั่น
ดังนั้นธรรมทั้งปวงย่อมเกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นเหตุเริ่ม
แสดงว่าพอเริ่มต้นมันก็ยึดมั่นไปแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผู้ปฏิบัติก็จะไม่มีทางละวางมันได้เลย

มัจฉาณุเนี้ยฟังไม่ได้ศัพย์ ดันเอาไปกระเดียด แถมกระเดียดเข้าบ้านตัวเองด้วย
ผมบอกว่าในความเป็นจริง วงปฏิจฯของปุถุชน สภาวะที่เรียกว่าอวิชชามันไม่มี
และในวงปฏิจฯของปุถุชน ทั้งวงถูกควบคุมด้วยความยึดมั่นถือมั่น
ไม่รู้ว่ามัจฉาณุ สรุปมาได้งัยว่าผมกล่าวว่า อวิชาคือความยึดมั่นถือมั่น
แล้วสัพเพ ธัมมามันเป็นตับ ส่วนสัพเพสังขารามันเป็นขนอันนี้ไปตีความเอง
เพราะใจดีเปิดทางให้เดินที่ไหน หาว่ายอมรับทุกที ทำคุณบูชาโทษ เซ็งจ๋า!


เป็นเพราะตัวเองอุปาทานกับตัวหลง ก็เลยคิดว่ามันเป็นในส่วนอวิชา
ที่แท้มันเป็นกิเลสต่างๆที่เก็บดองเอาไว้ในสังขารขันธ์ในชาติปัจจุบัน
(อดไม่ได้ที่จะเมตตาจริง ๆ)
FANTASIA เขียน:
[ :b1: ความจริงแล้วอวิชชาก็คือความหลง
เพราะฉะนั้นการละวางความยึดมั่นจึงสามารถทำได้ ดังนี้

เมื่อมีความหลงเป็นปัจจัยให้เกิดธรรมทั้งปวงขึ้นมา
จากนั้นจึงมีวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อันเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวง ณ จุดนี้
หากปล่อยให้วงจรปฏิจสมุปบาทดำเนินต่อก็จะไปถึงความทุกข์ในที่สุดนั่นเอง

แต่ถ้าต้องการละวางความยึดมั่นถือมั่นย่อมทำได้หลายจุดนับตั้งแต่ ตัณหา ย้อนกลับไป
เพียงแต่มีสติรู้ในจุดใดจุดหนึ่งก็จะสามารถสกัดกั้นอุปาทานไม่ให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาได้
วงจรของปฏิจสมุปบาทก็จะขาดลงเพียงเท่านั้นความทุกข์ในเรื่องนั้นจึงไม่เกิดขึ้น
แต่ถ้าจะตัดตอนวงจรแห่งทุกข์ทั้งปวงเสียทีเดียวก็ต้องทำลายที่เหตุเริ่มด้วยการดับอวิชชาหรือความหลงนั่นเอง

เล่นอธิบายเป็นบทลิเกแบบนี้ไม่รู้ตัวคนพูดเองจะเข้าใจหรือเปล่า
มันจะไปดับอวิชาอะไร ในอวิชามีอะไรให้ดับหรือ เพราะตัวเองไปมั่วเอาอะไรก็ไม่รู้
มาปรุงแต่งทาปากเขียนคิ้วแล้วก็เรียกมันว่าอวิชา ขำจัง
พูดแบบไม่ดราม่า มันต้องเอาเครื่องมือมาดับ เครื่องมือในที่นี้คือวิชชา

เอาเป็นว่าประเด็นเรื่องอุปาทาน ของผมคือความหลง ของคุณคือความยึดมั่นถือมั่น
และอวิชาของคุณคือความหลง ของผมเป็นสภาวะที่ไม่มีวิชชาในปุถุชน
เอาตามนี้ ขี้เกียจเถียงแล้ว นี้อย่าว่าแต่ตับหรือกึ๋นเลย มันเลยไปจนถึงไส้ติ่งแล้ว
อีกหน่อยออกทางก้นแล้วย้อนข้นปากแน่...ขำ

FANTASIA เขียน:
[ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น ...

:b1: สรุปว่า ถ้าอวิชชาคือความยึดมั่นถือมั่นไปตั้งแต่แรกแล้วผู้ปฏิบัติย่อมไม่มีทางละวางมันได้อย่างแน่นอน

แต่เมื่ออวิชชาคือความหลงพระพุทธองค์จึงทรงค้นพบหนทางแห่งความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิงได้

ปล.หากท่านอาจารย์อยู่กับตัวรู้ก็จะรู้ตัวได้นะคะ ^^

พูดอยู่ได้เป็นความหลง ๆๆๆๆๆๆๆ พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะนำทางให้แล้ว
อุตสาห์มาบอกว่ามีสภาวะวิชชาอยู่ ถ้ายังหลงอยู่ก็ไปขอให้พระเจ้านำทางเถอะ


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: ดิฉันจะบอกให้ว่าอวิชชาความหลง กับ ความลุ่มหลงนั้นต่างกันลิบลับค่ะ
ความลุ่มหลงหรือจะเรียกอีอย่างว่าความยึดมั่นถือมั่นก็ได้นั่นก็คืออุปาทานนั่นเอง
ความลุ่มหลงนี้มันมีขึ้นเพราะมีตัณหาความอยากเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นความลุ่มหลงตามตัณหานั้นขึ้นมาดังนี้ค่ะ

คห.ของคุณแสดงว่ายังอ่อนหัดมาก หากเข้าใจได้แค่ความยึดมั่นถือมั่นและยังติดตังอยู่เพียงเท่านี้
อีกไกลกว่าจะไล่ความเข้าใจไปถึง ตัณหา เวทนา ผัสสะ สฬายตนะ นามรูป วิญญาณ สังขาร และ อวิชชา จนสุดกระบวนการฝ่ายดับแห่งวงจรปฏิจสมุปบาทได้นะคะ

ถ้าไปได้เรื่อยเปื่อยแบบนี้ มันก็เอวังนะซิครับ
ตอบแบบนี้อาจารย์แม่สุนี อาจารย์ป้ากาญจนณา อายเลยครับ


:b1: หากทั้งสองท่านยังมียางเหนียวเช่นนั้นอยู่มันก็มีเหตุปัจจัยให้ออกมาได้ค่ะ
ตามกฎอิทัปปัจยตา คุณลืมไปแล้วหรืออย่างไรคะ ^^

ความหมายของมันคือ
ถ้าเป็นดราม่า คุณพูดจาเฉไฉครับ
แนวแอคชั่น แถจริงๆนะแก
แนวคอมมานดี แม่ ปลาไหล


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 05:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
[ :b1: ขอประทานโทษนะคะ

คุณเข้าใจว่าอย่างนั้นแต่ที่ท่านพระอาจารย์มั่นอธิบายไว้ว่าอย่างนี้ค่ะ :

คุณจะบอกว่า หลวงปู่กล่าวอะไรมันเรื่องของคุณครับ
ผมไม่กล้าแสดงความเห็นที่เป็นธรรมของหลวงปู่ครับ

แต่ถ้าเป็นธรรมของ ท่านขำว่ะ ก็พอไหว แต่ฉากหนังเอ็กไม่เอาน่ะ


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: ข้อนี้ดิฉันขอชี้แจงว่าอวิชชาใดก็อยู่ในวงปฏิจสมุปบาทแต่.........

ต้องแยกแยะให้ดีว่าการกล่าวถึงอวิชชาในแง่ของความไม่รู้แจ้งอริยสัจจน์นั้นเพราะว่าเวลานั้นพระองค์ทรงรู้เพียงบางส่วนตามที่คุณโฮฮับกล่าวอ้างนั่นแหละนะคะ

ในเมื่อยังรู้ได้เพียงบางส่วนจึงไม่อาจกล่าวได้ว่ามีความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมนั้น
พูดง่ายๆ ก็ได้ว่าการรู้เป็นบางส่วนก็คือยังไม่รู้แจ้งแทงตลอดหรือแทงไปบ้างแล้วแต่ยังไม่แจ้งตลอดนะคะ

แต่เมื่อได้ธรรมฐิติญาณรู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดในวงจรปฏิจสมุปบาททั้งหมดตลอดสายจึงทรงรู้ว่าที่แท้แล้วอวิชชาก็คือความหลงนั่นเองค่ะ ^^

ก่อนอื่นผมต้องออกตัวก่อนว่า ความเห็นคุณจางบางในเรื่องของอวิชชา
ไม่ใช่ว่าถูกทั้งหมดนะครับ ยังมีบางส่วนที่แกยังไม่เข้าใจเรื่องอวิชชาแปดและเรื่องของวิชชา

สำหรับคุณแฟนตาเซีย ผมไม่เห็นด้วยครับ ที่เอาเรื่องการหาหนทางแห่งการตรัสรู้มาอ้าง
กับคุณจางบางแก เพราะมันเป็นคนละสถานะและเหตุการณ์
ส่วนเรื่องความหลง มันผิดตั้งแต่คุณเอาเรื่องฐิติธรรมมาอ้างกับคุณจางบางแล้วล่ะครับ

คุณจางบางไม่จำเป็นต้องรู้แจ้งแทงตลอดแบบพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้หาวิธีแต่
คุณจางบางเป็นแค่ผู้ปฏิบัติตาม ขอให้เพียงเชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรมก็พอครับ
เพราะธรรมทุกอย่างพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดไว้แล้ว

ในเรื่องการแทงตลอดนั้นต้องกล่าวว่าเพราะพระพุทธเจ้ายังไม่รู้ จึงต้องค้นหา
แต่คุณจางบางแกรู้แล้วด้วยการอ่านตามที่พระพุทธเจ้าบอก


:b1: ขอประทานโทษอีกทีนะคะ

หากพูดกันอยู่เรื่องปฏิจสมุปบาทแต่คุณมาบอกว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับการหาหนทางตรัสรู้
แล้วอัตตาของคุณจะให้มันไปเกี่ยวกับอะไรหรือคะ

อีกอย่างการรู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดว่า .....ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร ความพอใจเป็นตัณหา ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ ฯ ตามที่กล่าวไว้ในพระไตปิฎกนั้นมันไม่เกี่ยวกับธรรมฐิติญาณตรงไหนหรือคะ

และหากคุณจางบางฯ แกรู้แจ้งแทงตลอดได้ด้วยการอ่านตามที่พระพุทธเจ้าบอกจริงๆ
แสดงว่าคุณจางบางฯ ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ไปแล้วนะสิคะ

:b13: เรื่องนี้ดิฉันขอบอกว่า ขำว่ะค่ะ

แค่ความรู้เท่านั้นแต่ยังขาดความเข้าใจไม่อาจทำให้ใครรู้แจ้งแทงตลอดขึ้นมาได้หรอกนะคะ ^^
คุณโฮฮับเองก็เช่นกันมีความรู้จนท่วมหัวท่วมหูแต่ความเข้าใจยังไม่ถึงตาตุ่มเลยค่ะ

ถ้ายังไม่เข้าใจเสียทีว่าอวิชชาคือความหลงก็คงเข้าใจวงจรปฏิจสมุปบาทตลอดสายไม่ได้
คุณอธิบายอะไรมามันถึงได้สับสนอลหม่านอยู่อย่างนั้นไงละคะ

ประเด็นมันอยู่ที่ คุณจางบางแกว่า หลงไม่ใช่อวิชา
คุณจับจุดตรงประเด็นนี้แล้ว ก็ย้อนกลับไปอ่านความเห็นก่อนของผมที่เกี่ยวข้อง
กับหัวประเด็น เท่านั้นแหล่ะ ขี้เกียจพูดซ้ำมันมีอาการเหมือนจะต้องสวนทวาร


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
[ :b9: ขออภัยอีกครั้งนะคะ ขำจริงๆ ว่ะค่ะ
อย่างที่ดิฉันชี้แจงไปแล้วว่าการรู้เพียงบางส่วนนั้นยังไม่ใช่ธรรมฐิติญาณ
เพราะว่าธรรมฐิติญาณจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความรู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมนั้นเท่านั้น
หากยังรู้แค่บางส่วนก็ไม่อาจเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่ารู้แจ้งแทงตลอดได้ดังนี้นะคะ

แล้วผมบอกตอนไหนว่า การรู้บ้างส่วนคือธรรมฐิติญาณ
อุตสาห์อธิบายเรื่อง อวิชชา8ให้ฟังแล้ว ทำไมไม่เอามาสำเหนียกครับ


:b1: ดิฉันถือว่าคุณยอมรับแล้วนะคะ ^^

ยอมรับอะไรของคุณ ไอ้นี้มันลักษณะ3คนยลตามช่อง
คุยเรื่องของคุณจางบางแต่ดันมาสรุปที่ผม ผมว่าคุณสับสน
ประสาทส่วนปลายแล้วล่ะ


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 09:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
[ :b1: ถ้าวิชชาไม่มีอยู่คู่กับอวิชชาก่อนแล้วคุณไปเอาวิชชาที่เพิ่งเกิดใหม่มาจากหนใดละคะ ^^

ง่ายๆนะทุกชาติ ทุกศาสนา ก่อนที่พุทธเจ้าจะตรัสรู้
เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ บางศาสนาเขาก็รู้เรื่องในสิ่งที่พระพุทธเจ้า
แต่ทำไมเขากลับไม่ศรัทธา ไม่ใช่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
เขาชอบของเขาที่จะมีอัตตาคงอยู่ อยากไปอยู่กับพระเจ้าของเขา
หรือบางคนไม่อยากไปนิพาน แต่อยากไปสวรรค์ มันเป็นไปตามปกติ
ความศรัทธา แบบนี้คุณว่าพวกเหล่านี้มีแต่อวิชาหรือครับ

มันเป็นเพียงพระพุทธเจ้ามีช่องหาใหม่มาให้ จะรับหรือไม่เป็นอีกเรื่อง
ถ้าใครรับที่จะเอาแนวทางเดียวกับพระพุทธเจ้า มันก็ต้องรู้และทำในสิ่ง
ที่พระพุทธเจ้ารู้และบอก หลักการมันแกนี้
ใครยอมรับพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าใครรู้ว่าพระพุทธเจ้ารู้อะไร แต่ตัวเองยังไม่รู้
ในสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้นี่ถึงเรียกว่ามีอวิชา

แต่ถ้าตัวเองไม่รู้เลยว่า พระพุทธเจ้ารู้เรื่องอะไร แบบนี้ไม่เรียกอวิชาครับ
หรือแม้กระทั้ง พระพุทธเจ้ายังไม่รู้มันก็ไม่ใช่อวิชาครับ


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 14:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: ดิฉันจะแลคเชอร์ให้ฟังทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบดังนี้..............
วงจรปฏิจสมุปบาทอยู่ภายใต้กฎอิทัปปัจยตา
กฎอิทัปปัจยตาหรือกฎธรรมชาตินั้นจะอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์อีกทีหนึ่ง
การทำให้วงจรปฏิจสมุปบาทขาดหรือดับลงได้จึงต้องใช้ความเข้าใจในไตลักษณ์มาทำลาย
พูดแบบนี้ เหมือนเอาลิงผสมกับปลา กลายเป็นมัจฉาณุยังไงยังงั้น

กฎอิทัปปัจจยตา มันเป็นกฎแห่งธรรมชาติทั้งมวล ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้ มันเป็นหลักของเหตุผลครับ
ส่วนเรื่องปฏิจสมุบาทและกฎแห่งไตรลักษณ์ เป็นเรื่องกายใจของมนุษย์

แล้วที่คุณบอกว่า ต้องใช่กฎไตรลักษณ์มาทำลายวงปฏิจฯ ก็นี่ไงมันบ่งบอกถึง
ความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของ วิชชา ไม่ใช่ความมีอยู่หรือไม่ของ อวิชชา
เปรียบให้ดู วิชชามีไตรลักษณ์ อวิชาไม่มีไตรลักษณ์


:b1: พระพุทธองค์ทรงค้นพบและนำมาสั่งสอนแล้วว่า...........
ทั้งวิชชา อวิชชา และ ไตรลักษณ์มีมาแต่เดิมแล้วเพียงแต่ใครจะมีปัญญาเห็นตามได้ตอนไหนเท่านั้นเองค่ะ

ในเมื่อตอนนี้คุณยังมีแต่อวิชชาเต็มเพียบจึงไม่อาจเห็นไตรลักษณ์ได้
ทำให้ไม่สามารถนำความเข้าใจในตรลักษณ์มาใช้ทำลายอวิชชาได้จึงไม่เห็นว่าวิชชานั้นก็มีมาแต่เดิมแล้วเช่นกัน


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 14:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:ธรรมชาติภายนอกเป็นเพียงธาตุที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามเหตุและปัจจัยของมัน
หมายความว่าธรรมชาติภายนอกถูกควบคุอยู่ด้วยสองกฎคือไตรลักษณ์และอิทัปปัจยตา
ส่วนธรรมชาติภายในได้แก่ร่างกายกับจิตนั้นถูกควบคุมอยู่ภายใต้สามกฎ ได้แก่ ไตรลักษณ์ อิทัปจยตา และ ปฏิจสมุปบาท
สัตว์โลกจึงถือกำเนิดขึ้นมาเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ... ฯ

มันใช่ซะที่ไหนล่ะมัจฉาณุจ๋า ธรรมชาติภายนอกมันใช่คำว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปได้ซะที่ไหน
ธรรมชาติหรือธาตุภายนอก มันไม่ได้ดับไปเพียงแต่มันแปลเปลี่ยนสภาพไปตามเหตุปัจจัย

ธรรมชาติภายนอกถูกควบคุมด้วย หลัก อิทัปปัจจยตา
ส่วนภายในควบคุมด้วย ไตรลักษณ์ อิทัปปัจจยตาและวงปฏิจฯ
ในความเป็นจริงวงปฏิจฯที่ครบวงไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกับไตรลักษณ์ได้

ที่สำคัญครับ ที่คุณบอกร่างกายกับจิตถูกควบคุมด้วยไตรลักษณ์ อิทัปฯและปฏิจฯ
มันไม่ใช่ครับ ไอ้ร่างกายที่คุณว่าต้องเรียกว่า รูปและ ต้องเป็นสภาวะจักขุวิญญาณ
ถึงจะเข้ากับไตรลักษณ์ ร่างกายที่ว่ามันขึ้นกับอิทัปฯ


มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยวิบากเป็นปัจจัยของสังขาร
วิบากตัวนี้ก็คือสังขารขันธ์


:b1: แสดงว่าสติปัญญาของคุณยังไม่รวดเร็วพอที่จะเห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอันเป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องกันอยู่นั้น ทำให้ไม่สามารถเข้าใจในไตรลักษณ์ของธรรมชาติภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้

แท้จริงแล้วการเปลี่ยนสภาพของกายและจิตก็อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์เช่นกันนั่นเอง
ร่างกายก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพียงแต่ว่าคุณจะเห็นมันไม่ได้หรือยังเท่านั้นเอง

:b1: วงจรปฏิจสมุปบาทที่ครบวงหรือไม่ครบวงก็ตามย่อมอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์เสมอ
การสืบเนื่องของเหตุปัจจัยในปฏิจสมุปบาทตามหลักอิทัปปัจยตานั้นก็ยังอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์อีกเช่นกัน
ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะนำความเข้าใจในไตรลักษณ์มาทำลายวงจรปฏิจสมุปบาทไม่ได้เลย

ดังที่ได้อธิบายให้เห็นชัดเจนแล้วว่า......

วงจรปฏิจสมุปบาทอยู่ภายใต้กฎอิทัปปัจยตา
กฎอิทัปปัจยตาหรือกฎธรรมชาตินั้นจะอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์อีกทีหนึ่ง
การทำให้วงจรปฏิจสมุปบาทขาดหรือดับลงได้จึงต้องใช้ความเข้าใจในไตลักษณ์มาทำลาย

:b1: แล้วคุณก็ยังเข้าใจสับสนอยู่นั่นเอง........มนุษย์หรือสัตว์ในภพภูมิใดก็ตามต่างถือกำเนิดมาด้วยอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสัขารกรรมไม่ใช่วิบากค่ะ

สังขารขันธ์เป็นสังขารวิบากเพราะว่ามีสังขารกรรม(สังขารที่ต่อจากอวิชชาในปฏิจสมุปบาท)ปรุงแต่งมาจนสำเร็จรูปแล้วต่างหากละคะ

:b1: เรื่องนี้ท่านพระอาจารย์มั่นได้อธิบายไว้อย่างกระจ่างแจ้งแล้วหากว่าคุณศึกษาทำความเข้าใจให้ดีก็จะหายสับสนได้

ไม่ใช่พูดวกไปวนมาหาทางลงกันไม่ได้อยู่อย่างนี้แต่ก็ยังหลงผิดคิดว่าตนเข้าใจถูกต้องตรงทางแล้วอยู่นั่นเอง

:b8: แต่ถ้ามั่นใจว่าคำอธิบายของท่านพระอาจารย์มั่นนั้นยังไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงก็ขอให้แสดงเหตุผลหักล้างมาให้เห็นกันอย่างชัดเจนด้วยเถิด


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 14:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
หากสัตว์โลกไม่มีความหลงต่อธาตุที่ปรุงแต่งเป็นธรรมชาติทั้งภายในและภายนอกแล้วความทุกข์ย่อมไม่เกิดขึ้น
แต่เพราะความหลงนั้นมีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธองค์จึงทรงค้นพบและได้รู้แจ้งแทงตลอดในวงจรปฏิจสมุปบาท
ทำให้ทรงตรัสรู้หนทางแห่งการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง

มันจะไปหลงแหล่งอะไรครับ ธาตุหรือธรรมชาติ มันก็อยูของมันดีๆ
เพียงแตใจเราไปยึดมั่น ถือมั่นเข้ามา


:b1: ดิฉันขอชี้แจงอีกครั้งหนึ่งว่าหากไม่มีความหลงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็จะไม่มีปัจจัยอะไรให้ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดได้อีก แต่เพราะว่าอวิชชาคือความหลงยังไม่ถูกทำลายจึงเป็นปัจจัยให้ไปยึดมั่นถือมั่นกับธรรมชาติภายในและธรรมชาติภายนอกอยู่อย่างนั้น

ดังที่ได้อธิบายมาก่อนหน้านี้แล้วค่ะ ^^


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 14:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
แท้จริงแล้ววิชชาก็มีอยู่คู่กับอวิชชานั่นเอง
ดังคำกล่าวว่า จิตเดิมนั้นประภัสสร
และวิชชาหรือธาตุรู้นั้นก็ไม่เคยขาดตกบกพร่องไปเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เมื่อยังมีอวิชชาอยู่มากธาตุรู้จึงถูกห่อหุ้มปิดบังด้วยความหลงอยู่นั่นเอง

อย่าพยายามเอาบัญญัติมาใส่เลยมันรกกระทู้เปล่าๆ การสนทนาให้ถึงกึ๋นถึงตับ
มันต้องขูดขน แล่เนื้อเอาไขมันออก ฉะนั้นอย่าเนียนด้วยการเอาศัพย์มาเพิ่ม
มันเสียเวลา


:b1: การสนทนาทั้งหมดเป็นบัญญัติล้วนๆ อยู่แล้วค่ะ ^^
หากความเข้าใจในปรมัตถ์ถึงที่สุดแล้วย่อมสามารถเห็นได้ว่าบัญญัติก็คือปรมัตถ์นั่นเอง

ความรกหูรกตาเป็นเพียงความคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านเพราะหลงไปกับบัญญัติเต็มๆ
จึงไม่สามารถมองเห็นสภาวะปรมัตถ์ในบัญญัติต่างๆ ได้ดังนี้ค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron