วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 16:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นการแน่นอนว่า ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ เมื่อเราเกี่ยวข้องกับเขา ก็พึงเกี่ยวข้องโดยมีสติ รู้เขาตามที่เขาเป็น และตามที่ประจักษ์แก่เราเท่านั้น คือ
รู้ตรงไปตรงมา แค่ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องแค่ไหนก็แค่นั้น (ถ้ามีญาณหยั่งรู้จิตใจของเขา ก็รู้ตรงไปตรงมาเท่าที่ญาณนั้นรู้ ถ้าไม่มีญาณ ก็ไม่ต้องไปสอดรู้) จะได้ไม่คิดปรุงแต่งวุ่นวายไปเกี่ยวกับคนอื่น ทำให้เกิดราคะบ้าง โทสะบ้าง เป็นต้น
ถ้าไม่รู้ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องก็แล้วไป มิได้หมายความว่า จะให้คอยสืบสอดตามดูพฤติการณ์ทางกายใจของผู้อื่นแต่ประการใด

ในทางตรงข้าม เวลาไปพูดกับคนอื่น เขามีอาการโกรธ ก็ไม่รู้ว่าเขาโกรธ แล้วจะมาบอกว่าปฏิบัติสติปัฏฐานได้อย่างไร และสติปัฏฐานจะใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจพูดสรุปได้แนวหนึ่งว่า การเจริญสติปัฏฐาน คือการเป็นอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ ซึ่งทำให้ภาพตัวตนที่จิตอวิชชาปั้นแต่ง ไม่มีช่องที่จะแทรกตัวเข้ามาในความคิดแล้วก่อปัญหาขึ้นได้

การปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานนี้ นักศึกษาฝ่ายตะวันตกบางท่าน นำไปเปรียบเทียบกับวิธีการแบบจิต วิเคราะห์ ของจิตแพทย์ (Psychiatrist) สมัยปัจจุบัน และประเมินคุณค่าว่า สติปัฏฐานได้ผลดีกว่า และใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางกว่าเพราะทุกคนสามารถปฏิบัติได้เอง และ ใช้ในยามปรกติเพื่อความมีสุขภาพจิตที่ดีได้ด้วย...

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาระสำคัญของสติปัฏฐาน จบ.

ยังมีอีกสามตอน คือ กระบวนการปฏิบัติ ๑ ผลของการปฏิบัติ ๑ เหตุใดสติที่ตามทันขณะปัจจุบัน จึงเป็นหลักสำคัญของวิปัสสนา ๑


ต่อกระบวนการปฏิบัติที่

viewtopic.php?f=1&t=56665

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 23 ต.ค. 2018, 19:09, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เป็นการแน่นอนว่า ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ เมื่อเราเกี่ยวข้องกับเขา ก็พึงเกี่ยวข้องโดยมีสติ รู้เขาตามที่เขาเป็น และตามที่ประจักษ์แก่เราเท่านั้น คือ
รู้ตรงไปตรงมา แค่ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องแค่ไหนก็แค่นั้น (ถ้ามีญาณหยั่งรู้จิตใจของเขา ก็รู้ตรงไปตรงมาเท่าที่ญาณนั้นรู้ ถ้าไม่มีญาณ ก็ไม่ต้องไปสอดรู้) จะได้ไม่คิดปรุงแต่งวุ่นวายไปเกี่ยวกับคนอื่น ทำให้เกิดราคะบ้าง โทสะบ้าง เป็นต้น
ถ้าไม่รู้ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องก็แล้วไป มิได้หมายความว่า จะให้คอยสืบสอดตามดูพฤติการณ์ทางกายใจของผู้อื่นแต่ประการใด

ในทางตรงข้าม เวลาไปพูดกับคนอื่น เขามีอาการโกรธ ก็ไม่รู้ว่าเขาโกรธ แล้วจะมาบอกว่าปฏิบัติสติปัฏฐานได้อย่างไร และสติปัฏฐานจะใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร

:b32:
เอาตรงๆเลยนะ...เดี๋ยวนี้เลยพิสูจน์ได้ตามปกติ
หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเห็นสีอะไรแค่1สีนะคะ
คุณจะไปคิดพิศดารอะไรก็เห็นผิดจำผิดคิดผิดขาดสติแล้วค่ะ
แปลว่าไม่มีการอวดอุตริใดๆได้เพราะไม่ได้เห็นแค่สีไงคะทำลายคำสอนด้วย
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 04:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เป็นการแน่นอนว่า ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ เมื่อเราเกี่ยวข้องกับเขา ก็พึงเกี่ยวข้องโดยมีสติ รู้เขาตามที่เขาเป็น และตามที่ประจักษ์แก่เราเท่านั้น คือ
รู้ตรงไปตรงมา แค่ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องแค่ไหนก็แค่นั้น (ถ้ามีญาณหยั่งรู้จิตใจของเขา ก็รู้ตรงไปตรงมาเท่าที่ญาณนั้นรู้ ถ้าไม่มีญาณ ก็ไม่ต้องไปสอดรู้) จะได้ไม่คิดปรุงแต่งวุ่นวายไปเกี่ยวกับคนอื่น ทำให้เกิดราคะบ้าง โทสะบ้าง เป็นต้น
ถ้าไม่รู้ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องก็แล้วไป มิได้หมายความว่า จะให้คอยสืบสอดตามดูพฤติการณ์ทางกายใจของผู้อื่นแต่ประการใด

ในทางตรงข้าม เวลาไปพูดกับคนอื่น เขามีอาการโกรธ ก็ไม่รู้ว่าเขาโกรธ แล้วจะมาบอกว่าปฏิบัติสติปัฏฐานได้อย่างไร และสติปัฏฐานจะใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร

:b32:
เอาตรงๆเลยนะ...เดี๋ยวนี้เลยพิสูจน์ได้ตามปกติ
หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเห็นสีอะไรแค่1สีนะคะ
คุณจะไปคิดพิศดารอะไรก็เห็นผิดจำผิดคิดผิดขาดสติแล้วค่ะ
แปลว่าไม่มีการอวดอุตริใดๆได้เพราะไม่ได้เห็นแค่สีไงคะทำลายคำสอนด้วย
:b32: :b32:

บอกให้ฟังมัวแต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่อยู่555
กิเลสอยู่ที่จิตตนเองเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ข้างนอกกาย
สติต้องกำลังระลึกตามตรงคำตรงขณะตรงจริงที่กายมี
ไม่ได่เห็นสีดังนั้นจึงมีเห็นผิดเพราะเห็นผิดเป็นใหญ่คือจักขุนทรีย์555ไม่ใช่ปัญญินทรีย์ไง
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 23 ต.ค. 2018, 04:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 04:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เป็นการแน่นอนว่า ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ เมื่อเราเกี่ยวข้องกับเขา ก็พึงเกี่ยวข้องโดยมีสติ รู้เขาตามที่เขาเป็น และตามที่ประจักษ์แก่เราเท่านั้น คือ
รู้ตรงไปตรงมา แค่ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องแค่ไหนก็แค่นั้น (ถ้ามีญาณหยั่งรู้จิตใจของเขา ก็รู้ตรงไปตรงมาเท่าที่ญาณนั้นรู้ ถ้าไม่มีญาณ ก็ไม่ต้องไปสอดรู้) จะได้ไม่คิดปรุงแต่งวุ่นวายไปเกี่ยวกับคนอื่น ทำให้เกิดราคะบ้าง โทสะบ้าง เป็นต้น
ถ้าไม่รู้ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องก็แล้วไป มิได้หมายความว่า จะให้คอยสืบสอดตามดูพฤติการณ์ทางกายใจของผู้อื่นแต่ประการใด

ในทางตรงข้าม เวลาไปพูดกับคนอื่น เขามีอาการโกรธ ก็ไม่รู้ว่าเขาโกรธ แล้วจะมาบอกว่าปฏิบัติสติปัฏฐานได้อย่างไร และสติปัฏฐานจะใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร

:b32:
เอาตรงๆเลยนะ...เดี๋ยวนี้เลยพิสูจน์ได้ตามปกติ
หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเห็นสีอะไรแค่1สีนะคะ
คุณจะไปคิดพิศดารอะไรก็เห็นผิดจำผิดคิดผิดขาดสติแล้วค่ะ
แปลว่าไม่มีการอวดอุตริใดๆได้เพราะไม่ได้เห็นแค่สีไงคะทำลายคำสอนด้วย
:b32: :b32:

บอกให้ฟังมัวแต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่อยู่555
กิเลสอยู่ที่จิตตนเองเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ข้างนอกกาย
สติต้องกำลังระลึกตามตรงคำตรงขณะตรงจริงที่กายมี
ไม่ได่เห็นสีดังนั้นจึงมีเห็นผิดเพราะเห็นผิดเป็นใหญ่คือจักขุนทรีย์555ไม่ใช่ปัญญินทรีย์ไง
:b32: :b32:

Kiss
อันนี้สมมุติว่าเป็นจิตเกิดดับ6ขณะสลับกันตามนี้
ขณะที่1เห็น 2ได้กลิ่น 3ได้ยิน 4รู้รส 5รู้สัมผัส 6คิดนึก
ที่คุณลืมตาแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีเลยคือ6คิดนึก
ยังไม่พูอะไรเลยก็เห็นผิดกิเลสนั้นเกิดตั้งแต่ขณะ3ได้ยินดับไตร่ตรองสิ
ขณะที่4เป็นกิเลสไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วเดี๋ยวนี้กะพริบตาจึงสะสมอวิชชาทันที555
รู้ไหมยิ่งมีชีวิตยืนนานกิเลสยิ่งเกิดเพิ่มมากกว่าเก่าเพราะไม่พึ่งการระลึกตามคำสอนเพื่อให้เกิดสติตรงทางไง
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 23 ต.ค. 2018, 04:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เป็นการแน่นอนว่า ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ เมื่อเราเกี่ยวข้องกับเขา ก็พึงเกี่ยวข้องโดยมีสติ รู้เขาตามที่เขาเป็น และตามที่ประจักษ์แก่เราเท่านั้น คือ
รู้ตรงไปตรงมา แค่ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องแค่ไหนก็แค่นั้น (ถ้ามีญาณหยั่งรู้จิตใจของเขา ก็รู้ตรงไปตรงมาเท่าที่ญาณนั้นรู้ ถ้าไม่มีญาณ ก็ไม่ต้องไปสอดรู้) จะได้ไม่คิดปรุงแต่งวุ่นวายไปเกี่ยวกับคนอื่น ทำให้เกิดราคะบ้าง โทสะบ้าง เป็นต้น
ถ้าไม่รู้ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องก็แล้วไป มิได้หมายความว่า จะให้คอยสืบสอดตามดูพฤติการณ์ทางกายใจของผู้อื่นแต่ประการใด

ในทางตรงข้าม เวลาไปพูดกับคนอื่น เขามีอาการโกรธ ก็ไม่รู้ว่าเขาโกรธ แล้วจะมาบอกว่าปฏิบัติสติปัฏฐานได้อย่างไร และสติปัฏฐานจะใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร

:b32:
เอาตรงๆเลยนะ...เดี๋ยวนี้เลยพิสูจน์ได้ตามปกติ
หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเห็นสีอะไรแค่1สีนะคะ
คุณจะไปคิดพิศดารอะไรก็เห็นผิดจำผิดคิดผิดขาดสติแล้วค่ะ
แปลว่าไม่มีการอวดอุตริใดๆได้เพราะไม่ได้เห็นแค่สีไงคะทำลายคำสอนด้วย
:b32: :b32:

บอกให้ฟังมัวแต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่อยู่555
กิเลสอยู่ที่จิตตนเองเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ข้างนอกกาย
สติต้องกำลังระลึกตามตรงคำตรงขณะตรงจริงที่กายมี
ไม่ได่เห็นสีดังนั้นจึงมีเห็นผิดเพราะเห็นผิดเป็นใหญ่คือจักขุนทรีย์555ไม่ใช่ปัญญินทรีย์ไง
:b32: :b32:

Kiss
อันนี้สมมุติว่าเป็นจิตเกิดดับ6ขณะสลับกันตามนี้
ขณะที่1เห็น 2ได้กลิ่น 3ได้ยิน 4รู้รส 5รู้สัมผัส 6คิดนึก
ที่คุณลืมตาแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีเลยคือ6คิดนึก
ยังไม่พูอะไรเลยก็เห็นผิดกิเลสนั้นเกิดตั้งแต่ขณะ3ได้ยินดับไตร่ตรองสิ
ขณะที่4เป็นกิเลสไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วเดี๋ยวนี้กะพริบตาจึงสะสมอวิชชาทันที555
รู้ไหมยิ่งมีชีวิตยืนนานกิเลสยิ่งเกิดเพิ่มมากกว่าเก่าเพราะไม่พึ่งการระลึกตามคำสอนเพื่อให้เกิดสติตรงทางไง
:b32: :b32:

ฟังเพื่อสร้างปัญญาให้แทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ไง...ไม่ใช่ให้เชื่อแต่ให้ฟังเพื่อตามรู้ความจริงที่กำลังมีน๊า
กิเลสไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อผ้าที่สวมใส่เริ่มสะสมปัญญาก่อนจิตออกจากร่างกำลังมีจิตเกิดดับครบ6ทางอยู่
https://youtu.be/OGztHuEPXoA
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสตอบคำถามสุดท้ายสิขอรับ

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ


อ้างคำพูด:
Rosarin

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ

สิ่งที่กำลังมีขณะนี้

มีอะไรคะ1คำตรงๆ

ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด

น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว

ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้



อ้างคำพูด:
Rosarin
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ

หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร

และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง

กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำๆ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ


เต็มๆที่

viewtopic.php?f=1&t=56633&p=428632#p428632

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เป็นการแน่นอนว่า ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ เมื่อเราเกี่ยวข้องกับเขา ก็พึงเกี่ยวข้องโดยมีสติ รู้เขาตามที่เขาเป็น และตามที่ประจักษ์แก่เราเท่านั้น คือ
รู้ตรงไปตรงมา แค่ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องแค่ไหนก็แค่นั้น (ถ้ามีญาณหยั่งรู้จิตใจของเขา ก็รู้ตรงไปตรงมาเท่าที่ญาณนั้นรู้ ถ้าไม่มีญาณ ก็ไม่ต้องไปสอดรู้) จะได้ไม่คิดปรุงแต่งวุ่นวายไปเกี่ยวกับคนอื่น ทำให้เกิดราคะบ้าง โทสะบ้าง เป็นต้น
ถ้าไม่รู้ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องก็แล้วไป มิได้หมายความว่า จะให้คอยสืบสอดตามดูพฤติการณ์ทางกายใจของผู้อื่นแต่ประการใด

ในทางตรงข้าม เวลาไปพูดกับคนอื่น เขามีอาการโกรธ ก็ไม่รู้ว่าเขาโกรธ แล้วจะมาบอกว่าปฏิบัติสติปัฏฐานได้อย่างไร และสติปัฏฐานจะใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร

:b32:
เอาตรงๆเลยนะ...เดี๋ยวนี้เลยพิสูจน์ได้ตามปกติ
หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเห็นสีอะไรแค่1สีนะคะ
คุณจะไปคิดพิศดารอะไรก็เห็นผิดจำผิดคิดผิดขาดสติแล้วค่ะ
แปลว่าไม่มีการอวดอุตริใดๆได้เพราะไม่ได้เห็นแค่สีไงคะทำลายคำสอนด้วย
:b32: :b32:

บอกให้ฟังมัวแต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่อยู่555
กิเลสอยู่ที่จิตตนเองเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ข้างนอกกาย
สติต้องกำลังระลึกตามตรงคำตรงขณะตรงจริงที่กายมี
ไม่ได่เห็นสีดังนั้นจึงมีเห็นผิดเพราะเห็นผิดเป็นใหญ่คือจักขุนทรีย์555ไม่ใช่ปัญญินทรีย์ไง
:b32: :b32:

Kiss
อันนี้สมมุติว่าเป็นจิตเกิดดับ6ขณะสลับกันตามนี้
ขณะที่1เห็น 2ได้กลิ่น 3ได้ยิน 4รู้รส 5รู้สัมผัส 6คิดนึก
ที่คุณลืมตาแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีเลยคือ6คิดนึก
ยังไม่พูอะไรเลยก็เห็นผิดกิเลสนั้นเกิดตั้งแต่ขณะ3ได้ยินดับไตร่ตรองสิ
ขณะที่4เป็นกิเลสไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วเดี๋ยวนี้กะพริบตาจึงสะสมอวิชชาทันที555
รู้ไหมยิ่งมีชีวิตยืนนานกิเลสยิ่งเกิดเพิ่มมากกว่าเก่าเพราะไม่พึ่งการระลึกตามคำสอนเพื่อให้เกิดสติตรงทางไง

ฟังเพื่อสร้างปัญญาให้แทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ไง...ไม่ใช่ให้เชื่อแต่ให้ฟังเพื่อตามรู้ความจริงที่กำลังมีน๊า
กิเลสไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อผ้า ที่สวมใส่ เริ่มสะสมปัญญา ก่อนจิตออกจากร่าง กำลังมีจิตเกิดดับครบ 6 ทางอยู่
https://youtu.be/OGztHuEPXoA


พูดเรื่องจิตอีก ทั้งๆที่ตามหาจิตกันอยู่ เอ้าๆ จะตายจิตออกจากร่างเอ้า จินตนาการจริงๆ ไม่ใช่แกล้งพูดแกล้งว่านะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาหัวปลีให้คุณโรสอธิบายเชิงธัมมะหน่อย :b13:

รูปภาพ

คุณโรสอธิบายสิขอรับ :b35: เริ่มจากตรงไหน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณโรสตอบคำถามสุดท้ายสิขอรับ

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ


อ้างคำพูด:
Rosarin

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ

สิ่งที่กำลังมีขณะนี้

มีอะไรคะ1คำตรงๆ

ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด

น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว

ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้



อ้างคำพูด:
Rosarin
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ

หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร

และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง

กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำๆ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ


เต็มๆที่

viewtopic.php?f=1&t=56633&p=428632#p428632

cool
คุณรู้จักธาตุ4และมหาภูตรูปไหม
อยู่ที่ไหนรู้ได้ยังไงว่ามี
และคุณว่าจิตเป็นรูป
หรือรูปเป็นจิตและ
ที่ดมกลิ่นน่ะมีจมูกไหม
ที่รู้ว่ามีกลิ่นคือมีฆานะปสาทรูป
ปสาทรูปเนี่ยคือรูปพิเศษที่มองเห็นไม่ได้คุณเห็นจมูกหรือเห็นสีคะ555
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ใช่คนที่เห็นคนที่ถูกเห็นไม่ใช่คนที่เห็นแล้วเข้าใจไหมคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เป็นการแน่นอนว่า ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ เมื่อเราเกี่ยวข้องกับเขา ก็พึงเกี่ยวข้องโดยมีสติ รู้เขาตามที่เขาเป็น และตามที่ประจักษ์แก่เราเท่านั้น คือ
รู้ตรงไปตรงมา แค่ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องแค่ไหนก็แค่นั้น (ถ้ามีญาณหยั่งรู้จิตใจของเขา ก็รู้ตรงไปตรงมาเท่าที่ญาณนั้นรู้ ถ้าไม่มีญาณ ก็ไม่ต้องไปสอดรู้) จะได้ไม่คิดปรุงแต่งวุ่นวายไปเกี่ยวกับคนอื่น ทำให้เกิดราคะบ้าง โทสะบ้าง เป็นต้น
ถ้าไม่รู้ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องก็แล้วไป มิได้หมายความว่า จะให้คอยสืบสอดตามดูพฤติการณ์ทางกายใจของผู้อื่นแต่ประการใด

ในทางตรงข้าม เวลาไปพูดกับคนอื่น เขามีอาการโกรธ ก็ไม่รู้ว่าเขาโกรธ แล้วจะมาบอกว่าปฏิบัติสติปัฏฐานได้อย่างไร และสติปัฏฐานจะใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร

:b32:
เอาตรงๆเลยนะ...เดี๋ยวนี้เลยพิสูจน์ได้ตามปกติ
หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเห็นสีอะไรแค่1สีนะคะ
คุณจะไปคิดพิศดารอะไรก็เห็นผิดจำผิดคิดผิดขาดสติแล้วค่ะ
แปลว่าไม่มีการอวดอุตริใดๆได้เพราะไม่ได้เห็นแค่สีไงคะทำลายคำสอนด้วย
:b32: :b32:

บอกให้ฟังมัวแต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่อยู่555
กิเลสอยู่ที่จิตตนเองเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ข้างนอกกาย
สติต้องกำลังระลึกตามตรงคำตรงขณะตรงจริงที่กายมี
ไม่ได่เห็นสีดังนั้นจึงมีเห็นผิดเพราะเห็นผิดเป็นใหญ่คือจักขุนทรีย์555ไม่ใช่ปัญญินทรีย์ไง
:b32: :b32:

Kiss
อันนี้สมมุติว่าเป็นจิตเกิดดับ6ขณะสลับกันตามนี้
ขณะที่1เห็น 2ได้กลิ่น 3ได้ยิน 4รู้รส 5รู้สัมผัส 6คิดนึก
ที่คุณลืมตาแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีเลยคือ6คิดนึก
ยังไม่พูอะไรเลยก็เห็นผิดกิเลสนั้นเกิดตั้งแต่ขณะ3ได้ยินดับไตร่ตรองสิ
ขณะที่4เป็นกิเลสไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วเดี๋ยวนี้กะพริบตาจึงสะสมอวิชชาทันที555
รู้ไหมยิ่งมีชีวิตยืนนานกิเลสยิ่งเกิดเพิ่มมากกว่าเก่าเพราะไม่พึ่งการระลึกตามคำสอนเพื่อให้เกิดสติตรงทางไง

ฟังเพื่อสร้างปัญญาให้แทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ไง...ไม่ใช่ให้เชื่อแต่ให้ฟังเพื่อตามรู้ความจริงที่กำลังมีน๊า
กิเลสไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อผ้า ที่สวมใส่ เริ่มสะสมปัญญา ก่อนจิตออกจากร่าง กำลังมีจิตเกิดดับครบ 6 ทางอยู่
https://youtu.be/OGztHuEPXoA


พูดเรื่องจิตอีก ทั้งๆที่ตามหาจิตกันอยู่ เอ้าๆ จะตายจิตออกจากร่างเอ้า จินตนาการจริงๆ ไม่ใช่แกล้งพูดแกล้งว่านะ

:b32:
เอาสิบอกหน่อยดิ๊
ขณิกมรณะเกิดตอนไหน
คุณมีลมหายใจรู้ว่าคนไม่ตายมีจิต
แล้วรู้ตัวไหมว่าเดี๋ยวนี้จิตอยู่ที่ไหนและรู้ได้ไงว่ามีขณิกมรณะตอนไหน
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณโรสตอบคำถามสุดท้ายสิขอรับ

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ


อ้างคำพูด:
Rosarin

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ

สิ่งที่กำลังมีขณะนี้

มีอะไรคะ1คำตรงๆ

ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด

น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว

ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้



อ้างคำพูด:
Rosarin
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ

หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร

และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง

กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำๆ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ


เต็มๆที่

viewtopic.php?f=1&t=56633&p=428632#p428632

cool
คุณรู้จักธาตุ4และมหาภูตรูปไหม
อยู่ที่ไหนรู้ได้ยังไงว่ามี
และคุณว่าจิตเป็นรูป
หรือรูปเป็นจิตและ
ที่ดมกลิ่นน่ะมีจมูกไหม
ที่รู้ว่ามีกลิ่นคือมีฆานะปสาทรูป
ปสาทรูปเนี่ยคือรูปพิเศษที่มองเห็นไม่ได้คุณเห็นจมูกหรือเห็นสีคะ555
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ใช่คนที่เห็นคนที่ถูกเห็นไม่ใช่คนที่เห็นแล้วเข้าใจไหมคะ


ความคิดความเห็น บอกความคิดคนเขียน คือ รู้แค่ไหนก็เขียนได้แค่นั้น คิดยังไงก็เขียนยังงั้น :b32:

นั่นคุณโรสรู้แบบความรู้รอบตัว คือรู้จากการฟังคลิปของแม่สุจินเอา ไม่ใช่รู้เฉพาะเรื่องเฉพาะด้าน ไม่ได้เรียนให้เป็นเรื่องเป็นราว

อ้างคำพูด:
คุณรู้จักธาตุ 4 และมหาภูตรูปไหม

อยู่ที่ไหน รู้ได้ยังไงว่ามี


คคห.สองบรรทัดบอกชัดว่าไม่ได้ศึกษา ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งเรียกกันง่ายๆว่า ธาตุ 4 บ้าง มหาภูตรูป 4 บ้าง

อยู่ที่ไหน รู้ได้ยังไงว่ามี อิอิ ก็ร่างกายทั้งเพทั้งระยองนั่นแหละ เมื่อแยกโดยธาตุ ก็มี 4 (รู้จักร่างกายหรือเปล่า) ถึงว่าไงว่า ธรรมะที่คุณโรสคิด เป็นธรรมะในจินตนาการ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาภูต รูปใหญ่, รูปต้นเดิม คือ ธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวี อาโป เตโช และวาโย ที่เรียกกันให้ง่ายว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม, ภูตรูป ก็เรียก (เรียกว่า มหาภูตรูป บ้างก็มี แต่ไม่เป็นคำที่นิยมใช้ในคัมภีร์) ก้าวต่อไปอีก ในตำรายังจำแนกแจกแจง ได้ ๒๘ รูปอีกนะ

พูดตามภาษาชาวบ้าน ก็คนนี่แหละคุณโรส จริงๆนะ ที่พูดกันว่า ธรรมะธัมมะ คุณโรสยังหาที่ให้ใจจอดไม่ได้เลย เมื่อใจไม่มีที่จอดพัก คราวนี้ก็ฟุ้งสิ นึกออกไหม เหมือนนกที่บินอยู่ในอากาศ แต่ไม่มีต้นไม้ให้เกาะ บินไปบินมา สักวันหมดแรงก็ตกลงมาตาย :b32:

พูดตามภาษาสมมติมันคนหมดทั้งตัวและหัวใจนั่นแหละขอรับธรรมะธัมมะ
แต่ถ้าเรียกตามภาษาทางศาสนาพุทธ เรียกว่า ธาตุ ขันธ์ อายตนะ สภาวะ สภาวธรรม ท่านจำแนกเป็นขันธ์ได้ ๕ ขันธ์ ๕ กอง ฯลฯ ไม่เรียกว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา

ฮงมั้ยขอรับ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 04:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มหาภูต รูปใหญ่, รูปต้นเดิม คือ ธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวี อาโป เตโช และวาโย ที่เรียกกันให้ง่ายว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม, ภูตรูป ก็เรียก (เรียกว่า มหาภูตรูป บ้างก็มี แต่ไม่เป็นคำที่นิยมใช้ในคัมภีร์) ก้าวต่อไปอีก ในตำรายังจำแนกแจกแจง ได้ ๒๘ รูปอีกนะ

พูดตามภาษาชาวบ้าน ก็คนนี่แหละคุณโรส จริงๆนะ ที่พูดกันว่า ธรรมะธัมมะ คุณโรสยังหาที่ให้ใจจอดไม่ได้เลย เมื่อใจไม่มีที่จอดพัก คราวนี้ก็ฟุ้งสิ นึกออกไหม เหมือนนกที่บินอยู่ในอากาศ แต่ไม่มีต้นไม้ให้เกาะ บินไปบินมา สักวันหมดแรงก็ตกลงมาตาย :b32:

พูดตามภาษาสมมติมันคนหมดทั้งตัวและหัวใจนั่นแหละขอรับธรรมะธัมมะ
แต่ถ้าเรียกตามภาษาทางศาสนาพุทธ เรียกว่า ธาตุ ขันธ์ อายตนะ สภาวะ สภาวธรรม ท่านจำแนกเป็นขันธ์ได้ ๕ ขันธ์ ๕ กอง ฯลฯ ไม่เรียกว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา

ฮงมั้ยขอรับ :b14:

555

ไม่ฮงเรยค่ะ อาแปะยิ้ง

นี่เป็นความเขลาเบาปัญญา ของลุงกรัชกายอีก

เอาภาษาชาวบ้าน เอาชาวบ้านเป็นสรณะ


เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริบัติตามที่พระพุธองค์สอน

เรยเอาภาษาของชาวบ้าน มาเป็นสรณะ

คริคริ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร