วันเวลาปัจจุบัน 10 มิ.ย. 2025, 16:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ "ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่รู้เห็นจักษุตามที่มันเป็น
รู้เห็นรูปทั้งหลายตามที่มันเป็น
รู้เห็นจักษุวิญญาณตามที่มันเป็น
รู้เห็นจักษุสัมผัสตามที่มันเป็น
รู้เห็นเวทนาอันเป็นสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ตามที่มันเป็น
ย่อมไม่ติดพันในจักษุ ไม่ติดพันในรูปทั้งหลาย ไม่ติดพันในจักขุวิญญาณ ไม่ติดพันในจักขุสัมผัส ไม่ติดพันในเวทนา อันเป็นสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย

"เมื่อผู้นั้นไม่ติดพัน ไม่หมกมุ่น ไม่ลุ่มหลง รู้เท่าทันเห็นโทษตระหนักอยู่ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ย่อมถึงความไม่ก่อตัวพอกพูนต่อไป
อนึ่ง ตัณหาที่เป็นการก่อภพใหม่ อันประกอบด้วยนันทิราคะ คอยแส่เพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์ต่างๆ ก็จะถูกละไปเสียด้วย
ความกระวนกระวายทางกายก็ดี
ความกระวนกระวายทางใจก็ดี
ความเร่าร้อนกายก็ดี
ความเร่าร้อนใจก็ดี
ความกลัดกลุ้มทางกายก็ดี
ความกลัดกลุ้มทางใจก็ดี ย่อมถูกเขาละได้

"ผู้นั้น ย่อมเสวยทั้งความสุขทางกาย ทั้งความสุขทางใจ บุคคลผู้เป็นเช่นนั้นแล้ว มีความเห็นอันใด ความเห็นอันนั้นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ
มีความดำริใด ความดำริก็เป็นสัมมาสังกัปปะ
มีความพยายามใด ความพยายามนั้นก็เป็นสัมมาวายามะ
ส่วนกายกรรม วจีกรรม และอาชีวะของเขา ย่อมบริสุทธิ์มาแต่ต้นทีเดียว ด้วยประการดังนี้ เขาชื่อว่ามีอริยอัฏฐังคิกมรรค อันถึงความเจริญบริบูรณ์” (เกี่ยวกับ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เช่นเดียวกัน) (ม.อุ.12/828/523)

..............

นันทิ ความยินดี, ความติดใจเพลิดเพลิน, ความระเริง, ความสนุก, ความชื่นมื่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
@ "ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่รู้เห็นจักษุตามที่มันเป็น
รู้เห็นรูปทั้งหลายตามที่มันเป็น
รู้เห็นจักษุวิญญาณตามที่มันเป็น
รู้เห็นจักษุสัมผัสตามที่มันเป็น
รู้เห็นเวทนาอันเป็นสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ตามที่มันเป็น
ย่อมไม่ติดพันในจักษุ ไม่ติดพันในรูปทั้งหลาย ไม่ติดพันในจักขุวิญญาณ ไม่ติดพันในจักขุสัมผัส ไม่ติดพันในเวทนา อันเป็นสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย

"เมื่อผู้นั้นไม่ติดพัน ไม่หมกมุ่น ไม่ลุ่มหลง รู้เท่าทันเห็นโทษตระหนักอยู่ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ย่อมถึงความไม่ก่อตัวพอกพูนต่อไป
อนึ่ง ตัณหาที่เป็นการก่อภพใหม่ อันประกอบด้วยนันทิราคะ คอยแส่เพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์ต่างๆ ก็จะถูกละไปเสียด้วย
ความกระวนกระวายทางกายก็ดี
ความกระวนกระวายทางใจก็ดี
ความเร่าร้อนกายก็ดี
ความเร่าร้อนใจก็ดี
ความกลัดกลุ้มทางกายก็ดี
ความกลัดกลุ้มทางใจก็ดี ย่อมถูกเขาละได้

"ผู้นั้น ย่อมเสวยทั้งความสุขทางกาย ทั้งความสุขทางใจ บุคคลผู้เป็นเช่นนั้นแล้ว มีความเห็นอันใด ความเห็นอันนั้นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ
มีความดำริใด ความดำริก็เป็นสัมมาสังกัปปะ
มีความพยายามใด ความพยายามนั้นก็เป็นสัมมาวายามะ
ส่วนกายกรรม วจีกรรม และอาชีวะของเขา ย่อมบริสุทธิ์มาแต่ต้นทีเดียว ด้วยประการดังนี้ เขาชื่อว่ามีอริยอัฏฐังคิกมรรค อันถึงความเจริญบริบูรณ์” (เกี่ยวกับ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เช่นเดียวกัน) (ม.อุ.12/828/523)

..............

นันทิ ความยินดี, ความติดใจเพลิดเพลิน, ความระเริง, ความสนุก, ความชื่นมื่น

cool
เดี๋ยวนี้คือกำลังเห็นทันทีนี้แหละ
ถ้ายังไม่ปรากฏแค่สีเพียง1สีตราบใด
ตราบนั้นหยุดฟังพระพุทธพจน์กิเลสอาสาวะไหลทันที
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
@ "ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่รู้เห็นจักษุตามที่มันเป็น
รู้เห็นรูปทั้งหลายตามที่มันเป็น
รู้เห็นจักษุวิญญาณตามที่มันเป็น
รู้เห็นจักษุสัมผัสตามที่มันเป็น
รู้เห็นเวทนาอันเป็นสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ตามที่มันเป็น
ย่อมไม่ติดพันในจักษุ ไม่ติดพันในรูปทั้งหลาย ไม่ติดพันในจักขุวิญญาณ ไม่ติดพันในจักขุสัมผัส ไม่ติดพันในเวทนา อันเป็นสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย

"เมื่อผู้นั้นไม่ติดพัน ไม่หมกมุ่น ไม่ลุ่มหลง รู้เท่าทันเห็นโทษตระหนักอยู่ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ย่อมถึงความไม่ก่อตัวพอกพูนต่อไป
อนึ่ง ตัณหาที่เป็นการก่อภพใหม่ อันประกอบด้วยนันทิราคะ คอยแส่เพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์ต่างๆ ก็จะถูกละไปเสียด้วย
ความกระวนกระวายทางกายก็ดี
ความกระวนกระวายทางใจก็ดี
ความเร่าร้อนกายก็ดี
ความเร่าร้อนใจก็ดี
ความกลัดกลุ้มทางกายก็ดี
ความกลัดกลุ้มทางใจก็ดี ย่อมถูกเขาละได้

"ผู้นั้น ย่อมเสวยทั้งความสุขทางกาย ทั้งความสุขทางใจ บุคคลผู้เป็นเช่นนั้นแล้ว มีความเห็นอันใด ความเห็นอันนั้นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ
มีความดำริใด ความดำริก็เป็นสัมมาสังกัปปะ
มีความพยายามใด ความพยายามนั้นก็เป็นสัมมาวายามะ
ส่วนกายกรรม วจีกรรม และอาชีวะของเขา ย่อมบริสุทธิ์มาแต่ต้นทีเดียว ด้วยประการดังนี้ เขาชื่อว่ามีอริยอัฏฐังคิกมรรค อันถึงความเจริญบริบูรณ์” (เกี่ยวกับ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เช่นเดียวกัน) (ม.อุ.12/828/523)

..............

นันทิ ความยินดี, ความติดใจเพลิดเพลิน, ความระเริง, ความสนุก, ความชื่นมื่น

cool
เดี๋ยวนี้คือกำลังเห็นทันทีนี้แหละ
ถ้ายังไม่ปรากฏแค่สีเพียง1สีตราบใด
ตราบนั้นหยุดฟังพระพุทธพจน์กิเลสอาสาวะไหลทันที


แม่สุจินบอกหรอ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวเลี้ยวหัวต่อของทางแยกระหว่างกุศล กับ อกุศล

คุณค่าทางจริยธรรม

๑. อายตนะเป็นจุดเริ่มต้น และเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของทางแยกระหว่างกุศล กับ อกุศล
ทางสายหนึ่ง นำไปสู่ความประมาทมัวเมา ความชั่ว และการหมกติดอยู่ในโลก

อีกสายหนึ่ง นำไปสู่ความรู้เท่าทัน การประกอบกรรมดี และความหลุดพ้นเป็นอิสระ

ความสำคัญของเรื่องนี้ อยู่ที่ว่า หากไม่มีการฝึกฝนอบรมให้เข้าใจ และปฏิบัติในเรื่องอายตนะอย่างถูกต้องแล้ว ตามปกติมนุษย์ทั่วไปจะถูกชักจูงล่อให้ดำเนินชีวิตในทางที่มุ่งเพื่อเสพเสวยโลก เที่ยวทำการต่างๆเพียงเพื่อแสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ชอบใจ และความสนุกสนานบันเทิงต่างๆมาปรนเปรอตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และใจอยากของตน พอกพูนความโลภ โกรธ หลง แล้วก่อให้เกิดความวุ่นวายเดือดร้อนทั้งแก่ตนและผู้อื่น

พอจะเห็นได้ไม่ยากว่า การเบียดเบียนกัน การขัดแย้งแย่งชิง การกดขี่บีบคั้น เอารัดเอาเปรียบกัน ตลอดจนปัญหาสังคมต่างๆที่เกิดเพิ่มขึ้น และที่แก้ไขกันไม่สำเร็จ โดยส่วนใหญ่แล้ว ก็สืบเนื่องมาจากการดำเนินชีวิตแบบปล่อยตัว ให้ถูกล่อถูกชักจูงไปในทางที่จะปรนเปรออายตนะอยู่เสมอ จนเคยชินและรุนแรงยิ่งขึ้นๆนั่นเอง

คนจำนวนมาก บางทีไม่เคยได้รับการเตือนสติให้สำนึกหรือยั้งคิด ที่จะพิจารณาถึงความหมายแห่งการกระทำของตน และอายตนะที่ตนปรนเปรอบ้างเลย และไม่เคยปฏิบัติเกี่ยวกับการฝึกอบรมหรือสังวรระวังเกี่ยวกับอายตนะหรืออินทรีย์ของตน จึงมีแต่ความลุ่มหลงมัวเมายิ่งๆขึ้น

การแก้ไขในทางจริยธรรมในเรื่องนี้ ส่วนหนึ่ง อยู่ที่การสร้างความเข้าใจให้รู้เท่าทันความหมายของอายตนะและสิ่งที่เกี่ยวข้องว่าควรจะมีบทบาทและความสำคัญในชีวิตของตนแค่ไหน เพียงไร และอีก
ส่วนหนึ่ง ให้มีการฝึกอบรมด้วยวิธีประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุม การสำรวมระวังใช้งาน และรับใช้อายตนะเหล่านั้น ในทางที่จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ชีวิตของตนเองและแก่สังคม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๒. อายตนะเป็นแหล่งที่มาของความสุขความทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายแห่งการดำเนินชีวิตทั่วไป และความเพียรพยายามเฉพาะกิจแทบทุกอย่างของปุถุชน ด้านสุขก็เป็นการแสวงหา ด้านทุกข์ก็เป็นการหลีกหนี

นอกจากสุขทุกข์ จะเกี่ยวเนื่องกับปัญหาความประพฤติดีประพฤติชั่วที่กล่าวในข้อ ๑ แล้ว ตัวความสุขทุกข์นั้น ก็เป็นปัญหาอยู่ในตัวของมันเอง ในแง่ของคุณค่า ความมีแก่นสาร และความหมายที่จะเข้าพึ่งพาอาศัยบอบกายถวายชีวิตให้อย่างแท้จริงหรือไม่

คนไม่น้อย หลังจากระดมเรี่ยวแรง และเวลาแห่งชีวิตของตน วิ่งตามหาความสุขจากการเสวยโลกจนเหนื่อยอ่อนแล้ว ก็ผิดหวัง เพราะไม่ได้สมปรารถนาบ้าง เมื่อหารสอร่อยหวานชื่น ก็ต้องเจอะรสขื่นขมด้วย บางที ยิ่งได้สุขมาก ความเจ็บปวดเศร้าแสบกลับยิ่งทวีล้ำหน้า เสียค่าตอบแทนในการได้ความสุขไปแพงกว่าได้มา ไม่คุ้มกันบ้าง
ได้สมปรารถนาแล้ว แต่ไม่ชื่นเท่าที่หวัง หรือถึงจุดที่ตั้งเป้าหมายแล้ว ความสุขกลับวิ่งหนีออกหน้าไปอีก ตามไม่ทันอยู่ร่ำไปบ้าง บางพวกก็จบชีวิตลงทั้งที่กำลังวิ่งหอบ ยังตามความสุขแท้ไม่พบหรือยังไม่พอ

ส่วนพวกที่ผิดหวังแล้ว ก็เลยหมดอาลัยปล่อยชีวิตเรื่อยเปื่อยไปตามเรื่อง อยู่อย่างทอดถอนความหลังบ้าง หันไปดำเนินชีวิตในทางเอียงสุดอีกด้านหนึ่ง โดยหลบหนีตีจากชีวิตไปอยู่อย่างทรมานตนเองบ้าง

การศึกษาเรื่องอายตนะนี้ มุ่งเพื่อให้เกิดความรู้เท่าทันสภาพความจริง และประพฤติปฏิบัติด้วยการวางท่าทีที่ถูกต้อง ไม่ให้เกิดเป็นพิษเป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่นมากนัก อย่างน้อย ก็ให้มีหลัก พอรู้ทางออกที่จะแก้ไขตัว นอกจากจะระมัดระวังในการใช้วิธีการที่จะแสวงหาความสุขเหล่านี้แล้ว ยังเข้าใจขอบเขตและชั้นระดับต่างๆของมัน แล้วรู้จักหาความสุขในระดับที่ประณีตยิ่งขึ้นไปด้วย ความประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับสุขทุกข์นี้ ย่อมเป็นเรื่องของจริยธรรมไปด้วยในตัว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๓. อายตนะในแง่ที่เป็นเรื่องของกระบวนการรับรู้และการแสวงปัญญา ก็เกี่ยวกับจริยธรรมตั้งแต่จุดเริ่มต้น เพราะถ้าปฏิบัติในตอนเริ่มแรกไม่ถูกต้อง การรับรู้ก็จะไม่บริสุทธิ์ แต่จะกลายเป็นกระบวนการรับรู้ที่รับใช้กระบวนการเสพเสวยโลก หรือเป็นส่วนประกอบของธรรมแบบสังสารวัฏไปเสีย ทำให้ได้ความรู้ที่บิดเบือน เอนเอียง เคลือบแฝง มีอคติ ไม่ถูกต้องตรงตามความจริง หรือตรงกับสภาวะตามที่มันเป็น
การปฏิบัติในทางจริยธรรมที่ช่วยเกื้อกูลในเรื่องนี้ ก็คือวิธีการที่จะรักษาจิตให้ดำรงอยู่ในอุเบกขา คือ ความมีใจเป็นกลาง มีจิตราบเรียบเที่ยงตรงไม่เอนเอียง ไม่ให้ถูกอำนาจกิเลสมีความชอบใจ ไม่ชอบใจ เป็นต้น เข้าครอบงำ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๔. การปฏิบัติทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับอายตนะโดยตรง บ้าง โดยอ้อม บ้าง มีหลายอย่าง บางอย่างก็มีไว้เพื่อใช้ในขั้นตอนต่างๆกัน ทั้งนี้ สุดแต่ว่าปัญหามักจะเกิดขึ้นที่จุดใด ทุกข์และบาปอกุศลมักได้ช่องเข้ามาที่ช่วงตอนใด

อย่างไรก็ตาม ท่านมักสอนย้ำให้ใช้วิธีระวังหรือป้องกันตั้งแต่ช่วงแรกที่สุด คือ ตอนที่อายตนะรับอารมณ์ทีเดียว เพราะจะทำให้ปัญหาไม่เกิดขึ้นเลย จึงเป็นการปลอดภัยที่สุด

ในทางตรงข้าม ถ้าปัญหาเกิดขึ้นแล้ว คือ บาปอกุศลธรรมได้ช่องเข้ามาแล้ว มักจะแก้ไขยาก เช่น เมื่อปล่อยให้อารมณ์ที่ล่อเร้าเย้ายวนครอบงำใจ จิตถูกปรุงแต่งจนราคะหรือโลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นแล้ว ทั้งที่รู้ผิดชอบชั่วดี มีความสำนึกในสิ่งชอบธรรมอยู่ แต่ก็ทนต่อความเย้ายวนไม่ได้ ลุอำนาจกิเลส ทำบาปอกุศลลงไป ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงย้ำวิธีระมัดระวังป้องกันให้ปลอดภัยไว้ก่อนตั้งแต่ต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


องค์ธรรมสำคัญที่ใช้ระมัดระวังตั้งแต่ต้น ก็คือ สติ ซึ่งเป็นตัวควบคุมจิตไว้ให้อยู่กับหลัก

หรือพูดอีกนัยหนึ่ง เหมือนเชือกสำหรับดึงจิต สติที่ใช้ในขั้นระมัดระวังป้องกันเกี่ยวกับการรับอารมณ์ของอายตนะแต่เบื้องต้นนี้ ใช้หลักที่เรียกว่า อินทรียสังวร ซึ่งแปลว่า การสำรวมอินทรีย์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การคุ้มครองทวาร (เรียกเต็มว่า คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย) หมายถึง การมีสติพร้อมอยู่ เมื่อรับอารมณ์มีรูป เป็นต้น ด้วยอินทรีย์ มีตา เป็นอาทิ ก็ไม่ปล่อยใจถือไปตามนิมิตหมายต่างๆ อันจะเป็นเหตุให้เกิดความติดพันขุ่นเคือง ชอบใจ ไม่ชอบใจ แล้วถูกอกุศลธรรมเข้าครอบงำจิตใจ การปฏิบัติตามหลักนี้ ช่วยได้ทั้งด้านป้องกันความชั่วเสียหาย ป้องกันความทุกข์ และป้องกันการสร้างความรู้ความคิดที่บิดเบือนเอนเอียง

อย่างไรก็ตาม การที่จะปฏิบัติให้ได้ผลดี มิใช่จะนำหลักมาใช้เมื่อไรก็ได้ตามปรารถนา เพราะสติจะตั้งมั่นเตรียมพร้อมอยู่เสมอ จำต้องมีการฝึกฝนอบรม อินทรีย์สังวรจึงต้องมีการซ้อมหรือใช้อยู่เสมอ การฝึกอบรมอินทรีย์ มีชื่อเรียกว่า อินทรียภาวนา (แปลตามแบบว่าการเจริญอินทรีย์)

ผู้ที่ฝึกอบรม หรือเจริญอินทรีย์แล้ว ย่อมปลอดภัยจากบาปอกุศลธรรม ความทุกข์ และความรู้ที่เอนเอียงบิดเบือนทั้งหลาย * (ในแง่ความรู้คิดที่เอนเอียงนี้บิดเบือนนี้ ในที่นี้ หมายเฉพาะปลอดภัยจากเหตุใหม่ ไม่พูดถึงเหตุที่สั่งสมไว้เก่า คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นอีกตอนหนึ่งต่างหาก) เพราะป้องกันไว้ได้ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น หรือแม้หากความชอบใจ ไม่ชอบใจ จะหลุดรอดเกิดขึ้นมา ก็สามารถระงับ หรือสลัดทิ้งไปได้เร็วพลัน

อินทรีย์สังวรนี้เป็นหลักธรรมในขั้นศีล แต่องค์ธรรมสำคัญที่เป็นแกน คือ สติ นั้นอยู่ในจำพวกสมาธิ ทำให้มีการใช้กำลังจิตและการควบคุมจิตอยู่เสมอ จึงเป็นการฝึกอบรมสมาธิไปด้วยในตัว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักธรรมอีกอย่างหนึ่ง ที่ท่านแนะนำให้เป็นข้อปฏิบัติในเรื่องนี้ เป็นหลักในระดับปัญญา เรียกว่า โยนิโสมนสิการ หลักนี้ ใช้ในช่วงตอนที่รับอารมณ์เข้ามาแล้ว โดยให้พิจารณาอารมณ์นั้นเพื่อเกิดความรู้เท่าทัน เช่น พิจารณาคุณ โทษ ข้อดี ข้อเสีย ของอารมณ์นั้น พร้อมทั้งภาวะอันเป็นอิสระปลอดภัยอยู่ดีมีสุขได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอารมณ์นั้น ในแง่ที่จะต้องให้คุณ และโทษของมันเป็นตัวกำหนดความสุข ความทุกข์และชะตาชีวิต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จักขุนทรีย์

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2018, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จกฺขุนา สํวโร สาธุ สาธุ โสเตน สํวโร
ฆาเนน สํวโร สาธุ สาธุ ชิวฺหาย สํวโร
กาเยน สํวโร สาธุ สาธุ วาจาย สํวโร
มนสา สํวโร สาธุ สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร
สพฺพตฺถ สํวโร ภิกฺขุ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.

ความสำรวมทางตาเป็นการดี ความสำรวมทางหูเป็นการดี
ความสำรวมทางจมูกเป็นการดี ความสำรวมทางลิ้นเป็นการดี
ความสำรวมทางกายเป็นการดี ความสำรวมทางวาจาเป็นการดี
ความสำรวมทางใจเป็นการดี ความสำรวมในทวารทั้งปวงเป็นการดี
ภิกษุผู้สำรวมแล้วในทวารทั้งปวง ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2018, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จกฺขุนา สํวโร สาธุ สาธุ โสเตน สํวโร
ฆาเนน สํวโร สาธุ สาธุ ชิวฺหาย สํวโร
กาเยน สํวโร สาธุ สาธุ วาจาย สํวโร
มนสา สํวโร สาธุ สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร
สพฺพตฺถ สํวโร ภิกฺขุ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.

ความสำรวมทางตาเป็นการดี ความสำรวมทางหูเป็นการดี
ความสำรวมทางจมูกเป็นการดี ความสำรวมทางลิ้นเป็นการดี
ความสำรวมทางกายเป็นการดี ความสำรวมทางวาจาเป็นการดี
ความสำรวมทางใจเป็นการดี ความสำรวมในทวารทั้งปวงเป็นการดี
ภิกษุผู้สำรวมแล้วในทวารทั้งปวง ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.

Kiss
เดี๋ยวนี้เลยสีกานุ่งขาวเต็มวัดเลย
ตามองดูเห็นแค่สีไหมสำรวมยังไง
สู้ไม่เห็นดีกว่าไหมไม่ใช่มโนเอาได้
คนนี้สวยคนนั้นขี้เหร่คริคริคริกิเลสไหม
เห็นเป็นคนทันทีนั้นแหละคือจิตวิปลาสแล้ว
มองเพลินเลยไหมคนหมาแมววัตถุเต็มวัดพกกุญแจอีกภาระไหม
ตถาคตให้ทิ้งเพศคฤหัสถ์เพื่อไม่ให้มีภาระแสวงหาวัตถุเพื่อติดกุญแจอีก
ที่สำคัญคือบรรพชิตเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้นอนวัดคนอื่นมีบ้านกลับไปนอนบ้านสิคะ
คริคริคริไม่เก็ตหรือฉุกคิดหรือคะถ้ามีแค่บาตรจีวรอัฏฐบริขารเพียงพอไหมไม่ต้องพกกุญแจ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2018, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จกฺขุนา สํวโร สาธุ สาธุ โสเตน สํวโร
ฆาเนน สํวโร สาธุ สาธุ ชิวฺหาย สํวโร
กาเยน สํวโร สาธุ สาธุ วาจาย สํวโร
มนสา สํวโร สาธุ สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร
สพฺพตฺถ สํวโร ภิกฺขุ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.

ความสำรวมทางตาเป็นการดี ความสำรวมทางหูเป็นการดี
ความสำรวมทางจมูกเป็นการดี ความสำรวมทางลิ้นเป็นการดี
ความสำรวมทางกายเป็นการดี ความสำรวมทางวาจาเป็นการดี
ความสำรวมทางใจเป็นการดี ความสำรวมในทวารทั้งปวงเป็นการดี
ภิกษุผู้สำรวมแล้วในทวารทั้งปวง ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.

Kiss
เดี๋ยวนี้เลยสีกานุ่งขาวเต็มวัดเลย
ตามองดูเห็นแค่สีไหมสำรวมยังไง
สู้ไม่เห็นดีกว่าไหมไม่ใช่มโนเอาได้
คนนี้สวยคนนั้นขี้เหร่คริคริคริกิเลสไหม
เห็นเป็นคนทันทีนั้นแหละคือจิตวิปลาสแล้ว
มองเพลินเลยไหมคนหมาแมววัตถุเต็มวัดพกกุญแจอีกภาระไหม
ตถาคตให้ทิ้งเพศคฤหัสถ์เพื่อไม่ให้มีภาระแสวงหาวัตถุเพื่อติดกุญแจอีก
ที่สำคัญคือบรรพชิตเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้นอนวัดคนอื่นมีบ้านกลับไปนอนบ้านสิคะ
คริคริคริไม่เก็ตหรือฉุกคิดหรือคะถ้ามีแค่บาตรจีวรอัฏฐบริขารเพียงพอไหมไม่ต้องพกกุญแจ
:b32: :b32:

ปฏิญาณตนน่ะคือสาบานนะคะไม่ใช่เล่นๆเพื่อมาเอาบริวารคือวัตถุและดูแลคนอื่นหรือคะ
เข้าใจไหมคะว่าสละหมดขอมาอยู่วัดเพื่อขัดเกลากิเลสเป็นผู้ขอก้อนข้าวชาวบ้านด้วยปลีแข้ง
เก็บสะสมของได้ไม่เกินเที่ยงทุกอย่างเลยมีเงินในบัญชีเพื่อทำกิจดูบัญชีหรือคะจำไม่ได้หรือคะ
กิจของบรรพชิตคือ1คันถธุระคือทำตามสิกขาบทได้และศึกษาคำสอนให้เข้าใจ2วิปัสสนาที่กายใจตน
แล้วขนชีพราหมณ์มานอนเต็มวัดคือกิจข้อไหนคันถธุระหรือวิปัสสนาหรือคิดเองว่าทำแบบนั้นตามๆกันได้
:b15:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2018, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จกฺขุนา สํวโร สาธุ สาธุ โสเตน สํวโร
ฆาเนน สํวโร สาธุ สาธุ ชิวฺหาย สํวโร
กาเยน สํวโร สาธุ สาธุ วาจาย สํวโร
มนสา สํวโร สาธุ สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร
สพฺพตฺถ สํวโร ภิกฺขุ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.

ความสำรวมทางตาเป็นการดี ความสำรวมทางหูเป็นการดี
ความสำรวมทางจมูกเป็นการดี ความสำรวมทางลิ้นเป็นการดี
ความสำรวมทางกายเป็นการดี ความสำรวมทางวาจาเป็นการดี
ความสำรวมทางใจเป็นการดี ความสำรวมในทวารทั้งปวงเป็นการดี
ภิกษุผู้สำรวมแล้วในทวารทั้งปวง ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.

Kiss
เดี๋ยวนี้เลยสีกานุ่งขาวเต็มวัดเลย
ตามองดูเห็นแค่สีไหมสำรวมยังไง
สู้ไม่เห็นดีกว่าไหมไม่ใช่มโนเอาได้
คนนี้สวยคนนั้นขี้เหร่คริคริคริกิเลสไหม
เห็นเป็นคนทันทีนั้นแหละคือจิตวิปลาสแล้ว
มองเพลินเลยไหมคนหมาแมววัตถุเต็มวัดพกกุญแจอีกภาระไหม
ตถาคตให้ทิ้งเพศคฤหัสถ์เพื่อไม่ให้มีภาระแสวงหาวัตถุเพื่อติดกุญแจอีก
ที่สำคัญคือบรรพชิตเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้นอนวัดคนอื่นมีบ้านกลับไปนอนบ้านสิคะ
คริคริคริไม่เก็ตหรือฉุกคิดหรือคะถ้ามีแค่บาตรจีวรอัฏฐบริขารเพียงพอไหมไม่ต้องพกกุญแจ
:b32: :b32:


เม เอาพระสูตรมาให้คุณยายโรสค่ะ

ลองตั้งใจฟังพระสูตรนี้นะคะ

ครั้งเดียวก็ ไม่ต้องฟังยูทูบซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นสิบปีค่ะ


แล้ว เม ก็เห็นคุณยายใช่แต่ กาลามะสูตร
พระสูตรเกสตปุตสูตร กาละมะนั่น ทำให้ชาวกาลามะ เป็นได้เพียงสาวก พระสาวิกาพระพุทธองค์เท่านั้นค่ะ
มมีใครได้อริยะบุคคล ไม่มีใครได้หลุดพ้นสักคนในเมือง

พระสูตรนี้ ไม่ได้สอนให้ฟังแล้วเอามายึดมั่นถือมั่น
ไม่ได้สอนให้คิดอะไรแบบคุณยายบอกเรยค่ะ

เป็นมิติใหม่นะคะ จะได้ก้าวข้ามภาวะเดิมนะคุณยายโรสขา

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟังเมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูก่อนพาหิยะท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูก่อนพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มีในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.

ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยกุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพาหิย-ทารุจีริยกุลบุตรด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร