วันเวลาปัจจุบัน 03 ก.ย. 2025, 19:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2018, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“พระกับเงิน ตอนที่ ๓
พระถูกต้อง / จับ / หยิบ ของมีค่าได้หรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงว่าไว้อย่างไร ?”

--------------------

(This chapter reveals that a Buddhist monk can either touch or pick up the valuabes like gold gem and diamond ring etc., left in an area of monastery or residence for giving back to an owner. He can do that by himself or order others to do it.)

ทบทวนความเข้าใจ

๑. บทความตอนที่ ๑ กับตอนที่ ๒ มีคำสำคัญที่น่าทบทวน คือ ชาตะรูปะระชะตะ (บาลี ชาตรูปรชต) ระตะนะ (บาลี รตน) รูปิยะ (บาลี รูปิย) สรุปแล้วก็คือ เงิน ทอง ที่ทำเป็นรูปพรรณ มีมูลค่าใช้ในซื้อ/แลกเปลี่ยนสิ่งของ

๒. พระพุทธเจ้าทรงห้ามพระรับ หรือให้คนรับแทน โดยใช้คำบาลีว่า ชาตะรูปะระชะตัง อุคฺคัณฺเหยฺยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ซึ่งแปลว่า รับ หรือ ให้คนอื่นรับ ทองและเงิน ซึ่งมีการอธิบายว่า อุคคัณฺเหยยะ ได้แก่ คัณหาติ แปลว่า รับ อุคฺคัณหาเปยยะ ได้แก่ คัณหาเปติ แปลว่า ให้ (คนอื่น) รับ (ดูพระไตรปิฎก มจร. รูปิยสิกขาบท ที่ ๒ ในโกสิยวรรค ข้อ ๕๘๔)

สรุปแล้ว ก็คือ ภิกษุ รับ หรือ ให้คนอื่นรับ ทองและเงิน เพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง

๓. คำว่า คัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ที่เคยแปลว่า “รับ / ให้คนอื่นรับ” มาแล้วนั้น มีการนำคำนี้มาใช้อีกในรัตนสิกขาบท (สิกขาบทว่าด้วยรัตนะ) ที่ ๒ ในรตนวรรค ข้อ ๕๐๒ แต่ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า รับ / ให้คนอื่นรับ แต่ต้องแปลว่า จับ หรือ หยิบ จึงจะได้ความหมาย อย่างที่จะกล่าวต่อไป

@ พระถูกต้อง / จับ / หยิบ ของมีค่า ?

“ของมีค่า” ในที่นี้ ได้แก่ รัตนะ หรือ ของที่รู้กันว่าทำมาจากรัตนะ ซึ่งได้แก่ ห่อเงิน และ ทองรูปพรรณ ที่ใช้เป็นเครื่องประดับ ซึ่งมีผู้ลืมไว้ ศึกษาได้จากสิกขาบท หรือ พระพุทธบัญญัติที่ตรัส สิกขาบทนี้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติแก้ไขให้เกิดความเหมาะสมเพิ่มถึง ๓ ครั้ง

๑. ครั้งที่ ๑ ทรงบัญญัติว่า

โย ปะนะ ภิกขุ ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อุคคัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ปาจิตติยัง – ก็ ภิกษุใด จับ/หยิบ รัตนะหรือของที่รับรู้กันว่ารัตนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์

ในตอนนี้ รัตนะหรือของที่รับ รู้กันว่ารัตนะ คือ ห่อเงิน ซึ่งมีผู้ลืมไว้ ศึกษาได้จากเนื้อเรื่องที่มีเล่าไว้ว่า

.... มีภิกษุรูปหนึ่ง กำลังอาบน้ำอยู่ที่แม่น้ำอจิรวดี ขณะนั้นพราหมณ์คนหนึ่ง วางห่อเงิน ๕๐๐ กหาปณะไว้บนบก แล้วลงอาบน้ำที่แม่น้ำอจิรวดีเช่นกัน อาบเสร็จแล้วก็ไป โดยลืมห่อเงินไว้ ฝ่ายภิกษุรูปนั้น (เห็นห่อนั้นแล้ว) ก็คิดว่า “ของห่อเงินของพราหมณ์นี้อย่าได้หายเลย” จึงหยิบเอาไปด้วย ตั้งใจจะเก็บไว้ให้ ครู่เดียว พราหมณ์นั้น ก็กระหืดกระหอบ รีบมาหาภิกษุรูปนั้น แล้วถามว่า “เห็นถุงเงินของผมบ้างไหม ?” เมื่อพระตอบว่า “เห็น”

ตามธรรมเนียมปฏิบัติเจ้าของเงินที่ได้ของคืน น่าจะต้องให้ค่าตอบแทนแก่ผู้เก็บไว้ให้ อย่างน้อยต้องให้ร้อยละ ๕ คือ ต้องชักให้ ๕ กหาปณะ จาก ๑๐๐ กหาปณะ (สะตะโต ปัญจะ กะหาปะณา) พราหมณ์นั้นกลัว ว่าจะต้องให้ค่าตอบแทน จึงคิดหาอุบาย ให้ไม่ต้องจ่ายแก่ท่าน จึงพูดสับปลับว่า “เงินของผมไม่ใช่ ๕๐๐ กหาปณะ แต่เป็น ๑,๐๐๐ กหาปณะ” แล้วผละจากไป แล้วไปพูดให้เสียหายต่อสาธารณชนว่า “พระหยิบของตัวเองไป” ฝ่ายภิกษุนั้น กลับวัดแล้ว เล่าเรื่องให้เพื่อนพระด้วยกันทราบ ในที่สุดพระพุทธเจ้า ก็ทรงประชุมสงฆ์ สอบสวนท่าน เมื่อท่านรับว่า “หยิบไปจริง” พระพุทธเจ้าทรงตำหนิแล้ว บัญญัติสิกขาบทดังกล่าวแล้ว

ข้อสังเกต

๑. ของมีค่านี้เจ้าของลืมไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งไม่ใช่ในพื้นที่ของวัด


๒. การบัญญัติครั้งนี้ เป็นการบัญญัติครั้งแรก เรียกตามพระวินัยว่า ปฐมบัญญัติ – บัญญัติครั้งที่ ๑

๒. ครั้งที่ ๒ ทรงบัญญัติว่า

“โย ปะนะ ภิกขุ ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัญญัตระ อัชฌารามา อุคคัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ปาจิตติยัง – ก็ ภิกษุใด จับ/หยิบ รัตนะ หรือของที่รับรู้กันว่า (ทำมาจาก) รัตนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่จับ/หยิบในเขตอาราม”

ในตอนนี้ รัตนะหรือของที่รับรู้ว่า (ทำมาจาก) รัตนะ คือ เครื่องประดับที่ทำจากรัตนะต่าง ได้แก่ มหาลดาประสาธน์ ราคาเก้าโกฏิกหาปณะ ซึ่งเป็นเครื่องประดับประจำตัวนางวิสาขา ที่สาวใช้ลืมไว้ ศึกษาได้จากเหตุการณ์ที่มีกล่าวไว้ว่า

....คราวหนึ่ง ในเมืองสาวัตถี มีการแสดงมหรสพ ซึ่งจัดขึ้นในอุทยาน (สวนสาธารณะ) มีผู้คนไปเที่ยวชมกันมาก แต่ละคนต่างแต่งตัวสวยงาม นางวิสาขาก็ตั้งใจไปอุทยานด้วย จึงแต่งตัวสวยงามด้วยเครื่องประดับเต็มอัตรา แต่ระหว่างทางคิดได้ ว่าไปอุทยาน ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร จึงเปลี่ยนใจ เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ครั้นไปถึงเขตวัดบุพพารามแล้ว ก็ปลดเครื่องประดับออกแล้ว เอาผ้าพาดไหล่ห่อไว้ แล้วยื่นให้สาวใช้ถือไว้ นางวิสาขา เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรมแล้ว ก็กราบลา ปรากฏว่า สาวใช้ลืมห่อเครื่องประดับไว้ที่วัด พระเห็นแล้ว จึงนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ทรงรับสั่งว่า “เตนะหิ ภิกขะเว อุคคะเหตวา นิกขิปถ - ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ให้พวกเธอหยิบมาเก็บไว้” ต่อมา พระองค์ทรงอาศัยเหตุการณ์นั้น รับสั่งประชุมสงฆ์แล้วตรัสเปิดทางว่า

“อะนุชานามิ ภิกขะเว ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัชฌาราเม อุคคะเหตวา วา อุคคะหาเปตวา วา นิกขิปิตุง ‘ยัสสะ ภะวิสสะติ, โส หะริสสะติ’ อิติ – ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้ (ภิกษุ) หยิบเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นหยิบ รัตนะ หรือของที่รับรู้ว่า (ทำมาจาก) รัตนะ (ที่ตก) ในเขตอารามด้วยมาเก็บไว้ ด้วยตั้งใจว่า ‘ผู้ที่เป็นเจ้าของจักมารับไป’

จากนั้น จึงทรงบัญญัติเป็นสิกขาบทว่าไว้ ให้พระสาวกได้เรียนรู้อย่างที่กล่าวไว้ข้างบน

โปรดสังเกตว่า

๑. การบัญญัติครั้งที่ ๒ นี้ เป็นการเพิ่มเติมเนื้อหา คือ “ในเขตอาราม” ซึ่งในการบัญญัติครั้งแรกไม่มี
๒. การบัญญัติเพิ่มเติมนี้ เรียกว่า อนุบัญญัติ – การบัญญัติเพิ่ม จุดมุ่งหมายเพื่อให้ผ่อนคลายหรือยืดหยุ่นขึ้น

แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น ยังมีการบัญญัติเพิ่มอีกเป็นครั้งที่ ๓

๓. ครั้งที่ ๓ ทรงบัญญัติว่า

“โย ปะนะ ภิกขุ ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัญญัตระ อัชฌารามา วา อัชฌาวะสถา วา อุคคัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ปาจิตติยัง. ระตะนัง วา ปะนะ ภิกขุนา ระตะนะสัมมะตัง วา อัชฌาราเม วา อัชฌาวะสะเถ วา อุคคะเหตวา วา อุคคะหาหาเปตวา วา นิกขิปิตัพพัง ‘ยัสสะ ภะวิสสะติ, โส หะริสสะติ ; อะยัง ตัตถะ สามีจิ’ ก็ ภิกษุใด จับ/หยิบ รัตนะ หรือของที่รับรู้กันว่า (ทำมาจาก) รัตนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ จับ/หยิบ ในเขตอาราม หรือในที่พัก, อนึ่ง ภิกษุจะจับ/หยิบเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นจับ/หยิบ ซึ่งรัตนะหรือของที่รับรู้ร่วมกันว่าทำมาจากรัตนะในเขตพื้นที่อาราม หรือในที่พักแรมมาเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า ‘ผู้เป็นเจ้าของจักมารับไป’ นี้เป็นความชอบในเรื่องนั้น”

ในตอนนี้ รัตนะหรือของที่รับรู้ว่า (ทำมาจาก) รัตนะ คือ เครื่องประดับที่ทำจากรัตนะต่าง ได้แก่ แหวนสวมนิ้วมือ (อังคุลิมุททิกา) ที่เจ้าของถอดลืมไว้ในที่พัก ศึกษาได้จากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

...คราวหนึ่ง ที่หมู่บ้านสำหรับประกอบการของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นกาสี มีพระมาหลายรูป เศรษฐีเคยสั่งคนใกล้ชิดไว้ว่า “ถ้ามีพระมา ให้ทำอาหารถวาย” ดังนั้น เขาจึงนิมนต์พระให้มาฉันอาหารในวันรุ่งขึ้น รุ่งขึ้นเช้า เมื่อพระมาพร้อม เขาก็จัดการเลี้ยงพระด้วยตนเอง โดยถอดแหวนออกวางไว้ เพื่อให้คล่องตัว ครั้นเลี้ยงพระแล้ว ส่งพระกลับแล้ว เขาก็ออกไปทำงาน โดยลืมแหวนไว้ในที่พักที่เลี้ยงพระ พระเห็นเขาลืมแหวน กลัวแหวนจะหายจึงยังเฝ้ารออยู่ ณ ที่นั้น จนกระทั่งคนสนิทของเศรษฐี มาเอาแหวนคืนไป ทั้งหมดเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถีแล้ว เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนพระด้วยกันฟัง พระพุทธเจ้าทรงทราบความจริง จึงตรัสประชุมสงฆ์แล้วตรัสแนะนำว่า

“อะนุชานามิ ภิกขะเว ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัชฌาราเม วา อัชฌาวะสะเถ วา อุคคะเหตวา วา อุคคะหาเปตวา วา นิกขิปิตุง ‘ยัสสะ ภะวิสสะติ, โส หะริสสะติ’ อิติ – ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้ (ภิกษุ) หยิบเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นหยิบ รัตนะ หรือของที่รับรู้ว่า (ทำมาจาก) รัตนะ (ที่ตก) ในเขตอาราม หรือในที่พักแรม มาเก็บไว้ ด้วยตั้งใจว่า ‘ผู้ที่เป็นเจ้าของจักมารับไป

จากนั้น จึงทรงบัญญัติสิกขาบทดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น

โปรดสังเกต
๑. การบัญญัติครั้งที่ ๓ เป็นอนุบัญญัติ - การบัญญัติเพิ่ม คือเพิ่ม อัชฌาวะสะเถ - ในที่พักแรม เข้ามา ต่อจากครั้งที่ ๒
๒.จะเห็นว่าทรงแก้ไข เหมือนแก้กฎหมาย แก้หลังมีสถานการณ์ให้ต้องแก้
๓.เป็นการแก้เพื่อให้พระสาวกปฏิบัติตัวได้ง่ายขึ้น เป็นที่พึ่งของสังคมได้ เพราะแสดงความรับผิดชอบต่อมนุษย์ด้วยกัน
สรุป
การจับ/หยิบ ในสิกขาบทนี้ไม่ใช่เพื่อตน แต่เพื่อเก็บไว้คืนเจ้าของ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ทำได้ ไม่เป็นอาบัติ
สาระสำคัญของเหตุการณ์ อยากให้ผู้อ่านศึกษาถึงการบัญญัติสิกขาบทแบบผ่อนผันของพระพุทธเจ้าในที่ หรือโอกาสหรือสถานการณ์ที่ทรงเห็นว่า ผ่อนผันแบบให้พระอยู่ในสังคมโลกได้ โดยไม่เสียความเป็นพระ

https://www.facebook.com/bannaruji.home


ดูพุทธบัญญัตินี่แล้ว ยังไม่เห็นว่า พระภิกษุปล้นปัจจัยสี่ อย่างคุณโรสศิษย์บ้านธัมมะซึ่งนำโดยแม่สุจินเบย เห็นแต่เขาเก็บไว้คืนเจ้าของ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ททาติ เว ยถาสทฺธํ ยถาปสาทนํ ชโน
ตตฺถ โย มงฺกุโต โหติ ปเรสํ ปานโภชเน
น โส ทิวา วา รตฺตํ วา สมาธึ อธิคจฺฉติ
ยสฺส เจตํ สมุจฺฉินฺนํ มูลฆจฺฉํ สมูหตํ
ส เว ทิวา วา รตฺตํ วา สมาธึ อธิคจฺฉติ.


ชนย่อมให้ (ทาน) ตามศรัทธา ตามความเลื่อมใสแล
ชนใดย่อมเป็นผู้เก้อเขินในเพราะน้ำและข้าวของชนเหล่าอื่นนั้น ชนนั้นย่อมไม่บรรลุสมาธิในกลางวันหรือในกลางคืน
ก็อกุศลกรรมอันบุคคลใดตัดขาดแล้ว ถอนขึ้นทำให้มีรากขาดแล้ว บุคคลนั้นแล ย่อมบรรลุสมาธิในกลางวันหรือในกลางคืนได้.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร