วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 16:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในที่สุด ข้อที่ไม่ควรลืม ก็คือพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า ที่ทรงมุ่งให้มองอริยะหรืออารยชนในความหมายใหม่ ซึ่งต่างจากพวกพราหมณ์บัญญัติไว้
เมื่อจับความหมายในแง่นี้ ก็ลงข้อสรุปได้อีกท่อนหนึ่ง ซึ่งเน้นความหมายในแง่สังคมว่า อริยะ หรืออารยชนที่เป็นสมาชิกในสังคมใหม่ คือชุมชนชาวพุทธนั้น เป็นอารยชนโดยอารยธรรม คือด้วยการดำเนินชีวิตตามมรรคาที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา
เป็นผู้มีศีลธรรมที่เป็นไปตามเหตุผลบริสุทธิ์ เพื่อไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ให้มีชีวิตร่วมกันที่สงบสุข เอื้อแก่ความเจริญงอกงามแห่งประโยชน์ที่พึงได้พึงถึงตามลำดับ ทั้งแก่ตนและผู้อื่น

ทั้งนี้ ไม่ใช่ศีลธรรมที่ประพฤติตามคำบงการของเจ้าหน้าที่ผู้ผูกขาดศาสนา ผู้ล่อและขู่ด้วยผลตอบแทน แก่ผู้หวังประโยชน์ส่วนตัวในรูปต่างๆ ซึ่งศีลธรรมจะบิดเบือนแปรรูปไปได้ต่างๆ ตามความพอใจของเจ้าหน้าที่ผูกขาดศาสนานั้นๆ ดังเช่นศีลธรรมแบบพิธีบูชายัญของพวกพราหมณ์เป็นตัวอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกต้องแล้วหละค่ะ บ้านธรรมทุกๆบ้านที่เป็นศิษย์พระตถาคต

เค้ารู้ชัดตามคำพระตถาคตว่า

ไม่มีใครเอากิเลสออกได้ ค่ะ

อยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากเอากิเลสออก แค่ไหนๆๆ ก็ไม่มีใครเอาออกไปได้ค่ะ
ไม่งั้นก็เอากิเลสกันออกหมดแล้วทั่วบ้านทั่วเมือง
ไม่มีใครอยากเอากิเลสไว้หรอกค่ะ นิพพานกันทั้งศาสนาไปนานแล้ว

กิเลสตัณหา วนไปมา เพราะอวิชชาความไม่รู้

จะเอาสังขารออกไป เอาวิญญาณ ออกไป เอานาม เอารูป ออกไป เอาสฬายตนะออกไป เอาผัสสะออกไป

แบบนี้ แล้วกิเลสจะออกไปได้ พระพุทธองค์ไม่ได้สอนหรอกค่ะ

เว้นบางบ้าน ที่คิดเองเออเอง ไม่ทำตามคำพระตถาคต จำมาผิด เข้าใจผิด

จะคิดเองเออเองไปว่า เอากิเลสออกได้ค่ะ





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กรุณาอย่าเดาส่งเดชนะคะ
การจะรู้จักใครกล่าวหาใครนั้น
เราต้องเข้าไปหาคลุกคลีสนทนา
รู้อัธยาศัยเป็นอย่างดีจึงรู้จักว่าผู้นั้น
มีปกติอุปนิสัยเป็นอย่างไรอย่าเดาส่งเดช
เราจะทราบว่าแต่ละบุคคลนั้นมีปัญญาระดับไหน
ควรเข้าไปศึกษาเรียนรู้ซึ่งหน้าไปถามที่มูลนิธิด้วยตนเองค่ะ
อย่าเอาแต่คิดปรุงแต่งเอาเองความเข้าใจต้องสดๆร้อนๆไม่เตรียมอะไรวางตำราลงก่อน
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
กรุณาอย่าเดาส่งเดชนะคะ
การจะรู้จักใครกล่าวหาใครนั้น
เราต้องเข้าไปหาคลุกคลีสนทนา
รู้อัธยาศัยเป็นอย่างดีจึงรู้จักว่าผู้นั้น
มีปกติอุปนิสัยเป็นอย่างไรอย่าเดาส่งเดช
เราจะทราบว่าแต่ละบุคคลนั้นมีปัญญาระดับไหน
ควรเข้าไปศึกษาเรียนรู้ซึ่งหน้าไปถามที่มูลนิธิด้วยตนเองค่ะ
อย่าเอาแต่คิดปรุงแต่งเอาเองความเข้าใจต้องสดๆร้อนๆไม่เตรียมอะไรวางตำราลงก่อน
onion onion onion


ส่วนที่จะมารู้ว่า เม มีสภาวะแบบไหน ปัญญาแบบไหน
ผ่านจุดของมูลนิธิเหล่านั้นมาแล้ว มากน้อยเท่าไร
ก็ให้มาดูสังโยชน์ข้างในของเมค่ะ ว่าเหลือกี่ส่วนค่ะ





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ทักขิไณย แปลว่า ผู้ควรแก่ทักขิณา (ทกฺขิณา+เณยฺย ปัจจัยในตัทธิต = ทกฺขิเณยฺย แปลงรูปเป็นไทย => ทักขิไณย) มาจากคำว่า ทักขิณา ซึ่งตรงกับสันสกฤตว่า "ทักษิณา" ตามความหมายเดิมในศาสนาพราหมณ์ หมายถึง ค่าตอบแทนการประกอบพิธี เฉพาะอย่างยิ่งพิธีบูชายัญ มีกำหนดไว้ในพระเวท ได้แก่ ทรัพย์สินเงินทอง ของใช้ เตียงตั่งเครื่องนั่งนอน ยวดยาน ธัญญาหาร สัตว์เลี้ยงทั้งหลาย เหล่าสาวสวยยุวนารี ตลอดจนที่ดินหรือดินแดนบางส่วนในราชอาณาจักร

ยิ่งเป็นยัญพิธีที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ทักษิณาก็มีมูลค่ามามายมหาศาลขึ้นเพียงนั้น ตลอดจนนางสนมกำนัลในเป็นทักษิณาให้แก่ผู้ประกอบพิธี

"ทักขิไณย" หรือผู้ควรแก่ทักษิณา ในที่นี้ ก็คือ พวกพราหมณ์ทั้งหลาย เพราะเป็นชนพวกเดียวที่ประกอบยัญพิธีได้

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกประกาศพระศาสนาแล้ว พระองค์ได้ทรงสอนให้ล้มเลิกพิธีบูชายัญ ทรงนำคำว่า "ยัญ" และ "ทักษิณา" มาใช้ในความหมายใหม่

ยัญ กลายเป็นวิธีบำเพ็ญทานโดยไม่มีการเบียดเบียนตนและสัตว์

ส่วนทักขิณา หมายถึงสิ่งของที่ควรให้ หรือของที่ควรสละเป็นทาน หรือสิ่งที่บริจาคให้ด้วยศรัทธา* (อรรถกถาว่า ของที่เขาให้โดยเชื่อกรรมและวิบากแห่งกรรม มิได้คำนึงว่า ท่านผู้นี้จะได้ช่วยรักษาโรคให้แก่เรา หรือจะได้ช่วยรับใช้เดินเรื่องให้เรา เป็นต้น (บางแห่งว่า ของที่เขาเชื่อปรโลกแล้วพึงให้) ไม่ใช่เป็นค่าตอบแทนหรือของตอบแทน หากจะเรียกว่าเป็นการตอบแทน ก็ต้องหมายถึงตอบแทนคุณความดี แต่ควรจะกล่าวว่า ของบูชาคุณความดีมากกว่า

ทักขิไณย หรือผู้ควรแก่ทักขิณาในกรณี ก็คือบุคคลที่ได้ฝึกอบรมตนในทางความประพฤติ และคุณธรรมต่างๆ อย่างเพียบพร้อม กลายเป็นตัวอย่างแห่งชีวิตที่ดีงามและมีความสุข จนกระทั่งว่า แม้เพียงการมีบุคคลเช่นนี้อยู่ในโลก ก็เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์คุ้มค่าอยู่แล้ว

ยิ่งบุคคลเช่นนี้จาริกเผยแผ่ธรรม ด้วยการไปปรากฏตัวแสดงชีวิตแบบอย่างเช่นนั้นให้เห็นกว้างขวางออกไป หรือแสดงคำสอนแนะนำผู้อื่นเพื่อเข้าถึงชีวิตเช่นนั้นด้วยตนเองบ้าง ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ล้ำค่า เกินกว่าราคาของสิ่งตอบแทนใดๆ และบุคคลเช่นนี้ย่อมไม่เรียกร้องหรือหวังผลตอบแทนใดๆด้วย

ของที่ให้เพื่อความดำรงอยู่ของบุคคลเช่นนี้แหละ คือ ทักขิณา และบุคคลเช่นนี้ ย่อมทำให้ทักขิณานั้นมีผลมาก เพราะเป็นทักขิณาที่ช่วยให้คุณธรรมความดีงาม และตัวอย่างที่เป็นอยู่มีอยู่จริงแห่งชีวิตที่มีความสุข ยังปรากฏอยู่ในโลกได้ และเป็นประโยชน์กว้างขวางออกไป บุคคลเช่นนี้ จึงชื่อว่าเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เพราะทำให้ทักษิณามีผลมาก และได้ชื่อต่อไปว่าเป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก (อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส) เพราะเป็นที่งอกงามขึ้น และขจรขจายออกไปแห่งความดีงามต่างๆ ที่จะทำให้เกิดประโยชน์สุขนานัปการแก่ชาวโลกทั้งปวง

แม้แต่ครูอาจารย์ผู้สอนความรู้สามัญส่วนบุคคล ชาวโลกยังมองค่าตอบแทนอย่างคุ้มควร แล้วไฉนจะมอบเครื่องอาศัยดำรงชีวิตเพียงเล็กน้อยให้แก่ผู้สอนความดีงามหรือ ธรรมแก่โลกไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แบบที่ ๑ ทักขิไณยบุคคล หรืออริยบุคคล ๘

เกณฑ์แบ่งแบบนี้ จัดตามกิเลสคือสังโยชน์ที่ละได้ในแต่ละขั้น พร้อมไปกับความความก้าวหน้าในการบำเพ็ญไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ดังนั้นจึงควรรู้จักสังโยชน์ไว้ก่อน

สังโยชน์ แปลตามศัพท์ว่า เครื่องผูก หมายถึงกิเลสที่ผูกใจสัตว์ หรืออกุศลธรรมที่ผูกมัดสัตว์ไว้กับทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ เหมือนผูกเทียมสัตว์ไว้กับรถ มี ๑๐ อย่าง คือ * (สํ.ม.19/349/90 ฯลฯ)

ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ หรือขั้นหยาบ) ๕ อย่าง คือ

๑ . สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่า เป็นตัวของตน ความเห็นที่ยังติดแน่นในสมมติว่าเป็นตัวตน เราเขา เป็นนั่นเป็นนี่ มองไม่เห็นสภาพความจริง ที่สัตว์บุคคลเป็นเพียงองค์ประกอบต่างๆ มาประชุมกันเข้า ทำให้มีความเห็นแก่ตัวในขั้นหยาบ และความรู้สึกกระทบกระทั่งบีบคั้นเป็นทุกข์ได้รุนแรง *

๒. วิจิกิจฉา ความลังเล สงสัย เคลือบแคลงต่างๆ เช่น สงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา ในเรื่องที่มาที่ไปของชีวิต ในปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น ทำให้ไม่มั่นใจ ไม่เข้มแข็งแกล้วกล้าที่จะดำเนินชีวิตตามหลักธรรม ด้วยความมีเหตุมีผล และในการที่จะเดินหน้าแน่วดิ่งไปในอริยมรรคา

๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต คือความยึดถือผิดพลาดไปว่า จะบริสุทธิ์ จะหลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและพรต ได้แก่ การถือศีล ระเบียบ แบบแผน บทบัญญัติ และข้อปฏิบัติต่างๆ โดยสักว่าทำตามๆกันไปอย่างงมงาย เห็นเป็นขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ ติดอยู่แต่รูปแบบหรือพิธีรีตอง ก็ดี ถือด้วยตัณหาและทิฏฐิ คือปฏิบัติเพราะอยากได้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเพราะเห็นว่าจะทำให้ได้เป็นนั่นเป็นนี่ ก็ดี ไม่เป็นไปตามความหมาย และความมุ่งหมายที่แท้จริงของศีลและพรต ทำให้เขวออกนอกลู่นอกทาง หรือเลยเถิดไป เป็นอย่างศีลและพรตของนักบำเพ็ญตบะ เป็นต้น ไม่เข้าสู่อริยมรรค

๔. กามราคะ ความติดใคร่ในกาม ความอยากได้ใฝ่หาในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ที่ชอบใจ

๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิดขัดเคือง หรืองุ่นง่านใจ


ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง หรือขั้นละเอียด) ๕ อย่าง คือ

๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต เช่น ติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน พอใจในรสความสุข ความสงบของสมาธิขั้นรูปฌาน ติดใจปรารถนาในรูปภพ เป็นต้น

๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม เช่น ติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน ติดใจปรารถนาในอรูปภพ เป็นต้น

๘. มานะ ความถือตัว ความสำคัญตนเป็นนั่นเป็นนี่ เช่นว่า สูงกว่าเขา เท่าเทียบเขา ต่ำกว่าเขา เป็นต้น

๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน จิตใจไม่สงบ ว้าวุ่น ซัดส่าย คิดพล่านไป

๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง ไม่รู้เท่าทันสภาวะ ไม่เข้าใจกฎธรรมดาแห่งเหตุและผล หรือไม่รู้อริยสัจ

.......

ที่อ้างอิง * ตามลำดับ

* พึงสังเกตว่า ในบาลีทั่วไป สังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ เป็น กามฉันทะ และพยาบาท เฉพาะที่ องฺ.ติก. 20/524/312 เป็นอภิชฌา และพยาบาท แต่ที่เรียนกันมาเป็น กามราคะ และปฏิฆะนั้น ก็เพราะถือตามคัมภีร์ชั้นรอง และคัมภีร์รุ่นอรรถกถาฎีกา เช่น ขุ.ปฏิ.31/535/436 ฯลฯ

* คำจำกัดความตามแบบว่า มองเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ เป็นตน
มองเห็นตน มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร หรือมีวิญญาณ
มองเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ ในตน หรือ
มองเห็นตน ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร หรือในวิญญาณ (ม.มู. 12/507/548 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีใครเอากิเลสออกได้ มีแต่ต้องเพียรรู้แต่ละคำตามคำสอนก่อนตาย


ตกลงคุณโรสว่า พระอริยบุคคลนี่ ท่านเอากิเลสออกได้ไหมขอรับ

1. ไม่ได้
2. ได้

ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 ครับโผม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักขิไณยบุคคล หรืออริยบุคคล ๘ นั้น ว่าโดยระดับหรือขั้นตอนใหญ่แล้ว ก็มีเพียง ๔ และสัมพันธ์กับการละสังโยชน์ ดังนี้

ก. พระเสขะ (ผู้ยังต้องศึกษา) หรือ สอุปาทิเสสบุคคล (ผู้ยังมีเชื้อคืออุปาทานเหลืออยู่) คือ

๑. พระโสดาบัน ผู้ถึงกระแสคือเข้าสู่มรรค เดินทางถูกต้องอย่างแท้จริง หรือปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคอย่างแท้จริง เป็นผู้ทำได้บริบูรณ์ ในขั้นศีล ทำได้พอประมาณในสมาธิ และทำได้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส


๒. พระสกทาคามี ผู้กลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวก็จะกำจัดทุกได้สิ้น เป็นผู้ทำได้บริบูรณ์ในขั้นศีล ทำได้พอประมาณในสมาธิ และทำได้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อ ต้นได้แล้ว ยังทำราคะ โทสะ และโมหะ ให้เบาบางลงไปอีก ต่อจากขั้นของพระโสดาบัน


๓. พระอนาคามี ผู้จะปรินิพพานในที่ผุดเกิดขึ้น ไม่เวียนกลับมาอีก เป็นผู้ทำได้บริบูรณ์ในขั้นศีล ทำได้พอประมาณในสมาธิ แต่ทำได้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์ได้อีก ๒ ข้อ คือ กามราคะ และปฏิฆะ (รวมเป็นละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ครบ ๕ ข้อ)


ข. พระอเสขะ (ผู้ไม่ต้องศึกษา) หรือ อนุปาทิเสสบุคคล (ผู้ไม่มีเชื้อคืออุปาทานเหลืออยู่) คือ

๔. พระอรหันต์ ผู้ควร (แก่ทักขิณาหรือการบูชาพิเศษ) หรือผู้หักกรรมแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะ เป็นผู้ทำได้บริบูรณ์ในสิกขาทั้งสาม คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ละสังโยชน์เบื้องสูงได้อีกทั้ง ๕ ข้อ (รวมเป็นละสังโยชน์หมดทั้ง ๑๐)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระเสขะ แปลว่า ผู้ยังต้องศึกษา คือยังมีกิจเกี่ยวกับการฝึกฝนอบรมตนที่จะต้องทำต่อไปอีก จึงได้แก่ ทักขิไณยบุคคล ๓ ระดับต้น ซึ่งจะต้องปฏิบัติในสิกขา เพื่อละสังโยชน์ และบรรลุธรรมสูงขึ้นต่อไป จนถึงเป็นพระอรหันต์

ส่วนพระอเสขะ แปลว่า ผู้ไม่ต้องศึกษา คือทำกิจเกี่ยวกับการฝึกฝนอบรมตนเสร็จสิ้นแล้ว บรรลุประโยชน์แล้ว ไม่ต้องปฏิบัติในสิกขาต่อไป ไม่มีกิเลสที่ต้องพยายามละต่อไป และไม่มีภูมิธรรมสูงกว่านั้นที่จะต้องขวนขวายบรรลุอีก จึงได้แก่พระอรหันต์


สอุปาทิเสสบุคคล คือผู้ยังมีอุปาทิเหลืออยู่ คือยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ซึ่งก็หมายถึงยังมีกิเลสเหลืออยู่บ้างนั่นเอง จึงได้แก่ทักขิไณยบุคคล ๓ ระดับต้น

ส่วนอนุปาทิเสสบุคคล คือผู้ไม่มีอุปาทิเหลืออยู่ คือไม่มีอุปาทานเหลือ ซึ่งก็หมายถึงว่าไม่มีกิเลสเหลืออยู่เลยนั่นเอง จึงได้แก่พระอรหันต์

พึงสังเกตว่า ในที่นี้ แปลคำอุปาทิ ว่าอุปาทาน คือความยึดมั่นที่เป็นตัวกิเลสเอง ให้ต่างจากอุปาทิในสอุปาทิเสสนิพพาน และอนุปาทิเสสนิพพาน ซึ่งแปลว่าสิ่งที่ถูกยึดมั่น อันหมายถึงเบญจขันธ์ ความจึงไม่ขัดแย้งกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในพระสูตรที่แสดงข้อปฏิบัติสำคัญๆ เช่น สติปัฏฐาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ เป็นต้น ในตอนท้ายมักมีพุทธพจน์ที่ตรัสทำนองสรุปแบบส่งเสริมกำลังใจผู้ปฏิบัติว่า เมื่อได้บำเพ็ญข้อปฏิบัตินั้นๆแล้ว พึงหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาผล ๒ อย่างนี้ได้ คือ "ทิฏฺเฐว ธมฺเม อญฺเญ สติ วา อุปาทิเสเส อนาคามิตา" (อรหัตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็เป็นอนาคามี) ซึ่งเห็นได้ชัดว่า คำว่า อุปาทิ ในกรณีเช่นนี้ หมายถึงอุปาทาน หรือพูดอย่างกว้างๆว่า กิเลสนั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักขิไณยบุคคล หรืออริยบุคคล ๘ ก็คือ ทักขิไณยบุคคล หรืออริยบุคคล ใน ๔ ระดับข้างต้นนั้นเอง ที่แบ่งซอยออกไประดับละคู่ ดังนี้ *(ที.ปา.11/342/267 ฯลฯ)

๑. โสดาบัน (ท่านผู้ทำให้แจ้ง คือบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว)

๒. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล

๓. สกทาคามี (ท่านผู้ทำให้แจ้งสกทาคามิผลแล้ว)

๔. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล

๕. อนาคามี (ท่านผู้ทำให้แจ้งอนาคามิผลแล้ว)

๖. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล

๗. อรหันต์ (ท่านผู้ทำให้แจ้งอรหัตผลแล้ว)

๘. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตผล

ทักขิไณยบุคคล ๘ จัดเป็น ๔ คู่ ชุดนี้แล ที่ท่านหมายถึงว่าเป็น สาวกสงฆ์ หรือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ที่เป็นอย่างหนึ่งในพระรัตนตรัย หรือเป็นชุมชนในอุดมคติของพระพุทธศาสนา ดังคำในบทสวดสังฆคุณว่า "ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฺฐ ปุริสปุคฺคล เอส ภควาโต สาวกสงฺโฆ" (ได้แก่คู่บุรุษ ๔ ตัวบุคคล ๘ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคนี้...) และสาวกสงฆ์นี้แล ที่ต่อมานิยมเรียกกันว่า อริยสงฆ์

ในชั้นพระไตรปิฎก พบใช้คำว่า "อริยสงฆ์" แห่งเดียว ในข้อความที่เป็นคาถาในอังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต คือใช้อริยสงฆ์ เป็นไวพจน์ของสาวกสงฆ์ ในคัมภีร์รุนอรรถกถาจึงใช้คำว่า อริยสงฆ์ กันดื่นขึ้น ดังจะเห็นได้ชัดเจนในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์

เมื่อนิยมเรียกสาวกสงฆ์ เป็นอริยสงฆ์แล้ว ก็เรียก ภิกษุสงฆ์ เป็นสมมติสงฆ์ (สงฆ์โดยสมมติ คือ โดยการตกลงหรือยอมรับร่วมกัน ได้แก่ ชุมนุมพระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ไม่เจาะจงรูปใดๆ) เป็นอันเข้าคู่กัน (สาวกสงฆ์ คู่กับภิกษุสงฆ์ อริยสงฆ์ คู่กับสมมติสงฆ์)

อย่างไรก็ดี การเรียกว่า อริยสงฆ์ และสมมติสงฆ์นี้ นับว่าเป็นการเรียกที่มีหลัก และเป็นการเน้นความหมายที่มีประโยชน์อีกด้านหนึ่งของคำว่าสงฆ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

(ตัดชื่อคัมภีร์อ้างอิงออกไปบ้าง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีใครเอากิเลสออกได้ มีแต่ต้องเพียรรู้แต่ละคำตามคำสอนก่อนตาย


ตกลงคุณโรสว่า พระอริยบุคคลนี่ ท่านเอากิเลสออกได้ไหมขอรับ

1. ไม่ได้
2. ได้

ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 ครับโผม

:b16:
รู้ตรงวิสยรูป7ตรงปัจจุบันขณะคือละไม่รู้ไงคะเพราะรู้ปกติของการคิดได้ไงคะ
ละสมุทัยคือละตัวตนเพื่อรู้ตรงปรมัตถสัจจะ1เดียวของตนคือเอกายโนมัคโครู้จักตน
ไม่มีทางรู้อย่างตถาคตแน่นอนไม่เคยได้ยินหรือคะอริยบุคคลก็รู้ในส่วนที่ท่านรู้แล้วเท่านั้น
เวลามีผู้มาถามปัญญาแม้พระขีณาสพท่านตอบไม่ได้ก็ยังไปทูลถามตถาคตเราน่ะคริคริคริไม่มีสัจจะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีใครเอากิเลสออกได้ มีแต่ต้องเพียรรู้แต่ละคำตามคำสอนก่อนตาย


ตกลงคุณโรสว่า พระอริยบุคคลนี่ ท่านเอากิเลสออกได้ไหมขอรับ

1. ไม่ได้
2. ได้

ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 ครับโผม

:b16:
รู้ตรงวิสยรูป7ตรงปัจจุบันขณะคือละไม่รู้ไงคะเพราะรู้ปกติของการคิดได้ไงคะ
ละสมุทัยคือละตัวตนเพื่อรู้ตรงปรมัตถสัจจะ1เดียวของตนคือเอกายโนมัคโครู้จักตน
ไม่มีทางรู้อย่างตถาคตแน่นอนไม่เคยได้ยินหรือคะอริยบุคคลก็รู้ในส่วนที่ท่านรู้แล้วเท่านั้น
เวลามีผู้มาถามปัญญาแม้พระขีณาสพท่านตอบไม่ได้ก็ยังไปทูลถามตถาคตเราน่ะคริคริคริไม่มีสัจจะ
:b12:
:b32: :b32:



ถามว่าตอบข้อไหน 1 หรือ 2

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีใครเอากิเลสออกได้ มีแต่ต้องเพียรรู้แต่ละคำตามคำสอนก่อนตาย


ตกลงคุณโรสว่า พระอริยบุคคลนี่ ท่านเอากิเลสออกได้ไหมขอรับ

1. ไม่ได้
2. ได้

ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 ครับโผม

:b16:
รู้ตรงวิสยรูป7ตรงปัจจุบันขณะคือละไม่รู้ไงคะเพราะรู้ปกติของการคิดได้ไงคะ
ละสมุทัยคือละตัวตนเพื่อรู้ตรงปรมัตถสัจจะ1เดียวของตนคือเอกายโนมัคโครู้จักตน
ไม่มีทางรู้อย่างตถาคตแน่นอนไม่เคยได้ยินหรือคะอริยบุคคลก็รู้ในส่วนที่ท่านรู้แล้วเท่านั้น
เวลามีผู้มาถามปัญญาแม้พระขีณาสพท่านตอบไม่ได้ก็ยังไปทูลถามตถาคตเราน่ะคริคริคริไม่มีสัจจะ
:b12:
:b32: :b32:



ถามว่าตอบข้อไหน 1 หรือ 2

จะอธิบายให้คุณกรัชกายไตร่ตรองแล้วก็คิดตามก็จะรู้คำตอบค่ะ
ในแก้วมีกิเลสเป็นน้ำเกลือเต็มแก้ว
ข้อที่1รู้เติมปัญญาเป็นชิมน้ำเปล่าเพื่อให้น้ำเปล่าเข้าไปล้างน้ำเกลือ
ข้อที่2ไม่รู้เลือกไม่ถูกว่าอันไหนไม่ชิมก่อนหยิบถูกแต่น้ำเกลือไปเติม
:b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร