วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 07:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ปฏิบัติธรรมบางกลุ่มบางคณะ พอทำไปๆปฏิบัติไปๆ เกิดนิวรณ์ คือ ง่วงนอน เป็นต้นขึ้น ก็แนะนำกันและกันว่า ให้ไปนอนก่อน หายง่วงแล้วมาทำใหม่ปฏิบัติใหม่ หรือกำลังนั่งกำหนดอารมณ์อยู่ง่วงนอน ก็บอกให้ลุกขึ้นเดิน ไปทำนั่นทำนี่เสียก่อน หายง่วงแล้วมานั่งใหม่ ฯลฯ นี่แสดงว่า เลือกที่รักมักที่ชังแล้ว คือเขา/เราจะเอาแต่อารมณ์ดีๆ ถูกอกถูกใจ อารมณ์ไหนไม่ถูกใจ ไม่เอารับไม่ได้ปฏิเสธเลย นี่คิดผิดแล้ว
ความจริงมีอยู่ว่า จิตมีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต กุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน อกุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน ดูๆเหมือนอกุศลจิตจะแข็งแกร่งกว่ากุศลจิตด้วยซ้ำ

ที่ถูกทำยังไง ที่ถูกผู้ปฏิบัติต้องยอมรับทั้งดีไม่ดีถูกใจไม่ถูกใจ ทั้งสุขทั้งทุกข์ที่วนๆเวียนๆเข้ามา ประสบอารมณ์ใดก็ต้องกำหนดรู้อารมณ์นั้นตามที่มันเป็นของมัน (ไม่ใช่ของเรา)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสเขามาแจมได้นะ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิมันก็มีศัตรูเหมือนกัน (ถ้าให้พูดแบบภาษาชาวบ้านมีเจ้ากรรมนายเวรว่างั้นเถอะ คิกๆๆ) ศัตรูคู่อาฆาตของเขาเป็นใครหรอ ก็นิวรณ์ไงล่ะ :b1:

ศัตรูของสมาธิ

สิ่ง (ธรรม) ที่จะกล่าวต่อไปนี้ ไม่ใช่สมาธิ แต่เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูของสมาธิ เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดเสีย จึงจะเกิดสมาธิได้ หรือจะพูดว่า เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดเสียด้วยสมาธิก็ได้ สิ่งเหล่านี้ มีชื่อเฉพาะเรียกว่า นิวรณ์

นิวรณ์ แปลว่า เครื่องกีดกั้น เครื่องขัดขวาง แปลเอาความตามหลักวิขาว่า สิ่งที่กีดกั้นการทำงานของจิตไม่ให้ก้าวหน้าในกุศลธรรม ธรรมฝ่ายชั่วที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี หรืออกุศลธรรมที่ทำจิตให้เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กรัชกาย เขียน:
คุณโรสเขามาแจมได้นะ :b12:

ปกติจิตมีสมาธิตรงขณะคือขณิกสมาธิอยู่แล้ว
เมื่อขาดการฟังเพื่อระลึกตามเสียงเข้าใจตรงคำ
จึงเกิดเป็นมิจฉาสมาธิไม่ทราบหรือคะว่ารู้ตามน่ะ
ต้องคิดตามเสียงทีละคำเข้าใจความหมายตรงคำ
และต้องตรงกับความจริงที่กายใจตนกำลังมีด้วย
ถ้าไม่ได้กำลังคิดตามเสียงทีละคำอยู่คือคิดเองอยู่
เป็นการคิดเองตามความคิดตนที่มีนิมิตมาปรากฏ
บอกให้ทำอะไรก็ทำตามเขาเชื่อตามเขาบอกแล้ว
ไม่ฟังสิ่งที่ตถาคตตรัสเตือนว่าจงยังความไม่ประมาท
ให้ถึงพร้อมแม้ขณะกำลังฟังก็ต้องตรงคิดตรงคำ
ไม่สอดแทรกความคิดลงไปเพราะกิเลสมีเยอะ
หลงผิดได้ง่ายดังนั้นต้องกำลังมีกาลามสูตร10
อันที่ไปนั่งหลับตาน่ะทำเพราะเชื่อคนอื่น
อยากรู้แต่รู้ไม่ได้เพราะรู้ตามคำสอน
ต้องลืมตาดูแล้วฟังความจริงที่มี
ตามปกติจะเห็นพฤติกรรมคน
มากมายที่ขาดสุตมยปัญญา
ฟังทีละคำตรงจริงที่มีแล้ว
ถึงจะเข้าใจถูกตามได้
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมบางกลุ่มบางคณะ พอทำไปๆปฏิบัติไปๆ เกิดนิวรณ์ คือ ง่วงนอน เป็นต้นขึ้น ก็แนะนำกันและกันว่า ให้ไปนอนก่อน หายง่วงแล้วมาทำใหม่ปฏิบัติใหม่ หรือกำลังนั่งกำหนดอารมณ์อยู่ง่วงนอน ก็บอกให้ลุกขึ้นเดิน ไปทำนั่นทำนี่เสียก่อน หายง่วงแล้วมานั่งใหม่ ฯลฯ นี่แสดงว่า เลือกที่รักมักที่ชังแล้ว คือเขา/เราจะเอาแต่อารมณ์ดีๆ ถูกอกถูกใจ อารมณ์ไหนไม่ถูกใจ ไม่เอารับไม่ได้ปฏิเสธเลย นี่คิดผิดแล้ว
ความจริงมีอยู่ว่า จิตมีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต กุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน อกุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน ดูๆเหมือนอกุศลจิตจะแข็งแกร่งกว่ากุศลจิตด้วยซ้ำ

ที่ถูกทำยังไง ที่ถูกผู้ปฏิบัติต้องยอมรับทั้งดีไม่ดีถูกใจไม่ถูกใจ ทั้งสุขทั้งทุกข์ที่วนๆเวียนๆเข้ามา ประสบอารมณ์ใดก็ต้องกำหนดรู้อารมณ์นั้นตามที่มันเป็นของมัน (ไม่ใช่ของเรา)

Kiss
พึ่งคำสอนคือพึ่งพระรัตนตรัยได้ตอนกำลังฟังเท่านั้น
เมื่อไหร่ถึงจะเริ่มฟังเพื่อเกิดสัมมาตามคำตถาคตได้คะ
https://youtu.be/SaO4cus51qA
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสนี่แหละคำของตถาคต :b12:

คำอธิบายลักษณะของนิวรณ์ ที่เป็นพุทธพจน์มีว่า

"ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ เป็นเครื่องปิดกั้น (กุศลธรรม) เป็นเครื่องห้าม (ความเจริญงอกงาม) ขึ้นกดทับจิตไว้ ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง" * (สํ.ม.19/499/135)

"...เป็นอุปกิเลสแห่งจิต (สนิมใจ หรือสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง) ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง" (สํ.ม.19/490/133)

"ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ เป็นนิวรณ์ ทำให้มืดบอด ทำให้ไร้จักษุ ทำให้ไม่มีญาณ (สร้างความไม่รู้) ทำให้ปัญญาดับ ส่งเสริมความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน" (สํ.ม.19/501/136)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิวรณ์, นิวรณธรรม ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี, สิ่งที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม, อกุศลธรรมที่กดทับจิต ปิดกั้นปัญญา มี ๕ อย่าง

นิวรณ์ ๕ อย่างนั้น คือ *

๑. กามฉันท์ ความอยากได้ อยากเอา (แปลตามศัพท์ว่า ความพอใจในกาม) หรืออภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้ หรือจ้องจะเอา หมายถึง ความอยากได้กามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นกิเลสพวกโลภะ จิตที่ถูกล่อด้วยอารมณ์ต่างๆ คิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ ติดใจโน่นติดใจนี่ คอยเขวออกไปหาอารมณ์อื่น ครุ่นข้องอยู่ ย่อมไม่ตั้งมั่น ไม่เดินเรียบไป ไม่อาจเป็นสมาธิได้

๒. พยาบาท ความ ขัดเคืองแค้นใจ ได้แก่ ความขัดใจ แค้นเคือง เกลียดชัง ความผูกใจเจ็บ การมองในแง่ร้าย การคิดร้าย มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรู ตลอดจนความโกรธ ความหงุดหงิด ฉุนเฉียว ความรู้สึกขัดใจ ไม่พอใจต่างๆ จิตที่มัวกระทบนั่นกระทบนี่ สะดุดนั่นสะดุดนี่ เดินไม่เรียบ ไม่ไหลเนื่อง ย่อมไม่อาจเป็นสมาธิ

๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่และเซื่องซึม หรือเซ็งและซึม แยกเป็นถีนะ ความหดหู่ ห่อเหี่ยว ถอดถอย ระย่อ ท้อแท้ ความซบเซา เหงาหงอย ละเหี่ย ที่เป็นอาการของจิตใจ กับ มิทธะ ความเซื่องซึม เฉื่อยเฉา ง่วงเหงา อืดอาด มึนมัว ตื้อตัน อาการซึมๆ เฉาๆ ที่เป็นไปทางกาย (ท่านหมายถึงนามกาย คือกองเจตสิก) จิตที่ถูกอาการอย่างนี้ครอบงำ ย่อมไม่เข็มแข็ง ไม่คล่องตัว ไม่เหมาะแก่การใช้งาน จึงไม่อาจเป็นสมาธิได้

๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและเดือดร้อนใจ แยกเป็นอุทธัจจะ ความที่จิตฟุ้งซ่าน ไม่สงบ ส่ายพร่า พล่านไป กับ กุกกุจจะ ความวุ่นวายใจ รำคาญใจ ระแวง เดือดร้อนใจ ยุ่งใจ กลุ้มใจ กังวลใจ จิตที่ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ ย่อมพล่าน งุ่นง่าน ย่อมคว้างไป ไม่อาจสงบได้ จึงไม่เป็นสมาธิ

๕. วิจิกิจฉา ความ ลังเลสงสัย ได้แก่ ความเคลือบแคลง ไม่แน่ใจ เกี่ยวกับพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ เกี่ยวกับสิกขา เป็นต้น พูดสั้นๆว่า คลางแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย ตกลงใจไม่ได้ เช่นว่า ธรรมนี้ สมาธิภาวนานี้ ฯลฯ มีคุณค่า มีประโยชน์ควรแก่การปฏิบัติหรือไม่ จะได้ผลจริงไหม คิดแยกไปสองทาง วางใจไม่ลง จิตที่ถูกวิจิกิจฉาขัดไว้ กวนไว้ ให้ค้าง ให้พร่า ให้ว้าวุ่น ลังเลอยู่ มีแต่จะเครียด ไม่อาจแน่วแน่เป็นสมาธิ

.........

อ้างอิงที่ *

* นิวรณ์ ๕ ที่มีอภิชฌา เป็นข้อแรก มักบรรยายไว้ก่อนหน้าจะได้ฌาน เช่น ที.สี. 9/125/95 ฯลฯ ส่วนนิวรณ์ ๕ ที่มีกามฉันท์ เป็นข้อแรก มักกล่าวไว้เอกเทศ และระบุแต่หัวข้อ ไม่บรรยายลักษณะ เช่น ที.สี. 9/378/306 ฯลฯ ดูอธิบายในนิวรณ์ ๖ (เติมอวิชชา) ที่ อภิ.สํ.34/749-753/295-7 ฯลฯ

อภิชฌา = กามฉันท์ เช่น ปฏิสํ. อ. 212 อภิชฌา = โลภะ เช่น อภิ.สํ.34/691/237 คำว่า กาย ในข้อ ๓ ท่านว่า หมายถึงนามกาย คือกองเจตสิก (สง.คณี อ. 536)


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นบางกลุ่มเขาตามหาจิตกัน ถามคุณโรส คุณว่าจิตมันอยู่ที่ไหนตรงไหน คุณก็ว่ามันเกิดมันดับ



อิทํ ปุเร จิตฺตมจาริ จาริกํ
เยนิจฺฉกํ ยตฺถกามํ ยถาสุขํ
ตทชฺชหํ นิคฺคหิสฺสมิ โยนิโส
หตฺถึ ปภินฺนํ วิย องฺกุสคฺคาโห.


คำแปล: เมื่อก่อน จิตนี้ ได้ท่องเที่ยวจรไป ตามอาการที่ปรารถนา ตามอารมณ์ที่ใคร่ ตามความสบาย
วันนี้ เราจักข่มมันด้วยโยนิโสมนสิการ ประหนึ่ง นายควาญช้างข่มช้างตัวตกมัน ฉะนั้น.


อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา
อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ
ทารํุ นมยนฺติ ตจฺฉกา
อตฺตานํ นมยนฺติ สุพฺพตา.


คำแปล: ก็คนไขน้ำทั้งหลาย ย่อมไขน้ำ
ช่างศรทั้งหลาย ย่อมดัดลูกศร
ช่างถากทั้งหลาย ย่อมถากไม้
ผู้ว่าง่ายสอนง่ายทั้งหลาย ย่อมฝึกฝนตนเอง.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมบางกลุ่มบางคณะ พอทำไปๆปฏิบัติไปๆ เกิดนิวรณ์ คือ ง่วงนอน เป็นต้นขึ้น ก็แนะนำกันและกันว่า ให้ไปนอนก่อน หายง่วงแล้วมาทำใหม่ปฏิบัติใหม่ หรือกำลังนั่งกำหนดอารมณ์อยู่ง่วงนอน ก็บอกให้ลุกขึ้นเดิน ไปทำนั่นทำนี่เสียก่อน หายง่วงแล้วมานั่งใหม่ ฯลฯ นี่แสดงว่า เลือกที่รักมักที่ชังแล้ว คือเขา/เราจะเอาแต่อารมณ์ดีๆ ถูกอกถูกใจ อารมณ์ไหนไม่ถูกใจ ไม่เอารับไม่ได้ปฏิเสธเลย นี่คิดผิดแล้ว
ความจริงมีอยู่ว่า จิตมีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต กุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน อกุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน ดูๆเหมือนอกุศลจิตจะแข็งแกร่งกว่ากุศลจิตด้วยซ้ำ

ที่ถูกทำยังไง ที่ถูกผู้ปฏิบัติต้องยอมรับทั้งดีไม่ดีถูกใจไม่ถูกใจ ทั้งสุขทั้งทุกข์ที่วนๆเวียนๆเข้ามา ประสบอารมณ์ใดก็ต้องกำหนดรู้อารมณ์นั้นตามที่มันเป็นของมัน (ไม่ใช่ของเรา)

Kiss
:b12:
คืนนี้ก่อนนอนคุณกรัชกายก็พิจารณะนะคะ
หาวิธีการนอนเพื่อให้นอนหลับคือง่วงใช่ป่าว
ง่วงซึมอยากจะหลับ/ง่วงนี่ไม่ดีแล้วนะคะ
แล้วธัมมะชนะอธัมมะได้ตอนตื่นรู้จริงๆ
เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเมื่อรู้ตรงจริงอิอิ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 05:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมบางกลุ่มบางคณะ พอทำไปๆปฏิบัติไปๆ เกิดนิวรณ์ คือ ง่วงนอน เป็นต้นขึ้น ก็แนะนำกันและกันว่า ให้ไปนอนก่อน หายง่วงแล้วมาทำใหม่ปฏิบัติใหม่ หรือกำลังนั่งกำหนดอารมณ์อยู่ง่วงนอน ก็บอกให้ลุกขึ้นเดิน ไปทำนั่นทำนี่เสียก่อน หายง่วงแล้วมานั่งใหม่ ฯลฯ นี่แสดงว่า เลือกที่รักมักที่ชังแล้ว คือเขา/เราจะเอาแต่อารมณ์ดีๆ ถูกอกถูกใจ อารมณ์ไหนไม่ถูกใจ ไม่เอารับไม่ได้ปฏิเสธเลย นี่คิดผิดแล้ว
ความจริงมีอยู่ว่า จิตมีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต กุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน อกุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน ดูๆเหมือนอกุศลจิตจะแข็งแกร่งกว่ากุศลจิตด้วยซ้ำ

ที่ถูกทำยังไง ที่ถูกผู้ปฏิบัติต้องยอมรับทั้งดีไม่ดีถูกใจไม่ถูกใจ ทั้งสุขทั้งทุกข์ที่วนๆเวียนๆเข้ามา ประสบอารมณ์ใดก็ต้องกำหนดรู้อารมณ์นั้นตามที่มันเป็นของมัน (ไม่ใช่ของเรา)

Kiss
:b12:
คืนนี้ก่อนนอนคุณกรัชกายก็พิจารณะนะคะ
หาวิธีการนอนเพื่อให้นอนหลับคือง่วงใช่ป่าว
ง่วงซึมอยากจะหลับ/ง่วงนี่ไม่ดีแล้วนะคะ
แล้วธัมมะชนะอธัมมะได้ตอนตื่นรู้จริงๆ
เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเมื่อรู้ตรงจริงอิอิ
:b32: :b32:


มันชัดสะยิ่งกว่าชัดเตาปูนสะอีก คุณโรสเป็นต้น (ยังมีอีก) นี่แหละเขาเรียกว่าคนฟุ้งซ่านธรรม ภาษาทางธรรมเรียกว่าคนฟุ้งซ่านธรรม คือ พูดฟุ้งไปเรื่อย "ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานสำราญใจ" รู้ตรงนั้น รู้ตรงนี้ ถึงจะรู้ตรงจริงตรงจัง คิกๆๆ :b32:

ใช้คนทำมาสอบคุณโรสดู เขาเป็นอะไรคุณโรส

อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว
เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา
เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด
แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมบางกลุ่มบางคณะ พอทำไปๆปฏิบัติไปๆ เกิดนิวรณ์ คือ ง่วงนอน เป็นต้นขึ้น ก็แนะนำกันและกันว่า ให้ไปนอนก่อน หายง่วงแล้วมาทำใหม่ปฏิบัติใหม่ หรือกำลังนั่งกำหนดอารมณ์อยู่ง่วงนอน ก็บอกให้ลุกขึ้นเดิน ไปทำนั่นทำนี่เสียก่อน หายง่วงแล้วมานั่งใหม่ ฯลฯ นี่แสดงว่า เลือกที่รักมักที่ชังแล้ว คือเขา/เราจะเอาแต่อารมณ์ดีๆ ถูกอกถูกใจ อารมณ์ไหนไม่ถูกใจ ไม่เอารับไม่ได้ปฏิเสธเลย นี่คิดผิดแล้ว
ความจริงมีอยู่ว่า จิตมีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต กุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน อกุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน ดูๆเหมือนอกุศลจิตจะแข็งแกร่งกว่ากุศลจิตด้วยซ้ำ

ที่ถูกทำยังไง ที่ถูกผู้ปฏิบัติต้องยอมรับทั้งดีไม่ดีถูกใจไม่ถูกใจ ทั้งสุขทั้งทุกข์ที่วนๆเวียนๆเข้ามา ประสบอารมณ์ใดก็ต้องกำหนดรู้อารมณ์นั้นตามที่มันเป็นของมัน (ไม่ใช่ของเรา)

Kiss
:b12:
คืนนี้ก่อนนอนคุณกรัชกายก็พิจารณะนะคะ
หาวิธีการนอนเพื่อให้นอนหลับคือง่วงใช่ป่าว
ง่วงซึมอยากจะหลับ/ง่วงนี่ไม่ดีแล้วนะคะ
แล้วธัมมะชนะอธัมมะได้ตอนตื่นรู้จริงๆ
เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเมื่อรู้ตรงจริงอิอิ
:b32: :b32:


มันชัดสะยิ่งกว่าชัดเตาปูนสะอีก คุณโรสเป็นต้น (ยังมีอีก) นี่แหละเขาเรียกว่าคนฟุ้งซ่านธรรม ภาษาทางธรรมเรียกว่าคนฟุ้งซ่านธรรม คือ พูดฟุ้งไปเรื่อย "ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานสำราญใจ" รู้ตรงนั้น รู้ตรงนี้ ถึงจะรู้ตรงจริงตรงจัง คิกๆๆ :b32:

ใช้คนทำมาสอบคุณโรสดู เขาเป็นอะไรคุณโรส

อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว
เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา
เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด
แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน

Kiss
:b32:
นั่งหลับตาหลอกกิเลสไปวันๆอิอิ
ทำตามปกติเป็นปกติที่ลืมตาดูโลก
คือจิตวิปลาสคือคลาดเคลื่อนจากจริง
ตอนหลับไม่มีเห็นแต่ฝันเห็นอะไร55555
ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ที่ตื่นรู้ดูอยู่ปกติ
หลอกตนเองทั้งหลับและตื่นกิเลสตนทำร้ายจิตตน
พอลืมตาเห็นก็ติดทุกอย่างที่เห็นแล้วไม่รู้ความจริง
คือจำผิดเป็นบัญญัติคำและเรื่องราวของคนสัตว์วัตถุ
พอเห็นคนรู้จักมาแล้วเรื่องราวเช่นในหลวงร.9จำได้นี่
คือจำผิดคลาดเคลื่อนจากสัจจะที่กำลังมีเพราะไม่รู้
ตถาคตตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆปัจจุบัน
ที่กำลังเกิดดับเป็นขณะๆทีละ1ขณะสลับกัน6ทาง
มีแสงแค่ตอนเห็นหลังเห็นได้ยินได้กลิ่นรู้รสรับรู้มืด
ดูความจริงตอนลืมตาดูปกตินี้แหละที่ไม่รู้ว่ามืด5ทาง
วิถีจิตทางตาทางเดียวที่เกิดพร้อมแสงทางอื่นไม่มีแสง
ปกติลืมตาไม่รู้ความจริงของจิตเห็นเนี่ยหลับตาจะรู้ไหม
ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ปรากฏตอนลืมตากับตอนหลับตาต่างกันยังไง
ยังไปทำไม่รู้ให้จิตวิปลาสพิศดารเพิ่มขึ้นประมาทเห็นไหมคะ
จิตวิปลาสคลาดเคลื่อนจากความจริงตามคำสอนคือเห็นผิดจริงๆ
แค่หลับตาทุกอย่างที่เห็นไม่มีแล้วแต่จำไว้ว่ายังมีคิดนึกเอาว่ามี
แค่มองซ้ายขวาก็ไม่เห็นมองข้างหน้าข้างหลังก็ไม่มีจำผิดว่ามีตลอด
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 06:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ถามให้คิดค่ะสงสัยค่ะ
ที่ขนคนเข้าวัดมากๆ
เพื่อให้ขนลาภไปให้
หรือเพื่อสอนให้รู้จัก
กิเลสให้เกิดปัญญา
สำรวมตายังไงคะ
คนเต็มวัดจิตเห็นแค่สี
คิดว่าคนที่วัดเห็นแค่สีไหมคะ
ไม่รู้เลยว่าไม่สงบจากอกุศลแม้แต่น้อย
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ถามให้คิดค่ะสงสัยค่ะ
ที่ขนคนเข้าวัดมากๆ
เพื่อให้ขนลาภไปให้
หรือเพื่อสอนให้รู้จัก
กิเลสให้เกิดปัญญา
สำรวมตายังไงคะ
คนเต็มวัดจิตเห็นแค่สี
คิดว่าคนที่วัดเห็นแค่สีไหมคะ
ไม่รู้เลยว่าไม่สงบจากอกุศลแม้แต่น้อย
:b32: :b32:


พูดหลายหน สี สี สี สีมันอะไรอ่ะ สีทาผนังเปล่า ตอบชัดๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ถามให้คิดค่ะสงสัยค่ะ
ที่ขนคนเข้าวัดมากๆ
เพื่อให้ขนลาภไปให้
หรือเพื่อสอนให้รู้จัก
กิเลสให้เกิดปัญญา
สำรวมตายังไงคะ
คนเต็มวัดจิตเห็นแค่สี
คิดว่าคนที่วัดเห็นแค่สีไหมคะ
ไม่รู้เลยว่าไม่สงบจากอกุศลแม้แต่น้อย
:b32: :b32:


บอกหลายครั้งนะว่า ถ้าบรรพบุรุษคิดอย่างคุณโรส เป็นต้น อิอิ พระพุทธศาสนาไม่ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ดอก หมดไปตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้สามเดือนแล้ว คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมบางกลุ่มบางคณะ พอทำไปๆปฏิบัติไปๆ เกิดนิวรณ์ คือ ง่วงนอน เป็นต้นขึ้น ก็แนะนำกันและกันว่า ให้ไปนอนก่อน หายง่วงแล้วมาทำใหม่ปฏิบัติใหม่ หรือกำลังนั่งกำหนดอารมณ์อยู่ง่วงนอน ก็บอกให้ลุกขึ้นเดิน ไปทำนั่นทำนี่เสียก่อน หายง่วงแล้วมานั่งใหม่ ฯลฯ นี่แสดงว่า เลือกที่รักมักที่ชังแล้ว คือเขา/เราจะเอาแต่อารมณ์ดีๆ ถูกอกถูกใจ อารมณ์ไหนไม่ถูกใจ ไม่เอารับไม่ได้ปฏิเสธเลย นี่คิดผิดแล้ว
ความจริงมีอยู่ว่า จิตมีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต กุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน อกุศลจิตมันก็มีกำลังของมัน ดูๆเหมือนอกุศลจิตจะแข็งแกร่งกว่ากุศลจิตด้วยซ้ำ

ที่ถูกทำยังไง ที่ถูกผู้ปฏิบัติต้องยอมรับทั้งดีไม่ดีถูกใจไม่ถูกใจ ทั้งสุขทั้งทุกข์ที่วนๆเวียนๆเข้ามา ประสบอารมณ์ใดก็ต้องกำหนดรู้อารมณ์นั้นตามที่มันเป็นของมัน (ไม่ใช่ของเรา)

Kiss
:b12:
คืนนี้ก่อนนอนคุณกรัชกายก็พิจารณะนะคะ
หาวิธีการนอนเพื่อให้นอนหลับคือง่วงใช่ป่าว
ง่วงซึมอยากจะหลับ/ง่วงนี่ไม่ดีแล้วนะคะ
แล้วธัมมะชนะอธัมมะได้ตอนตื่นรู้จริงๆ
เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเมื่อรู้ตรงจริงอิอิ
:b32: :b32:


มันชัดสะยิ่งกว่าชัดเตาปูนสะอีก คุณโรสเป็นต้น (ยังมีอีก) นี่แหละเขาเรียกว่าคนฟุ้งซ่านธรรม ภาษาทางธรรมเรียกว่าคนฟุ้งซ่านธรรม คือ พูดฟุ้งไปเรื่อย "ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานสำราญใจ" รู้ตรงนั้น รู้ตรงนี้ ถึงจะรู้ตรงจริงตรงจัง คิกๆๆ :b32:

ใช้คนทำมาสอบคุณโรสดู เขาเป็นอะไรคุณโรส

อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว
เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา
เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด
แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน

Kiss
:b32:
นั่งหลับตาหลอกกิเลสไปวันๆอิอิ
ทำตามปกติเป็นปกติที่ลืมตาดูโลก
คือจิตวิปลาสคือคลาดเคลื่อนจากจริง
ตอนหลับไม่มีเห็นแต่ฝันเห็นอะไร55555

ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ที่ตื่นรู้ดูอยู่ปกติ
หลอกตนเองทั้งหลับและตื่นกิเลสตนทำร้ายจิตตน
พอลืมตาเห็นก็ติดทุกอย่างที่เห็นแล้วไม่รู้ความจริง
คือจำผิดเป็นบัญญัติคำและเรื่องราวของคนสัตว์วัตถุ
พอเห็นคนรู้จักมาแล้วเรื่องราวเช่นในหลวงร.9จำได้นี่
คือจำผิดคลาดเคลื่อนจากสัจจะที่กำลังมีเพราะไม่รู้
ตถาคตตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆปัจจุบัน
ที่กำลังเกิดดับเป็นขณะๆทีละ1ขณะสลับกัน6ทาง
มีแสงแค่ตอนเห็นหลังเห็นได้ยินได้กลิ่นรู้รสรับรู้มืด
ดูความจริงตอนลืมตาดูปกตินี้แหละที่ไม่รู้ว่ามืด5ทาง
วิถีจิตทางตาทางเดียวที่เกิดพร้อมแสงทางอื่นไม่มีแสง
ปกติลืมตาไม่รู้ความจริงของจิตเห็นเนี่ยหลับตาจะรู้ไหม
ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ปรากฏตอนลืมตากับตอนหลับตาต่างกันยังไง
ยังไปทำไม่รู้ให้จิตวิปลาสพิศดารเพิ่มขึ้นประมาทเห็นไหมคะ
จิตวิปลาสคลาดเคลื่อนจากความจริงตามคำสอนคือเห็นผิดจริงๆ
แค่หลับตาทุกอย่างที่เห็นไม่มีแล้วแต่จำไว้ว่ายังมีคิดนึกเอาว่ามี
แค่มองซ้ายขวาก็ไม่เห็นมองข้างหน้าข้างหลังก็ไม่มีจำผิดว่ามีตลอด
:b32: :b32:


จะพูดกลับด้านให้คุณโรสคิด แต่ก็เชื่อว่าคุณโรสคิดไม่ได้หรอก แต่ก็จะพูด ... ลืมตาถูกกิเลสหลอกจังๆถูกหลอกโดยไม่รู้ตัว แล้วมันก็จะหลอกเรื่อยไปจนวันตาย.... แต่หลับตาเบื้องต้นแม้กิเลสจะหลอก แต่ก็รู้ตัวว่าถูกหลอก แต่ก็เพียรหาวิธีเพื่อกำจัดกิเลส คิกๆๆ ดังตัวอย่างนั่นแล.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร