วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 10:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2018, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อนั่งยันคำพูดที่ว่า พูดนะมันง่าย ทำนะมันยาก พูดไม่กี่คำก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาแล้ว แต่ถ้าทำนะชั่วโมงสองชั่วโมงก็ร้องเป็นโอยไม่เอาแล้วไม่ไหวแล้ว ยิ่งถ้าทำไม่ถูกไม่ต้องด้วยนะตายก่อน หรือไม่ก็เป็นบ้าไปก่อน ดูตัวอย่างผู้ทำ ซึ่งไม่ใช่ผู้พูด ว่ามันไม่ง่ายยังไง

อ้างคำพูด:
ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้นและต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้


ถ้าถามว่า ที่เขาประสบจากการทำของเขานี่ ผิดไหม ? ตอบ ไม่ผิด ถูกเผ่งเลยแหละ อ้าวแล้วทำไมมันเป็นยังงั้น ตอบ ก็มันเป็นยังงั้น มันก็เป็นยังงั้น จะให้มันเป็นยังไงเล่า คิกๆๆ

พูดให้หมดเลยชอบพูดชอบอ้างกันนักหนา ก็คือ ชีวิต รูปนาม รูปธรรม นามธรรม ร่างกาย จิตใจ มันเป็นยังงั้น แล้วจะให้มันเป็นยังไงเล่า ก็มันเป็นยังงั้น มันเป็นเช่นนั้น นี่ถึงได้บอกบ่อยๆว่า มันเป็นยังไงก็รู้ยังงั้น กำหนดรู้ตามที่มันเป็นของมัน ไม่ใช่ไปทำให้เป็นตามที่ตัวเองอยากให้มันเป็นหรือไม่อยากให้มันเป็น ผู้ปฏิบัติต้องยอมรับความจริง ย้ำ ผู้ปฏิบัติต้องยอมรับความจริง

เข้าใจไหม เช่นนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2018, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่ก็พูด ไม่ใช่ทำ พูดนะมันง่าย แต่ทำนะมันยาก :b32:

จากบอร์ดศาสนาพันทิพ ตย.

อ้างคำพูด:
เวลาโกรธ ถ้ารู้ว่ากำลังโกรธ ความโกรธก็จะไม่เพิ่มต่อ และจะค่อยๆลดลง เข้าไปแอบในจิตใจใหม่
แต่ถ้าโกรธและไม่รู้ว่ากำลังโกรธ ทีนี้แหละเป็นบ้าได้
กิเลสมันขี้อายจะตาย ถ้าเราเห็นมัน


อ้างคำพูด:
เคยได้ยินไหม โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า

เคยได้ยินไหม รู้ว่ากำก้อนหินไว้มันเจ็บ แต่คนก็ยังโง่เลือกที่จะกำต่อไป ไม่ยอมทิ้งไป

เคยได้ยินไหม มนุษย์เรานี้ชีวิตสั้นนัก ไม่นานก็จากโลกไปแล้ว อารมณ์ปรุงแต่งไม่ยืนยาว อย่างไรก็ไม่พ้นความตาย แล้วจะถือโกรธโทษไปทำไม

จำไม่ได้ใครพูดคำพวกนี้ไว้ แต่ถ้าเอามาคิดดูว่า มีเหตุผลหรือไม่ ถ้าคิดว่ามี ก็น่ารับมาปฎิบัติ แต่ถ้าอยากโง่/บ้าต่อไป ตามสบายใจท่านครับ ตัวท่านท่านทำเอง


เช่นนั้น เถียงสิเถียง :b1: กลัวไม่เถียงเอาตรงๆเลย เช่นนั้นเอง ก็ พูด+มโน + ตีความ ไม่ใช่ทำ

นึกขำลุงหมานผู้รักษาลาน คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2018, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ดูกรปุณณะ กรรม ๔ อย่างนี้ เราประจักษ์แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว จึงประกาศไว้ กล่าวคือ กรรมดำ มีวิบากดำ ก็มี กรรมขาว มีวิบากขาว ก็มี กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว ก็มี กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ก็มี


"ดูกรปุณณะ กรรมดำ มีวิบากดำ เป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขาร ที่มีการเบียดเบียน ครั้นแล้ว ก็เข้าถึงโลกที่มีการเบียดเบียน ผัสสะที่มีการเบียดเบียน ย่อมถูกต้องเขา ผู้เข้าถึงโลกที่มีการเบียดเบียนนั้น เขาถูกผัสสะที่มีการเบียดเบียน ถูกต้อง ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีการเบียดเบียน ซึ่งเป็นทุกข์โดยส่วนเดียว ดังเช่นสัตว์นรก


"โดยนัยดังนี้แล เพราะกรรมได้มีแล้ว จึงมีการอุบัติของสัตว์ เขาทำกรรมใด ก็อุบัติเพราะกรรมนั้น เขาอุบัติแล้ว ก็ถูกผัสสะต้อง เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจึงกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทของกรรม นี้เรียกว่า กรรมดำ มีวิบากดำ


"ดูกรปุณณะ กรรมขาว มีวิบากขาว เป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขาร ที่ไม่มีการเบียดเบียน ครั้นแล้ว ก็เข้าถึงโลกที่ไม่มีการเบียดเบียน ผัสสะที่ไม่มีการเบียดเบียน ย่อมถูกต้องเขา ผู้เข้าถึงโลกที่ไม่มีการเบียดเบียนนั้น เขาถูกผัสสะที่ไม่มีการเบียดเบียนถูกต้อง ย่อมได้เสวยเวทนาที่ไม่มีการเบียดเบียน ซึ่งเป็นสุขโดยส่วนเดียว ดังเช่นเทพชั้นสุภกิณหะ


"โดยนัยดังนี้แล เพราะกรรมได้มีแล้ว จึงมีการอุบัติของสัตว์ เขาทำกรรมใด ก็อุบัติเพราะกรรมนั้น เขาอุบัติแล้ว ก็ถูกผัสสะต้อง เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจึงกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทของกรรม นี้เรียกว่า กรรมขาว มีวิบากขาว



"ดูกรปุณณะ กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว เป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขาร ที่มีการเบียดเบียนบ้าง ไม่มีการเบียดเบียนบ้าง ครั้นแล้ว ก็เข้าถึงโลกที่มีการเบียดเบียนบ้าง ไม่มีการเบียดเบียนบ้าง ผัสสะที่มีการเบียดเบียนบ้าง ไม่มีการเบียดเบียนบ้าง ย่อมถูกต้องเขา ผู้เข้าถึงโลกที่มีการเบียดเบียนบ้าง ไม่มีการเบียดเบียนบ้างนั้น เขาถูกผัสสะที่มีการเบียดเบียนบ้าง ไม่มีการเบียดเบียนบ้าง ถูกต้อง ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีการเบียดเบียนบ้าง ไม่มีการเบียดเบียนบ้าง ซึ่งมีทั้งสุขและทุกข์ระคนกัน ดังเช่นพวกมนุษย์ เทพบางพวก และสัตว์วินิบาตบางพวก


"โดยนัยดังนี้แล เพราะกรรมได้มีแล้ว จึงมีการอุบัติของสัตว์ เขาทำกรรมใด ก็อุบัติเพราะกรรมนั้น เขาอุบัติแล้ว ก็ถูกผัสสะนั้นต้อง เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจึงกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทของกรรม นี้เรียกว่า กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว



"ดูกรปุณณะ กรรมไม่ดำ ไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เป็นไฉน ? ในบรรดากรรมสามประการนั้น เจตนาเพื่อละกรรมดำ มีวิบากดำ
เจตนาเพื่อละกรรมขาว มีวิบากขาว
เจตนาเพื่อละกรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว นี้เรียกว่า กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม" (ม.ม.13/88/82)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2018, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ อย่างนี้...กรรมดำ มีวิบากดำ เป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำปาณาติบาต เป็นผู้ลักทรัพย์ เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม เป็นผู้พูดเท็จ เป็นผู้ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท นี้เรียกว่า กรรมดำ มีวิบากดำ


"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรมขาว มีวิบากขาว เป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต... จากอทินนาทาน... จากกาเมสุมิจฉาจาร...จากมุสาวาท...จากการดื่มสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้ง แห่งความประมาท นี้เรียกว่า กรรมขาว มีวิบากขาว


"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว เป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขาร ที่มีการเบียดเบียนบ้าง ไม่มีการเบียดเบียนบ้าง ฯลฯ นี้เรียกว่า กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว


"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เป็นไฉน? ในบรรดากรรมสามประการนั้น เจตนาเพื่อละกรรม (สามอย่างแรก) นี้เรียกว่า กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม" (องฺ.จตุกฺก.21/235/318)



"ภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ อย่างนี้...กรรมดำ มีวิบากดำ เป็นไฉน?
กรรมขาว มีวิบากขาว เป็นไฉน?
กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว เป็นไฉน?
กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เป็นไฉน? ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ..." (องฺ.จตุกฺก.21/237/320)


"ภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ อย่างนี้...กรรมดำ มีวิบากดำ เป็นไฉน?
กรรมขาว มีวิบากขาว เป็นไฉน?
กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว เป็นไฉน?
กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เป็นไฉน? ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์..." (องฺ.จตุกฺก.21/238/321)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2018, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสติสัมโพชฌงค์ ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ที่อิงวิเวก อิงวิราคะ อิงนิโรธ อันไพบูลย์ เป็นมหรคต หาประมาณมิได้ ไม่มีความเบียดเบียน
เมื่อเธอ เจริญสติสัมโพชฌงค์ ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์...ตัณหาก็ถูกละหมดไป เพราะละตัณหา กรรมก็ถูกละหมดไป เพราะละกรรม ทุกข์ก็ถูกละหมดไป โดยนัยดังนี้แล เพราะสิ้นตัณหา ก็สิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรม ก็สิ้นทุกข์" (สํ.ม.19/450/123)

จากพุทธธรรมหน้า ๒๙๒

(นึกย้อนโยงให้ถึงอริยสัจจ์ ๔ ด้วย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร