วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 03:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 15 ม.ค. 2018, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข วิปปะโยคะ หมายความว่า จากกันไป จากสิ่งเป็นที่รัก ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข จากสิ่งเป็นที่รักเป็นทุกข์ (พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นทุกข์) นี้มันตรงกันข้ามกับอยู่ร่วมกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจเป็นทุกข์ สิ่งที่เรารัก เอ้า กลับแย่งไปเสียอีก เป็นความทุกข์อีกเหมือนกัน ทุกข์เพราะอะไร ? เพราะยึดถือว่าไอ้นี่ของกู ไม่มีอะไรดอก ตัวสำคัญมันอยู่ตรงนี้ ตัวยึดมั่นนั่นแหละตัวใหญ่ รากเหง้าของความทุกข์มันตัวยึดถือทั้งนั้นแหละ แล้วมันแตกแขนงออกมา การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์


ยมฺปิจฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ ต้องการสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ เราต้องการอะไร ไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ถ้าได้ก็สบายใจชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่นานดอก เดี๋ยวมันก็ไปอีก นี่คือเรื่องความทุกข์ทั้งนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 15 ม.ค. 2018, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา โดยย่นย่อสรุปเรื่อง โดยสรุปว่า การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้านั่นแหละ คือตัวทุกข์ พูดไปพูดมาก็รวมยอดอยู่ที่ตรงนี้ ที่ไอ้ตัวยึดมั่นถือมั่น
ตัวยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิด ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความโศกเป็นทุกข์ ความร่ำไรรำพันเป็นทุกข์ การอยู่ร่วมกับสิ่งไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจเป็นทุกข์ ต้องการสิ่งใดไม่ได้สมหวังเป็นทุกข์ มันเรื่องตัวนี้ เรื่องตัวอุปาทาน การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
ตัวอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวการใหญ่ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ให้เข้าใจหลักไว้อย่างนี้ นี่เป็นเรื่องความทุกข์ เรื่องความทุกข์หมดแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 15 ม.ค. 2018, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


อริยสัจว่าด้วยเหตุกับผล

ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ

นิโรธเป็นผล มรรคเป็นเหตุ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 15 ม.ค. 2018, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุปาทาน ความถือมั่น, ความยึดติดถือค้างถือคาไว้ (ปัจจุบันมักแปลกันว่า ความยึดมั่น) ไม่ปล่อยไม่วางตามควรแก่เหตุผล เนื่องจากติดใคร่ชอบใจหรือใฝ่ปรารถนาอย่างแรง, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส มี ๔ คือ

๑. กามุปาทาน ความถือมั่นในกาม

๒. ทิฏฐุปาทาน ความถือมั่นในทิฏฐิ

๓. สีลัพพตุปาทาน ความถือมั่นในศีลและพรต

๔. อัตตวาทุปาทาน ความถือมั่นวาทะว่าตน

ตามสำนวนทางธรรม ไม่ใช่คำว่า "ถือมั่น" กับความมั่นแน่วในทางที่ดีงาม แต่ใช้คำว่า "ตั้งมั่น" เช่น ตั้งมั่นในศีล ตั้งมั่นในธรรม ตั้งมั่นในสัจจะ ในภาษาไทย มักใช้ "อุปาทาน" ในความหมายที่แคบลงมาว่า ยึดติดอยู่กับความนึกคิดเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือจะต้องเป็นไปเช่นนั้นเช่นนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2018, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อไป

ทีนี้ พระพุทธเจ้าตรัสต่อไป (ข้อสอง คือ สมุทัย) ว่า อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ บอกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้คือตัวอริยสัจ คือสมุทัย คือเหตุเกิดแห่งทุกข์ นี่คือความจริง คือ เหตุให้เกิดทุกข์
เหตุให้เกิดทุกข์ มีทุกข์แล้วมันต้องมีเหตุให้เกิด ทุกข์มันเป็นตัวผล

อันนี้เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร ? เหตุให้เกิดทุกข์ เรียกว่า สมุทัย สมุทัยนั่นหมายถึงอะไร ? พระองค์อธิบายต่อไปว่า ยายํ ตณฺหา โปโนพฺภวิกา นนฺทิราคสหคตา ตตฺรตตฺราภินนฺทินี บอกว่า ตัณหาใด ตัณหาอย่างใด โปโนพภวิกา เป็นไปเพื่อความเกิดอีก นันทิราคะสะหะคะตา เป็นไปเพื่อกำหนัดเพลินเพลิน ตัตระตัตราภินันทินี ยินดีรักในสิ่งนั้น
ลักษณะของตัณหา อาการของตัณหานั้นมี ๓ แบบ เมื่อเกิดตัณหาแล้ว หมายความว่า เป็นไปเพื่อการเกิดอีก เป็นไปด้วยความกำหนัดเพลินเพลิน เป็นไปด้วยความยินดีในอารมณ์นั้นๆ คือ ตัณหา อาการอย่างนั้น เขาเรียกว่า ตัณหา มันมีอาการ ๓ อย่าง เป็นเหตุให้เกิดอีก

เกิดอะไร ? ก็เกิดความอยากในเรื่องนั้น ได้อะไรมาก็อยากแล้วอยากอีก คือเกิดอีก แล้วก็เป็นไปด้วยความกำหนัดยินดี สิ่งนั้นมันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ราคะ คือความยินดี ตัตระตัตราภินันทินี ยินดีนักในอารมณ์นั้นๆ เพลิดเพลินนักอยู่ในอารมณ์นั้นๆ นั่นเป็นอาการของตัณหา

ถ้าใจเรามันเป็น ๓ อย่าง ก็แสดงว่าตัณหาตั้งขึ้นแล้ว ก่อรากก่อฐานขึ้นในจิตใจของเราแล้ว

ตัณหา โดยชื่อมีกี่อย่าง ? เสยฺยถีทํ กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา ตัณหานั้นมันมี ๓ ชื่อ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2018, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

กามตัณหา ก็คือความดิ้นรนในกาม อยากในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส

ภวตัณหา ความอยากเป็นอะไรต่างๆ กามตัณหา นั่น อยากมี จำง่ายๆ ภวตัณหา อยากเป็น

คนเรามันมี ๒ อย่าง อยากมี อยากเป็น ที่เป็นกันโดยมาก อยากมี อยากเป็น อยากเป็นอะไร? อยากจะเป็นไอ้โน่น อยากจะเป็นไอ้นี่ จึงชื่อว่า ภวตัณหา ภวตัณหา แปลว่า ความอยากเป็น

วิภวตัณหา คืออยากไม่มีไม่เป็น ไม่ใช่อยากไม่มีไม่เป็นด้วยปัญญา แต่อยากไม่มีไม่เป็นด้วยอำนาจกิเลส

คนผูกคอตาย พวกฆ่าตัวตาย คือ วิภวตัณหา มันเบื่อโลกไม่เข้าท่า แล้วมันผูกคอตาย ยิงตัวตาย โดดน้ำตาย ตามใจเถอะ มันตายแล้วก็แล้วกัน นี่พวกวิภวตัณหา ไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยากเป็นแล้ว นี่เป็นตัณหาเหมือนกัน ตายด้วยตัณหา

เพราะฉะนั้น ท่านบอกว่า ฆ่าตัวตายเป็นบาป เพราะใจเศร้าหมอง ใจมันมีตัณหาครอบงำ ไม่มีปัญญา ไม่เข้าใจเหตุผล ไม่ได้คิดว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร อยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ควรทำเวลานี้คืออะไร คิดไม่ได้ คิดอยู่เฉพาะเรื่องจะเอาให้ได้ เช่น ชายหนุ่มไปรักหญิงสาว พอหญิงสาวเขาไม่รักผลักไส แหม เสียอกเสียใจ ไม่มีเธอฉันอยู่ในโลกไม่ได้

ไอ้เวลาเกิดมาเธอเกิดมาด้วยหรือเปล่า ไม่เห็นเกิดคลอดจากในท้องมาสักรายเดียว มันเพิ่งเอามาใส่ในหัวเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง แล้วก็ไปยึดมั่นเสียนักหนา ว่าชีวิตฉันมันอยู่กับเธอ ถ้าปราศจากเธอแล้วฉันอยู่ไม่ได้ พูดไปแบบบ้าๆบอๆ ไม่เข้าเรื่องอะไร อย่าไปพูดแบบนั้นขายหน้าเขา

คนบวชแล้วก็อย่าไปพูดอย่างนั้น ว่าไม่มีเธอแล้วฉันอยู่ไม่ได้ ปัดโธ่ ทำไมจะอยู่ไม่ได้ นี่เขาเรียกว่าพูดแบบตัณหา พวกกามตัณหาจัด ภวตัณหามันเข้ามาสุมอยู่ในอกในทรวง เลยพูดคำเลอะเทอะไป แล้วก็เป็นคำไพเราะเพราะพริ้ง นักประพันธ์ชอบเอาไปเขียนให้พระเอกเพ้อฝัน นี่เขาเรียกว่าไม่เข้าเรื่อง พระเอกไม่เข้าเรื่อง พระเอกไม่เข้าวัด

ทีนี้ เราเข้าวัดเข้าวาแล้ว ถึงแม้เขาจะจากไป ก็พูดว่า ถึงแม้เธอจะจากไปฉันก็อยู่ได้ พูดอย่างนั้นเสียบ้าง ฉันยังอยู่ได้ ฉันเกิดไม่ได้แบกเธอมา ฉันมาคนเดียว เวลาตายฉันก็ตายคนเดียว ไม่ใช่ว่าเธอจะตายพร้อมกับฉัน ฉันตายพร้อมกับเธอไม่มีล่ะ เพราะฉะนั้น ถึงไม่มีเธอ ฉันก็อยู่ได้ คอยดูสิ ฉันจะอยู่ให้ดู พูดอย่างนั้น ให้มันเข้มแข็งเสียหน่อย เพราะว่า ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ค่อยหาใหม่ต่อไป แต่ว่าพูดให้มันแข็งๆไว้หน่อยก่อน นี่อย่างนี้นะ เรียกว่า ตัณหา
กามตัณหา คืออยากมี ภวตัณหา อยากเป็น วิภวตัณหา อยากจะไม่มีไม่เป็น ในเรื่องนั้นด้วยความเขลา เขาเรียกว่า สัมปยุตต์ด้วยโมหะ ด้วยอวิชชา ไม่สัมปยุตต์คือไม่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าประกอบด้วยปัญญาแล้วมันคลายตัณหา

ตัณหานี่เขาเปรียบเหมือนกับเชือกที่ผูกไว้หย่อนๆ ยานๆ หลวมๆ แต่ว่าดิ้นไม่หลุด เชือกนี้น่ากลัว
ในคัมภีร์ท่านเขียนบอกว่า สายโซ่เหล็กเอามาผูกคนนี้ก็ยังไม่อยู่ ไม่แข็งแรง แต่ว่าสายโซ่คือตัณหาที่ผูกไว้หย่อนๆ ยานๆนั่นแหละ มันมั่นคงหนักหนา ดิ้นไม่หลุดเลยทีเดียวนี่ มันผูกไว้มั่นคงนักไอ้ตัณหานี่

เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ว่าเชือกอะไรผูกเรา อะไรมันมัดเราไว้ เราก็แก้เสีย แก้ปมนั้นออกไปเสีย ก็คลายตัณหา คลายสมุทัย
สมุทัย แปลว่า เหตุให้เกิดทุกข์ แปลว่า ตั้งขึ้นพร้อมก็ได้ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ม.ค. 2018, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระองค์ตรัสต่อไปว่า (ข้อสาม คือนิโรธ) อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ บอกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้คือความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกขนิโรธ

ทุกขะนิโรโธ หมายความว่า ความดับแห่งทุกข์ นิโรธะ แปลว่า ความดับทุกข์ ความดับทุกข์ได้ ความดับทุกข์ได้เป็นผลดีอีกอย่างเหมือนกัน

ความดับทุกข์ได้นั่นคืออะไร ? คือ จาโค แปลว่า สละ ปฏินิสสัคโค หมายความว่า ถอนออกมาเสียได้ มุตติ หลุดพ้น อะนาละโย ไม่อาลัยใยดี ไม่อาลัยใยดีนี่แหละเป็นความพ้นทุกข์
ความดับทุกข์นั้นคือสละคืน หมายความว่าไม่เอาแล้ว ฉันไม่เอาแล้ว เพราะมองเห็นด้วยปัญญา ว่าไม่มีอะไรที่น่าจะเอา ไม่มีอะไรที่น่าจะไปเป็นมันเข้า ถ้าจำเป็นจะเอา ก็เอาด้วยปัญญา เป็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เอาด้วยความหลง เป็นด้วยความหลง เราทำอะไรนี่ก็ทำไปตามหน้าที่ ทำด้วยปัญญา ไม่ได้ทำไปด้วยความหลงใหลมัวเมา ทำแบบนั้น มันเป็นทุกข์

คนเราที่เป็นทุกข์นั่น เพราะทำเพื่อจะเอา แต่ถ้าไม่เอาแล้วมันก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ให้มี จาโค หมายความว่าให้เสียสละ สละไป ปะฏินิสสัคโค ก็หมายความว่า ตัดมันทิ้งไป ไม่เอาละ มุตติ ดิ้นออกไป อนาละโย ไม่เหลียวหลังดูอีกละ ละไปเลย ไปได้สองก้าวเหลียวมาดู อือ ยังน่ารักอยู่ อย่างนั้น มันไปไม่ได้ ยังน่ารักอยู่ น่าเป็นอยู่ น่าเอาอยู่ มันไปไม่รอด เพราะฉะนั้น อย่าเหลียวหลัง ออกไปแล้วอย่าเหลียวหลัง ไม่มีอะไร เขาเรียกว่าไม่เหลียวหลัง
ตัดบัวเหลือใย ตัดอาลัยยังมีเมตตา นี่มันไปไม่ได้ ตัดบัวไม่ให้มีใย ตัดให้มันขาดไปเลย แม้มีใยก็ไม่เหลียวแลมันแล้ว นั่นแหละเรียกว่าหมดอาลัย อาละยะสะมุคฆาโต ถอนอาลัยเสียได้ เรียกว่าเป็น ทุกขะนิโรธ คือ ความดับทุกข์ได้ ความดับทุกข์ได้นั้น เป็น ตัวผล


ทีนี้ ตัวเหตุ มันอยู่ที่ไหน ? พระองค์ตรัสต่อไป (ข้อสี่ คือมรรค) ว่า อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้ตัวอริยสัจ คือข้อปฏิบัติที่ทำให้ถึงความดับทุกข์ นี้ได้แก่ หนทางอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี่ คืออะไร บ้าง? สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดชอบ) สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งมั่นชอบ) นี่ตัวเหตุอีกแล้ว เหตุให้เกิดผลคือความดับทุกข์ คือมรรคมีองค์แปด
ในตอนนี้ ข้อความในพระสูตรนี้ก็หมายความว่า พระผู้มีพระภาคประสาทอริยสัจสี่ สี่ประการ คือ เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เรียกว่า สมุทัย นิโรธ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ มรรคคือข้อปฏิบัตินั่นแหละ

อริยสัจสี่ประการนี้ เป็นเหตุ เป็นผล สัมพันธ์กัน พระผู้มีพระภาคตรัสผลก่อน เพราะผลนั้นปรากฏอยู่ เมื่อชี้ให้ดูผลแล้วก็บอกนี่อะไร ให้รู้ว่าทุกข์นี่คืออะไร แล้วก็ต้องบอกว่าทุกข์มันมาจากอะไร ก็มาจากสมุทัย แล้วก็พูดถึงความดับทุกข์อันเป็นตัวผล ไอ้ความดับทุกข์นั่นมันมาจากอะไร ก็มาจากมรรค อันเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ จึงเรียกว่า มีเหตุผลสัมพันธ์กัน อริยสัจสี่ มีเหตุผลสัมพันธ์กัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ม.ค. 2018, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใน อริยสัจทั้งสี่ประการ นี้ ถ้าจะพูดให้สั้นลงไปอีกก็ได้ พูดว่า ความทุกข์ และความดับทุกข์ ได้

พระผู้มีพระภาคตรัสบ่อย ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อนก็ดี ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลต่อไปข้างหน้าก็ดี เราสอนเรื่องเดียวที่สำคัญคือ เรื่องความทุกข์ กับ การดับทุกข์ได้

เรื่องสำคัญที่พระองค์สอน เรื่องความทุกข์ กับ การดับทุกข์ นี่เป็นเรื่องสำคัญที่พระองค์ย้ำกล่าวสอน
แม้จะสอนเรื่องอื่นมาก่อนกี่เรื่องก็ตามใจ แต่ตอนสุดท้ายต้องสอนเรื่องนี้ให้เข้าใจ

ทำไมพระองค์จึงสอนเรื่องนี้ เราจะเห็นว่าวิธีการสอนของพระพุทธศาสนา หรือว่าคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่บันทึกคำสอนไว้ไม่เหมือนกับศาสนาอื่น

ศาสนาอื่นพอเริ่มต้นก็พระผู้เป็นเจ้าสร้างโลก เช่น คัมภีร์ของพวกยิวก็พระผู้เป็นเจ้าสร้างโลก โลกนี้ มีความสว่าง แล้วก็มีพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าก็สร้างโลกขึ้นมา สร้างดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ อะไรต่ออะไร สร้างดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ครบเรียบร้อย แล้วก็นึกว่าโลกมันไม่มีเครื่องประดับ สร้างมนุษย์ไว้หน่อย ก็เลยสร้างอาดัม ขึ้นมาคนหนึ่งผู้ชาย พอสร้างเสร็จแล้ว พระผู้เป็นเจ้าว่า ไอ้นี่มันว้าเหว่ ไม่มีคู่ สร้างให้มันอีกสักคนเถอะ เลยสร้างผู้หญิง เขาว่าผู้หญิงเป็นซี่โครงของผู้ชาย พระผู้เป็นเจ้าหักซี่โครงของผู้ชายออกไปซี่หนึ่ง เอาไปถึงเป่าพรวด กลายเป็นอีฟขึ้นมา
เพราะฉะนั้น หญิงกับชายอยากเข้าใกล้กันอยู่เสมอ พอสร้างอาดัมกับอีฟแล้วก็ว่ากันไปตามเรื่อง
คริสต์เตียนก็เหมือนกัน อิสลามก็เหมือนกัน แม้ฮินดูก็อย่างนั้น ฮินดูก็พูดเรื่องพระเจ้าสร้างโลกเหมือนกัน

แต่พระพุทธเจ้าไม่พูดถึงเลย พอถึงก็พูดหลักธรรมกันเลย “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทาง ๒ ทางนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ ฯลฯ” พูดข้อปฏิบัติให้เข้าใจ พูดเรื่องความทุกข์ให้เข้าใจ เพราะความทุกข์มันเป็นปัญหาเฉพาะหน้า เป็นเรื่องที่ต้องคิดแก้ไข เรื่องอื่นนั้นมันไม่เกี่ยวด้วยความทุกข์ จะไปคุยกันให้เสียเวลาทำไม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ม.ค. 2018, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีข้ออุปมาเรื่องหนึ่งว่า บุรุษคนหนึ่ง ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษอย่างแรง นอนร้องไห้ครวญครางอยู่ข้างถนน มีหมอฝีมือดีผ่านมาทางนั้นก็บอกว่า เฮ้ย น้องชาย ไม่ต้องเป็นทุกข์ดอก เราจะทำการผ่านัดเอาลูกศรออกให้
แต่คนป่วย กลับบอกว่า ไม่ได้ๆ ผ่าไม่ได้ ถ้าข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิงข้าพเจ้า ต้องให้รู้ชื่อรู้แซ่มันเสียก่อน แล้วต้องรู้ว่าลูกศรทำด้วยไม้อะไร แช่ยาอะไร เมื่อใดได้พบกับสิ่งเหล่านี้แล้วจึงยอมให้ผ่าตัด
พระพุทธเจ้าก็บอกกับพราหมณ์ที่ไปคุยด้วยว่า เสร็จแล้วคนนั้นจะเป็นอย่างไรเล่า ?

พราหมณ์. ตายแน่ๆ พระเจ้าข้า เพราะมันมัวไปซักไซ้ไล่เรียง ถึงเหตุที่ไม่สมควรจะถาม เรื่องไม่ควรศึกษาไม่ควรสนใจ เพราะไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ท่านเรียกในภาษาธรรมะว่า ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ใช้คำบาลีว่า อาทิพรหมจรรย์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์คือวิธีแห่งการปฏิบัติเพื่อให้ไปถึงความดับทุกข์
ปัญหาใครสร้างโลก โลกนี้จะแตกเมื่อไร อะไรต่ออะไรนี่ ตายแล้วไปไหน ปัญหาโลกแตก ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความดับทุกข์
เรื่องเกี่ยวกับความดับทุกข์ มันต้องศึกษาว่า ทุกข์คืออะไร ทุกข์มาจากอะไร จะดับได้โดยวิธีใด เมื่อดับแล้วมันเป็นอย่างไร นี่เรื่องสำคัญมันตรงนี้ อริยสัจสอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนเราอย่างนี้

.....

ความในบาลีมีดังนี้


"เปรียบเหมือนบุรุษ ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษที่อาบยาไว้อย่างหนา มิตรสหาย ญาติสาโลหิตของเขา ไปหาศัลยแพทย์ผู้ชำนาญมาผ่า บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวว่า ตราบ ใดที่ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักคนที่ยิงข้าพเจ้า ว่าเป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ หรือเป็นศูทร มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรว่าอย่าง นี้ ร่างสูง เตี้ย หรือปานกลาง ดำ ขาว หรือคล้ำ อยู่ บ้าน นิคม หรือนครโน้น ข้าพเจ้าจะยังไม่ยอมให้เอาลูกศรนี้ออก ตราบนั้น ตราบใด ข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่า ธนูที่ใช้ยิงข้าพเจ้านั้น เป็นชนิดมีแล่ง หรือชนิดเป็นเกาทัณฑ์ สายที่ใช้ยิงนั้น ทำด้วยปอ ด้วยผิวไม้ไผ่ ด้วยเอ็น ด้วยผ่าน หรือด้วยเยื่อไม้ ลูกธนูที่ใช้ยิงนั้น ทำด้วยไม้เกิดเอง หรือไม้ปลูก หางเกาทัณฑ์ เขาเสียบด้วยขนปีก แร้ง หรือนกตะกรุม หรือเหยี่ยว หรือนกยูงหรือนกสิถิลหนุ เกาทัณฑ์นั้น เขาพันด้วยเอ็นวัว เอ็นควาย เอ็นค่าง หรือเอ็นลิง ลูกธนูที่ใช้ยิงเรานั้น เป็นชนิด ไร ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้เอาลูกศรออก ตราบนั้น"

"บุรุษนั้น ยังไม่ทันได้รู้ความที่ว่านั้นเลย ก็จะต้องตายไปเสียโดยแน่แท้ ฉันใด...บุคคลนั้น ก็ฉันนั้น"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ม.ค. 2018, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยสัจสี่ประการนี้ เราจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้หรือไม่ ? เราเอามาใช้ได้ทุกเวลานาที เอาหลักการมาใช้ก็ได้ หลักการ ไม่ใช่เอาชื่อมาใช้ เอาหลักการอริยสัจจ์มาใช้

หลักการอริยสัจจ์คืออะไร ? คือทุกข์ หมายถึงผลที่เกิดขึ้น สมุทัย หมายถึงเหตุ นิโรธ ความดับทุกข์ คือผลอีกอันหนึ่ง แล้วก็ มรรค คือเหตุ เหตุผล เรื่องเหตุ เรื่องผล

เรื่องเหตุผลนี่ เราเอามาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราก็ต้องรู้ว่ามันต้องมีเหตุ มันต้องมีเหตุจึงเกิดมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้น อย่าพูดว่าบังเอิญมันเป็นเช่นนั้น บังเอิญไถลลงไปในคูเลย บังเอิญพลิกคว่ำหงายท้องเลย อย่างนั้นมันไม่ได้ พูดอย่างนั้น มันไม่ได้รู้เรื่อง
เราจะต้องค้นว่า ทำไมมันจึงพลิกท้อง ทำไมมันจึงไปชนเสาไฟฟ้า ทำไมมันเป็นอะไร ให้ค้นหาเหตุ ศึกษาสาเหตุของเรื่องนั้น แล้วเราจะพบว่าเหตุนั้นคืออะไร
ครั้นเมื่อพบเหตุแล้ว จะให้มันดับก็ต้องตัดเหตุ เมื่อตัดเหตุ ผลก็ดับ นี่คือการคิดแบบอริยสัจในชีวิตประจำวันของเรา



คนเรามีความทุกข์บางอย่างเกิดขึ้นในใจของเรา พอเกิดความทุกข์ขึ้นมาก็อย่าไปทุกข์เสียร้อยเปอร์เซ็นต์ เปิดช่องว่างไว้บ้าง เพื่อให้เกิดความคิดว่า ทุกข์เรื่องอะไร จะได้คิดว่าทุกข์เรื่องอะไร ทำไมจึงทุกข์อยู่ล่ะ ทำไมเจ้าจึงกลุ้มใจ มีอะไรเป็นเหตุให้เจ้ากลุ้มใจ ให้เจ้าเป็นทุกข์ เราพูดกับตัวเราเอง แล้วเราก็ต้องนึกถึงหลักอริยสัจของพระพุทธเจ้า ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ทุกข์นี่มันต้องมีเหตุ ไม่มีเหตุ ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ใช่ไอ้นั่นไอ้นี่เป็นไปอย่างนั้น ไม่มี ไม่ใช่ว่าสิ่งใดบันดาลให้เป็นไป ต้องมีเหตุ และเหตุที่มันเกิดนั้นต้องอยู่ในตัวเรา ชาวพุทธต้องหาเหตุในตัวเรา คนอื่นจะเกี่ยวข้องด้วยก็มี แต่ไม่ใช่ตัว Factor ใหญ่ ไอ้ตัว Factor ใหญ่ มันอยู่ในตัวเรา เอาตัวอื่นเป็นตัวประกอบ ไม่ใช่เป็นตัวพระเอก พระเอกนั้นคือตัวเรา

เพราะฉะนั้น ต้องค้นว่าฉันผิดอะไร ทำไมจึงต้องเกิดเหตุนี้ขึ้น ให้ค้นว่าฉันผิดอะไร ค้นให้ได้ว่า ฉันผิดอะไร ครั้นเมื่อรู้ว่าฉันผิดอะไรแล้ว อย่าไปเที่ยวโทษใคร พุทธบริษัทไม่โทษใคร เพราะโทษคนอื่นนั้น ไอ้ที่เราพูดว่าดวงไม่ดีมั่ง โชคไม่ดีมั่ง มันไม่ใช่แบบพุทธบริษัท พุทธบริษัทจะไม่พูดอย่างนั้น แต่จะพูดว่าผมคงจะทำอะไรผิดไว้แล้ว มันจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา กำลังศึกษาอยู่ ค้นคว้าอยู่ ให้พบให้ได้ ค้นให้พบว่า มันเพราะอะไร เรื่องมันไม่ไปไหน มันอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้นแหละ ศึกษาไปค้นคว้าไปเถอะ ประเดี๋ยวมันก็เจอเข้าถึงบางอ้อเอง
พอเราเจอเข้าก็ ไอ้นี่เองเป็นตัวการ แล้วก็ไอ้ตัวการนี้มันมีสายสัมพันธ์มาอย่างไร สาวไปให้หมดเลย ค้นให้หมดให้ตลอดสาย เหมือนกับเราพบเถาวัลย์ทีมันขึ้นรกในสนามหญ้า เจอะยอดแล้วเด็ดยอดทิ้งไม่ได้ ต้องสาวไปหาว่าเหง้ามันอยู่ตรงไหน
พบเหง้าแล้วจุดเผาไฟเสียเลย ไม่ให้ผุดให้เกิดต่อไป ในตัวเรานี่ก็เหมือนกัน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็อย่าไปโทษใคร ต้องนึกว่าฉันต้องมีอะไรผิด ฉันเองเป็นผู้ผิด ให้พูดกับตัวอย่างนั้น ฉันต้องหาเหตุของความผิดนี้ให้ได้ แล้วก็นั่งสงบจิตสงบใจ มองดูด้วยความเป็นธรรม เราก็จะพบเหตุของเรื่องนั้น ครั้นพบแล้ว ตัดด้วยปัญญา คือมรรค

มรรค นั้น เป็นเครื่องมือสำหรับตัด ตัดเหตุ ผลมันก็ดับไปเอง ผลดับคือทุกข์ดับ ทุกข์ดับก็เกิดเป็นนิโรธขึ้นมา คือความดับทุกข์ได้ มันสัมพันธ์กันอย่างนั้น เอาไปใช้อย่างนี้ ไม่ว่าในเรื่องส่วนตัว เรื่องการงาน เรื่องของประเทศชาติ เรื่องของโลก มันมีเหตุทั้งนั้น ไม่มีละที่จะไม่มีเหตุ มีเหตุเกิดขึ้นทั้งนั้น เราจึงต้องตัดที่ต้นเหตุ

ถ้าเอาหลักอริยสัจสี่ไปใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว เราจะไม่เป็นคนงมงาย แต่เราจะเป็นคนมีเหตุผล เราจะเป็นคนมีปัญญา รู้จักคิด รู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เราก็จะอยู่ได้ด้วยความสบาย ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน นี้ประการหนึ่ง เรียกว่าหลักอริยสัจที่เราจะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หลักการมันเป็นอย่างนั้น เอาไปใช้ได้ทั้งนั้นแหละ ไปค้นไปคว้า ไปศึกษาเรื่องอะไรมันก็อยู่ในเรื่องนี้ทั้งนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสไปถึงมรรคมีองค์แปด เรียกว่า ตรัสเรื่องอริยสัจสี่แล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ม.ค. 2018, 18:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ทีนี้ พระองค์ตรัสต่อไปว่า อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติ เม ภิกฺขเว ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ ฯลฯ บอกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจนี้ไม่เคยได้รู้มาก่อน ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่ว่าเกิดดวงตา เกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดวิชชา เกิดแสงสว่างขึ้นในเราแล้ว

หมายความว่า จักขุ อุทะปาทิ เกิดดวงตาเกิดปัญญาขึ้นแล้ว เกิดดวงตา เรียกว่า ได้ตาปัญญา ญาณัง อุทะปาทิ เกิดญาณคือความรู้แจ้งขึ้นด้วยปัญญา เราเกิดปัญญา รู้ชัด ได้เห็นเรื่องนั้น เกิดวิชชา เกิดแสงสว่างขึ้นในใจ ไม่มืดไม่บอดอีกต่อไป นี่อันหนึ่ง


อีกประการหนึ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจสี่ นี่ เป็นสิ่งพึงกำหนดรู้ ให้รู้ว่าทุกข์ นี่เป็นเรื่องที่พึงกำหนดรู้ และเราก็ได้กำหนดรู้แล้ว

อันนี้ ต้องจำไว้ให้ดีว่า เรื่องทุกข์นั้น เป็นเรื่องที่ควรกำหนดรู้

กำหนดรู้อย่างไร ? กำหนดรู้ว่าเราเป็นทุกข์ ให้กำหนดรู้ว่าเรากำลังเป็นทุกข์ ให้มีสติเกิดขึ้นว่าฉันกำลังเป็นทุกข์
เอาเบื้องต้นมันต้องเอาเท่านั้นก่อน พึงกำหนดรู้ไว้ว่า ปะริญเญยยัง หมายความว่า พึงกำหนดรู้

รูปภาพ


อริยสัจ ๔ ประการมันก็เรื่องของชีวิตทุกๆชีวิตนี่เอง ดังนั้น ความรู้เข้าใจภาคปฏิบัติชีวิตจริงให้สังเกตด้วยตัวอย่างนี้

ใครเคยสัมผัสความรุ้สึกแบบนี้บ้าง

เนื่องจากเราปฎิบัติธรรมแบบไม่มีครูอาจารย์คอยสอบอารมณ์ จึงกลัวเพี้ยนจากการฝึกมาก...พักหลังๆ ตอนเดินจงกรม มักจะมีความรุ้สึกขึ้นมาเสมอว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่มีจิตมันจะเปนแค่ก้อนเนื้อนิ่งๆ รวมทั้งคนอื่นด้วย ...และบางทีก้อสัมผัสไปว่า ทุกอย่างในชีวิตคือทุกข์ ชีวิตคือทุกข์ ......คือมันรุ้สึกจากใจจิงๆ ไม่ใช่จากการอ่านแล้วรุ้สึก

สรุปแบบนี้กิเลสกินหรือป่าวคะ แต่เราก้กำหนดรุ้หนอนะ แต่พักหลังความรุ้สึกนี้เกิดทุกวันขณะปฎิบัติ แต่เลิกทำก้อหาย

https://pantip.com/topic/37289657

ผู้นี้ ใช้ได้ คือเขายังกำหนดจิต ยังกำหนดสภาวะนั้นๆอยู่ (ที่ขีดเส้นใต้) คือว่า

ขณะนั้นๆรู้สึกยังไงพึงกำหนดรู้ยังงั้น เป็นยังไงกำหนดยังงั้น ไม่เลี่ยงหนี ทุกข์หนอ สุขหนอ รู้หนอ ไปตามเรื่อง ทุกๆขณะ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือทำอะไรๆอยู่ก็ตาม

ถ้าผู้ใดกลัวไม่กล้ากำหนดตามที่สภาวะมันเป็น ขอเตือนว่าอย่าทำอย่าปฏิบัติลึกๆแบบนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ม.ค. 2018, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ทีนี้ อันต่อไปเรื่อง สมุทัย สมุทัย นั้น เป็นเรื่องที่ พึงละ พระองค์ก็ได้ละไปแล้ว
ทีนี้ เราจำไว้ว่า สมุทัยเป็นเรื่องที่พึงละ ปะหาตัพพะธัมมัง แปลว่า เป็นธรรมที่ควรละ ละเหตุมันเสียผลก็ไม่ปรากฏ ถ้าไม่ละ ผลมันก็ต้องเกิดเรื่อยไป เพราะฉะนั้น ตัวสมุทัยนี่เป็นเรื่องที่ควรละ พระพุทธเจ้าท่านก็ละได้แล้ว
ทุกขะนิโรโธ คือ ความดับทุกข์ได้ เป็นเรื่องที่ควรทำให้แจ้ง
ความดับทุกข์นี่ควรทำให้แจ้ง หมายความว่าให้เข้าถึง ให้รู้ชัดในเรื่องความดับทุกข์ พระองค์ก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง เป็นเรื่องที่ควรจะทำให้เกิดขึ้น พระองค์ก็ได้ทำให้เกิดขึ้นแล้ว ภาเวตัพพัง หมายความว่า ทำให้เกิดข้อปฏิบัติให้ดับทุกข์นี้

สี่ประการนี้ ให้รู้ว่า ทุกขํ เป็นเรื่องควรกำหนดรู้

สมุทัย เป็นเรื่องควรละมันเสีย

ทุกขะนิโรธ แปลว่า ควรทำให้แจ้ง

ทุกขะนิโรธคามินีปะฏิปะทา หรือมรรคมีองค์แปด ควรทำให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เรียกว่า การปฏิบัติ

หน้าที่ต่ออริยสัจ ที่เราควรจะรู้ ทุกข์เป็นเรื่องกำหนดรู้ไว้
สมุทัยต้องละไปเลย
นิโรธควรจะทำให้แจ้ง
มรรคทำให้เกิดขึ้น ให้มันสัมพันธ์กันทั้งสี่ประการ ผู้นั้น จะหลุดพ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนได้ นี่เป็นประการต่อมา


ทีนี้ประการต่อไป พระองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่เรายังไม่รู้แจ้ง ในอริยสัจสี่ ตามญาณทัศนะที่เป็นจริง ความบริสุทธิ์ทางจิตใจก็ยังไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อใดเรารู้แจ้งในอริยสัจสี่ตามความเป็นจริงแล้ว ญาณทัศนะ คือความรู้อย่างถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริงก็เกิดขึ้น เรียกว่ามีญาณ

ญาณทัศนะ หมายความว่า เห็นตามปัญญา เห็นความจริงของสิ่งนั้นๆ ตามสภาพที่เป็นจริง แล้วก็ไม่ต้องเกิดอีก คือไม่มีชาติทุกข์ ไม่มีชราทุกข์ ไม่มีมรณทุกข์ ไม่มีอะไรทุกข์ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า พระองค์ว่า ท่านไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
คนบางคนว่า เอ๊ะ ไม่ตาย พระพุทธเจ้าก็ยังตายนี่ มันเข้ามาเหลี่ยมนั้นอีกแล้ว มันพูดกันคนละภาษา
คนหนึ่ง พูดภาษาธรรม
อีกคนหนึ่ง พูดภาษาคน
หรือว่าคนหนึ่ง พูดภาษาชาววัด
อีกคนหนึ่ง พูดชาวบ้าน เดี๋ยวก็เถียงกันตาย เพราะมันพูดกันคนละภาษา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ม.ค. 2018, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

อันนี้ ที่เขาว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่เกิด หมายความว่า ไม่มีชาติทุกข์ เพราะความเกิดแห่งการยึดถือไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่แก่ เมื่อไม่มีความยึดถือก็ไม่มีพระองค์สำหรับแก่ ไม่มีพระองค์สำหรับตาย ไม่มีความโศก ไม่มีความร่ำไรรำพัน ไม่มีความทุกข์ทั้งกายและใจ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากกายก็ไม่มี จากใจก็ไม่มี

แต่ว่าร่างกายของพระพุทธเจ้านั้น ก็เหมือนกับร่างกายของคนเรา มีกินมีถ่าย มีหลับมีนอน แล้วก็มีปวดมีเจ็บ แต่ว่าน้ำพระทัยของพระองค์นั้น ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด วุ่นวาย แม้มันเจ็บก็เจ็บเฉยๆ ไม่มีอะไรที่จะเดือดร้อน เหมือนคราวที่ลูกหินไปกระทบหน้าแข้ง เทวทัตทุ่มหินน่ะ หินไปกระทบหน้าแข้งเข้า เลือดซิบๆ ออกมา หมอชีวกโกมารภัจจ์เอายาไปพวกให้ เหมือนกับยาทิงเจอร์ร้อน หมอก็ไปนอนเป็นทุกข์ว่า พระพุทธเจ้าคงร้อนแย่ ตื่นเช้ามืดรีบไปถาม ขออภัยเถอะครับ เมื่อคืนนี้ พอกยาไว้มันร้อน พระองค์คงจะบรรทมไม่หลับ

พระองค์บอกว่า เราเป็นคนที่นอนหลับคนหนึ่งในโลก ความร้อนทางกายทางใจของเราไม่มี มันดับหมดแล้วที่ใต้ต้นโพธิ์ ที่พุทธคยา ในวันตรัสรู้ เรียกว่าไม่ร้อน

ร่างกายมันมี มันเปื่อยมันพังไปสะดุดก้อนหินเล็บหลุดได้เหมือนกันพระพุทธเจ้า แต่ใจไม่ได้คิด แต่ว่าหลุดไป จึงไม่มีอาการกระวนกระวาย เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้เป็นทุกข์

พระพุทธเจ้าที่เรียกว่า พระพุทธเจ้าตายนั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตาย ร่างกายของพระองค์แตกดับไปตามเรื่องของสังขาร เรียกว่า ร่างกายแตกดับ มันไม่ได้เกี่ยวด้วยความรู้สึกของพระองค์ เรียกว่าแตกดับไปตามเรื่อง แต่ว่าน้ำพระทัยนั้น หมดความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องอะไรๆแล้ว นิพพานไปแล้ว ตายก่อนตายไป เรียกว่า จิตมันดับจากความยึดมั่นถือมั่นแล้ว เรียกว่า ตายก่อน ตายก่อนร่างกายมันจะตายลงไป พระองค์ได้ดับสิ่งนั้น

(ผู้ที่ชอบพูด ตายก่อนตาย ศึกษาไว้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ม.ค. 2018, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในการแสดงอริยสัจสี่ประการหรือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้ผลอย่างไร ? ได้ผลคือทำให้ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าที่นั่งฟังอยู่นั้น รู้คนเดียว คนเดียวคือโกณฑัญญะ โกณฑัญญะได้เกิดความรู้ขึ้นในใจว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธมฺมํ แปลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ต้องดับเป็นธรรมดา

พระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่องนี้ เลยก็ตรัสว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ แปลว่า โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอๆ เหมือนกับเราพูดชี้มือว่า โกณฑัญญะรู้แล้วๆ โกณฑัญญะเลยได้นิคเนมข้างหน้าว่า "อัญญาโกณฑัญญะ" ก็เลยได้ขอบวชในวันนั้น

พระองค์แสดงสูตรี้เมื่อวัน ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๘ ก่อนเข้าพรรษา ๑ วัน จำง่ายๆ เพราะฉะนั้น วันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๘ (ถ้าเดือน ๘ คู่ ก็เดือน ๘ หลัง) นี้เรียกว่า วันธรรมจักร ธรรมจักรเดย์ พวกฝรั่งเขาเรียกว่าธรรมจักรเดย์ วันพระธรรม เราจึงได้มีพิธีเทศนาธรรมจักร สวดธรรมจักรให้คนฟัง อธิบายข้อความเวียนเทียน ปฏิบัติศีลอะไรๆ เคร่งครัดเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา

(- สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา <= => แต่พักหลังความรุ้สึกนี้เกิดทุกวันขณะปฎิบัติ แต่เลิกทำก้อหาย)

เทียบภาคปฏิบัติ คคห.บนอีกที คือว่า ผู้ปฏิบัติไม่ตามดูจึงรู้ไม่ทันความคิด ถ้าตามทันความรู้สึกนึกคิดทุกๆขณะแล้ว จะเห็นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ก็เข้าใจด้วยตนเองเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ม.ค. 2018, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ ข้อความในธรรมจักรนี่ เขาเรียกว่าเป็น เวยฺยากรณํ หมายความว่า คำร้อยกรอง เป็นภาษาพูดธรรมดาๆ ไม่ใช่เป็นคาถา
ที่เป็นคาถาก็มี เช่นว่า มงคลสูตร นี่เป็นคาถา เป็นคาถาขึ้นต้นว่า

อเสวนา จ พาลานํ - ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
ปูชา จ ปูชนียานํ - เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ

มันเป็นคาถาคล้องจองกันตามลักษณฉันท์ ปัฏฐยาวัตรฉันท์ ชื่อฉันท์นี่มัน ปัฏฐยาวัตรฉันท์ แต่ว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร นั้น เป็นร้อยแก้ว พูดภาษาไทยว่า ภาษาร้อยแก้ว

(จบตอน ๑ )

จากหนังสือ หน้่า ๔๙๑

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/ad7 ... s=614x1024

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร