วันเวลาปัจจุบัน 16 พ.ค. 2025, 14:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2017, 21:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
"พาหิยะ เมื่อเธอเห็น ก็จงสักแต่ว่าเห็น
เมื่อเธอได้ยิน ก็จงสักแต่ว่าได้ยิน
........................
.........................
แต่ไม่มี พาหิยะ ในการเห็นหรือการได้ยินนั้น"

smiley
นี่เป็นส่วนหนึ่งในธรรมะที่พระบรมศาสดาทรงตรัสสอน
ท่านพาหิยะ

เป็นคำสอนเรื่องอนัตตา เรื่องเดียวตรงๆเลย

ท่านพาหิยะน้อมพิจารณาก็เห็นจริงว่าเมื่อไม่มีพาหิยะ คือไม่มีอัตตามาเกี่ยวข้องแล้ว ก็เหลือแต่ อนัตตา ทุกอย่างก็จบสิ้น


ทันใดนั้นจิตของท่านพาหิยะก็โพล่งรู้และบรรลุธรรมขึ้นไปตามลำดับชั้นจนถึงอรหัตผล ในที่นั้นเอง

นี่แค่ซึ้งถึงอนัตตาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
onion


อิอิ...คงคิดว่า..แน่

เด้ววันหลังจะแฉ..ให้ดู..

อิอิ..


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 25 ก.ค. 2017, 07:57, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2017, 06:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
"พาหิยะ เมื่อเธอเห็น ก็จงสักแต่ว่าเห็น
เมื่อเธอได้ยิน ก็จงสักแต่ว่าได้ยิน
........................
.........................
แต่ไม่มี พาหิยะ ในการเห็นหรือการได้ยินนั้น"

smiley
นี่เป็นส่วนหนึ่งในธรรมะที่พระบรมศาสดาทรงตรัสสอน
ท่านพาหิยะ

เป็นคำสอนเรื่องอนัตตา เรื่องเดียวตรงๆเลย

ท่านพาหิยะน้อมพิจารณาก็เห็นจริงว่าเมื่อไม่มีพาหิยะ คือไม่มีอัตตามาเกี่ยวข้องแล้ว ก็เหลือแต่ อนัตตา ทุกอย่างก็จบสิ้น

ทันใดนั้นจิตของท่านพาหิยะก็โพล่งรู้และบรรลุธรรมขึ้นไปตามลำดับชั้นจนถึงอรหัตผล ในที่นั้นเอง

นี่แค่ซึ้งถึงอนัตตาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

onion


พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษา
อย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็น
สักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล

ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
*พระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย
พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ

(ท่านรู้ไหมว่าทำไมพระพาหิยะจึงไม่ได้บวช)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2017, 08:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


wink
เพราะไม่เคยทำบุญด้วยผ้ามาก่อนเลย
:b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2017, 09:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




20170726_184855.jpg
20170726_184855.jpg [ 340.06 KiB | เปิดดู 4807 ครั้ง ]
asoka เขียน:
wink
เพราะไม่เคยทำบุญด้วยผ้ามาก่อนเลย
:b20:


อนุโมทนาสาธุ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2017, 10:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่..แปลกมั้ยครับ...?

ปลายพระศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ที่แล้ว....ท่านกับสหาย..เป็นพระที่ปวารณาปฏิบัติบนเขาไม่ลงมาหากไม่บรรลุธรรม..

แสดงว่า...เคยบวชเป็นพระมาแล้ว..

แล้ว...บอกว่าไม่เคยทำบุญด้วยผ้า..นี้..ก็ดูแปลก..นะครับผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2017, 12:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แต่..แปลกมั้ยครับ...?

ปลายพระศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ที่แล้ว....ท่านกับสหาย..เป็นพระที่ปวารณาปฏิบัติบนเขาไม่ลงมาหากไม่บรรลุธรรม..

แสดงว่า...เคยบวชเป็นพระมาแล้ว..

แล้ว...บอกว่าไม่เคยทำบุญด้วยผ้า..นี้..ก็ดูแปลก..นะครับผม

grin
มันเป็นความแปลกที่ยากจะค้นหาหลักฐานมาอ้างอิง จึงเป็นคล้ายเรื่องอจิณไตย ที่จะไปสงสัยสืบค้นหาเหตุผล

ต้องอาศัยผลปัจจุบันเป็นเครื่องชี้วัด ตามกฏแห่งกรรม

คือไม่ได้ทำเหตุ ผ้า ไว้ หรือทำไว้ไม่เพียงพอที่จะให้ผลก็จึงไม่มีผล ผ้า ให้ได้รับในชาติปัจจุบัน
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2017, 12:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




img2.png
img2.png [ 106.02 KiB | เปิดดู 4827 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
แต่..แปลกมั้ยครับ...?

ปลายพระศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ที่แล้ว....ท่านกับสหาย..เป็นพระที่ปวารณาปฏิบัติบนเขาไม่ลงมาหากไม่บรรลุธรรม..

แสดงว่า...เคยบวชเป็นพระมาแล้ว..

แล้ว...บอกว่าไม่เคยทำบุญด้วยผ้า..นี้..ก็ดูแปลก..นะครับผม



ลองอ่านลิ้งค์นี้อาจจะเข้าใจ

https://www.gotoknow.org/posts/550526
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2017, 15:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อนุโมทนาสาธุกับคุณธรรมาที่อุตส่าห์ไปค้นธรรมมาให้ดูเป็นหลักฐานเรื่องของท่านพาหิยะไม่ทำบุญผ้า
smiley
แต่มีเรื่องที่น่าเสียดายนิดหนึ่งที่ท่านผู้เรียบเรียงเรื่องท่านบอกว่า

อ้างคำพูด:
จึงได้ตรัสสั้นๆ ว่า "พึงปิดตา พึงปิดหู แล้วพึงเปิดใจ" ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/550526


ซึ่งน่าจะไม่ตรงกับพุทธวัจจนะดีนะครับ
:b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2017, 20:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่ครับ...เห็นด้วย..ที่อโศกะทำตัวแดงๆใว้..

เพราะตรงนี้แหละครับ..ที่ไม่ค่อยจะตรง..เลยไม่แน่ใจว่า..ที่บอกว่าไม่ได้ให้ผ้าแก่ผู้อื่นเพราะ.....จะเป็นการแปลที่ถูกต้องมั้ย..แถมไม่มีอ้างอิงพระสูตรหรือบาลีซะด้วย..

เลยทำให้ไม่แน่ใจ...กับความถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2017, 00:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง เหตุที่ พระอรหันตเจ้า พาหิยะทารุจิริยะ ไม่มีแม้บาตร และจีวร
มีข้อสันนิษฐาน โดยพระอรรถาจารย์ แสดงไว้สองประเด็น
อรรถาถา เขียน:
......ถูกตรัสถามว่า เธอมีบาตรและจีวรบริบูรณ์แล้วหรือ กราบทูลว่ายังไม่บริบูรณ์ พระเจ้าข้า
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงแสวงหาบาตรและจีวร ดังนี้แล้วเสด็จหลีกไป.
เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า อถ โข ภควา ฯเปฯ ปกฺกามิ ดังนี้.
ได้ยินว่า ท่านพาหิยะนั้น เมื่อกระทำสมณธรรมสิ้น ๒๐,๐๐๐ ปี ในพระศาสนาของพระกัสสปทศพล คิดว่า ธรรมดาว่า ภิกษุ เมื่อตนได้ปัจจัยแล้วทำทานตามสมควรจึงฉันด้วยตนจึงควร ดังนี้ แล้วไม่ได้ทำการสงเคราะห์ด้วยบาตรหรือจีวรแม้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง. เหตุนั้น ท่านจึงไม่มีอุปนิสัยเอหิภิกขุอุปสัมปทา.

แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ได้ยินว่า ท่านเป็นโจรคราวว่างพระพุทธเจ้า ผูกมัดธนูตั้งตัวเป็นโจรในป่าเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะความโลภในบาตรและจีวร จึงใช้ธนูยิงท่าน แล้วถือเอาบาตรและจีวรไป ด้วยเหตุนั้น บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดแก่ท่าน
พระศาสดาทรงทราบดังนั้นแล้ว จึงมิได้ทรงประทานบรรพชาด้วยเอหิภิกขุแล. แม้ท่านกำลังเที่ยวแสวงหาบาตรและจีวรอยู่ แม่โคตัวหนึ่งวิ่งมาโดยเร็วขวิดให้เธอถึงสิ้นชีวิต ซึ่งท่านหมายกล่าวว่า อถ โข อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต พาหิยํ ทารุจีริยํ คาวี ตรุณวจฺฉา อธิปติตฺวา ชีวิตา โวโรเปสิ
ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปไม่นาน แม่โคลูกอ่อนขวิดท่านพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงสิ้นชีวิต.


http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=47

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2017, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ตามองดู สะท้อนเข้าใจ สติฉับไว ตัดตรงหว่างกลาง...

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2017, 06:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
ผลพลอยได้จากการภาวนา 3 คืน 3 วัน เอามาฝากครับ

เราคงเคยทราบกันแล้วว่า
จิตเกิดดับเร็วมากเร็วกว่าความเร็วของเสียงและแสงหลายร้อยหลายพันเท่า มีท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า
จิตเกิดดับด้วยความเร็ว
เท่ากับ 1 เติมด้วย 0 ถึง 22 ตัว ครั้ง ต่อวินาที
เมื่อเป็นอย่างนั้นการที่เราจะไปศึกษาเรื่องของจิตให้รู้และเข้าใจ เราจะต้องมีเครื่องมือที่มีความเร็วเท่ากับหรือมากกว่าความเร็วของจิต
เครื่องมือนั้นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาใช้แล้วคือ สติและปัญญานั่นเองโดยมีสมาธิเป็นฐานรองรับที่สำคัญ

สติและปัญญานั้นเกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิต ท่านเรียกว่า "เจตสิก" แต่สติปัญญาของปุถุชนคนธรรมดาที่ยังไม่ได้รับการอบรมพุทธวิชาหรือวิชาวิปัสสนาภาวนานั้นจะมีความเร็วต่ำมากแม้แต่ความเกิดดับของลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร
กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย ยังไม่ค่อยจะรู้ทันได้เลย ต่อเมื่อได้รับการฝึกหัดอบรมปฏิบัติมาพอสมควรจึงจะมีความเร็วและความคมกล้าสูงขึ้นจนสามารถรู้ทันการเกิดดับตามธรรมชาติในกายเหล่านี้ได้
แต่การศึกษาเรื่องจิตอันเป็นนามธรรมนั้น ต้องพัฒนาสติ ปัญญาให้มีความคมกล้า เร็วและฉับไวยิ่งกว่านี้อีกมาก ระดับความเร็วที่พอแก่การใช้งานได้นั้นต้องระดับที่
รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ จนเห็นความสืบต่อและการเกิดดับของอารมณ์แต่ละอารมณ์ให้ได้ก่อน จนถึงสามารถจะให้รู้ชัดเฉพาะความเกิดหรือความดับได้
ความเร็วและความเฉียบแหลมคมของสติปัญญาระดับนี้สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ในบุคคลระดับ กัลยาณชนหรือชาวพุทธ
ซึ่งจะทำให้เขาสามารถสังเกต เห็นและติดตามดูพฤติกรรมของจิตได้โดยละเอียดตามที่มันเป็นจริง
และสามารถทำลายความเห็นผิดยึดผิดหรือ อวิชชาได้
แต่ความเร็วระดับสูงสุดคือเท่ากับความเร็วในการเกิดดับของจิตนั้นมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้ ท่านจึงสามารถจะสรุปผลการค้นคว้าออกมาเป็นอภิธรรมได้ถึง 42,000
พระธรรมขันธ์ คล้ายเป็นวิทยานิพนธ์ของพระองค์ให้ชาวโลกได้รู้

เราคงได้เคยเรียนรู้กันมาบ้างทางวิทยาศาสตร์ว่าถ้า
สามารถทำเครื่องมือตรวจจับความเร็วที่เร็วได้มากเท่าไร สิ่งที่เร็วมากนั้นสามารถจะทำให้มันกลายเป็นภาพสะโลโมชั่นให้เราดูได้ อย่างเช่นกล้องถ่ายภาพความเร็วสูงที่สามารถถ่ายภาพลูกกระสุนปืนที่ถูกยิงออกจากลำกล้องปืนไปจนถูกเป้าหมายมาสะโลโมชั่นให้ดู

ความเกิดดับและปฏิกิริยาในกายใจของคนเราก็เช่นกันสามารถทำให้สะโลโมชั่นให้ดูรายละเอียดทุกระยะแต่ละเสี้ยววินาทีได้เช่นกันด้วยพลังสติปัญญาที่มีความเร็วสูงและคมกล้าจนถึงที่
นักวิปัสสนาที่จะบรรลุธรรมได้ต้องมีคุณสมบัติอันนี้เกิดขึ้นจนได้ด้วยการฝึกฝนอบรมสติปัญญาอน่างจริงจัง
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2017, 06:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การไปปฏิบัติธรรม 3 วันนั้นน่ะเพื่อไปเอาหรือเพื่อไปละ
ถ้าไปเอาบุญน่ะมันผิดพุทธประสงค์ตามคำสอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2017, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss สาธุครับท่านอโสกะ ผมก็เป็นอีกคนที่เชื่อในความพิเศษแห่งจิต แต่ด้วยเป็นคนมีปัญญาบารมีน้อย อาศัยดักจับเอาตรงประตูใจ อย่างเดียวเลยช่วงนี้ มีปัญญาถึงการศึกษาเบื้องลึกเมื่อไหร่คงได้มาแยกแยะอย่างเขาบ้าง s007

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2017, 09:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
การไปปฏิบัติธรรม 3 วันนั้นน่ะเพื่อไปเอาหรือเพื่อไปละ
ถ้าไปเอาบุญน่ะมันผิดพุทธประสงค์ตามคำสอน

onion
ไปทำงานตามโอวาทปาติโมกข์ข้อที่ 3 ครับ คือชำระจิตของตนให้ขาวรอบยิ่งๆขึ้นไป แต่มันมีผลพลอยได้ตามมาหลายอย่างเลยเอามาแบ่งปันสู่กันรู้นะครับ
:b20:
ไม่ใช่การไปเอาหรือไปละอะไรอย่างที่คุณธรรมาคาดเดาหรอกนะครับ

"ไปทำหน้าที่ของชาวพุทธที่ดี"

:b11:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร