วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 16:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2017, 20:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13:
ใจของกรัชกายก็พาลด้านไปด้วยแล้ว
Kiss
ปัญหาของผู้ปฏิบัติทุกคนที่กรัชกายยกมาถาม ล้วนเป็นการติดอยู่ในผลของสมาธิทั้งสิ้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ สติไม่ทันปัจจุบัน สัมปชัญญะขาด
onion
ผลของสมาธิที่จะเกิดกับทุกคนแต่ละขั้นตอนจะเกิดและติดมากน้อย นาน เร็วไม่เท่ากันแล้วแต่บุญ กรรม บารมีที่สร้างมาของแต่ละคน
ผลของสมาธิ
วิตก
วิจารณ์
ปีติ
ปัสสัทธิ
นิมิต
สุข
เอกัคตา
อุเบกขา

สิ่งที่คนติดมากและผ่านได้เนิ่นช้าคือ
ปีติ กับ นิมิต ที่เหลือนอกนั้นเป็นผลด้านบวกแก้ง่าย

การแก้ไขต้องใช้วิธีผสมผสานให้เหมาะตามพื้นกรรมวาสนาบารมีของแต่ละคน ไม่มีวิธีตายตัว รายละเอียดค่อยมาว่ากันเป็นกรณีไป
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2017, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b13:
ใจของกรัชกายก็พาลด้านไปด้วยแล้ว
Kiss
ปัญหาของผู้ปฏิบัติทุกคนที่กรัชกายยกมาถาม ล้วนเป็นการติดอยู่ในผลของสมาธิทั้งสิ้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ สติไม่ทันปัจจุบัน สัมปชัญญะขาด
onion
ผลของสมาธิที่จะเกิดกับทุกคนแต่ละขั้นตอนจะเกิดและติดมากน้อย นาน เร็วไม่เท่ากันแล้วแต่บุญ กรรม บารมีที่สร้างมาของแต่ละคน
ผลของสมาธิ
วิตก
วิจารณ์
ปีติ
ปัสสัทธิ
นิมิต
สุข
เอกัคตา
อุเบกขา

สิ่งที่คนติดมากและผ่านได้เนิ่นช้าคือ
ปีติ กับ นิมิต ที่เหลือนอกนั้นเป็นผลด้านบวกแก้ง่าย

การแก้ไขต้องใช้วิธีผสมผสานให้เหมาะตามพื้นกรรมวาสนาบารมีของแต่ละคน ไม่มีวิธีตายตัว รายละเอียดค่อยมาว่ากันเป็นกรณีไป


อิอิ ยกเอาศัพท์แสงมาเพียบ ทำนองเอาท่อนซุงมานั่นแล

แต่ที่นี้สรุปลงที่

อ้างคำพูด:
ไม่มีวิธีตายตัว รายละเอียดค่อยมาว่ากันเป็นกรณีไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2017, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b13:
ใจของกรัชกายก็พาลด้านไปด้วยแล้ว
Kiss
ปัญหาของผู้ปฏิบัติทุกคนที่กรัชกายยกมาถาม ล้วนเป็นการติดอยู่ในผลของสมาธิทั้งสิ้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ สติไม่ทันปัจจุบัน สัมปชัญญะขาด
onion
ผลของสมาธิที่จะเกิดกับทุกคนแต่ละขั้นตอนจะเกิดและติดมากน้อย นาน เร็วไม่เท่ากันแล้วแต่บุญ กรรม บารมีที่สร้างมาของแต่ละคน
ผลของสมาธิ
วิตก
วิจารณ์
ปีติ
ปัสสัทธิ
นิมิต
สุข
เอกัคตา
อุเบกขา

สิ่งที่คนติดมากและผ่านได้เนิ่นช้าคือ
ปีติ กับ นิมิต ที่เหลือนอกนั้นเป็นผลด้านบวกแก้ง่าย

การแก้ไขต้องใช้วิธีผสมผสานให้เหมาะตามพื้นกรรมวาสนาบารมีของแต่ละคน ไม่มีวิธีตายตัว รายละเอียดค่อยมาว่ากันเป็นกรณีไป




ว่ากรณีนี้สิ (รำพึงรำพัน ไม่เอานะ)

อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2017, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool
คนนี้ต้องให้ไปเดินจงกรมฝึกสติให้ทันอาการย่างและกระทบพื้นของเท้า เดินนานๆแล้วค่อยมานั่ง

เวลานั่งให้สังเกตว่ามีอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดอะไรเกิดบ้าง
(ให้ทันอารมณ์ย่อยทุกอารมณ์)ทั้งก่อนและหลังหมุน

1 รอบการนั่งผ่านไปให้มานั่งวิเคราะห์ธรรมว่าเพราะเหตุอะไรถึงนั่งแล้วพอสมาธิเริ่มเกิดก็เริ่มหมุน ดูดีๆ สังเกตดีๆ
กำหนดถี่ๆ ไม่ช้าเข้ก็จะพบเหตุเอง วางเหตุเอง

อย่าใจร้อน คนติดปีติหมุนนี่ใช้เวลานาน อโศกะเคยติดอยู่เกือบ 3 ปี
onion
สมาธิยังไม่ผ่านอย่าเพิ่งทำวิปัสสนา มันจะเป็นวิปัสสนึก
ต้องเคยได้เอกัคตาสักหน่อยก่อนจนมตั้งอยู่ที่ขณิกะหรืออุปจาระสมาธิได้นานๆหน่อยจึงค่อยมาว่าเรื่องวิปัสสนา

ถ้าอยากจะศึกษาไว้เป็นความรู้พื้นฐานตอนมีโอกาสเวลาว่างก็ได้

วิ=วิเศษ
ปัสสนา=ดู เห็น รู้
ภาวนา=เจริญ

เจริญการ ดู เห็น รู้ สิ่งพิเศษในกายใจ

สิ่งพิเศษในกายใจคือ ปรมัตถธรรม ได้แก่ธรรมที่เกิดขึ้นเองเป็นเองด้วยกำลังแห่งเหตุแลปัจจัยในกายในใจ แสดงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอยู่เป็นนิจ บังคับบัญชาไม่ได้ ทนตั้งอยู่ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จนกว่าจะหมดเหตุหรือปัจจัย

เมื่อได้เห็นความจริงอ่างนี้บ่อยเข้าๆ จะเพิกถอนความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกูออกเสียได้

นี้คือวิปัสสนาภาวนาโดยสังเขป

กรัชกายเอาไปบอกเขาด้วยตามนี้ บางทีคนใหม่ใจบริสุทธิ์อาจเข้าใจคำพูดนี้ได้ดีกว่ากรัชกายผู้รู้มาก อย่าให้อโศกะเหนื่อยเปล่าในการตอบล่ะ มิฉะนั้นจะเลิกตอบเลิกคุยกับกรัชกายถ้ามาหลอกถามหลอกลวง
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2017, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
cool
คนนี้ต้องให้ไปเดินจงกรมฝึกสติให้ทันอาการย่างและกระทบพื้นของเท้า เดินนานๆแล้วค่อยมานั่ง

เวลานั่งให้สังเกตว่ามีอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดอะไรเกิดบ้าง
(ให้ทันอารมณ์ย่อยทุกอารมณ์)ทั้งก่อนและหลังหมุน

1 รอบการนั่งผ่านไปให้มานั่งวิเคราะห์ธรรมว่าเพราะเหตุอะไรถึงนั่งแล้วพอสมาธิเริ่มเกิดก็เริ่มหมุน ดูดีๆ สังเกตดีๆ
กำหนดถี่ๆ ไม่ช้าเข้ก็จะพบเหตุเอง วางเหตุเอง

อย่าใจร้อน คนติดปีติหมุนนี่ใช้เวลานาน อโศกะเคยติดอยู่เกือบ 3 ปี
onion
สมาธิยังไม่ผ่านอย่าเพิ่งทำวิปัสสนา มันจะเป็นวิปัสสนึก
ต้องเคยได้เอกัคตาสักหน่อยก่อนจนมตั้งอยู่ที่ขณิกะหรืออุปจาระสมาธิได้นานๆหน่อยจึงค่อยมาว่าเรื่องวิปัสสนา

ถ้าอยากจะศึกษาไว้เป็นความรู้พื้นฐานตอนมีโอกาสเวลาว่างก็ได้

วิ=วิเศษ
ปัสสนา=ดู เห็น รู้
ภาวนา=เจริญ

เจริญการ ดู เห็น รู้ สิ่งพิเศษในกายใจ

สิ่งพิเศษในกายใจคือ ปรมัตถธรรม ได้แก่ธรรมที่เกิดขึ้นเองเป็นเองด้วยกำลังแห่งเหตุแลปัจจัยในกายในใจ แสดงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอยู่เป็นนิจ บังคับบัญชาไม่ได้ ทนตั้งอยู่ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จนกว่าจะหมดเหตุหรือปัจจัย

เมื่อได้เห็นความจริงอ่างนี้บ่อยเข้าๆ จะเพิกถอนความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกูออกเสียได้

นี้คือวิปัสสนาภาวนาโดยสังเขป

กรัชกายเอาไปบอกเขาด้วยตามนี้ บางทีคนใหม่ใจบริสุทธิ์อาจเข้าใจคำพูดนี้ได้ดีกว่ากรัชกายผู้รู้มาก อย่าให้อโศกะเหนื่อยเปล่าในการตอบล่ะ มิฉะนั้นจะเลิกตอบเลิกคุยกับกรัชกายถ้ามาหลอกถามหลอกลวง



ไม่ใช่ให้มาทำตัว วิ= วิเศษ เป็นต้น ถ้าขณะนั่งสมาธิ คิดอย่างนี้ เขาเรียกฟุ้งซ่าน ไม่ไหวพอดีกว่า :b16: ไปพักผ่อนอาบน้ำกินนมนอนได้แล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2017, 21:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
แปลความหมายผิดไปหมด กรัชกายเอ้ย!.....เหนื่อยเปล่าจริงๆคุยกับคนเฉโก
s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2017, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
grin
แปลความหมายผิดไปหมด กรัชกายเอ้ย!.....เหนื่อยเปล่าจริงๆคุยกับคนเฉโก
s002


ยกตัวอย่างมาหน่อยก็ว่า แปลความหมายผิด งั้นเอามาเต็มๆเลย

อ้างคำพูด:
วิ=วิเศษ
ปัสสนา=ดู เห็น รู้
ภาวนา=เจริญ


ถ้าให้คนนั่งสมาธิไปนั่งคิดอย่างนี้ ก็ฟุ้งซ่าน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2017, 05:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
grin
แปลความหมายผิดไปหมด กรัชกายเอ้ย!.....เหนื่อยเปล่าจริงๆคุยกับคนเฉโก
s002


ยกตัวอย่างมาหน่อยก็ว่า แปลความหมายผิด งั้นเอามาเต็มๆเลย

อ้างคำพูด:
วิ=วิเศษ
ปัสสนา=ดู เห็น รู้
ภาวนา=เจริญ


ถ้าให้คนนั่งสมาธิไปนั่งคิดอย่างนี้ ก็ฟุ้งซ่าน

grin
กรัชกายใจร้อนเกินไปและเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่จึงไม่เข้าใจกระบวนการสอนและการศึกษาที่ถูกวิธี

การสอนที่ดีต้องยึดหลักที่ว่า

"อย่ามัวแต่แจกปลา จงสอนวิธีจับปลาให้ทุกคนหากินได้ด้วยตัวเอง"

เขาสงสัยเรื่องวิปัสสนาภาวนา ก็ต้องบอกเขาให้ชัดเจนถึงความหมายของวิปัสสนาภาวนาก่อน แล้วจึงค่อยอธิบายรายละเอียดและวิธีปฏิบัติต่างๆตามไปภายหลัง ไม่ใช่ทำอย่าง
กรัชกายที่เที่ยวแก้ปัญหาให้คนอื่นไปแบบแจกปลา

การรู้ความหมายและคำจำกัดความของแต่ละเรื่องอาจทำให้เขาค้นพบวิธีปฏิบัติที่เป็นแบบเฉพาะตัวเหมาะสมกับพื้นฐานที่เขามีอยู่ได้ด้วยตัวเอง คือคิดวิธีจับปลาได้ด้วยตัวเขาเอง

จำไว้นะกรัชกาย จะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเลี้ยงลูกแหง่อยูตลอดชีวิต
onion
วิปัสสนาภาวนาคือ
เจริญการ ดู เห็น รู้ สิ่งพิเศษในกายใจ

สิ่งพิเศษในกายใจคือ ปรมัตถธรรม ได้แก่ธรรมที่เกิดขึ้นเองเป็นเองด้วยกำลังแห่งเหตุแลปัจจัยในกายในใจ แสดงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอยู่เป็นนิจ บังคับบัญชาไม่ได้ ทนตั้งอยู่ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จนกว่าจะหมดเหตุหรือปัจจัย

เมื่อได้เห็นความจริงอย่างนี้บ่อยเข้าๆ จะเพิกถอนความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกูออกเสียได้

นี้คือวิปัสสนาภาวนาโดยสังเขป

:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2017, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
grin
แปลความหมายผิดไปหมด กรัชกายเอ้ย!.....เหนื่อยเปล่าจริงๆคุยกับคนเฉโก
s002


ยกตัวอย่างมาหน่อยก็ว่า แปลความหมายผิด งั้นเอามาเต็มๆเลย

อ้างคำพูด:
วิ=วิเศษ
ปัสสนา=ดู เห็น รู้
ภาวนา=เจริญ


ถ้าให้คนนั่งสมาธิไปนั่งคิดอย่างนี้ ก็ฟุ้งซ่าน

grin
กรัชกายใจร้อนเกินไปและเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่จึงไม่เข้าใจกระบวนการสอนและการศึกษาที่ถูกวิธี

การสอนที่ดีต้องยึดหลักที่ว่า

"อย่ามัวแต่แจกปลา จงสอนวิธีจับปลาให้ทุกคนหากินได้ด้วยตัวเอง"

เขาสงสัยเรื่องวิปัสสนาภาวนา ก็ต้องบอกเขาให้ชัดเจนถึงความหมายของวิปัสสนาภาวนาก่อน แล้วจึงค่อยอธิบายรายละเอียดและวิธีปฏิบัติต่างๆตามไปภายหลัง ไม่ใช่ทำอย่าง
กรัชกายที่เที่ยวแก้ปัญหาให้คนอื่นไปแบบแจกปลา

การรู้ความหมายและคำจำกัดความของแต่ละเรื่องอาจทำให้เขาค้นพบวิธีปฏิบัติที่เป็นแบบเฉพาะตัวเหมาะสมกับพื้นฐานที่เขามีอยู่ได้ด้วยตัวเอง คือคิดวิธีจับปลาได้ด้วยตัวเขาเอง

จำไว้นะกรัชกาย จะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเลี้ยงลูกแหง่อยูตลอดชีวิต
วิปัสสนาภาวนาคือ
เจริญการ ดู เห็น รู้ สิ่งพิเศษในกายใจ

สิ่งพิเศษในกายใจคือ ปรมัตถธรรม ได้แก่ธรรมที่เกิดขึ้นเองเป็นเองด้วยกำลังแห่งเหตุแลปัจจัยในกายในใจ แสดงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอยู่เป็นนิจ บังคับบัญชาไม่ได้ ทนตั้งอยู่ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จนกว่าจะหมดเหตุหรือปัจจัย

เมื่อได้เห็นความจริงอย่างนี้บ่อยเข้าๆ จะเพิกถอนความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกูออกเสียได้

นี้คือวิปัสสนาภาวนาโดยสังเขป


ท่านอโศกนี่ยังไม่รู้ตัวว่ามั่วนะ คือไปนำคำศัพท์มาผสมกับจินตนาการตัวเอง :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2017, 06:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


wink
ตามชื่อกระทู้นี้ได้พูดถึงเรื่องของคนฟุ้งซ่านไปพอสมควรแล้ว สรุปว่าคนฟุ้งซ่านนี่จะสังขารปรุงแต่งเป็นเรื่องต่างๆแตกแขนงออกไปอย่างมากมายไม่รู้จบไม่รู้สิ้น มากเรื่อง มากสงสัย ไม่สงบ ไม่ตั้งมั่น ไม่แหลมคม ไม่ชี้ตรงลงไปในเรื่องเดียวจนจบโดยสมบูรณ์ไปเป็นเรื่องๆ ตัวอย่างบุคคลเช่นนี้ในลานธรรมจักรแห่งนี้ก็มีอยู่ไม่มากคน ที่ชัดเจนเด่นกว่าใครก็อย่างเช่น กรัชกายผู้มากกระทู้

วันนี้จะได้พูดถึงคนยึดติดซึ่งเป็นคู่ขนานไปกับคนฟุ้งซ่าน
ตามธรรมชาติของธรรมดาโลกซึ่งจะมีทุกอย่างเป็นคู่ๆกัน
อย่าง ดำ กับ ขาว มืดกับสว่าง ดีกับชั่ว ร้อนกับเย็น ทุกข์กับสุข ตึงกับหย่อน อัตตกิลมถานุโยค กับกามสุขัลิกานุโยค

คนยึดติดนี้เมื่อเจอสิ่งที่ถูกใจพอใจตรงกับความคิดเห็นของตนเองแล้วจะยึดติดแน่น สำคัญว่าสิ่งที่ตนยึดติดนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เลิศที่สุดกว่าใครๆ แล้วก็ไปพยายามหาเพื่อนหากลุ่ม
เข้ากับกลุ่มที่มีความเห็น ความยึดติดอย่างเดียวกัน มีตัวอย่างของคนยึดติดกับกลุ่มคนยึดติดเช่นนี้มากมายในสังคมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ในลานธรรมจักรนี้ก็มีตัวอย่างมากมาย

ความยึดติดนี่ จะกลายเป็นความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่อยู่ในเรื่องเดียวกลายเป็นเอกลักษณ์ ปฏิปทาของคนๆนั้น ถ้าเขายึดติดแต่พอดีนี่เป็นส่วนดีของความยึดติดที่ไม่แน่นจนเกินไป

แต่ถ้าถ้ายึดติดแน่นจนแก้ไขอะไรไม่ได้เปลี่ยนความคิดเห็นที่ยึดติดนี้ไม่ได้ใครมาแตะต้องเป็นขัดใจโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย อย่างนี้เป็นโทษและเป็นอันตรายแก่ตนเองและผู้อื่น

ความยึดติดนี้เป็นตัวชี้ทิศทางการเดินทางและวิธีการเดินทางของแต่ละคน ถ้าอุปมาเปรียบเทียบกับการขับรถอยู่บนทางหลวงสาธารณะที่เป็นทางเดียวรถวิ่งสวนกันไปมาได้ ไม่ใช่ทางซุปเปอร์ไฮเวย์ที่แยกเลนแยกข้างกันอย่างชัดเจนกว้างขวางสะดวกสบาย เราจะเห็นได้ว่า

คนฟุ้งซ่านจะเปรียบเหมือนคนที่ขับรถไม่เป็นไปตามกฎจราจร ขับโฉบไปซ้ายที ขวาที บางทีก็แช่อยู่ในเลนกลางขวางทางเกะกะเขาไปเรื่อย

ส่วนคนที่ยึดติดนั้นจะวิ่งตรงแน่วตามทางที่เขายึดและคิดว่าใช่ ถ้าเป็นคนยึดติดพอดีก็จะยึดตามกฏจราจร ถ้าเป็นเมืองไทยก็วิ่งอยู่ในเลนซ้ายตลอดบางช่วงก็เข้าเลนกลางบ้าง ถ้าถนนว่างก็อาจเลยไปถึงเลนขวาเพื่อขับแซงรถคันหน้ายืดหยุ่นตามสถานะการณ์

ถ้าไปเจอคนยึดติดแน่น พวกนี้จะมั่นอยู่ในทางของตนเองไม่มียืดหยุ่นไม่มียกเว้น นานๆจะเจอสักทีบนท้องถนนพวกนี้เวลาขับบนท้องถนน คนอื่นจะต้องหลบให้ไม่อย่างนั้นชนกันแหลก คล้ายๆพวกสิบล้อหรือหัวลากคันโตๆ

จากอุปมาอุปมัยนี้ลองมาคิดเทียบกันดูในลานธรรมจักรแห่งนี้
ท่านที่มีสมาธิดีตั้งมั่นมักจะมาโพสต์กระทู้ทีละกระทู้เดียว แต่มีรายละเอียดเจาะลึกเป็นเฉพาะเรื่องไปจนจบตามแนวทางความเห็นของตนเอง ตัวอย่างที่ดีมากๆเช่นท่านวิสุทธิปาละ
ท่านอื่นที่เป็นนักกระทู้กลางประจำลานก็อย่างท่านรสมน
แนวยึดพระไตรปิฎกก็อย่างเช่นคุณวิไลพร ที่ยึดแนวทางเฉพาะของตนก็อย่างเช่นน้องรสริน

ในระหว่างกลางของคน 2 กลุ่มนี้ที่ไม่ฟุ้งซ่านมาก ไม่ติดยึดแน่นก็อย่างเช่นคุณกบนอกกะลา คุณเช่นนั้นและอีกหลายท่าน

นอกจากนี้ก็มีกลุ่มผู้ใหม่มาสังเกตการณ์ ยังอยู่ในช่วงสงสัย ไม่เลือกทางใดทางหนึ่ง ก็มีอีกหลายท่านมากด้วย สังเกตได้จากจำนวนคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นับเป็นพันเป็นหมื่น แต่มีผู้แสดงความเห็นเป็นประจำไม่กี่ท่าน

ลองสังเกตพิจารณาประเมินและวิเคราะห์วิจัยวิจารณ์กันดูนะครับ

ต้องกราบอภัยท่านที่ถูกยกมากล่าวนามทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นแนวทางสังเกตและพิสูจน์ความจริงกันนะครับ เอาเป็นธรรมทัศนะเล่าสู่กันฟังและเป็เหตุเป็นเงื่อนให้ได้สนทนาธรรมกันต่อนะครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2017, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ตามชื่อกระทู้นี้ได้พูดถึงเรื่องของคนฟุ้งซ่านไปพอสมควรแล้ว สรุปว่าคนฟุ้งซ่านนี่จะสังขารปรุงแต่งเป็นเรื่องต่างๆแตกแขนงออกไปอย่างมากมายไม่รู้จบไม่รู้สิ้น มากเรื่อง มากสงสัย ไม่สงบ ไม่ตั้งมั่น ไม่แหลมคม ไม่ชี้ตรงลงไปในเรื่องเดียวจนจบโดยสมบูรณ์ไปเป็นเรื่องๆ ตัวอย่างบุคคลเช่นนี้ในลานธรรมจักรแห่งนี้ก็มีอยู่ไม่มากคน ที่ชัดเจนเด่นกว่าใครก็อย่างเช่น กรัชกายผู้มากกระทู้

วันนี้จะได้พูดถึงคนยึดติดซึ่งเป็นคู่ขนานไปกับคนฟุ้งซ่าน
ตามธรรมชาติของธรรมดาโลกซึ่งจะมีทุกอย่างเป็นคู่ๆกัน
อย่าง ดำ กับ ขาว มืดกับสว่าง ดีกับชั่ว ร้อนกับเย็น ทุกข์กับสุข ตึงกับหย่อน อัตตกิลมถานุโยค กับกามสุขัลิกานุโยค

คนยึดติดนี้เมื่อเจอสิ่งที่ถูกใจพอใจตรงกับความคิดเห็นของตนเองแล้วจะยึดติดแน่น สำคัญว่าสิ่งที่ตนยึดติดนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เลิศที่สุดกว่าใครๆ แล้วก็ไปพยายามหาเพื่อนหากลุ่ม
เข้ากับกลุ่มที่มีความเห็น ความยึดติดอย่างเดียวกัน มีตัวอย่างของคนยึดติดกับกลุ่มคนยึดติดเช่นนี้มากมายในสังคมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ในลานธรรมจักรนี้ก็มีตัวอย่างมากมาย

ความยึดติดนี่ จะกลายเป็นความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่อยู่ในเรื่องเดียวกลายเป็นเอกลักษณ์ ปฏิปทาของคนๆนั้น ถ้าเขายึดติดแต่พอดีนี่เป็นส่วนดีของความยึดติดที่ไม่แน่นจนเกินไป

แต่ถ้าถ้ายึดติดแน่นจนแก้ไขอะไรไม่ได้เปลี่ยนความคิดเห็นที่ยึดติดนี้ไม่ได้ใครมาแตะต้องเป็นขัดใจโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย อย่างนี้เป็นโทษและเป็นอันตรายแก่ตนเองและผู้อื่น

ความยึดติดนี้เป็นตัวชี้ทิศทางการเดินทางและวิธีการเดินทางของแต่ละคน ถ้าอุปมาเปรียบเทียบกับการขับรถอยู่บนทางหลวงสาธารณะที่เป็นทางเดียวรถวิ่งสวนกันไปมาได้ ไม่ใช่ทางซุปเปอร์ไฮเวย์ที่แยกเลนแยกข้างกันอย่างชัดเจนกว้างขวางสะดวกสบาย เราจะเห็นได้ว่า

คนฟุ้งซ่านจะเปรียบเหมือนคนที่ขับรถไม่เป็นไปตามกฎจราจร ขับโฉบไปซ้ายที ขวาที บางทีก็แช่อยู่ในเลนกลางขวางทางเกะกะเขาไปเรื่อย

ส่วนคนที่ยึดติดนั้นจะวิ่งตรงแน่วตามทางที่เขายึดและคิดว่าใช่ ถ้าเป็นคนยึดติดพอดีก็จะยึดตามกฏจราจร ถ้าเป็นเมืองไทยก็วิ่งอยู่ในเลนซ้ายตลอดบางช่วงก็เข้าเลนกลางบ้าง ถ้าถนนว่างก็อาจเลยไปถึงเลนขวาเพื่อขับแซงรถคันหน้ายืดหยุ่นตามสถานะการณ์

ถ้าไปเจอคนยึดติดแน่น พวกนี้จะมั่นอยู่ในทางของตนเองไม่มียืดหยุ่นไม่มียกเว้น นานๆจะเจอสักทีบนท้องถนนพวกนี้เวลาขับบนท้องถนน คนอื่นจะต้องหลบให้ไม่อย่างนั้นชนกันแหลก คล้ายๆพวกสิบล้อหรือหัวลากคันโตๆ

จากอุปมาอุปมัยนี้ลองมาคิดเทียบกันดูในลานธรรมจักรแห่งนี้
ท่านที่มีสมาธิดีตั้งมั่นมักจะมาโพสต์กระทู้ทีละกระทู้เดียว แต่มีรายละเอียดเจาะลึกเป็นเฉพาะเรื่องไปจนจบตามแนวทางความเห็นของตนเอง ตัวอย่างที่ดีมากๆเช่นท่านวิสุทธิปาละ
ท่านอื่นที่เป็นนักกระทู้กลางประจำลานก็อย่างท่านรสมน
แนวยึดพระไตรปิฎกก็อย่างเช่นคุณวิไลพร ที่ยึดแนวทางเฉพาะของตนก็อย่างเช่นน้องรสริน

ในระหว่างกลางของคน 2 กลุ่มนี้ที่ไม่ฟุ้งซ่านมาก ไม่ติดยึดแน่นก็อย่างเช่นคุณกบนอกกะลา คุณเช่นนั้นและอีกหลายท่าน

นอกจากนี้ก็มีกลุ่มผู้ใหม่มาสังเกตการณ์ ยังอยู่ในช่วงสงสัย ไม่เลือกทางใดทางหนึ่ง ก็มีอีกหลายท่านมากด้วย สังเกตได้จากจำนวนคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นับเป็นพันเป็นหมื่น แต่มีผู้แสดงความเห็นเป็นประจำไม่กี่ท่าน

ลองสังเกตพิจารณาประเมินและวิเคราะห์วิจัยวิจารณ์กันดูนะครับ

ต้องกราบอภัยท่านที่ถูกยกมากล่าวนามทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นแนวทางสังเกตและพิสูจน์ความจริงกันนะครับ เอาเป็นธรรมทัศนะเล่าสู่กันฟังและเป็เหตุเป็นเงื่อนให้ได้สนทนาธรรมกันต่อนะครับ


รำพึงรำพันไม่หยุด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2017, 19:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
กรัชกายมีสติปัญญาจับประเด็นได้แค่นั้นเอง ช่างน่าสงสารจริงๆอนิจจังอนิจจา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2017, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
กรัชกายมีสติปัญญาจับประเด็นได้แค่นั้นเอง ช่างน่าสงสารจริงๆอนิจจังอนิจจา.....


ไม่เอารำพึงรำพัน ไม่เจ๋งดอกจิก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2017, 12:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b37:
ได้กล่าวถึงรายละเอียดของคนฟุ้งซ่านและคนติดยึดมาพอสมควรแล้วต่อจากนี้ไปเราจะได้ประยุกต์คือเอาธรรมตามหัวข้อนี้มาช่วยในการวิเตราะห์ธรรมวิเคราะห์เหตุการณ์อันเนื่องมาจากการกระทำของบุคตล กลุ่มชนในลานนี้และในโลกยุคปัจจุบัน
:b48:
ตรงกลาง ระหว่างกลางของคนฟุ้งซ่านกับคนติดยึดจะมีบุคคลที่เรียกว่า "คนปกติ" คือคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรและมีสติปัญญาหรือสัมปชัญญะอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา

คนประเภทนี้จะเรียกว่าผู้กำลังเดินตามทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวและสอนไว้ก็ว่าได้ จะเรียกให้เป็นวิชาการขึ้นอีกสักนิดก็เรียกว่า "คนที่กำลังเจริญมรรค 8 หรือเจริญตามมัชฌิมาปฏิปทา"

คนปกติ ถ้าเป็นสามัญชนธรรมดาทั่วไปก็คือผู้ที่มีชีวิตใช้ชีวิตไปตามธรรมดาโลกเหมือนผู้คนทั่วไป ไม่เป็นคนบ้าใบ้เสียจริตผิดคนธรรมดา ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องโดยสุจริตไม่ทำผิดกฏหมายและกฏศีลธรรมของสังคม

แต่ถ้าเป็นกัลยาณชน ชาวพุทธ ปกติของชาวพุทธ คือปฏิบัติธรรมทุกวัน
ละชั่วด้วยศีล 5
ทำดีด้วยบุญ 10
ชำระจิตให้ขาวรอบด้วยสมถะและวิปัสสนา

งานทำมาหากินเป็นรอง งานเจริญธรรมเป็นหลัก
มีปัจจุบันอารมณ์เป็นเครื่องอยู่ มีสติปัฏฐาน 4 เป็นเครื่องดำเนินไป เพราะถ้าเจริญสติปัฏฐาน 4 ได้ดีชีวิตจะตั้งอยู่บนทางสายกลางและลงสู่ปกติได้ง่ายเสมอ
(เอาแค่นี้ก่อนนะวันนี้ วันต่อไปถ้าไม่มีอะไรแทรกจะได้ฟังเรื่อง "ปกติ" โดยละเอียดหรือพิสดาร)
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2017, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b37:
ได้กล่าวถึงรายละเอียดของคนฟุ้งซ่านและคนติดยึดมาพอสมควรแล้วต่อจากนี้ไปเราจะได้ประยุกต์คือเอาธรรมตามหัวข้อนี้มาช่วยในการวิเตราะห์ธรรมวิเคราะห์เหตุการณ์อันเนื่องมาจากการกระทำของบุคตล กลุ่มชนในลานนี้และในโลกยุคปัจจุบัน
:b48:
ตรงกลาง ระหว่างกลางของคนฟุ้งซ่านกับคนติดยึดจะมีบุคคลที่เรียกว่า "คนปกติ" คือคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรและมีสติปัญญาหรือสัมปชัญญะอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา

คนประเภทนี้จะเรียกว่าผู้กำลังเดินตามทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวและสอนไว้ก็ว่าได้ จะเรียกให้เป็นวิชาการขึ้นอีกสักนิดก็เรียกว่า "คนที่กำลังเจริญมรรค 8 หรือเจริญตามมัชฌิมาปฏิปทา"

คนปกติ ถ้าเป็นสามัญชนธรรมดาทั่วไปก็คือผู้ที่มีชีวิตใช้ชีวิตไปตามธรรมดาโลกเหมือนผู้คนทั่วไป ไม่เป็นคนบ้าใบ้เสียจริตผิดคนธรรมดา ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องโดยสุจริตไม่ทำผิดกฏหมายและกฏศีลธรรมของสังคม

แต่ถ้าเป็นกัลยาณชน ชาวพุทธ ปกติของชาวพุทธ คือปฏิบัติธรรมทุกวัน
ละชั่วด้วยศีล 5
ทำดีด้วยบุญ 10
ชำระจิตให้ขาวรอบด้วยสมถะและวิปัสสนา

งานทำมาหากินเป็นรอง งานเจริญธรรมเป็นหลัก
มีปัจจุบันอารมณ์เป็นเครื่องอยู่ มีสติปัฏฐาน 4 เป็นเครื่องดำเนินไป เพราะถ้าเจริญสติปัฏฐาน 4 ได้ดีชีวิตจะตั้งอยู่บนทางสายกลางและลงสู่ปกติได้ง่ายเสมอ
(เอาแค่นี้ก่อนนะวันนี้ วันต่อไปถ้าไม่มีอะไรแทรกจะได้ฟังเรื่อง "ปกติ" โดยละเอียดหรือพิสดาร)
:b8:



นั่นๆ เอาชีวิตมาพูดทำไม ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง :b32:

สติปัฏฐานเจริญยังไง ไม่ใช่ยกมาทั้งดุ้น :b1:

สติปัฏฐาน 4 ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร