วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 17:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2017, 12:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
กรัชกายยังไม่มีสติปัญญาจับประเด็นที่ถูกต้องได้อยู่ดี
เห็นได้แค่เป็นเรื่องจับแพะชนแกะ

ทั้งๆที่คำแนะนำก็เป็นไปตามลำดับแห่งธรรม

นี่คงเป็นเพราะกรัชกายมีการปฏิบัติธรรมมาน้อยไม่เคยสัมผัสสภาวธรรมจริงๆจึงไม่เข้าใจ ไว้ถึงวันที่กรัชกายสัมผัสสภาวธรรมจริงๆก็ค่อยเข้าใจก็แล้วกัน
:b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2017, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กรัชกายยังไม่มีสติปัญญาจับประเด็นที่ถูกต้องได้อยู่ดี
เห็นได้แค่เป็นเรื่องจับแพะชนแกะ

ทั้งๆที่คำแนะนำก็เป็นไปตามลำดับแห่งธรรม

นี่คงเป็นเพราะกรัชกายมีการปฏิบัติธรรมมาน้อยไม่เคยสัมผัสสภาวธรรมจริงๆจึงไม่เข้าใจ ไว้ถึงวันที่กรัชกายสัมผัสสภาวธรรมจริงๆก็ค่อยเข้าใจก็แล้วกัน


สภาวธรรมที่ว่านี่อะไรอ่ะนะ ใช่เต้นๆตอดๆป่าว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 13:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายยังไม่มีสติปัญญาจับประเด็นที่ถูกต้องได้อยู่ดี
เห็นได้แค่เป็นเรื่องจับแพะชนแกะ

ทั้งๆที่คำแนะนำก็เป็นไปตามลำดับแห่งธรรม

นี่คงเป็นเพราะกรัชกายมีการปฏิบัติธรรมมาน้อยไม่เคยสัมผัสสภาวธรรมจริงๆจึงไม่เข้าใจ ไว้ถึงวันที่กรัชกายสัมผัสสภาวธรรมจริงๆก็ค่อยเข้าใจก็แล้วกัน


สภาวธรรมที่ว่านี่อะไรอ่ะนะ ใช่เต้นๆตอดๆป่าว

:b37:
"สภาวธรรมคือสิ่งที่กำลังดำเนินไปด้วยอำนาจของเหตุ ปัจจัยและผล"

เต้นตอดก็ใช่ เป็นสภาวะของธาตุลม
wink


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายยังไม่มีสติปัญญาจับประเด็นที่ถูกต้องได้อยู่ดี
เห็นได้แค่เป็นเรื่องจับแพะชนแกะ

ทั้งๆที่คำแนะนำก็เป็นไปตามลำดับแห่งธรรม

นี่คงเป็นเพราะกรัชกายมีการปฏิบัติธรรมมาน้อยไม่เคยสัมผัสสภาวธรรมจริงๆจึงไม่เข้าใจ ไว้ถึงวันที่กรัชกายสัมผัสสภาวธรรมจริงๆก็ค่อยเข้าใจก็แล้วกัน


สภาวธรรมที่ว่านี่อะไรอ่ะนะ ใช่เต้นๆตอดๆป่าว



"สภาวธรรมคือสิ่งที่กำลังดำเนินไปด้วยอำนาจของเหตุ ปัจจัยและผล"

เต้นตอดก็ใช่ เป็นสภาวะของธาตุลม


ถ้าแค่นี้นะ พระพุทธศาสนาไม่ต้องมีก็ได้ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 19:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b7:
สติปัญญากรัชกายรู้และตัดสินความได้แค่นี้เองหรือ?

เรื่องของทางสายกลางพูดให้เยอะก็เยอะ พูดให้กระชับลัดสั้นก็สั้น ไม่น้ำท่วมทุ่งอย่างกรัชกายหรอก
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 19:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าลืมเรื่อง..กสินเวทนา..ซะนะครับ..อโสกะ

ผมถาม..(กระทู้ไหนไม่ทราบ) :b32: :b32: ..ว่า..สำเร็จกสินเวทนาแล้ว...ทำอะไรได้บ้าง..

กสินดิน..ทำของอ่อนให้แข็งได้
กสินน้ำ...ทำของแข็งให้อ่อนได้..

กสินเวทนา(ของอโสกะ)....ทำอะไรได้บ้างคับ??? :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b7:
สติปัญญากรัชกายรู้และตัดสินความได้แค่นี้เองหรือ?

เรื่องของทางสายกลางพูดให้เยอะก็เยอะ พูดให้กระชับลัดสั้นก็สั้น ไม่น้ำท่วมทุ่งอย่างกรัชกายหรอก


อะไรนะทางสายกลาง เอาชัดๆสิ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2017, 12:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่าลืมเรื่อง..กสินเวทนา..ซะนะครับ..อโสกะ

ผมถาม..(กระทู้ไหนไม่ทราบ) :b32: :b32: ..ว่า..สำเร็จกสินเวทนาแล้ว...ทำอะไรได้บ้าง..

กสินดิน..ทำของอ่อนให้แข็งได้
กสินน้ำ...ทำของแข็งให้อ่อนได้..

กสินเวทนา(ของอโสกะ)....ทำอะไรได้บ้างคับ??? :b9: :b9:

:b49:
เวทนากสิณ ถ้าสำเร็จ ทำให้เจ็บ ปวด ทุกข์ สุข หายไปก็ได้ เกิดขึ้นใหม่ก็ได้ (แต่ไม่ถาวร)
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2017, 12:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b34:
กลับไปดูเสียใหม่ให้ดีๆ ไป้!


ดูแล้วไม่เห็นมีอารัยเลย เออ :b16:

onion
ความฟุ้งซ่านเป็น 1 ในนิวรณ์ 5 ที่ค่อนข้างจะสำคัญกว่านิวรณ์ตัวอื่นเพราะกว่าจะขุดถอนออกได้ต้องใช้ถึงอรหัตมรรคโน่นเชียว

ซึ่งที่เป็นลักษณะของความฟุ้งซ่านที่ชัดเจนคือความคิด
หรือจิตตสังขารความคิดแทบทุกอย่างถือเป็นความฟุ้งซ่านของจิต ซึ่งแม้แต่กระทั้งความคิดพิจารณาตามเนื้อธรรมคำสอนถ้าหยุดไม่ได้ สงบไม่เป็นก็ต้องถือว่าเป็นความฟุ้งซ่าน

การที่โยคีหรือผู้ปฏิบัติธรรมไปพบกับผัสสะ อารมณ์ ความ
รู้สึกต่างๆแล้วเกิดการสังขารปรุงแต่งว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา
จะทำให้เกิดความคิดนึกตามมาแล้วลามไปเป็นความฟุ้งซ่าน
เป็นมโนกรรม เกิดตัณหา อุปาทาน กรรมและวิบากต่างๆตามมา แต่ถ้าสติไปรู้ทันเสียตั้งแต่เกิดผัสสะระงับเวทนาที่เกิดตามมาเสียได้ ความฟุ้งซ่านก็ไม่มีโอกาสได้เกิด
(มีต่อ แบตหมดครับ)
ผู้ปฏิบัติธรรมใหม่ๆหรือบางทีเก่าๆนานๆแล้วก็ตามพอเกิดผลจากสมาธิ คือ ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ฌาณ ต่างๆขึ้นมาแล้วไปหลงสงสัย เพลิน ติดใจ กลัว สำคัญผิดต่างๆแล้วไปสังขารปรุงแต่งต่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเยอะแยะมากมายเลยเป็นงานที่ไม่ใช่งานขึ้นมาคือไปเป็นปัญหาถามครูบาอาจารย์ให้ช่วยแก้ไข ที่ปรึกษาอาจารย์แก้ให้ไม่เป็น ไม่ถูกประเด็นไม่ถูกเหตุ เลยพากันฟุ้งไปใหญ่ จมลงในปัญหาดังตัวอย่างที่คุณกรัชกายยกมาถามให้เปรอะเยอะแยะมากมาย เมื่อวิเคราะห์ลงไปก็เป็นเรื่องฟุ้งซ่าน อุปาทาน สังขารปรุงแต่งไปของผู้ปฏิบัติเหล่านั้นทั้งสิ้น


การแก้ไขอุทธัจจะหรือความฟุ้งซ่านของผู้ปฏิบัตินั้นมีหลักใหญ่ใจความว่าต้องทำให้เขาเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมาอยู่กับปัจจุบันและงานในหน้าที่ที่เขาต้องทำ

ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญสมาธิก็ให้มีสติรู้ทันนิวรณ์ทั้ง 5 มีปัญญารู้ตัวว่ากำลังทำหน้าที่สงบนิวรณ์เพื่อให้เกิดสมาธิและฌาณ มิใช่งานอื่นและยังไม่ใช่ขั้นตอนการเจริญปัญญาวิปัสสนา นิวรณ์ 5 สงบดีแล้วเมื่อไหร่จึงค่อยไปทำความเพียรเจริญปัญญาต่อ

ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญวิปัสสนาปัญญาก็คอยรักษาระดับสมาธิให้เพียงพอสำหรับการจดจ่อต่อเนื่องในการดู รู้ สังเกตและพิจารณาธรรม ตอนพิจารณาธรรมก็ต้องพยายามทำให้อยู่ในกรอบที่ควบคุมได้คือไม่ลุกลามไปเป็นการคิดฟุ้งซ่าน
ลำดับงานควรจะมีเพียง
ดู
เห็น
สังเกต
รู้
สภาวธรรมที่กำลังเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงและดับไปในกายในใจ ไม่ให้แลบต่อไปถึงการพิจารณาที่ต้องใช้ความคิดนึก เพราะสภาวธรรมจริงที่เป็นปรมัตถ์อนัตตา ใช้แค่ปัญญาดูสังเกต ก็จะรู้หรือเกิดปัญญารู้ขึ้นมาเองตรงในใจไม่ต้องคิดนึก [/size]

แต่ถ้าจำเป็นจะต้องถอยออกมาคิดนึกพิจารณาเป็นธรรมวิจัยหรือการใคร่ครวญธรรม ก็อาจทำได้เพื่อให้เกิดจินตมยปัญญามาหนุนภาวนามยปัญญาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นแต่ต้องคอยระวังเพราะตอนนั้นสติจะไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ ต้องมาทรงอยู่ทำงานพิจารณาอดีตหรืออนาคตอารมณ์ โมหะและจิตตสังขารสามารถแทรกเข้ามาจนเกิดเป็นความฟุ้งซ่านได้ตลอดเวลา พิจารณาพอได้แนวทางแล้วก็ต้องรีบกลับไปอยู่ตรงช่องทางเดินของวิปัสสนาภาวนาคือ สติ ปัญญาไปอยู่ตรงงาน
ดู
เห็น
สังเกต
รู้
สภาวธรรมตามที่มันเป็น (ตถตา)
ไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่รู้ตามที่ตำราบอกสอนไว้ มันจะรู้เองเป็นเองไปตามลำดับโดยธรรม



ภาคปฏิบัติเขาเรียกจับแพะชนแกะ พาให้ฟุ้งซ่านเสียเอง :b1:

huh
กรัชกายไม่มีทางจะเข้าใจเรื่องที่เล่ามานี้เพราะไม่มีภาคปฏิบัติและประสบการณ์จริงรองรับเลยไม่รู้เรื่อง

ประดุจคนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นวัดพระธาตุจอมแจ้ง ดอยสะเก็ด จะเล่าให้ฟังละเอียดอย่างไรก็นึกภาพไม่ออกไม่ตรงกับความเป็นจริง

ชั่วโมงบินยังน้อยๆค่อยๆทำไป อีกหน่อยก็รู้เอง

:b38:
สำหรับเรื่องทางสายกลางไปเปิดค้นดูเรื่องทัชฌิมาปฏิปทา ก็จะรู้ แต่ถ้าจะให้เข้าใจต้องไปนั่งสังเกตกายใจตอนมีผัสสะและเวทนาจนเกิดความยินดียินร้าย วางยินดียินร้ายได้ใจก็จะอยู่ตรงกลาง อันนี้ต้องทำเอาจึงจะซึ้ง คิดเอาไม่ได้
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2017, 16:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อย่าลืมเรื่อง..กสินเวทนา..ซะนะครับ..อโสกะ

ผมถาม..(กระทู้ไหนไม่ทราบ) :b32: :b32: ..ว่า..สำเร็จกสินเวทนาแล้ว...ทำอะไรได้บ้าง..

กสินดิน..ทำของอ่อนให้แข็งได้
กสินน้ำ...ทำของแข็งให้อ่อนได้..

กสินเวทนา(ของอโสกะ)....ทำอะไรได้บ้างคับ??? :b9: :b9:

:b49:
เวทนากสิณ ถ้าสำเร็จ ทำให้เจ็บ ปวด ทุกข์ สุข หายไปก็ได้ เกิดขึ้นใหม่ก็ได้ (แต่ไม่ถาวร)
:b11:


อีโถ้..เอ้ย .ผิดหวังเลย..แฮะ..

ขอตัดคำว่ากสิน...ออกได้ป้าวคับ...ป้องกันคนดีดีฟังแล้วสับสน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2017, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b34:
กลับไปดูเสียใหม่ให้ดีๆ ไป้!


ดูแล้วไม่เห็นมีอารัยเลย เออ :b16:

onion
ความฟุ้งซ่านเป็น 1 ในนิวรณ์ 5 ที่ค่อนข้างจะสำคัญกว่านิวรณ์ตัวอื่นเพราะกว่าจะขุดถอนออกได้ต้องใช้ถึงอรหัตมรรคโน่นเชียว

ซึ่งที่เป็นลักษณะของความฟุ้งซ่านที่ชัดเจนคือความคิด
หรือจิตตสังขารความคิดแทบทุกอย่างถือเป็นความฟุ้งซ่านของจิต ซึ่งแม้แต่กระทั้งความคิดพิจารณาตามเนื้อธรรมคำสอนถ้าหยุดไม่ได้ สงบไม่เป็นก็ต้องถือว่าเป็นความฟุ้งซ่าน

การที่โยคีหรือผู้ปฏิบัติธรรมไปพบกับผัสสะ อารมณ์ ความ
รู้สึกต่างๆแล้วเกิดการสังขารปรุงแต่งว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา
จะทำให้เกิดความคิดนึกตามมาแล้วลามไปเป็นความฟุ้งซ่าน
เป็นมโนกรรม เกิดตัณหา อุปาทาน กรรมและวิบากต่างๆตามมา แต่ถ้าสติไปรู้ทันเสียตั้งแต่เกิดผัสสะระงับเวทนาที่เกิดตามมาเสียได้ ความฟุ้งซ่านก็ไม่มีโอกาสได้เกิด
(มีต่อ แบตหมดครับ)
ผู้ปฏิบัติธรรมใหม่ๆหรือบางทีเก่าๆนานๆแล้วก็ตามพอเกิดผลจากสมาธิ คือ ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ฌาณ ต่างๆขึ้นมาแล้วไปหลงสงสัย เพลิน ติดใจ กลัว สำคัญผิดต่างๆแล้วไปสังขารปรุงแต่งต่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเยอะแยะมากมายเลยเป็นงานที่ไม่ใช่งานขึ้นมาคือไปเป็นปัญหาถามครูบาอาจารย์ให้ช่วยแก้ไข ที่ปรึกษาอาจารย์แก้ให้ไม่เป็น ไม่ถูกประเด็นไม่ถูกเหตุ เลยพากันฟุ้งไปใหญ่ จมลงในปัญหาดังตัวอย่างที่คุณกรัชกายยกมาถามให้เปรอะเยอะแยะมากมาย เมื่อวิเคราะห์ลงไปก็เป็นเรื่องฟุ้งซ่าน อุปาทาน สังขารปรุงแต่งไปของผู้ปฏิบัติเหล่านั้นทั้งสิ้น


การแก้ไขอุทธัจจะหรือความฟุ้งซ่านของผู้ปฏิบัตินั้นมีหลักใหญ่ใจความว่าต้องทำให้เขาเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมาอยู่กับปัจจุบันและงานในหน้าที่ที่เขาต้องทำ

ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญสมาธิก็ให้มีสติรู้ทันนิวรณ์ทั้ง 5 มีปัญญารู้ตัวว่ากำลังทำหน้าที่สงบนิวรณ์เพื่อให้เกิดสมาธิและฌาณ มิใช่งานอื่นและยังไม่ใช่ขั้นตอนการเจริญปัญญาวิปัสสนา นิวรณ์ 5 สงบดีแล้วเมื่อไหร่จึงค่อยไปทำความเพียรเจริญปัญญาต่อ

ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญวิปัสสนาปัญญาก็คอยรักษาระดับสมาธิให้เพียงพอสำหรับการจดจ่อต่อเนื่องในการดู รู้ สังเกตและพิจารณาธรรม ตอนพิจารณาธรรมก็ต้องพยายามทำให้อยู่ในกรอบที่ควบคุมได้คือไม่ลุกลามไปเป็นการคิดฟุ้งซ่าน
ลำดับงานควรจะมีเพียง
ดู
เห็น
สังเกต
รู้
สภาวธรรมที่กำลังเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงและดับไปในกายในใจ ไม่ให้แลบต่อไปถึงการพิจารณาที่ต้องใช้ความคิดนึก เพราะสภาวธรรมจริงที่เป็นปรมัตถ์อนัตตา ใช้แค่ปัญญาดูสังเกต ก็จะรู้หรือเกิดปัญญารู้ขึ้นมาเองตรงในใจไม่ต้องคิดนึก [/size]

แต่ถ้าจำเป็นจะต้องถอยออกมาคิดนึกพิจารณาเป็นธรรมวิจัยหรือการใคร่ครวญธรรม ก็อาจทำได้เพื่อให้เกิดจินตมยปัญญามาหนุนภาวนามยปัญญาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นแต่ต้องคอยระวังเพราะตอนนั้นสติจะไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ ต้องมาทรงอยู่ทำงานพิจารณาอดีตหรืออนาคตอารมณ์ โมหะและจิตตสังขารสามารถแทรกเข้ามาจนเกิดเป็นความฟุ้งซ่านได้ตลอดเวลา พิจารณาพอได้แนวทางแล้วก็ต้องรีบกลับไปอยู่ตรงช่องทางเดินของวิปัสสนาภาวนาคือ สติ ปัญญาไปอยู่ตรงงาน
ดู
เห็น
สังเกต
รู้
สภาวธรรมตามที่มันเป็น (ตถตา)
ไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่รู้ตามที่ตำราบอกสอนไว้ มันจะรู้เองเป็นเองไปตามลำดับโดยธรรม



ภาคปฏิบัติเขาเรียกจับแพะชนแกะ พาให้ฟุ้งซ่านเสียเอง



กรัชกายไม่มีทางจะเข้าใจเรื่องที่เล่ามานี้เพราะไม่มีภาคปฏิบัติและประสบการณ์จริงรองรับเลยไม่รู้เรื่อง

ประดุจคนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นวัดพระธาตุจอมแจ้ง ดอยสะเก็ด จะเล่าให้ฟังละเอียดอย่างไรก็นึกภาพไม่ออกไม่ตรงกับความเป็นจริง

ชั่วโมงบินยังน้อยๆค่อยๆทำไป อีกหน่อยก็รู้เอง

สำหรับเรื่องทางสายกลางไปเปิดค้นดูเรื่องทัชฌิมาปฏิปทา ก็จะรู้ แต่ถ้าจะให้เข้าใจต้องไปนั่งสังเกตกายใจตอนมีผัสสะและเวทนาจนเกิดความยินดียินร้าย วางยินดียินร้ายได้ใจก็จะอยู่ตรงกลาง อันนี้ต้องทำเอาจึงจะซึ้ง คิดเอาไม่ได้




9 วิธีที่ท่านอโศกปฏิบัติมา กรัชกายถาม ท่านอโศกบอกแล้ว 4 วิธี มีสมาธิหมุน เต้นตอด สะแกนร่างกาย เป็นต้น ยังเหลือพุทโธ สายวัดหนองป่าพง ถามยังไม่ตอบ

ใช้โอกาสนี้ บอกเลยขอรับ

เจริญในธรรม :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2017, 20:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


wink
บอกแล้วในอีกกระทู้หนึ่งไปหาอ่านเอานะครับ
:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2017, 04:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นแล้ว..เศร้า..คับ

แก้...เจ็บปวด..ทุกข์สุข..(แล้วเติมติ่งว่า..ไม่ถาวร..แถมมานิด..กลัวถูกโจมตี)

อโสกะครับ....ในสมาธิ..นั้นนะ..ความเจ็บปวด..สุขทุกข์...มันก็หมดไปได้ตามกำลังของฌานอยู่แล้ว....เพลียแทนอโสกะ..ซะจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2017, 14:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เห็นแล้ว..เศร้า..คับ

แก้...เจ็บปวด..ทุกข์สุข..(แล้วเติมติ่งว่า..ไม่ถาวร..แถมมานิด..กลัวถูกโจมตี)

อโสกะครับ....ในสมาธิ..นั้นนะ..ความเจ็บปวด..สุขทุกข์...มันก็หมดไปได้ตามกำลังของฌานอยู่แล้ว....เพลียแทนอโสกะ..ซะจริง

:b12:
ดับด้วยสมาธิดับแล้วก็กลับมาอีก ไม่ถาวร เพราะยังมีผู้รับความเจ็บปวด สุขทุกข์อยู่ เหมืนมือสองข้างตบกัน

แต่ดับด้วยวิปัสสนาภาวนานั้นดับถาวรไม่กลับมากำเริบอีก
เพราะผู้รับความเจ็บปวด สุขทุกข์ ได้ตายไปเสียแล้ว เหมือนตบมือข้างเดียว ไม่มีเสียง

กบเข้าใจไหมอย่างนี้

ดับเหตุ อย่าไปพยายามดับผลนะจึงจะตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2017, 19:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แนะนำ...ให้เปลี่ยนจากคำว่า..กสินเวทนา...ซะนะคับ..

นี้ก็มิทราบว่า..มีกสินแปลกๆอื่นๆ..อีกมั้ยคับอโสกะ..เช่น..เต้นตุ๊บตอด..เป็นกสินกาย..มั้ยหน่อ??

s002 s002 s002


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร