วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 17:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2015, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ตารางชีวิตนี้นั้น ทุกคนต่างก็มีเวลาไม่เท่ากัน

ในคนหนุ่มสาว บางคนก็คิดว่าจะทำกุศล แต่ผลัดว่าเอาไว้แก่ก่อนค่อยทำ เพราะความประมาท คิดว่ายังหนุ่มยังสาว ยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำกุศล คิดว่าการเข้าวัดทำบุญหรือการทำกุศลใดๆ เป็นเรื่องของคนแก่

ปรากฏว่า ไม่ได้ทำ จากไปก่อนแก่ เสียหายไปชาติหนึ่งที่เกิดมา

ความประมาทในวัย คิดว่ายังหนุ่มสาว ยังมีเวลาอีกนาน เอาไว้ก่อน

เวลาขณะที่เกิดมาแล้ว ไปจนถึง เวลาก่อนขณะที่กำลังตายนั้น แต่ละคนมีเวลาไม่เท่ากัน
บางคนเกิดมาแล้ว และอยู่ได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาย
บางคนเกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่ได้ ๕ ปี บางคนก็มีชีวิตอยู่ได้ ๑๐๐ ปี

การที่คิดว่าเรายังอยู่ได้อีกนาน ผลัดวันประกันพรุ่งในการทำความดี ก็คือความประมาท

ตารางชีวิตนี้ได้ไปเห็นอยู่ในกระทู้อภิธรรมของคุณโสมก็เลยเอาตีตารางทำใหม่
ย่อให้สั่นลงเนื้อหาเอาแค่ตอนอายุ 50 พอเพื่อเตือนสติผู้ที่อาจหลงลืมวันตาย
สิ่งเหล่าก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องของกรรมอยู่ในปริเฉทที่ 5 อายุ 75
ซึ่งเป็นอายุของมนุษย์โดยเฉลี่ย ถ้าเกินอายุ 75 ปีขึ้นไปเป็นเรื่องกรรมที่กรรมยังไม่หมด
แต่อายุหมดแล้วยังมีโอกาสที่จะต้องรับผลของกรรมอีกทั้งที่ดีและไม่ดี

ดังนั้นคนที่ได้มีโอกาสมีอายุเกิน 75 ปีถือว่าโชคดีที่ยังมีโอกาสได้แก่ เราควรต้องเคารพผู้สูงวัย ไม่ควรไปด่าทอว่าแก่จะตายยังไม่เจียมตัวอะไรทำนองนี้ ไอ้คนจำพวกดูถูกผู้สูงวัยลองไปถามคนแก่ดูมั่งว่าไอ้คนที่เด็กๆ อายุน้อยๆ แกเอาไฟไปใส่มาเยอะต่อเยอะแล้ว

ก็เห็นมีเยอะบุคคลประเภทนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2015, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
SOAMUSA เขียน:
ตารางชีวิตนี้นั้น ทุกคนต่างก็มีเวลาไม่เท่ากัน

ในคนหนุ่มสาว บางคนก็คิดว่าจะทำกุศล แต่ผลัดว่าเอาไว้แก่ก่อนค่อยทำ เพราะความประมาท คิดว่ายังหนุ่มยังสาว ยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำกุศล คิดว่าการเข้าวัดทำบุญหรือการทำกุศลใดๆ เป็นเรื่องของคนแก่

ปรากฏว่า ไม่ได้ทำ จากไปก่อนแก่ เสียหายไปชาติหนึ่งที่เกิดมา

ความประมาทในวัย คิดว่ายังหนุ่มสาว ยังมีเวลาอีกนาน เอาไว้ก่อน

เวลาขณะที่เกิดมาแล้ว ไปจนถึง เวลาก่อนขณะที่กำลังตายนั้น แต่ละคนมีเวลาไม่เท่ากัน
บางคนเกิดมาแล้ว และอยู่ได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาย
บางคนเกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่ได้ ๕ ปี บางคนก็มีชีวิตอยู่ได้ ๑๐๐ ปี

การที่คิดว่าเรายังอยู่ได้อีกนาน ผลัดวันประกันพรุ่งในการทำความดี ก็คือความประมาท

ตารางชีวิตนี้ได้ไปเห็นอยู่ในกระทู้อภิธรรมของคุณโสมก็เลยเอาตีตารางทำใหม่
ย่อให้สั่นลงเนื้อหาเอาแค่ตอนอายุ 50 พอเพื่อเตือนสติผู้ที่อาจหลงลืมวันตาย
สิ่งเหล่าก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องของกรรมอยู่ในปริเฉทที่ 5 อายุ 75
ซึ่งเป็นอายุของมนุษย์โดยเฉลี่ย ถ้าเกินอายุ 75 ปีขึ้นไปเป็นเรื่องกรรมที่กรรมยังไม่หมด
แต่อายุหมดแล้วยังมีโอกาสที่จะต้องรับผลของกรรมอีกทั้งที่ดีและไม่ดี

ดังนั้นคนที่ได้มีโอกาสมีอายุเกิน 75 ปีถือว่าโชคดีที่ยังมีโอกาสได้แก่ เราควรต้องเคารพผู้สูงวัย ไม่ควรไปด่าทอว่าแก่จะตายยังไม่เจียมตัวอะไรทำนองนี้ ไอ้คนจำพวกดูถูกผู้สูงวัยลองไปถามคนแก่ดูมั่งว่าไอ้คนที่เด็กๆ อายุน้อยๆ แกเอาไฟไปใส่มาเยอะต่อเยอะแล้ว

ก็เห็นมีเยอะบุคคลประเภทนี้


ตารางชีวิตนี้ หนูก็ถ่ายรูปมาจากข้างฝาทางเดินอีกที ดีค่ะลุงเอามาเผยแผ่ต่อๆกันไป

คือ สลดใจนะคะ คนหนุ่มสาวต้องตายก่อนวัยอันควร ไม่แก่ตาย
คนแก่ต้องมางานเผาศพคนหนุ่มคนสาว หรือเด็ก มันไม่มีอะไรแน่นอนเลยเรื่องความตายนี้
ไปจิกด่าคนแก่ แต่ตัวเองจะได้แก่หรือเปล่านี่สิ น่าคิดเหมือนกันค่ะลุง

การเคารพผู้สูงวัยนั้นเราควรเคารพค่ะ เพราะมีวัยที่มากกว่า มีคำพูดเปรียบไว้ว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน
การเคารพผู้ที่สูงวัยกว่านั้น เป็นการกระทำที่อ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ก็เป็นกุศลค่ะ
เป็นเรื่องที่บรรพบุรุษของเราอบรมสั่งสอนลูกหลานสืบต่อกันมา เราควรทำค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2016, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b13: :b13:
รู้ผิด คิดผิด เห็นผิด พูดผิด ทำผิดไปเสียแล้ว วลัยพร เพราะด้วยอำนาจของโทสะ พยาบาท อัตตทิฏฐิ มานะทิฏฐิ
:b3:
ช่วยกระตุกโซ่เพราะเห็นหลุดจากฐานที่มัดมากัดคนนอกฐาน กำลังพยายามจะพากลับไปมัดที่ๆเดิมที่ชอบที่ยึด กลับแว้งกัดมาอีก

เอ้อหนอ! ชีวิตของคนที่เหมือนสาวใหญ่อยู่คนเดียวมาตั้งนานนี้ มีวิธีระบายถ่ายทอดความคับคั่งของพลังภายในอย่างนี้นี่เองนะ

เพราะโมหะบังตา แม้คำแช่งคำด่า กับคำชี้แนะกระตุ้นเตือนให้เกิดสติ สัมปชัญญะ ยังแยกแยะไม่ออกไม่ชัดจนจึงตีความหมายและความเมตตาปารถนาดีผิดไปเป็นลบไปหมด

ตีความ จับประเด็นในเรื่องง่ายๆอย่างนี้ยังผิดๆถูกๆ แล้วนี่จะไปตีความ จับประเด็นพุทธธรรมคำสอนจากคัมภีร์มาให้ถูกต้องได้นี่คงจะยากยิ่งนักกระมัง
คงจะทำให้สิ่งที่ดีๆเสียหายไปเพราะความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นที่ผิดว่าเป็นถูก


ความรู้มากชำนาญมากในคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่วันไหนเอามาทำให้ลำพองยกตนข่มท่านแล้ว วันนั้นมันกลับจะกลายเป็นหอกทิ่มแทงใจตนเองให้เดือดร้อน เพราะมันเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นไปโดยไม่รู้ตัว

การได้รู้กว้างขวางลึกซึ้งในคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไปเกิดความกระหยิ่มใจเหมือนกับว่าตนได้เฝ้าใกล้ชิดพระพุทธเจ้าทุกวัน แต่ไม่หมั่นปฏิบัติภาวนาตามคำสอน นั่นเป็นสัญญาณอันตราย เพราะไม่มีผู้ใดกอดคัมภีร์เข้าพระนิพพานได้ มีแต่ต้องสละกาย สละใจ สลายความรู้ผิด เห็นผิด ยึดผิด จิตไร้พยศ หมดมานะ ละมิจฉาทิฏฐิได้ จึงจะเข้านิพพาน

พระธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นล้วนนำพาให้เข้าถึงนิพพานได้ทั้งสิ้น เพราะเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงจำแนกแจกแจงสอนแก่บุคคลต่างๆ ตามวาระ อุปนิสัย วาสนา บารมี ของผู้ฟังคนนั้น กลุ่มนั้นๆ

วลัยพรค้นคว้าหาสิ่งอ้างอิงตลอดจนถึงคัดลอกพุทธวัจจนะมาแปะให้อ่านเสียยาวยืดนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีน่าสรรเสริญ แต่เมื่อเอาความเห็นส่วนตัวของตนเองไปวงเล็บไว้ท้ายข้อความที่ตรงกับความเห็นของตนเอง (ผัสสะ) อย่างนี้นี้สิอันตรายเพราะนั่นคือการพยายามกล่าวตู่พุทธวัจจนะโดยไม่รู้ตัว ด้วยสำคัญผิด

ลึกๆตามธรรมและพิจารณาตามคำสอนย้ำของพระบรมศาสดาแล้ว
การระวังที่ผัสสะ มันเป็นวิธีการที่พวกฤาษี พราหมณ์ ฮินดูเขาใช้กันมานานก่อนพุทธกาลแล้วดีอยู่ บรรลุธรรมได้อยู่ แต่มันทำยาก ใช้กำลังมากและมีโอกาสหลงติดสุขในสมาธิและฌาณได้ง่าย ทั้งยังเป็นการไปปิดบังไม่ให้เห็นสมุทัยเหตุทุกข์ที่แท้จริงอีกด้วย


พระบรมศาสดา ตลอดจนถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านจึงสนใจให้ไปเฝ้าระวังที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหา เพราะที่นั่นผู้ปฏิบัติทุกคน
จะได้พบกับเหตุทุกข์ที่แท้จริงอยู่ตลอดเวลาถ้ามีความสังเกตและสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ดูสิแม้แต่สติปัฏฐานสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงรับรองพระองค์ก็ทรงสอนให้ ระวังที่เวทนา คือเอาความยินดียินร้ายออกให้ได้ กระบวนการในการเอาความยินดียินร้ายออกนี่สิที่พระบรมศาสดาทรงทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนค้นพบด้วยตนเอง มันจึงจะซึ้งและมีคุณค่า


เพราะฉนั้นพึงคลายความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องผัสสะ ที่วลัยพรเห็นว่าใช่ที่สุด เพื่อจะได้เอื้อให้พระธรรมสูตรอื่น ขันธ์อื่นได้เปล่งรัศมีนำผู้คนในจริตนิสัยต่างๆได้ถึงความหลุดพ้นตามนิสัย วาสนา ทัศนะและบารมีของตนเอง

วลัยพรเองก็จะได้มีจิตใจเป็นกลางมากขึ้นไม่สุดโต่ง จนใครกระทบไม่ได้ กระทบทีไรก็ปรี้ดแตกทุกทีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ไม่มีใครกล้าหาญต่อกรถกเถียงมีวาทะกับวลัยพรหรอกทั่วลานเขารู้ๆกันอยู่
แต่อโศกะด้วยความเอ็นดูจึง สะกิดสะเกาบ้างเป็นบางครั้งบางคราวส่วนใหญ่มักจะตอนที่วลัยพรเผลอแลบออกนอกฐานนอกลานของตนเองมา ดังกรณีที่เราต้องมามีวาทะกันในลานของลุงหมานนี้ ถ้าในลานของวลัยพร อโศกะก็บอกแล้วว่า

"ทางใคร ทางมัน"

ต้องกราบขออภัยลุงหมานด้วยนะครับ


[size=200]"ไม่ถือสาก็ไม่เป็นไร ไม่อีนังขังขอบก็ไม่ทุกข์ใจ"

[/size]
ตุ๊เจ้าเสือดาวท่านเมตตาเตือนไว้อย่างนี้ครับ
:b38:
โชคดีปีใหม่สบายใจกันดีทุกท่านทุกคนนะครับ
:b8:








ถ้ารู้ทันตัณหา คงไม่โพสอะไรยืดยาว :b32:




asoka เขียน:
วลัยพรค้นคว้าหาสิ่งอ้างอิงตลอดจนถึงคัดลอกพุทธวัจจนะมาแปะให้อ่านเสียยาวยืดนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีน่าสรรเสริญ แต่เมื่อเอาความเห็นส่วนตัวของตนเองไปวงเล็บไว้ท้ายข้อความที่ตรงกับความเห็นของตนเอง (ผัสสะ) อย่างนี้นี้สิอันตรายเพราะนั่นคือการพยายามกล่าวตู่พุทธวัจจนะโดยไม่รู้ตัว ด้วยสำคัญผิด



อ่อ ข้อแนะนำ ซึ่งวลัยพรเคยเขียนบอกไว้หลายครั้งแล้วว่า

พระธรรมคำสอน ที่นำมาแสดงนั้น จะคงสภาพเดิมไว้ทุกอย่าง
โดยไม่มีการสอดแทรกความเห็นของตนลงในพระธรรมคำสอน


หากจะเขียนข้อคิดเห็นใดๆ
จะใส่คำว่า "หมายเหตุ" แล้วจึงต่อด้วยคำอธิบายตามความเห็นของตน
ที่แน่ๆ ไม่เคยใช้วิธีการ นำความเห็นของตน ไปวงเล็บไว้ท้ายพระธรรมคำสอน




อ่านแล้วฮาแตกฮาแตน นี่แหละหนา ตัณหาพาไปแท้ๆ :b32:
อย่ามาทำท่าตีสนิท ทำท่าเหมือนกับว่า เคยพบเจอกัน เคยพูดคุยกัน อย่างนั้นแหละ
อ่านแล้ว อายแทนจริงๆ :b15:



asoka เขียน:
เอ้อหนอ! ชีวิตของคนที่เหมือนสาวใหญ่อยู่คนเดียวมาตั้งนานนี้ มีวิธีระบายถ่ายทอดความคับคั่งของพลังภายในอย่างนี้นี่เองนะ




นี่ก็เหมือนกัน

asoka เขียน:
ตอนที่วลัยพรเผลอแลบออกนอกฐานนอกลานของตนเองมา ดังกรณีที่เราต้องมามีวาทะกันในลานของลุงหมานนี้




ตั้งสติอ่านให้ดีๆว่า ใครกันแน่ที่เผลอ
ถนัดนักปั้นน้ำเป็นตัว



walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
:b7:
อ้างคำพูด:
เห็นมาเยอะละ

ไอ้ประเภทที่ ทำประมาณว่า
กรูรู้ กรูเก่งเกินพระพุทธเจ้า

:b7: :b7: :b7:
การยึดมั่นถือมั่นเกินไปในความเห็น(มิจฉาทิฏฐิ) จนทำให้เกิดการประมาทจ้วงจาบบุคคล ครูบาอาจารย์หรืออริยบุคคลด้วยโมหะ มานะทิฏฐิและรู้ไม่รอบ ย่อมอาจเป็นกรรมอันหนัก กั้นมรรคผลนิพพานได้โดยไม่รู้ตัว



เสือกระดาษ

เขียนซะดิบดี อธิบายชักแม่น้ำ ปัจจุบันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
พอเจอคำแค่นี้ โอ๊ะ! หลุดซะแล่ว ชอบทำนักนิสัย


asoka เขียน:
การยึดมั่นถือมั่นเกินไปในความเห็น(มิจฉาทิฏฐิ) จนทำให้เกิดการประมาทจ้วงจาบบุคคล ครูบาอาจารย์หรืออริยบุคคลด้วยโมหะ มานะทิฏฐิและรู้ไม่รอบ ย่อมอาจเป็นกรรมอันหนัก กั้นมรรคผลนิพพานได้โดยไม่รู้ตัว



แค่กระทบกระทั่งแค่นี้ หลุดทันที
มักแสดงเนืองๆ "กล่าวคำสาปแช่งผู้อื่น"

คำสาปย้อนกลับเข้าหา "เสือกระดาษ"
เพราะขาดความรู้สึกตัว จึงทำให้ไม่รู้


เมื่อไม่รู้ จึงทำตัวเหมือนหมาหางด้วน
ต้องวิ่งหาพวก ทุเรศจริงๆ


asoka เขียน:
ถ้าไปเหมารวมคิดเอาว่าใครแสดงธรรมโดยไม่อ้างธรรมในคัมภีร์เป็นคนอวดเก่งอวดดีทั้งหมด แล้วที่ครูบาอาจารย์ อรรถกถาจารย์หรือแม้แต่เพื่อนฝูงผู้ร่วมแสดงธรรมและความเห็นในลานก็คงกลายเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มของ


ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดเลยสักนิด
แค่สะกิดคนคุยโวว่า เก่งนัก เก่งหนา
แต่หมาหางด้วนกลับกระโดดงับ


วลีนี้จำได้ดี "[b]ทางใครทางมัน"[/b]

แต่ก็เนอะ :b32:





พูดแล้วอย่าคืนคำ จำไว้ให้มั่น
อย่าปล่อยให้ตัณหาครอบงำอีก






อายุหมดไปอีกแล้ว ๑ ปีแล้วนะ จะตา่ยวันตายพรุ่ง ที่แน่ๆ ต้องมีความตายกันแน่นอน
จะหัวหงอก หัวดำ ล้วนต้องตาย

การจะขีดเขียนอะไรลงมา
ควรอ่านข้อความให้ละเอียดด้วย
ไม่ใช่เอาแต่กล่าวตู่ ผู้อื่นด้วยถ้อยคำที่ไม่จริง
และที่เกินมาจากนั้น น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
หาแก่นสารสาระใดๆไม่ได้เลย เป็นเรื่องของการทำตามตัณหาล้วนๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2016, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




1422367147.jpg
1422367147.jpg [ 37.11 KiB | เปิดดู 2794 ครั้ง ]
:b33: :b33: :b33:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2016, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




004-3.jpg
004-3.jpg [ 82.71 KiB | เปิดดู 2792 ครั้ง ]
:b27: :b27: :b27:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2016, 10:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




idol15_800x600_resize.jpg
idol15_800x600_resize.jpg [ 46.45 KiB | เปิดดู 2767 ครั้ง ]
walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b13: :b13:
รู้ผิด คิดผิด เห็นผิด พูดผิด ทำผิดไปเสียแล้ว วลัยพร เพราะด้วยอำนาจของโทสะ พยาบาท อัตตทิฏฐิ มานะทิฏฐิ
:b3:
ช่วยกระตุกโซ่เพราะเห็นหลุดจากฐานที่มัดมากัดคนนอกฐาน กำลังพยายามจะพากลับไปมัดที่ๆเดิมที่ชอบที่ยึด กลับแว้งกัดมาอีก

เอ้อหนอ! ชีวิตของคนที่เหมือนสาวใหญ่อยู่คนเดียวมาตั้งนานนี้ มีวิธีระบายถ่ายทอดความคับคั่งของพลังภายในอย่างนี้นี่เองนะ

เพราะโมหะบังตา แม้คำแช่งคำด่า กับคำชี้แนะกระตุ้นเตือนให้เกิดสติ สัมปชัญญะ ยังแยกแยะไม่ออกไม่ชัดจนจึงตีความหมายและความเมตตาปารถนาดีผิดไปเป็นลบไปหมด

ตีความ จับประเด็นในเรื่องง่ายๆอย่างนี้ยังผิดๆถูกๆ แล้วนี่จะไปตีความ จับประเด็นพุทธธรรมคำสอนจากคัมภีร์มาให้ถูกต้องได้นี่คงจะยากยิ่งนักกระมัง
คงจะทำให้สิ่งที่ดีๆเสียหายไปเพราะความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นที่ผิดว่าเป็นถูก


ความรู้มากชำนาญมากในคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่วันไหนเอามาทำให้ลำพองยกตนข่มท่านแล้ว วันนั้นมันกลับจะกลายเป็นหอกทิ่มแทงใจตนเองให้เดือดร้อน เพราะมันเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นไปโดยไม่รู้ตัว

การได้รู้กว้างขวางลึกซึ้งในคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไปเกิดความกระหยิ่มใจเหมือนกับว่าตนได้เฝ้าใกล้ชิดพระพุทธเจ้าทุกวัน แต่ไม่หมั่นปฏิบัติภาวนาตามคำสอน นั่นเป็นสัญญาณอันตราย เพราะไม่มีผู้ใดกอดคัมภีร์เข้าพระนิพพานได้ มีแต่ต้องสละกาย สละใจ สลายความรู้ผิด เห็นผิด ยึดผิด จิตไร้พยศ หมดมานะ ละมิจฉาทิฏฐิได้ จึงจะเข้านิพพาน

พระธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นล้วนนำพาให้เข้าถึงนิพพานได้ทั้งสิ้น เพราะเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงจำแนกแจกแจงสอนแก่บุคคลต่างๆ ตามวาระ อุปนิสัย วาสนา บารมี ของผู้ฟังคนนั้น กลุ่มนั้นๆ

วลัยพรค้นคว้าหาสิ่งอ้างอิงตลอดจนถึงคัดลอกพุทธวัจจนะมาแปะให้อ่านเสียยาวยืดนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีน่าสรรเสริญ แต่เมื่อเอาความเห็นส่วนตัวของตนเองไปวงเล็บไว้ท้ายข้อความที่ตรงกับความเห็นของตนเอง (ผัสสะ) อย่างนี้นี้สิอันตรายเพราะนั่นคือการพยายามกล่าวตู่พุทธวัจจนะโดยไม่รู้ตัว ด้วยสำคัญผิด

ลึกๆตามธรรมและพิจารณาตามคำสอนย้ำของพระบรมศาสดาแล้ว
การระวังที่ผัสสะ มันเป็นวิธีการที่พวกฤาษี พราหมณ์ ฮินดูเขาใช้กันมานานก่อนพุทธกาลแล้วดีอยู่ บรรลุธรรมได้อยู่ แต่มันทำยาก ใช้กำลังมากและมีโอกาสหลงติดสุขในสมาธิและฌาณได้ง่าย ทั้งยังเป็นการไปปิดบังไม่ให้เห็นสมุทัยเหตุทุกข์ที่แท้จริงอีกด้วย


พระบรมศาสดา ตลอดจนถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านจึงสนใจให้ไปเฝ้าระวังที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหา เพราะที่นั่นผู้ปฏิบัติทุกคน
จะได้พบกับเหตุทุกข์ที่แท้จริงอยู่ตลอดเวลาถ้ามีความสังเกตและสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ดูสิแม้แต่สติปัฏฐานสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงรับรองพระองค์ก็ทรงสอนให้ ระวังที่เวทนา คือเอาความยินดียินร้ายออกให้ได้ กระบวนการในการเอาความยินดียินร้ายออกนี่สิที่พระบรมศาสดาทรงทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนค้นพบด้วยตนเอง มันจึงจะซึ้งและมีคุณค่า


เพราะฉนั้นพึงคลายความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องผัสสะ ที่วลัยพรเห็นว่าใช่ที่สุด เพื่อจะได้เอื้อให้พระธรรมสูตรอื่น ขันธ์อื่นได้เปล่งรัศมีนำผู้คนในจริตนิสัยต่างๆได้ถึงความหลุดพ้นตามนิสัย วาสนา ทัศนะและบารมีของตนเอง

วลัยพรเองก็จะได้มีจิตใจเป็นกลางมากขึ้นไม่สุดโต่ง จนใครกระทบไม่ได้ กระทบทีไรก็ปรี้ดแตกทุกทีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ไม่มีใครกล้าหาญต่อกรถกเถียงมีวาทะกับวลัยพรหรอกทั่วลานเขารู้ๆกันอยู่
แต่อโศกะด้วยความเอ็นดูจึง สะกิดสะเกาบ้างเป็นบางครั้งบางคราวส่วนใหญ่มักจะตอนที่วลัยพรเผลอแลบออกนอกฐานนอกลานของตนเองมา ดังกรณีที่เราต้องมามีวาทะกันในลานของลุงหมานนี้ ถ้าในลานของวลัยพร อโศกะก็บอกแล้วว่า

"ทางใคร ทางมัน"

ต้องกราบขออภัยลุงหมานด้วยนะครับ


[size=200]"ไม่ถือสาก็ไม่เป็นไร ไม่อีนังขังขอบก็ไม่ทุกข์ใจ"

[/size]
ตุ๊เจ้าเสือดาวท่านเมตตาเตือนไว้อย่างนี้ครับ
:b38:
โชคดีปีใหม่สบายใจกันดีทุกท่านทุกคนนะครับ
:b8:








ถ้ารู้ทันตัณหา คงไม่โพสอะไรยืดยาว :b32:




asoka เขียน:
วลัยพรค้นคว้าหาสิ่งอ้างอิงตลอดจนถึงคัดลอกพุทธวัจจนะมาแปะให้อ่านเสียยาวยืดนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีน่าสรรเสริญ แต่เมื่อเอาความเห็นส่วนตัวของตนเองไปวงเล็บไว้ท้ายข้อความที่ตรงกับความเห็นของตนเอง (ผัสสะ) อย่างนี้นี้สิอันตรายเพราะนั่นคือการพยายามกล่าวตู่พุทธวัจจนะโดยไม่รู้ตัว ด้วยสำคัญผิด



อ่อ ข้อแนะนำ ซึ่งวลัยพรเคยเขียนบอกไว้หลายครั้งแล้วว่า

พระธรรมคำสอน ที่นำมาแสดงนั้น จะคงสภาพเดิมไว้ทุกอย่าง
โดยไม่มีการสอดแทรกความเห็นของตนลงในพระธรรมคำสอน


หากจะเขียนข้อคิดเห็นใดๆ
จะใส่คำว่า "หมายเหตุ" แล้วจึงต่อด้วยคำอธิบายตามความเห็นของตน
ที่แน่ๆ ไม่เคยใช้วิธีการ นำความเห็นของตน ไปวงเล็บไว้ท้ายพระธรรมคำสอน




อ่านแล้วฮาแตกฮาแตน นี่แหละหนา ตัณหาพาไปแท้ๆ :b32:
อย่ามาทำท่าตีสนิท ทำท่าเหมือนกับว่า เคยพบเจอกัน เคยพูดคุยกัน อย่างนั้นแหละ
อ่านแล้ว อายแทนจริงๆ :b15:



asoka เขียน:
เอ้อหนอ! ชีวิตของคนที่เหมือนสาวใหญ่อยู่คนเดียวมาตั้งนานนี้ มีวิธีระบายถ่ายทอดความคับคั่งของพลังภายในอย่างนี้นี่เองนะ




นี่ก็เหมือนกัน

asoka เขียน:
ตอนที่วลัยพรเผลอแลบออกนอกฐานนอกลานของตนเองมา ดังกรณีที่เราต้องมามีวาทะกันในลานของลุงหมานนี้




ตั้งสติอ่านให้ดีๆว่า ใครกันแน่ที่เผลอ
ถนัดนักปั้นน้ำเป็นตัว



walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
:b7:
อ้างคำพูด:
เห็นมาเยอะละ

ไอ้ประเภทที่ ทำประมาณว่า
กรูรู้ กรูเก่งเกินพระพุทธเจ้า

:b7: :b7: :b7:
การยึดมั่นถือมั่นเกินไปในความเห็น(มิจฉาทิฏฐิ) จนทำให้เกิดการประมาทจ้วงจาบบุคคล ครูบาอาจารย์หรืออริยบุคคลด้วยโมหะ มานะทิฏฐิและรู้ไม่รอบ ย่อมอาจเป็นกรรมอันหนัก กั้นมรรคผลนิพพานได้โดยไม่รู้ตัว



เสือกระดาษ

เขียนซะดิบดี อธิบายชักแม่น้ำ ปัจจุบันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
พอเจอคำแค่นี้ โอ๊ะ! หลุดซะแล่ว ชอบทำนักนิสัย


asoka เขียน:
การยึดมั่นถือมั่นเกินไปในความเห็น(มิจฉาทิฏฐิ) จนทำให้เกิดการประมาทจ้วงจาบบุคคล ครูบาอาจารย์หรืออริยบุคคลด้วยโมหะ มานะทิฏฐิและรู้ไม่รอบ ย่อมอาจเป็นกรรมอันหนัก กั้นมรรคผลนิพพานได้โดยไม่รู้ตัว



แค่กระทบกระทั่งแค่นี้ หลุดทันที
มักแสดงเนืองๆ "กล่าวคำสาปแช่งผู้อื่น"

คำสาปย้อนกลับเข้าหา "เสือกระดาษ"
เพราะขาดความรู้สึกตัว จึงทำให้ไม่รู้


เมื่อไม่รู้ จึงทำตัวเหมือนหมาหางด้วน
ต้องวิ่งหาพวก ทุเรศจริงๆ


asoka เขียน:
ถ้าไปเหมารวมคิดเอาว่าใครแสดงธรรมโดยไม่อ้างธรรมในคัมภีร์เป็นคนอวดเก่งอวดดีทั้งหมด แล้วที่ครูบาอาจารย์ อรรถกถาจารย์หรือแม้แต่เพื่อนฝูงผู้ร่วมแสดงธรรมและความเห็นในลานก็คงกลายเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มของ


ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดเลยสักนิด
แค่สะกิดคนคุยโวว่า เก่งนัก เก่งหนา
แต่หมาหางด้วนกลับกระโดดงับ


วลีนี้จำได้ดี "[b]ทางใครทางมัน"[/b]

แต่ก็เนอะ :b32:





พูดแล้วอย่าคืนคำ จำไว้ให้มั่น
อย่าปล่อยให้ตัณหาครอบงำอีก






อายุหมดไปอีกแล้ว ๑ ปีแล้วนะ จะตา่ยวันตายพรุ่ง ที่แน่ๆ ต้องมีความตายกันแน่นอน
จะหัวหงอก หัวดำ ล้วนต้องตาย

การจะขีดเขียนอะไรลงมา
ควรอ่านข้อความให้ละเอียดด้วย
ไม่ใช่เอาแต่กล่าวตู่ ผู้อื่นด้วยถ้อยคำที่ไม่จริง
และที่เกินมาจากนั้น น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
หาแก่นสารสาระใดๆไม่ได้เลย เป็นเรื่องของการทำตามตัณหาล้วนๆ

:b12: :b12: :b13: :b13: :b17: :b17:
"แล้วที่วลัยพรตอบโต้กลับมาทั้งหมดนี่ละ มันเป็นเพราะอะไร?"

ตัณหา

อัตตา

มานะทิฏฐิ

พยาบาท

อุทธัจจะ กุกุจจะ

เมตตา

อิจฉา

มัจฉริยะ

หรืออารมณ์ของสาวใหญ่

ระวังนะ "ว่าให้เขา อิเหนาเป็นเอง"


:b12: :b16: :b1:

ขึ้นไปรับอากาศเย็นๆทางเหนือเสียบ้างนั้นก็ดีแล้วจะได้คลายร้อนรุ่มใจลงได้บ้าง

แต่ไปที่ม่อนฤาษีนั้นยังไม่ค่อยใช่ที่เหมาะสำหรับวลัยพรสักเท่าไหร่ ควรจะไปกราบขอสติ ปัญญากับพระอาจารย์ทองที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง แล้วไปพักศึกษาปฏิบัติจริงกับคุณแม่ภิกษุณีรุ้งเดือนที่นิโรธาราม ตามด้วยไปปลีกวิเวกที่ถ้ำตอง ทั้ง 3 ที่นี้อยู่ในเขต อ.จอมทองและอ.ฮอด ใกล้ๆกัน จะให้มันหลังจากเปลี่ยนชีวิตจิตใจใหม่ได้แล้วก็ล่องเรือหางจากดอยเต่าไปขึ้นรถที่เขื่อนภูมิพลกลับ กทม. ปีใหม่ 2559 นี้ก็จะได้เป็นปีสุขสันต์ของวลัยพรนะ

:b41: :b46: :b47: :b48: :b51: :b53: :b45: :b53: :b54: :b55:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2016, 10:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="ลุงหมาน" ไฟไหม้กระทู้ ]:b33: :b33: :b33:[/quote]
:b12: :b12: :b12: :b12:
คนเผาหลบไปหาความเย็นแถวใกล้ดอยอินทนนท์โน่นแล้วครับ จับไม่ได้แน่

ส่วนผมปล่าวเผากระทู้ลุงหมานนะครับ แค่มาขยับฟืนดูว่ายังมีเชื้อไฟหลงเหลืออยู่หรือเปล่า?

ฮะๆ ปรากฏว่า เชื้อไฟยังแรงอยู่แฮะ! ลุกฟู่ ขู่ฟ่อขึ้นมาเลย

ยังไงๆ ก็ขอให้ถือว่านี่เป็นสีสรรในลานฯ เหมือนจุดพลุไฟต้อนรับวันปีใหม่ 2559 ก็แล้วกันนะครับ ลุงหมาน
:b13: :b13: :b13: :b11: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2016, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สาวใหญ่ เอิ้กๆๆๆๆๆๆ อ้วกกกกกกก



ม่อนฤาษี ปฏิบัติ เอิ้กๆๆๆๆ อ้วกกกกกก



ปลีกวิเวก เอิ้กกกกกๆๆๆๆๆ อ้วกกกกก


หลบไปหาความเย็นแถวดอยอินทนนท์ เอิ้กๆๆๆๆๆๆ อ้วกกกกกกก



สาระแน สอดรู้สอดเห็น พ่นออกมาแต่ละคำ มีแต่เรื่องที่ไม่เป็นจริง



อ้อ สงสัยใช่ไหมว่า วลัยพรตอบโต้เพราะอะไร

คำตอบ เพลิดเพลิน บรรเทิงใจ


ถ้าพูดเป็นภาษาปริยัติ เรียกว่า ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
ไอ้ตัวเล็กตัวน้อย อย่าไปเอามันเลย เพราะมันเป็นเรื่องของการประมาณในบุคคลอื่น


"แล้วที่วลัยพรตอบโต้กลับมาทั้งหมดนี่ละ มันเป็นเพราะอะไร?"

ตัณหา

อัตตา

มานะทิฏฐิ

พยาบาท

อุทธัจจะ กุกุจจะ

เมตตา

อิจฉา

มัจฉริยะ"



เพราะการกระทำนี้ มันส่อถึงสันดานของผู้พูด
ที่ชอบประมาณในบุคคลอื่น


ที่ไม่ได้กระทำเพียงครั้งเดียว แต่กระทำเดิมๆซ้ำๆ
กลายเป็นอาจิณกรรม

ผู้กระทำก็ยังไม่รู้ เพราะขาดความรู้สึกตัว
และไม่ใส่ใจพระธรรมคำสอน
หรือใส่ใจ แต่ไม่น้อมมาปฏิบัติตาม



วลัยพรเชื่อมั่นในพระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า
ไม่ควรประมาณในบุคคลอื่น

เพราะการประมาณในบุคคลอื่น ย่อมทำลายคุณวิเศษที่ตัวเองมีอยู่





ดูกรอานนท์
พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณ ในเรื่องนั้นว่า

ธรรมแม้ของคนนี้ก็เหล่านั้นแหละ
ธรรมแม้ของคนอื่นก็เหล่านั้นแหละ
เพราะเหตุไรในสองคนนั้น คนหนึ่งเลว คนหนึ่งดี

ก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อทุกข์ ตลอดกาลนาน

ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ
เธอทั้งหลายอย่าประมาณในบุคคล
และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล

เพราะผู้ถือประมาณในบุคคล
ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2016, 17:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
สาวใหญ่ เอิ้กๆๆๆๆๆๆ อ้วกกกกกกก



ม่อนฤาษี ปฏิบัติ เอิ้กๆๆๆๆ อ้วกกกกกก



ปลีกวิเวก เอิ้กกกกกๆๆๆๆๆ อ้วกกกกก


หลบไปหาความเย็นแถวดอยอินทนนท์ เอิ้กๆๆๆๆๆๆ อ้วกกกกกกก



สาระแน สอดรู้สอดเห็น พ่นออกมาแต่ละคำ มีแต่เรื่องที่ไม่เป็นจริง



อ้อ สงสัยใช่ไหมว่า วลัยพรตอบโต้เพราะอะไร

คำตอบ เพลิดเพลิน บรรเทิงใจ


ถ้าพูดเป็นภาษาปริยัติ เรียกว่า ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
ไอ้ตัวเล็กตัวน้อย อย่าไปเอามันเลย เพราะมันเป็นเรื่องของการประมาณในบุคคลอื่น


"แล้วที่วลัยพรตอบโต้กลับมาทั้งหมดนี่ละ มันเป็นเพราะอะไร?"

ตัณหา

อัตตา

มานะทิฏฐิ

พยาบาท

อุทธัจจะ กุกุจจะ

เมตตา

อิจฉา

มัจฉริยะ"



เพราะการกระทำนี้ มันส่อถึงสันดานของผู้พูด
ที่ชอบประมาณในบุคคลอื่น


ที่ไม่ได้กระทำเพียงครั้งเดียว แต่กระทำเดิมๆซ้ำๆ
กลายเป็นอาจิณกรรม

ผู้กระทำก็ยังไม่รู้ เพราะขาดความรู้สึกตัว
และไม่ใส่ใจพระธรรมคำสอน
หรือใส่ใจ แต่ไม่น้อมมาปฏิบัติตาม



วลัยพรเชื่อมั่นในพระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า
ไม่ควรประมาณในบุคคลอื่น

เพราะการประมาณในบุคคลอื่น ย่อมทำลายคุณวิเศษที่ตัวเองมีอยู่





ดูกรอานนท์
พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณ ในเรื่องนั้นว่า

ธรรมแม้ของคนนี้ก็เหล่านั้นแหละ
ธรรมแม้ของคนอื่นก็เหล่านั้นแหละ
เพราะเหตุไรในสองคนนั้น คนหนึ่งเลว คนหนึ่งดี

ก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อทุกข์ ตลอดกาลนาน

ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ
เธอทั้งหลายอย่าประมาณในบุคคล
และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล

เพราะผู้ถือประมาณในบุคคล
ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน

:b12: :b12: :b12:
ยึดแน่นในบัญญัติอีกแล้ว ๆ ๆ ๆ ๆ

:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2016, 21:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


:b12: :b16: :b1:

ขึ้นไปรับอากาศเย็นๆทางเหนือเสียบ้างนั้นก็ดีแล้วจะได้คลายร้อนรุ่มใจลงได้บ้าง

แต่ไปที่ม่อนฤาษีนั้นยังไม่ค่อยใช่ที่เหมาะสำหรับวลัยพรสักเท่าไหร่ ควรจะไปกราบขอสติ ปัญญากับพระอาจารย์ทองที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง แล้วไปพักศึกษาปฏิบัติจริงกับคุณแม่ภิกษุณีรุ้งเดือนที่นิโรธาราม ตามด้วยไปปลีกวิเวกที่ถ้ำตอง ทั้ง 3 ที่นี้อยู่ในเขต อ.จอมทองและอ.ฮอด ใกล้ๆกัน จะให้มันหลังจากเปลี่ยนชีวิตจิตใจใหม่ได้แล้วก็ล่องเรือหางจากดอยเต่าไปขึ้นรถที่เขื่อนภูมิพลกลับ กทม. ปีใหม่ 2559 นี้ก็จะได้เป็นปีสุขสันต์ของวลัยพรนะ

:b41: :b46: :b47: :b48: :b51: :b53: :b45: :b53: :b54: :b55:


อโสกะ...มีไรกับวัดปากทางสามัคคี(ม่อนฤาษี)..รึคับ??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2016, 06:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:


:b12: :b16: :b1:

ขึ้นไปรับอากาศเย็นๆทางเหนือเสียบ้างนั้นก็ดีแล้วจะได้คลายร้อนรุ่มใจลงได้บ้าง

แต่ไปที่ม่อนฤาษีนั้นยังไม่ค่อยใช่ที่เหมาะสำหรับวลัยพรสักเท่าไหร่ ควรจะไปกราบขอสติ ปัญญากับพระอาจารย์ทองที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง แล้วไปพักศึกษาปฏิบัติจริงกับคุณแม่ภิกษุณีรุ้งเดือนที่นิโรธาราม ตามด้วยไปปลีกวิเวกที่ถ้ำตอง ทั้ง 3 ที่นี้อยู่ในเขต อ.จอมทองและอ.ฮอด ใกล้ๆกัน จะให้มันหลังจากเปลี่ยนชีวิตจิตใจใหม่ได้แล้วก็ล่องเรือหางจากดอยเต่าไปขึ้นรถที่เขื่อนภูมิพลกลับ กทม. ปีใหม่ 2559 นี้ก็จะได้เป็นปีสุขสันต์ของวลัยพรนะ

:b41: :b46: :b47: :b48: :b51: :b53: :b45: :b53: :b54: :b55:


อโสกะ...มีไรกับวัดปากทางสามัคคี(ม่อนฤาษี)..รึคับ??

:b12:
เคยทำงานอยู่ใกล้ๆเท่านั้นเองครับ
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2016, 07:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เสาะหา...ไปหลายที่จังนะอโสกะ

ตารางชีวิต..ของแต่ละคน..นี้...บางทีบางคนก็บังคับบัญชาไม่ได้เหมือนกัน..เน๊าะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2016, 07:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




41_1736.jpg
41_1736.jpg [ 27.79 KiB | เปิดดู 2715 ครั้ง ]
:b12: :b11:

"เราหยุดแล้ว"
:b8:
หยุดจากการพยายามบังคับสิ่งที่บังคับไม่ได้

ตารางชีวิตทั้งหลายจึงยกให้ เหตุ ปัจจัย เขาทำแทน

จนกว่าก้อนชีวิตนี้จะหลุดไปจากปัจจุบัน

:b38:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2016, 07:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กว่าที่จะเจอคนที่..ปราบ..ปรับ..ทิฏฐิตนได้นี้..ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมเหมือนกันนะ

แต่จะไปว่าคนที่ปราบ..ปรับทิฏฐิตนไมได้..ว่า..ไม่ดี..ก็ไม่ใช่

และคนที่ปราบ..ปรับทิฏฐิ...ตนได้...จะว่าดีกว่าคนอื่น..ก็ไม่ถูก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2016, 08:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กว่าที่จะเจอคนที่..ปราบ..ปรับ..ทิฏฐิตนได้นี้..ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมเหมือนกันนะ

แต่จะไปว่าคนที่ปราบ..ปรับทิฏฐิตนไมได้..ว่า..ไม่ดี..ก็ไม่ใช่

และคนที่ปราบ..ปรับทิฏฐิ...ตนได้...จะว่าดีกว่าคนอื่น..ก็ไม่ถูก

:b17:
อนัตตา ปราบ สักกายทิฏฐิ

อนัตตา ปราบ มานะทิฏฐิ


ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ใด มาปราบทิฏฐิ ของใครได้มั้ง คุณกบ
:b38:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร