วันเวลาปัจจุบัน 29 ก.ค. 2025, 15:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 03 ส.ค. 2015, 22:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
อ้างคำพูด:
หากบุญเขาปิ๊ง...แค่สวรรค์..ก็บอกทางสวรรค์เขาไป
หากบุญเขามากพอเพียงพอที่เขาจะปิ๊งนิพพาน..ก็บอกอริยะสัจ..บอกมรรค์8 เขาไป..

บอกตามกำลังบุญบารมี....อย่าไปหักโห่มเกินกำลังบารมี..ครับ

onion onion onion
ตรงนี้แหละครับที่สำคัญคุณกบ

บอกแค่ที่เขามีบารมี แสดงว่าไม่ยอมเปิดช่องทางให้คนเขาได้สร้างบารมีใหม่ที่สูงยิ่งขึ้นกว่าเดิมละสิครับ

ปิ๊งแค่สวรรค์ก็บอกแค่ทางสวรรค์เขาไป มันก็เป็นการชวนให้ย่ำเท้า ก้าวซ้ำอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

ที่ถูกต้องแนะนำให้เขาได้รู้สิ่งที่ใหม่กว่าประเสริฐกว่า คือทางไปนิพพาน ให้เขารู้ เขาทราบไว้ทันทีที่เขามีโอกาสจะได้รู้หลังจากนั้นถ้าบุญบารมีของเขาส่งเขาจะเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา ขวันขวายค้นหาพัฒนายกระดับจิตด้วยตัวเขาเอง grin


ไม่คัดค้านครับ....อโสกะอยากบอกก็บอกได้เลย...ส่วนคนฟังจะเห็นอย่างก็เป็นเรื่องของเขา..ก็ดี

เมื่อก่อน...ก็คิดอย่างอโสกะนี้แหละ...คือไม่สน...ขอให้ได้พูด..นิพพานนะ...นิพพานนะ..เผื่อจะตกค้างในสัญญานิดหน่อยก็ยังดี. :b32:

แต่ตอนนี้ผมขี้เกียจแล้วละ...ผมชอบทำอะไรที่พอจะเห็นโอกาศว่าการนั้นๆจะสำเร็จ...มากกว่า

เช่น..หากแค่บุญทานเขายังไม่ทำ...บอกให้เขาทำทานน่าจะสำเร็จง่ายกว่า..บอกนิพพาน..นะ

ศีลยังไม่รักษา...ก็ชวนมารักษา..น่าจะง่ายกว่าชวนไปนิพพาน..นะ

คือชวนมาสร้างรากฐานพระนิพพาน..เตรียมใว้...เมื่อถึงเวลาเขาเจอกับกัลยาณมิตรของเขาเมื่อไร...เขาก็จะตัดสินใจไปนิพพานของเขาเองแหละ...

แต่ถ้าเจอคนฉลาด.ๆ...แม้ทานยังไม่ทำ..ศีลไม่เต็มเต้ง...นี้พอจะเอานิพพานมาเชิญชวนได้อยู่นะ...มีโอกาสที่พวกนี้จะรับคำท้าอยู่...เพราะคนฉลาดมักคิดว่าไม่มีอะไรที่ตนทำไม่ได้

:b13: :b13:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 03 ส.ค. 2015, 22:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 03 ส.ค. 2015, 22:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
..........

หากบุญเขาปิ๊ง...แค่สวรรค์..ก็บอกทางสวรรค์เขาไป
หากบุญเขามากพอเพียงพอที่เขาจะปิ๊งนิพพาน..ก็บอกอริยะสัจ..บอกมรรค์8 เขาไป..

บอกตามกำลังบุญบารมี....อย่าไปหักโห่มเกินกำลังบารมี..ครับ
:b8:


กบรู้เหรอว่าบารมีเขาสมควรได้รับอะไรแค่ไหน หรือกบมีความรู้เพียงเท่านี้. พระศาสดาเคยตำหนิพระสารีบุตรอย่างมากเลยที่แสดงอนาคามีมรรคแก่ปริพาชกท่านหนึ่ง


ยกคำตำนินั้น..มาให้ดูด้วยซิครับ...กันข้อครหาว่า...เอาคำพูดตนใส่ปากพระพุทธเจ้า..อีก...

อีกทั้ง...จะได้เป็นวิทยาทานให้กับผู้ติดตามอ่าน


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 01:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


http://board.palungjit.org/9128250-post145.html


ตาทูนี่ ต้องฝึกอีกเยอะนะ ขนาดหิริ โอตัปปะยังไม่มี

ก๊อปข้อมูลทั้งหมดไปแสดงที่อื่น
แทนที่จะลงอ้างอิงว่า นำมาจากไหน

การใช้ชื้อตัวเองในการโพสไม่เท่าไหร่

ตรงหมายเหตุก็มีอธิบายอยู่นี่สิ
ถ้าคนไม่รู้ เข้าไปอ่าน ก็ทำให้เข้าใจผิดได้ว่า ตาทู่เป็นอธิบายความ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 05:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมถึงตั้งกระทู้เรื่อง...หิริ..โอตัปปะ..เครื่องวัดง่าย ๆ...

เพราะ....มี Bigtoo เป็นแรงบันดาลใจ...นี้แหละ
:b13: :b13:
viewtopic.php?f=1&t=50589


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 06:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
..........

หากบุญเขาปิ๊ง...แค่สวรรค์..ก็บอกทางสวรรค์เขาไป
หากบุญเขามากพอเพียงพอที่เขาจะปิ๊งนิพพาน..ก็บอกอริยะสัจ..บอกมรรค์8 เขาไป..

บอกตามกำลังบุญบารมี....อย่าไปหักโห่มเกินกำลังบารมี..ครับ
:b8:


กบรู้เหรอว่าบารมีเขาสมควรได้รับอะไรแค่ไหน หรือกบมีความรู้เพียงเท่านี้. พระศาสดาเคยตำหนิพระสารีบุตรอย่างมากเลยที่แสดงอนาคามีมรรคแก่ปริพาชกท่านหนึ่ง


ยกคำตำนินั้น..มาให้ดูด้วยซิครับ...กันข้อครหาว่า...เอาคำพูดตนใส่ปากพระพุทธเจ้า..อีก...

อีกทั้ง...จะได้เป็นวิทยาทานให้กับผู้ติดตามอ่าน
กบ บางอย่าผมศึกษาผ่านมามันก็อยู่ในความทรงจำ จะให้ผมกลับไปค้นผมคงไม่สามารถทำให้ได้นะ แต่เป็นอันว่าผมนำข้อมูลมาให้ กบจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ เพราะผมยึดแต่สิ่งที่พระองค์สอน ไม่ได้ทำในสิ่งที่พระองค์ไม่สอน พวกท่องคาถาเงินล้านอะไรนั้น

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 06:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แน่นนอน...ผมไม่เชื่อ...อย่างที่Bigtoo ว่า...ทรงตำนิอย่างมาก
bigtoo เขียน:
กบ บางอย่าผมศึกษาผ่านมามันก็อยู่ในความทรงจำ จะให้ผมกลับไปค้นผมคงไม่สามารถทำให้ได้นะ แต่เป็นอันว่าผมนำข้อมูลมาให้ กบจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ เพราะผมยึดแต่สิ่งที่พระองค์สอน ไม่ได้ทำในสิ่งที่พระองค์ไม่สอน พวกท่องคาถาเงินล้านอะไรนั้น

แน่นะ..ว่า...ไม่ได้ทำในสิ่งที่พระองค์ไม่สอน :b32: :b32:
พูดแล้ว..แล้วบอกว่า...บางอย่าผมศึกษาผ่านมามันก็อยู่ในความทรงจำ จะให้ผมกลับไปค้นผมคงไม่สามารถทำให้ได้นะ
นี้หรือคือทำตามสิ่งที่พระองค์สอน??? huh

Bigtoo ...กลับไปถามอาจารย์หน่อยเป็นไร..ว่าพระองค์ตำนิพระสารีบุตรอย่างมาก...นั้นจริงหรือ..หรือว่า.แปลเจตนาผิด..อะป้าว...ไปปรึกษาอาจารย์อีกทีเป็นไร..ถ้าเป็นคำอาจารย์พูด...ก็ลองถามแย้งดู..ว่ามีคนเขาสงสัยว่าแปลเจตนาผิดรึเปล่า... :b9: :b9:

Bigtoo เอ๋ย..จะให้ผมกลับไปค้นผมคงไม่สามารถทำให้ได้นะ ..ถ้าอย่างนั้น..อย่ากล่าวเสียดีกว่า..ครับ..เพราะมันจะพลาดธรรมได้ง่าย ๆ กลายเป็นบาปไป....นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วจะกลายเป็นโทษง่าย ๆ ได้อีกต่างหาก

อ่อ...อย่าลืม...มาไขข้อข้องใจของคุณน้ำหน่อยนะ....ว่ามีเหตุผลกลใดจึงทำให้ Bigtoo ไม่ได้อ้างอิงคำของคนอื่นในกระทู้ที่คุณน้ำยกมา....ถึงจะผ่านมานาน..แต่ก็คงไม่ลืมเหตุผลกระมังคับ

หิริ...โอตัปปะ...เครื่องวัดง่าย ๆ ..

walaiporn เขียน:
http://board.palungjit.org/9128250-post145.html


ตาทูนี่ ต้องฝึกอีกเยอะนะ ขนาดหิริ โอตัปปะยังไม่มี

ก๊อปข้อมูลทั้งหมดไปแสดงที่อื่น
แทนที่จะลงอ้างอิงว่า นำมาจากไหน

การใช้ชื้อตัวเองในการโพสไม่เท่าไหร่

ตรงหมายเหตุก็มีอธิบายอยู่นี่สิ
ถ้าคนไม่รู้ เข้าไปอ่าน ก็ทำให้เข้าใจผิดได้ว่า ตาทู่เป็นอธิบายความ


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 04 ส.ค. 2015, 06:56, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 06:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
http://board.palungjit.org/9128250-post145.html


ตาทูนี่ ต้องฝึกอีกเยอะนะ ขนาดหิริ โอตัปปะยังไม่มี

ก๊อปข้อมูลทั้งหมดไปแสดงที่อื่น
แทนที่จะลงอ้างอิงว่า นำมาจากไหน

การใช้ชื้อตัวเองในการโพสไม่เท่าไหร่

ตรงหมายเหตุก็มีอธิบายอยู่นี่สิ
ถ้าคนไม่รู้ เข้าไปอ่าน ก็ทำให้เข้าใจผิดได้ว่า ตาทู่เป็นอธิบายความ
ป้าอะไรของป้านะ. ยังติดเรื่องราวอะไรอยู่ จะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ผมแสดงธรรมเพื่อเปิดทัศนะคติที่หลงผิดยึดผิดกันอยู่ ไม่ได้แสดงแบบยกมาแปะ. ผมใช้วิสัยทัศน์ประสบการณ์ในชีวิตทั้งหมดและยกเอาสิ่งที่พระองค์สอนมาประกอบเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันไม่ตรงมันคลาดเคลื่อนไม่ตรงหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แม้แต่เรื่องกินผักกินหญ้า เรื่องนับถือเชื่อว่านั้นคืออรหันต์. แม้แต่เรื่องสิ่งไหนทำได้อะไรแค่ไหนตามฐานะ. ผมไม่ได้มาตัดแปะนะครับ และผมก็ไม่ต้องมามีหิริโอตับปะอะไรในเรื่องที่คุณยึดตามความคิดของงคุณ. คุณป้าพึ่งพ้นจากกาการกินผักมาไม่นาน ตามผมไม่ทันมั้ง สมัยนั้นผมยังสอนยังเตือนคุณ คุณเถียงผมอยู่เลย ตอนนี้จะมาสอนผม ผมฟังได้นะ แต่ผมฟังในส่วนที่ตัดแปะ แต่ส่วนคำพูดท่านยังไม่ถึงไหนหรอกผมรู้จักท่านดี พยามต่อเพราะผู้หญิงมีอุปสรรคเยอะ โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้เผชิญชีวิตโลกภายนอกมองอะไรไม่ค่อยออกหรอก สู้ๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 04 ส.ค. 2015, 10:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 07:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:

อ้าว....555...

ก็แค่....เอามาจากไหน..ก็อ้างอิงว่าเอาของเขามาหน่อย..เพื่อแสดงว่าไม่ใช่คำพูดของตัวเอง

ถ้าเป็นคำพูดตัวเอง...ก็บอกเขาไปว่า..เป็นคำที่ผมเขียนขึ้นมาเอง..ไม่ได้ไปเอามาจากไหน

แค่นี้ก็จบ.
.

งั้ย...พูดไปทั่ว...สามวา..สองศอก...

อวดว่าตนเก่งกว่า..อย่างนั้นอย่างนี้..
มีเหยียดผู้อื่น...ซะด้วยแหน่ะ..
555...
ปวดท้อง.. :b9:

เอาเด้อ....อริยะของใครก็รับไปเด้อ...

อโสกะ


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แน่นนอน...ผมไม่เชื่อ...อย่างที่Bigtoo ว่า...ทรงตำนิอย่างมาก

Bigtoo เอ๋ย....ถ้าอย่างนั้น..อย่ากล่าวเสียดีกว่า..ครับ..เพราะมันจะพลาดธรรมได้ง่าย ๆ กลายเป็นบาปไป....นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วจะกลายเป็นโทษง่าย ๆ ได้อีกต่างหาก

อ่อ...อย่าลืม...มาไขข้อข้องใจของคุณน้ำหน่อยนะ....ว่ามีเหตุผลกลใดจึงทำให้ Bigtoo ไม่ได้อ้างอิงคำของคนอื่นในกระทู้ที่คุณน้ำยกมา....ถึงจะผ่านมานาน..แต่ก็คงไม่ลืมเหตุผลกระมังคับ

หิริ...โอตัปปะ...เครื่องวัดง่าย ๆ ..

walaiporn เขียน:
http://board.palungjit.org/9128250-post145.html


ตาทูนี่ ต้องฝึกอีกเยอะนะ ขนาดหิริ โอตัปปะยังไม่มี

ก๊อปข้อมูลทั้งหมดไปแสดงที่อื่น
แทนที่จะลงอ้างอิงว่า นำมาจากไหน

การใช้ชื้อตัวเองในการโพสไม่เท่าไหร่

ตรงหมายเหตุก็มีอธิบายอยู่นี่สิ
ถ้าคนไม่รู้ เข้าไปอ่าน ก็ทำให้เข้าใจผิดได้ว่า ตาทู่เป็นอธิบายความ
เรื่องไม่เป็นเรื่อง. ธรรมะของพุทธองค์ ไม่ใช่ของใคร. ผ่านให้ได้นะกบกับป้ายไลภร

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 07:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่อ..เรื่องไม่เป็นเรื่อง...รึ

อิอิ...

เข้าใจยากเน๊าะ...

หิริ..โอตัปปะ..เนี้ย

bigtoo เขียน:
เรื่องไม่เป็นเรื่อง. ธรรมะของพุทธองค์ ไม่ใช่ของใคร. ผ่านให้ได้นะกบกับป้ายไลภร


http://board.palungjit.org/9128250-post145.html
อ้างคำพูด:
หมายเหตุ:

เหตุที่พระองค์ ทรงตรัสกับพระสารีบุตรเช่นนี้ว่า

"เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่

เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ

เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ"

เพราะสิ่งที่พระสารีบุตร ได้พูดไปแล้ว เกี่ยวกับพระอนาคามี
เป็นเรื่องของ ผู้ที่มีเหตุแห่งภพ(การเกิด) บังเกิดขึ้นอยู่


เมื่อเป็นดังนี้ พระผู้มีพระภาค จึงทรงตรัสต่อไปว่า


"ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ"

หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยาย ที่พระองค์ทรงตรัสกับพระสารีบุตร(คือ ฟังแค่คำที่สารีบุตรกล่าวไป)

ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว หมายถึง หากพอใจติดอยู่แค่พระอนาคามี ไม่มุ่งกระทำเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

เหตุแห่งภพ(การเกิด) ย่อมมีบังเกิดขึ้นอยู่ พระองค์จึงทรงตรัสว่า ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว เพราะเหตุนี้


ความคิดเห็น..ของตัวปัจเจกชน....ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์..นะครับ...ระวังใว้ให้ดีนะ Bigtoo

การอ้างอิง..จึงเป็นมารยาทที่ดี...ถ้าเป็นความดี..ก็.เป็นการให้เกียรติเจ้าของความคิด...นะครับ.

ถ้ามีผู้ไม่เห็นด้วย..เขาก็จะไปหาเจ้าของความคิดนั้นตรง ๆ ..เพื่อขอความกระจ่างหรือทำความเข้าใจเพิ่ม..รึอะไรก็แล้วแต่...


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32:

อ้าว....555...

ก็แค่....เอามาจากไหน..ก็อ้างอิงว่าเอาของเขามาหน่อย..เพื่อแสดงว่าไม่ใช่คำพูดของตัวเอง

ถ้าเป็นคำพูดตัวเอง...ก็บอกเขาไปว่า..เป็นคำที่ผมเขียนขึ้นมาเอง..ไม่ได้ไปเอามาจากไหน

แค่นี้ก็จบ.
.

งั้ย...พูดไปทั่ว...สามวา..สองศอก...

อวดว่าตนเก่งกว่า..อย่างนั้นอย่างนี้..
มีเหยียดผู้อื่น...ซะด้วยแหน่ะ..
555...
ปวดท้อง.. :b9:

เอาเด้อ....อริยะของใครก็รับไปเด้อ...

อโสกะ





เราเข้าใจตรงกันนะ

สิ่งที่ควรศึกษา

พระพุทธเจ้า ทรงตรัสกับพระสารีบุตร

[๒๘๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถีสมัยนั้นแล ท่านพระ
สารีบุตรอยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมารดาในบุพพาราม ใกล้พระนคร
สาวัตถี ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราจักแสดงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มี
สังโยชน์ในภายนอก ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น
ตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยใน
โทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

เมื่อแตกกายตายไปภิกษุนั้นย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
เป็นอนาคามีกลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายใน
เป็นอนาคามี กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ


ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอกเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในพระปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วย
อาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ใน
สิกขาบททั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่ง

เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เป็น
อนาคามีไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่า บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอก
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ


ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วใน
ปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียง
เล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

ภิกษุนั้นย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับกามทั้งหลาย
ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับภพทั้งหลาย ย่อมปฏิบัติเพื่อสิ้นตัณหา
เพื่อสิ้นความโลภ

ภิกษุนั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพ
นั้นแล้ว เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
นี้เรียกว่า บุคคลมีสังโยชน์ในภายนอก เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้
เช่นนี้ ฯ


ครั้งนั้นแล เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรนั่น
กำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก
แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรง
พระกรุณา เสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับคำ
อาราธนาด้วยดุษณีภาพ

ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงหายจากพระเชตวันวิหารไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านพระสารีบุตร
ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ แม้ท่านพระสารีบุตรก็ได้ถวายบังคมพระ
ผู้มีพระภาค แล้วนั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรสารีบุตร เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปหาเรา
จนถึงที่อยู่ ไหว้เราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วบอกว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน
และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนาง
วิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส
ขอพระผู้มีพระภาคทรงพระกรุณาเสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด

ดูกรสารีบุตร ก็เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็กแหลมจดลง
๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง ๓๐ องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๖๐ องค์บ้าง
แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน

ดูกรสารีบุตร ก็เธอพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ... ๖๐ องค์บ้าง
เป็นจิตอันเทวดาเหล่านั้นอบรมแล้วในภพนั้นแน่นอน
ดูกรสารีบุตร ก็ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นเช่นนี้

ดูกรสารีบุตร ก็จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ฯลฯ แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน
เทวดาเหล่านั้นได้อบรมแล้วในศาสนานี้เอง

เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่ เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร

กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ
เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ

ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ






หมายเหตุ:

เหตุที่พระองค์ ทรงตรัสกับพระสารีบุตรเช่นนี้ว่า

"เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่

เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ

เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ"

เพราะสิ่งที่พระสารีบุตร ได้พูดไปแล้ว เกี่ยวกับพระอนาคามี
เป็นเรื่องของ ผู้ที่มีเหตุแห่งภพ(การเกิด) บังเกิดขึ้นอยู่

เมื่อเป็นดังนี้ พระผู้มีพระภาค จึงทรงตรัสต่อไปว่า



"ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ"

หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยาย ที่พระองค์ทรงตรัสกับพระสารีบุตร(คือ ฟังแค่คำที่สารีบุตรกล่าวไป)

ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว หมายถึง หากพอใจติดอยู่แค่พระอนาคามี ไม่มุ่งกระทำเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

เหตุแห่งภพ(การเกิด) ย่อมมีบังเกิดขึ้นอยู่ พระองค์จึงทรงตรัสว่า ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว เพราะเหตุนี้




http://board.palungjit.org/9128250-post145.html





มีเยอะนะคนประเภทนี้ ไม่รู้จักละอายใจ กรรมแม้เล็กน้อย ก็ยังประมาท

หลังๆ เกี่ยวกับพระธรรมคำสอน ไม่ค่อยเขียนอธิบายอะไรมาก
เพราะบุคคลประเภทนี้แหละ ที่ทำการลักเล็กขโมยน้อย แม้กระทั่งคำอธิบายของผู้อื่น

อวิชชา ไม่เคยปราณีใคร เพราะตัณหาเป็นเหตุ
ภพชาติการเวียนว่ายในสังสารวัฏ จึงเนิ่นนานเพราะเหตุนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ่อ..เรื่องไม่เป็นเรื่อง...รึ

อิอิ...

เข้าใจยากเน๊าะ...

หิริ..โอตัปปะ..เนี้ย

bigtoo เขียน:
เรื่องไม่เป็นเรื่อง. ธรรมะของพุทธองค์ ไม่ใช่ของใคร. ผ่านให้ได้นะกบกับป้ายไลภร


http://board.palungjit.org/9128250-post145.html
อ้างคำพูด:
หมายเหตุ:

เหตุที่พระองค์ ทรงตรัสกับพระสารีบุตรเช่นนี้ว่า

"เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่

เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ

เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ"

เพราะสิ่งที่พระสารีบุตร ได้พูดไปแล้ว เกี่ยวกับพระอนาคามี
เป็นเรื่องของ ผู้ที่มีเหตุแห่งภพ(การเกิด) บังเกิดขึ้นอยู่


เมื่อเป็นดังนี้ พระผู้มีพระภาค จึงทรงตรัสต่อไปว่า


"ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ"

หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยาย ที่พระองค์ทรงตรัสกับพระสารีบุตร(คือ ฟังแค่คำที่สารีบุตรกล่าวไป)

ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว หมายถึง หากพอใจติดอยู่แค่พระอนาคามี ไม่มุ่งกระทำเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

เหตุแห่งภพ(การเกิด) ย่อมมีบังเกิดขึ้นอยู่ พระองค์จึงทรงตรัสว่า ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว เพราะเหตุนี้


ความคิดเห็น..ของตัวปัจเจกชน....ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์..นะครับ...ระวังใว้ให้ดีนะ Bigtoo

การอ้างอิง..จึงเป็นมารยาทที่ดี...ถ้าเป็นความดี..ก็.เป็นการให้เกียรติเจ้าของความคิด...นะครับ.

ถ้ามีผู้ไม่เห็นด้วย..เขาก็จะไปหาเจ้าของความคิดนั้นตรง ๆ ..เพื่อขอความกระจ่างหรือทำความเข้าใจเพิ่ม..รึอะไรก็แล้วแต่...
กบมาได้แค่นี้จริงๆ ตัดความคิดดีไม่ขาดเรื่องเล็กจัง มผมจะบอกอะไรให้นะว่าจะไม่ยอกกบแล้ว. ผมสนทนาธรรมตามหลักการดำเนินชีวิตอัศัยประสบการณ์มากมายบวกกับคำสอนพระองค์จนสามารถปลดปล่อยความเห็นผิดให้ อจ ท่านหนึ่งซึ่งมีลูกศิษย์เป็นพันๆ เขาประกาสต่อหน้าเว็บสนทนาเลยว่า. ขอบคุณที่ทำให้เขาตาสว่าง. แค่นี้ผู้ก็รู้สึกถึงการได้ทำหน้าที่ต่อบุคคลแล้ว กบอย่ายึดติดกับความคิดว่ามันดีเลย. ไม่ได้มีสาระอะไรมากหรอก เอาแก่นธรรมสาระแห่งความเป็นอริยะเถิด. กบยังท่องคาถาอยูีเลยกบคงไม่รู้ว่าสิ่งที่กบทำอยู่มันไกลนิพพานนัก กบจะมาสอนอะไรกับคนที่เขาละแล้วล่ะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32:

อ้าว....555...

ก็แค่....เอามาจากไหน..ก็อ้างอิงว่าเอาของเขามาหน่อย..เพื่อแสดงว่าไม่ใช่คำพูดของตัวเอง

ถ้าเป็นคำพูดตัวเอง...ก็บอกเขาไปว่า..เป็นคำที่ผมเขียนขึ้นมาเอง..ไม่ได้ไปเอามาจากไหน

แค่นี้ก็จบ.
.

งั้ย...พูดไปทั่ว...สามวา..สองศอก...

อวดว่าตนเก่งกว่า..อย่างนั้นอย่างนี้..
มีเหยียดผู้อื่น...ซะด้วยแหน่ะ..
555...
ปวดท้อง.. :b9:

เอาเด้อ....อริยะของใครก็รับไปเด้อ...

อโสกะ





เราเข้าใจตรงกันนะ

สิ่งที่ควรศึกษา

พระพุทธเจ้า ทรงตรัสกับพระสารีบุตร

[๒๘๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถีสมัยนั้นแล ท่านพระ
สารีบุตรอยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมารดาในบุพพาราม ใกล้พระนคร
สาวัตถี ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราจักแสดงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มี
สังโยชน์ในภายนอก ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น
ตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยใน
โทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

เมื่อแตกกายตายไปภิกษุนั้นย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
เป็นอนาคามีกลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายใน
เป็นอนาคามี กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ


ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอกเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในพระปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วย
อาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ใน
สิกขาบททั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่ง

เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เป็น
อนาคามีไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่า บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอก
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ


ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วใน
ปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียง
เล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

ภิกษุนั้นย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับกามทั้งหลาย
ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับภพทั้งหลาย ย่อมปฏิบัติเพื่อสิ้นตัณหา
เพื่อสิ้นความโลภ

ภิกษุนั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพ
นั้นแล้ว เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
นี้เรียกว่า บุคคลมีสังโยชน์ในภายนอก เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้
เช่นนี้ ฯ


ครั้งนั้นแล เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรนั่น
กำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก
แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรง
พระกรุณา เสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับคำ
อาราธนาด้วยดุษณีภาพ

ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงหายจากพระเชตวันวิหารไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านพระสารีบุตร
ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ แม้ท่านพระสารีบุตรก็ได้ถวายบังคมพระ
ผู้มีพระภาค แล้วนั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรสารีบุตร เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปหาเรา
จนถึงที่อยู่ ไหว้เราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วบอกว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน
และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนาง
วิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส
ขอพระผู้มีพระภาคทรงพระกรุณาเสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด

ดูกรสารีบุตร ก็เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็กแหลมจดลง
๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง ๓๐ องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๖๐ องค์บ้าง
แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน

ดูกรสารีบุตร ก็เธอพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ... ๖๐ องค์บ้าง
เป็นจิตอันเทวดาเหล่านั้นอบรมแล้วในภพนั้นแน่นอน
ดูกรสารีบุตร ก็ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นเช่นนี้

ดูกรสารีบุตร ก็จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ฯลฯ แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน
เทวดาเหล่านั้นได้อบรมแล้วในศาสนานี้เอง

เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่ เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร

กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ
เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ

ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ






หมายเหตุ:

เหตุที่พระองค์ ทรงตรัสกับพระสารีบุตรเช่นนี้ว่า

"เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่

เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ

เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ"

เพราะสิ่งที่พระสารีบุตร ได้พูดไปแล้ว เกี่ยวกับพระอนาคามี
เป็นเรื่องของ ผู้ที่มีเหตุแห่งภพ(การเกิด) บังเกิดขึ้นอยู่

เมื่อเป็นดังนี้ พระผู้มีพระภาค จึงทรงตรัสต่อไปว่า



"ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ"

หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยาย ที่พระองค์ทรงตรัสกับพระสารีบุตร(คือ ฟังแค่คำที่สารีบุตรกล่าวไป)

ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว หมายถึง หากพอใจติดอยู่แค่พระอนาคามี ไม่มุ่งกระทำเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

เหตุแห่งภพ(การเกิด) ย่อมมีบังเกิดขึ้นอยู่ พระองค์จึงทรงตรัสว่า ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว เพราะเหตุนี้




http://board.palungjit.org/9128250-post145.html





มีเยอะนะคนประเภทนี้ ไม่รู้จักละอายใจ กรรมแม้เล็กน้อย ก็ยังประมาท

หลังๆ เกี่ยวกับพระธรรมคำสอน ไม่ค่อยเขียนอธิบายอะไรมาก
เพราะบุคคลประเภทนี้แหละ ที่ทำการลักเล็กขโมยน้อย แม้กระทั่งคำอธิบายของผู้อื่น

อวิชชา ไม่เคยปราณีใคร เพราะตัณหาเป็นเหตุ
ภพชาติการเวียนว่ายในสังสารวัฏ จึงเนิ่นนานเพราะเหตุนี้
รู้สึกว่าป้าเคยกล่าวหาเรื่องแบบนี้ผมมาแล้วนี่. ลักเล็กขโมยน้อย. นี่เหลือความคิด. พอเข้าใจได้แล้วล่ะว่าป้าเป็นประเภทไหน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 08:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:

กบมาได้แค่นี้จริงๆ ตัดความคิดดีไม่ขาดเรื่องเล็กจัง มผมจะบอกอะไรให้นะว่าจะไม่ยอกกบแล้ว. ผมสนทนาธรรมตามหลักการดำเนินชีวิตอัศัยประสบการณ์มากมายบวกกับคำสอนพระองค์จนสามารถปลดปล่อยความเห็นผิดให้ อจ ท่านหนึ่งซึ่งมีลูกศิษย์เป็นพันๆ เขาประกาสต่อหน้าเว็บสนทนาเลยว่า. ขอบคุณที่ทำให้เขาตาสว่าง. แค่นี้ผู้ก็รู้สึกถึงการได้ทำหน้าที่ต่อบุคคลแล้ว กบอย่ายึดติดกับความคิดว่ามันดีเลย. ไม่ได้มีสาระอะไรมากหรอก เอาแก่นธรรมสาระแห่งความเป็นอริยะเถิด. กบยังท่องคาถาอยูีเลยกบคงไม่รู้ว่าสิ่งที่กบทำอยู่มันไกลนิพพานนัก กบจะมาสอนอะไรกับคนที่เขาละแล้วล่ะครับ


อิอิ...ละได้..รึไม่ได้..นี้...แค่คนในนี้.ยังมีคนดูออกได้เลยครับ..ผมมั่นใจว่าคนในนี้ดูBigtoo ออกครับ

ดังนั้น...ไม่ต้องห่วง...อิอิ

และก้อยังยืนยัน..ว่าถ้าเอาความคิดใครมาแสดง..อ้างอิงใว้หน่อย...เป้นมารยาทที่ดี...คนดีคงทำไม่ยากนะครับ...เว้นแต่ว่านั้นมันความริดตน..รำพูดของตน...ก็แสเงไปอย่างนั้นได้เลย..ครับ

กบนอกกะลา เขียน:
อ่อ..เรื่องไม่เป็นเรื่อง...รึ

อิอิ...

เข้าใจยากเน๊าะ...

หิริ..โอตัปปะ..เนี้ย
ความคิดเห็น..ของตัวปัจเจกชน....ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์..นะครับ...ระวังใว้ให้ดีนะ Bigtoo

การอ้างอิง..จึงเป็นมารยาทที่ดี...ถ้าเป็นความดี..ก็.เป็นการให้เกียรติเจ้าของความคิด...นะครับ.

ถ้ามีผู้ไม่เห็นด้วย..เขาก็จะไปหาเจ้าของความคิดนั้นตรง ๆ ..เพื่อขอความกระจ่างหรือทำความเข้าใจเพิ่ม..รึอะไรก็แล้วแต่...


โพสต์ เมื่อ: 04 ส.ค. 2015, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:

กบมาได้แค่นี้จริงๆ ตัดความคิดดีไม่ขาดเรื่องเล็กจัง มผมจะบอกอะไรให้นะว่าจะไม่ยอกกบแล้ว. ผมสนทนาธรรมตามหลักการดำเนินชีวิตอัศัยประสบการณ์มากมายบวกกับคำสอนพระองค์จนสามารถปลดปล่อยความเห็นผิดให้ อจ ท่านหนึ่งซึ่งมีลูกศิษย์เป็นพันๆ เขาประกาสต่อหน้าเว็บสนทนาเลยว่า. ขอบคุณที่ทำให้เขาตาสว่าง. แค่นี้ผู้ก็รู้สึกถึงการได้ทำหน้าที่ต่อบุคคลแล้ว กบอย่ายึดติดกับความคิดว่ามันดีเลย. ไม่ได้มีสาระอะไรมากหรอก เอาแก่นธรรมสาระแห่งความเป็นอริยะเถิด. กบยังท่องคาถาอยูีเลยกบคงไม่รู้ว่าสิ่งที่กบทำอยู่มันไกลนิพพานนัก กบจะมาสอนอะไรกับคนที่เขาละแล้วล่ะครับ


อิอิ...ละได้..รึไม่ได้..นี้...แค่คนในนี้.ยังมีคนดูออกได้เลยครับ..ผมมั่นใจว่าคนในนี้ดูBigtoo ออกครับ

ดังนั้น...ไม่ต้องห่วง...อิอิ

และก้อยังยืนยัน..ว่าถ้าเอาความคิดใครมาแสดง..อ้างอิงใว้หน่อย...เป้นมารยาทที่ดี...คนดีคงทำไม่ยากนะครับ...เว้นแต่ว่านั้นมันความริดตน..รำพูดของตน...ก็แสเงไปอย่างนั้นได้เลย..ครับ

กบนอกกะลา เขียน:
อ่อ..เรื่องไม่เป็นเรื่อง...รึ

อิอิ...

เข้าใจยากเน๊าะ...

หิริ..โอตัปปะ..เนี้ย
ความคิดเห็น..ของตัวปัจเจกชน....ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์..นะครับ...ระวังใว้ให้ดีนะ Bigtoo

การอ้างอิง..จึงเป็นมารยาทที่ดี...ถ้าเป็นความดี..ก็.เป็นการให้เกียรติเจ้าของความคิด...นะครับ.

ถ้ามีผู้ไม่เห็นด้วย..เขาก็จะไปหาเจ้าของความคิดนั้นตรง ๆ ..เพื่อขอความกระจ่างหรือทำความเข้าใจเพิ่ม..รึอะไรก็แล้วแต่...
ใช่กบคนในนี้ดูออก. แต่กบนะดูผิด วันไหนเลิกท่องคาถาเงินล้านบอกบ้างนะกบ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร