วันเวลาปัจจุบัน 09 ต.ค. 2025, 02:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 10:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เรา เขา .....สักกายทิฏฐิ

ความยึดว่ามีตัวตน เรา เขา.......มานะทิฏฐิ

เป็นเหตุให้เกิดความนึกคิดปรุงแต่ง

ทำลายสองสิ่งนี้ทิ้งเสียได้ ปฏิกิริยาตอบโต้จักไม่มี มโนกรรมจักไม่เกิด กรรมที่เหลือก็ขาดสะบั้น
onion


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 11:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:

อะไรเป็นเหตุให้เกิดความคิดนึก ปรุงแต่ง?



ปัจจัยมี :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 03 ธ.ค. 2014, 12:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8601


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เรา เขา .....สักกายทิฏฐิ

ความยึดว่ามีตัวตน เรา เขา.......มานะทิฏฐิ

เป็นเหตุให้เกิดความนึกคิดปรุงแต่ง

ทำลายสองสิ่งนี้ทิ้งเสียได้ ปฏิกิริยาตอบโต้จักไม่มี มโนกรรมจักไม่เกิด กรรมที่เหลือก็ขาดสะบั้น
onion

เหตุน่ะมีอะไรมั่งครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 13:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เรา เขา .....สักกายทิฏฐิ

ความยึดว่ามีตัวตน เรา เขา.......มานะทิฏฐิ

เป็นเหตุให้เกิดความนึกคิดปรุงแต่ง

ทำลายสองสิ่งนี้ทิ้งเสียได้ ปฏิกิริยาตอบโต้จักไม่มี มโนกรรมจักไม่เกิด กรรมที่เหลือก็ขาดสะบั้น
onion

เหตุน่ะมีอะไรมั่งครับ

:b12:
ตอบแล้วไงครับ

สักกายทิฏฐิ กับ มานะทิฏฐิ ไงครับ

มีกู กับ กูมี

ทุกผัสสะจึงมีการตอบโต้

หมดกู กูไม่มี ทุกผัสสะเป็นแค่ปัจจัย ที่ไร้เหตุตอบโต้
มโนกรรมไม่เกิด....วจีกรรม กายกรรมก็ไม่มี ทุกสิ่งเป็นสักแต่ว่าและอโหสิกรรม
smiley


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 13:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"หมดกู กูไม่มี ทุกผัสสะเป็นแค่ปัจจัย ที่ไร้เหตุตอบโต้" นี่มันเรื่องของคนที่ตายแล้ว ใช้การไม่ได้ ใช้ประโยชน์ไม่ได้


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
การที่เรามาตั้งกระทู้ถามต่างๆนี้ เป็นสิ่งปรุงแต่งล้วนๆ
เพราะเราตาม ความสงสัยที่เกิดขึ้นไม่ทัน จึงเกิดคำถามขึ้นมากมาย

และลงมือพิมคำถามต่างๆลงมา

หากหมดการปรุงแต่ง ก็หมดซึ่งคำถามเอง

ถูกผิดโปรดชี้แนะ เพราะที่พิมมานี้ ก็ตามสิ่งที่ปรุงแต่งไม่ทันเช่นกัน

s002 cry


การปรุงแต่งมันไม่หมดลงหรอกครับ

มันดับลงตามวาระรอการเกิดขึ้นมาใหม่ตามกระแส

สัญญาเกิดดับ

จิตเกิดดับ

ธรรมเกิดดับ

การปรุงแต่งธรรมเกิดดับ ตามอารมณ์นั่นเอง


คงจะตัองเอา กฎปฎิจจสมุปบาท มาเป็นคำตอบในคำถามของ จขกท

"หมดการปรุงแต่ง " คำนี้น่าจะคนละความหมายกับคำว่า " พรหมจรรย์อยู่จบ "

พรหมจรรย์อยู่จบ กิจที่ทำยิ่งกว่านี้ไม่มี เป็นการแสดงถึง การประหารอวิชชา

แต่หมดการปรุงแต่งนี่สิ? ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

วัตถุยังมีร้อนหนาว เพราะการปรุงแต่งจากธาตุทั้ง4

แล้วอะไรคือหมดการปรุงแต่ง?

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8601


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เรา เขา .....สักกายทิฏฐิ

ความยึดว่ามีตัวตน เรา เขา.......มานะทิฏฐิ

เป็นเหตุให้เกิดความนึกคิดปรุงแต่ง

ทำลายสองสิ่งนี้ทิ้งเสียได้ ปฏิกิริยาตอบโต้จักไม่มี มโนกรรมจักไม่เกิด กรรมที่เหลือก็ขาดสะบั้น
onion

เหตุน่ะมีอะไรมั่งครับ

:b12:
ตอบแล้วไงครับ

สักกายทิฏฐิ กับ มานะทิฏฐิ ไงครับ

มีกู กับ กูมี

ทุกผัสสะจึงมีการตอบโต้

หมดกู กูไม่มี ทุกผัสสะเป็นแค่ปัจจัย ที่ไร้เหตุตอบโต้
มโนกรรมไม่เกิด....วจีกรรม กายกรรมก็ไม่มี ทุกสิ่งเป็นสักแต่ว่าและอโหสิกรรม
smiley


ขอที่มาอ้างอิงหน่อยได้ไหมครับ
ว่าสักกายทิฏฐิ กับ มานะทิฏฐิ เป็นเหตุ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
student เขียน:
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
การที่เรามาตั้งกระทู้ถามต่างๆนี้ เป็นสิ่งปรุงแต่งล้วนๆ
เพราะเราตาม ความสงสัยที่เกิดขึ้นไม่ทัน จึงเกิดคำถามขึ้นมากมาย

และลงมือพิมคำถามต่างๆลงมา

หากหมดการปรุงแต่ง ก็หมดซึ่งคำถามเอง

ถูกผิดโปรดชี้แนะ เพราะที่พิมมานี้ ก็ตามสิ่งที่ปรุงแต่งไม่ทันเช่นกัน

s002 cry


การปรุงแต่งมันไม่หมดลงหรอกครับ

มันดับลงตามวาระรอการเกิดขึ้นมาใหม่ตามกระแส

สัญญาเกิดดับ

จิตเกิดดับ

ธรรมเกิดดับ

การปรุงแต่งธรรมเกิดดับ ตามอารมณ์นั่นเอง


คงจะตัองเอา กฎปฎิจจสมุปบาท มาเป็นคำตอบในคำถามของ จขกท

"หมดการปรุงแต่ง " คำนี้น่าจะคนละความหมายกับคำว่า " พรหมจรรย์อยู่จบ "

พรหมจรรย์อยู่จบ กิจที่ทำยิ่งกว่านี้ไม่มี เป็นการแสดงถึง การประหารอวิชชา

แต่หมดการปรุงแต่งนี่สิ? ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

วัตถุยังมีร้อนหนาว เพราะการปรุงแต่งจากธาตุทั้ง4

แล้วอะไรคือหมดการปรุงแต่ง?



อ้างคำพูด:
www.buddhadasa.in.th/html/life-work/.../11.html - Translate this page
ถ้าเรารู้จักทั้ง ๒ สิ่งนี้แล้ว เป็นอันว่ารู้หมดไม่มีอะไรเหลือ อะไร ๆ ในสากลจักรวาล ... วิสังขาร ไม่มีการปรุง ก็มีผลเป็นการไม่ปรุง คือความสงบ ในเมื่อสังขารมีการปรุง มันก็ไม่สงบ. ... หรือมี การตั้งพระหฤทัยว่า หยุดการปรุงแต่งเสียซึ่งอายุ หลังจากนี้ ๓ เดือนก็จะปรินิพพาน.


อย่างคำอธิบายข้างบน คือ หยุดการปรุงแต่งเสียซึ่ง "อายุ" (เฉพาะอายุ)

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8601


 ข้อมูลส่วนตัว


เข้ามาทวงถามคำตอบผู้รู้ครับ
คงไม่ใจดำนะครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 21:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


toy1 เขียน:
"หมดกู กูไม่มี ทุกผัสสะเป็นแค่ปัจจัย ที่ไร้เหตุตอบโต้" นี่มันเรื่องของคนที่ตายแล้ว ใช้การไม่ได้ ใช้ประโยชน์ไม่ได้

:b12:
แสดงว่าไม่รู้จักและไม่เข้าใจ "การตายก่อนตาย"
:b32:


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 21:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
asoka เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เรา เขา .....สักกายทิฏฐิ

ความยึดว่ามีตัวตน เรา เขา.......มานะทิฏฐิ

เป็นเหตุให้เกิดความนึกคิดปรุงแต่ง

ทำลายสองสิ่งนี้ทิ้งเสียได้ ปฏิกิริยาตอบโต้จักไม่มี มโนกรรมจักไม่เกิด กรรมที่เหลือก็ขาดสะบั้น
onion

เหตุน่ะมีอะไรมั่งครับ

:b12:
ตอบแล้วไงครับ

สักกายทิฏฐิ กับ มานะทิฏฐิ ไงครับ

มีกู กับ กูมี

ทุกผัสสะจึงมีการตอบโต้

หมดกู กูไม่มี ทุกผัสสะเป็นแค่ปัจจัย ที่ไร้เหตุตอบโต้
มโนกรรมไม่เกิด....วจีกรรม กายกรรมก็ไม่มี ทุกสิ่งเป็นสักแต่ว่าและอโหสิกรรม
smiley


ขอที่มาอ้างอิงหน่อยได้ไหมครับ
ว่าสักกายทิฏฐิ กับ มานะทิฏฐิ เป็นเหตุ

:b12:
เชิญไปอ่านและทบทวนอนัตตลักขณสูตรนะครับ

ดูเรื่องสังโยชน์ 10 ตัวแรกที่ปิดกั้นโสดาปัตติผลด้วยครับ
onion
อีกอันหนึ่งให้เข้าไปค้นคว้าในสภาวะธรรมจริงๆที่เกิดในใจของคุณว่าเวลามีผัสสะที่ทวารทั้งหกอย่างใดอย่างหนึ่ง มีอะไรขึ้นมาตอบโต้ ยินดี ยินร้าย หรือเฉยๆ ต่อการกระทบนั้น วิเคราะห์ออกมาให้ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
s006
กระทบ.....รู้........รู้สึก......นึกคิด.......พูด......ทำ.....รับผลของการกระทำ
s004


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 21:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
toy1 เขียน:
"หมดกู กูไม่มี ทุกผัสสะเป็นแค่ปัจจัย ที่ไร้เหตุตอบโต้" นี่มันเรื่องของคนที่ตายแล้ว ใช้การไม่ได้ ใช้ประโยชน์ไม่ได้

:b12:
แสดงว่าไม่รู้จักและไม่เข้าใจ "การตายก่อนตาย"
:b32:


นี่แสดงว่ายังตายไม่จริง ผัสสะเป็นปัจจัย ยังมีเหตุตอบโต้


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 23:17
โพสต์: 257

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประเภทธรรมะ
ชื่อเล่น: หยุย
อายุ: 0
ที่อยู่: ห้วยขวาง

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว่าการปรุงแต่งจิตกับความสงสัยต่างกันนะครับ
การที่เรามาตั้งคำถามในเรื่องของธรรมนั้นก็เพื่อจะหาเหตุและผลของความจริงเท่านั้น
เพราะเราทั้งหลายล้วนมีอวิชชา(ความไม่รู้)มาเยอะซึ่งก็เหมือนในครั้งพุทธกาล
ที่มีพระสงฆ์ได้มีข้อสงสัยถามพระพุทธเจ้าพอได้ฟังพระองค์ตรัสตอบข้อสงสัยนั้น
ส่วนใหญ่ก็จะได้บรรลุธรรมกันทั้งนั้นครับ ส่วนเรื่องของการปรุงแต่งจิตเป็นกิเลสจากการ
ที่อายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ไปกระทบกับอายตนะภายนอก (รูป รส กลิ่น เสียง
สัมผัส โผฐัพพะ) แล้วเกิดการปรุงแต่งไปตามอารมณ์ของกิเลสแต่ละคนว่าจะมีมากน้อย
แค่ไหน ถ้าใครฝึกสติมาดีก็จะปรุงแต่งได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นความสงสัยกับการปรุงแต่งจิต
น่าจะไม่เหมือนกันครับ

.....................................................
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม
ทุกอย่างไม่ควรยึดถือ
อกุศลน้อยนิด อย่าคิดทำ
กุศลน้อยนิด ให้คิดทำ
ทำกุศลวันละนิด ดีกว่าคิดที่จะทำ

พระพุทธองค์ยังถูกนินทา
ประชาชนธรรมดามีหรือจะหนีพ้น

ไม่อยากทุกข์แต่ก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่เรียนรู้ทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 23:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

:b8: :b8: :b8:

พอดีได้อ่านกระทู้นี้แล้วแว๊บนึกถึงพระสูตรนี้
เห็นว่าเป็นพระสูตรที่งามพระสูตรหนึ่ง ก็เลยฉวยโอกาสหยิบมาฝากเพื่อน ๆ

ส่วนจะเกี่ยวเนื่องกับการปรุงแต่งด้วยหรือไม่นั่น พอดีไม่ได้คิด

Quote Tipitaka:
ปุริสคติสูตร

[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปุริสคติ ๗ ประการและอนุปาทาปรินิพพาน
เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟัง จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูล
รับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปุริสคติ ๗ ประการเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ได้ความวางเฉยว่า
ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้ อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา
ถ้ากรรมในปัจจุบันไม่มีไซร้ อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา
เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้ว เราย่อมละได้
เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต
ไม่ข้องในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต
ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่ ด้วยปัญญาอันชอบ
ก็บทนั้นแล ภิกษุนั้นยังทำให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
อนุสัยคือมานะ อนุสัยคือภวราคะ อนุสัยคืออวิชชา เธอก็ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ภิกษุนั้นย่อมปรินิพพานในระหว่าง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติ
อย่างนี้ คือ ได้ความวางเฉยว่า ถ้ากรรมในอดีตไม่มีแล้วไซร้ ... เบญจขันธ์
ที่กำลังเป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้ว เราย่อมละได้ เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์
อันเป็นอดีต ... ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่ ด้วยปัญญาอัน
ชอบ ก็บทนั้นแล ภิกษุนั้นยังทำให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง อนุสัยคือมานะ ...
อนุสัยคืออวิชชา เธอก็ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์
๕ สิ้นไป เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็ก
ที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนออกแล้วดับไป ฉะนั้น ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง เปรียบเหมือนเมื่อ
นายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป ตกยังไม่ถึงพื้น
ก็ดับ ฉะนั้น ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เธอย่อมปรินิพพานในเมื่ออายุเลยกึ่ง เปรียบเหมือน
เมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป ตกถึงพื้น
แล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เธอย่อมปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรนัก
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนขึ้นไปแล้ว
ตกลงที่กองหญ้าหรือกองไม้เล็กๆ สะเก็ดนั้นพึงให้ไฟและควันเกิดขึ้นได้ที่หญ้า
หรือกองไม้เล็กๆ นั้น ครั้นให้เกิดไฟและควัน เผากองหญ้าหรือกองไม้เล็กๆ
นั้นให้หมดไป ไม่มีเชื้อแล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เธอย่อมปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป
แล้วพึงตกลงที่กองหญ้าหรือกองไม้ย่อมๆ สะเก็ดนั้นพึงให้เกิดไฟและควันที่กอง
หญ้าหรือกองไม้ย่อมๆ นั้น ครั้นให้เกิดไฟและควันแล้ว เผากองหญ้าหรือกอง
ไม้ย่อมๆ นั้นให้หมดไป ไม่มีเชื้อแล้วดับ ฉะนั้น ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เธอเป็นผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ
เปรียบเหมือนนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป
แล้วพึงตกลงที่กองหญ้าหรือกองไม้ใหญ่ๆ ครั้นให้เกิดไฟและควันแล้ว เผากอง
หญ้าหรือกองไม้ใหญ่ๆ นั้นให้หมดไป แล้วพึงลามไปไหม้ไม้กอและป่าไม้
ครั้นไหม้ไม้กอและป่าไม้แล้ว ลามมาถึงที่สุดหญ้าเขียว ที่สุดภูเขาที่สุดชายน้ำ
หรือภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ หมดเชื้อแล้วก็ดับ ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสคติ
๗ ประการนี้แล ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนอนุปาทาปรินิพพานเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ย่อมได้ความวางเฉยว่า ถ้ากรรม
ในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้ อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา ถ้ากรรมในปัจจุบัน
ย่อมไม่มีไซร้ อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่
ที่เป็นมาแล้วเราย่อมละได้ เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต ไม่ข้อง
อยู่ในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งด้วย
ปัญญาอันชอบ ก็บทนั้นแล อันภิกษุนั้นทำให้แจ้งแล้ว โดยอาการทั้งปวง อนุสัย
คือมานะ ... อนุสัยคืออวิชชา เธอยังละ ไม่ได้โดยอาการทั้งปวง เธอย่อมกระทำ
ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า
อนุปาทาปรินิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสคติ ๗ ประการนี้ และอนุปาทา
ปรินิพพาน ฯ

จบสูตรที่ ๒


Quote Tipitaka:
โอรัมภาคิยสูตร
[๒๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้แล ๕ ประการเป็นไฉน
คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑กามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ประการนี้แล ฯ


:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 00:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นพระสูตรว่าด้วยเรื่องละอวิชชา

ละเบญจขันธ์ในอดีต

ละเบญจขันธ์ที่ยังมาไม่ถึง

ด้วยการเจริญสติปัฎฐาน4

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร