วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 22:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 15:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ทางเข้าถึงสมาธิและฌาณนั้นแต่ละท่านจะมีกุญแจไขของใครของมัน

บางท่านจับคำบริกรรม เข้าไป

บางท่านนับลมหายใจเข้าไป

บางท่านจับอาการเต้นของหัวใจเข้าไป

บางท่านจับอาการตอดของชีพจรเข้าไป

บางท่านจับความสั่นสะเทือนในกายเข้าไป

บางท่านอึดใจหรือกลั้นลมหายใจเข้าไป

บางท่านจับปัจจุบันอารมณ์เข้าไป

หลักสำคัญคือจับปัจจุบันที่แสดงอยู่ในกายในจิตอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งจะเกิดอยู่ในกายและจิตพร้อมๆกันอยู่หลายอย่าง สังเกตดูให้ดีๆครับ
:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2014, 06:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1411644843780.jpg
1411644843780.jpg [ 20.33 KiB | เปิดดู 3283 ครั้ง ]
:b38:
เมื่อชำนาญคล่องแคล่วเข้าสมาธิได้รวดเร็วดั่งใจแล้วการสังเกตพิจารณาธรรมหรือเจริญปัญญาต่อก็เป็นของง่ายโดยถอนสมาธิลงมาตั้งที่ระดับวิตกวิจารณ์หรือความนึกคิดพิจารณาทำงานได้แล้วเอาสติปัญญามามนสิการสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายจิตให้ต่อติดปัจจุบันอารมณ์ไม่ขาดสาย
พระไตรลักณ์จักแจ่มชัดขึ้นในกายและจิตใจที่เกิดกรรมตามครรลอง
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2014, 06:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
......ถอนสมาธิลงมาตั้งที่ระดับวิตกวิจารณ์หรือความนึกคิดพิจารณาทำงานได้แล้วเอาสติปัญญามามนสิการสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายจิตให้ต่อติดปัจจุบันอารมณ์ไม่ขาดสาย
.....
onion


เข้าใจถูกต้องแล้ว...ครับ

ทีนี้....คงเข้าใจแล้วเน๊าะ...ว่า...นิ่งแล้วให้อะไรต่อมิอะไรดับไปเฉยๆ...โดยที่ไม่มีความเข้าใจ...นั้นนะ...ไม่ใช่วิปัสสนาภาวนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2014, 21:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
......ถอนสมาธิลงมาตั้งที่ระดับวิตกวิจารณ์หรือความนึกคิดพิจารณาทำงานได้แล้วเอาสติปัญญามามนสิการสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายจิตให้ต่อติดปัจจุบันอารมณ์ไม่ขาดสาย
.....
onion


เข้าใจถูกต้องแล้ว...ครับ

ทีนี้....คงเข้าใจแล้วเน๊าะ...ว่า...นิ่งแล้วให้อะไรต่อมิอะไรดับไปเฉยๆ...โดยที่ไม่มีความเข้าใจ...นั้นนะ...ไม่ใช่วิปัสสนาภาวนา

:b12:
ตรงกับความคิดเห็นแต่ยังคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงที่ว่าไม่มีความเข้าใจแล้วมิใช่วิปัสสนาภาวนา เพราะวิปัสสนาแท้ๆจะไม่มีคิดนึกหรือคำบรรยาย มีแต่ปรากฏการณ์เกิดขึ้นให้รู้จนหมดกำลังแล้วดับไปความรู้และเข้าใจจะปรากฏชัดขึ้นมาเองเป็นผล
เหมือนคนที่ลิ้นสัมผัสเกลือแล้วรู้เข้าใจรสเค็มโดยไม่ต้องมีคำพูดและคำอธิบายแต่รู้ขึ้นที่ใจโดยตรง
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2014, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=8267&Z=8510

หลักสำคัญ มีอย่างนี้ :
Quote Tipitaka:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุพึงพิจารณาโดยอาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่
ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่พึงสะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น
เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายในและไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น
ย่อมไม่มีความเกิดแห่งชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป


SOAMUSA เขียน:
นิมิตเป็น บัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ค่ะ


จากอุเทศวิภังคสูตร นิมิตจึงเป็นเพียงบัญญัติ ไม่ใช่เป็นปรมัตถ์ ไม่อาจเอามาเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาได้

หลงไปฟุ้งไปเพราะนิมิต จึงมีอาการดั่งเช่นเจ้าของคำถาม

ถอนออกจากความฟุ้งความหลง ให้จิตตั้งสงบเป็นอุเบกขา มีปัญญาเห็นสภาวะต่างๆ ตามเป็นจริง
ว่า เป็นอย่างนั้น เป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง อนัตตา......

ศึกษาตามมรรควิถี ซึ่งพระศาสดาตรัสไว้ และทรงรับรองการอธิบายถึงมรรควิถีซึ่งพระมหากัจจานะได้แสดงโดยพิสดาร

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 06:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
......ถอนสมาธิลงมาตั้งที่ระดับวิตกวิจารณ์หรือความนึกคิดพิจารณาทำงานได้แล้วเอาสติปัญญามามนสิการสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายจิตให้ต่อติดปัจจุบันอารมณ์ไม่ขาดสาย
.....
onion


เข้าใจถูกต้องแล้ว...ครับ

ทีนี้....คงเข้าใจแล้วเน๊าะ...ว่า...นิ่งแล้วให้อะไรต่อมิอะไรดับไปเฉยๆ...โดยที่ไม่มีความเข้าใจ...นั้นนะ...ไม่ใช่วิปัสสนาภาวนา

:b12:
ตรงกับความคิดเห็นแต่ยังคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงที่ว่าไม่มีความเข้าใจแล้วมิใช่วิปัสสนาภาวนา เพราะวิปัสสนาแท้ๆจะไม่มีคิดนึกหรือคำบรรยาย มีแต่ปรากฏการณ์เกิดขึ้นให้รู้จนหมดกำลังแล้วดับไปความรู้และเข้าใจจะปรากฏชัดขึ้นมาเองเป็นผล


ความเข้าใจ..อีกแระ :b32: :b32:
ก็ยังดีที่ยังเข้าใจว่า...ความเข้าใจ..มันเป็นผล :b17: :b17:

วิปัสสนาแท้ๆ ของอโศกะ...มีการโยนิโสมนสิการ....บ้างรึเปล่าน่า?
วิปัสสนา...มันเป็นงานทางปัญญา...ลักษณะการทำงานคือการโยนิโส...แม้ในเหล่าสมถะยานิกก็ต้องลงท้ายมาที่โยนิโส..เลย
ผล..คือ..ญาณ...คือรู้....รู้อะไร?...ก็รู้ว่านี้คือทุกข์..รู้ว่านี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์...เป็นผลจากการโยนิโสแล้วก็มนสิการ...จนถึงผลสุดท้าย..คือวิมุตติญาณ..อันเป็นความดับทุกข์

รู้ง่าย..สำเร็จง่าย..เขาไปกันหมดแล้วตั้งกะสมัยพุทธกาล
ที่เหลือมาทุกวันนี้..มีแต่พวกไปได้ลำบาก..ต้องขยันและอดทน...แม้จะเป็นพวกเซน...มาถึงทุกวันนี้ต้องขยันอดทนลำบากลำบนทั้งนั้น

ถ้าอยากรู้ง่ายๆ สบายๆ...ต้องไปต่อสมัยพระศรีอารย์...แล้วละครับ
ไม่ได้แดกดันนะครับ...
ความจริง..ก็คือความจริง

asoka เขียน:
เหมือนคนที่ลิ้นสัมผัสเกลือแล้วรู้เข้าใจรสเค็มโดยไม่ต้องมีคำพูดและคำอธิบายแต่รู้ขึ้นที่ใจโดยตรง
:b38:


เห็นชอบยกการรู้รสเค็ม..มาบ่อยๆ..
ไหนลองบอกหน่อยซิ....รสเค็ม...นะ...อะไรเป็นทุกข์...อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ถ้ารู้ว่าเค็ม...มันเป็นยังงัยเฉยๆ...มันพ้นทุกข์ได้มั้ย?...ถ้าพ้นไม่ได้..การรู้นั้นก็ไม่ใช่การรู้ชอบ

การรู้เฉยๆ...แต่ไม่รู้อะไรทุกข..ไม่รู้อะไรเป็นเหตุ...ปล่อยให้อารมณ์นั้น..ดับไปเองตามธรรมชาติของการเกิด....ใช้การอดทนไม่ปรุงแต่งต่อ...ไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่ปรุงแต่งต่อ....มันก็คือการกดข่มธรรมดาๆ..นี้เอง :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2014, 07:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1411689878098.jpg
1411689878098.jpg [ 28.24 KiB | เปิดดู 3201 ครั้ง ]
:b12:
กบยังไม่เข้าใจอยู่ดีในเรื่องของการรู้โดยปรมัตถ์ จึงยังสำคัญว่าต้องรู้โดยบัญญัติคิดนึกพิจารณาจึงจะใช่ ทำให้แปลโยนิโสผิดเพี้ยนไป ไม่รู้จักโยนิโสที่ไร้ปรุง

พึงลงนั่งสัมผัสกับความจริงโดยหยุดนิ่งรู้กายใจให้ถ้วนทั่ว ปล่อยให้ธรรมทำงานหน้าที่ตัว ตลอดสายอย่าได้มั่วยุ่งกับธรรม ถึงที่สุดผลสรุปจะออกมา เป็นปัญญาบริสุทธิ์ผุดแม่นมั่น สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำนาน เพราะจิตมันเข้าซึ้งตรงที่ใจ

"คิดไม่รู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด" พึงพินิจให้ดีนี่ธรรมใหญ่ ปฏิบัติไม่ถึงไม่เข้าใจ กลับไปตรองลองค้นใหม่ด้วยใจธรรม
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2014, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
กบยังไม่เข้าใจอยู่ดีในเรื่องของการรู้โดยปรมัตถ์ จึงยังสำคัญว่าต้องรู้โดยบัญญัติคิดนึกพิจารณาจึงจะใช่ ทำให้แปลโยนิโสผิดเพี้ยนไป ไม่รู้จักโยนิโสที่ไร้ปรุง

...
onion

:b32: :b32: :b32:

พูดเหมือนบางสำนัก...จะพบพระพุทธเจ้าต้องผ่านเจ้าสำนักแต่เพียงอย่างเดียว

อิอิ...โยนิโส..พูดไม่ได้...ห้ามพูดนะ...พูดออกมาก็เป็นโยนิโสปลอม...เพราะเป็นโยนิโสเป็นปรมัตถ์...ต้องไร้การปรุงแต่ง...ซินะอโสกะ

ยอม..ยอม... :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2014, 03:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_4464771214837.jpeg
IMG_4464771214837.jpeg [ 40.93 KiB | เปิดดู 3151 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
กบยังไม่เข้าใจอยู่ดีในเรื่องของการรู้โดยปรมัตถ์ จึงยังสำคัญว่าต้องรู้โดยบัญญัติคิดนึกพิจารณาจึงจะใช่ ทำให้แปลโยนิโสผิดเพี้ยนไป ไม่รู้จักโยนิโสที่ไร้ปรุง

...
onion

:b32: :b32: :b32:

พูดเหมือนบางสำนัก...จะพบพระพุทธเจ้าต้องผ่านเจ้าสำนักแต่เพียงอย่างเดียว

อิอิ...โยนิโส..พูดไม่ได้...ห้ามพูดนะ...พูดออกมาก็เป็นโยนิโสปลอม...เพราะเป็นโยนิโสเป็นปรมัตถ์...ต้องไร้การปรุงแต่ง...ซินะอโสกะ

ยอม..ยอม... :b9: :b9:

:b12:
ยอม เป็นเหมือนกันเน๊าะครับ คุณกบ (โดยบัญญัติ)

กลัวจะยอมแต่ปาก ลึกลงข้างในที่ใครไม่เห็นนั้นอาจจะยังไม่ยอม (โดยปรมัตถ์)

คล้ายคนที่อ่านพระไตรปิฎกเพลินแล้วบรรลุธรรมด้วยการคิดเอา พอตื่นเช้ามาถูกด่า ก็บ้าและขุ่นมัวเหมือนเดิม

(กระเซ้าเล่นให้เป็นมุมมองธรรมนะครับ ขออภัยมณี)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2014, 22:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
ยอม เป็นเหมือนกันเน๊าะครับ คุณกบ (โดยบัญญัติ)

กลัวจะยอมแต่ปาก ลึกลงข้างในที่ใครไม่เห็นนั้นอาจจะยังไม่ยอม (โดยปรมัตถ์)

คล้ายคนที่อ่านพระไตรปิฎกเพลินแล้วบรรลุธรรมด้วยการคิดเอา พอตื่นเช้ามาถูกด่า ก็บ้าและขุ่นมัวเหมือนเดิม

(กระเซ้าเล่นให้เป็นมุมมองธรรมนะครับ ขออภัยมณี)


ยอม...คือ...ยอมไม่ว่าอะไร...ปล่อยท่านไปตามสบาย..มิได้หมายความว่า...ยอมรับ.. :b13:
ที่ยอม...นี้ปรมัตถ์..นะ....เพราะ..เข้าใจว่า..มันเป็นธรรมดา...ระหว่างทางมันก็มีผิดบ้างถูกบ้าง...ผิดเดียวมันจะเป็นประสพการณ์ให้เรียนรู้...เอง...ไม่มีอะไรเสียโดยปรมัตถ์...นะซิ

แต่หากท่านอโศกะ...จะฟังผม...กระผมก็จะยอมอีกที...คือยอมเหนื่อย...บอกความจริงแก่ท่าน..ไปเรื่อยๆ...นะครับ

(กระเซ้าเล่นให้เป็นมุมมองธรรมนะครับ )
:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2014, 22:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


wink
ก็เพราะรับฟังอยู่จึงเกิดเป็นการสนทนากัน ถ้าไม่ฟังก็ไม่มีเรื่องที่จะคุยสนทนา
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2014, 06:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่ปรารถณานิพพาน...ในชาตินี้...ก็ใช่ว่า..จะไปได้ทุกคน

ประดุดชาวนาที่ปลูกข้าว...ข้าวเป็นผล..ของการ..ไถ่นา..พรวนดิน..หว่านข้าว..ใส่ปุย..ถอนหญ้า...ไขน้ำเข้า..ไขน้ำออก..อันเป็นเหตุ

ส่วนผล...ก็ได้แก่...ข้าวงอก...ข้าวโต...ข้าวตั้งท้อง...ออกรวง...สะสมอาหารในเมล็ด...เมล็ดเต็ม..เมล็ดแก่...

ซึ่งก็ไม่รู้ว่า..ณ..ปัจจุบัน...ข้าวในนาของแต่ละคนอยู่ในช่วงไหน...ช่วงข้าวงอก...รึข้าวตั้งท้อง...รึข้าวกำลังออกรวง...

เหตุที่ผล..ณ...ขณะปัจจุบันต่างกัน..ก็เพราะ...เริ่มต้นลงมือ...ในเวลาที่ต่างกัน

จึงไม่มีเหตุผลอะไรเลย...ที่ใคร...จะไปว่าใคร..ว่า..
"ทำไมแกถึงไม่ไปวัด..ทำไมแกถึงไม่ปฏิบัติธรรม..ทำไมแกถึงไปวัดนั้น..ไม่มาวัดนี้...ปฏิบัติผิดอย่างนั้น..ไม่ปฏิบัติให้ถูกอย่างนี้...ทำไมแกถึงเข้าใจผิดอย่างนั้น...ไม่เข้าใจสิ่งที่ถูกอย่างนี้...วะ..". :b9: :b9:

ถ้าขุ่นมัวเพราะเหตุข้างต้น...แสดงง่ายๆเลยว่า...ยังไม่เข้าใจความเป็นธรรมดา..ของธรรม

บอกกันได้ด้วยความหวังดี...แต่อย่าให้ขุ่นมัว...ให้เข้าใจธรรมดาของธรรม...มันเป็นอย่างนั้นเอง

นี้ขนาดว่า..อธิฐานขอนิพพานในชาตินี้..แล้วนะ..
แล้วจะไปประสาอะไร...กับท่านที่ยังไม่ตั้งความปรารถณานิพพาน..ละ...ว่ามั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2014, 07:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_6527777561234.jpeg
IMG_6527777561234.jpeg [ 35.9 KiB | เปิดดู 3084 ครั้ง ]
:b12:
ทั้งหมดเป็นเพียงบันไดให้เหยียบผ่าน ถ้าไม่ติดแต่ละขั้นก็ถึงชั้นบน และหลุดพ้นจากห้วงน้ำทั้ง 4
:b38:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2015, 21:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_2708514154600.jpeg
IMG_2708514154600.jpeg [ 40.74 KiB | เปิดดู 3014 ครั้ง ]
s006
เพราะรักษาศีล 5 มาดีในอดีตชาติ จึงได้โอกาสมาเกิดเป็นคน
ได้รับสิทธิที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้เท่าเทียมกันทุกคนดุจได้รับพาสปอร์ต วีซ่า หรือบัตรผ่านประตูเพื่อเข้าสู่นิพพานมาเหมือนกันทุกคน

แต่ใครจะได้ใช้สิทธิที่ได้มาได้เพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่จะเกื้อหนุนในชาติปัจจุบัน

สำคัญที่สุดคือการได้พบกัลยาณมิตรผู้รู้ธรรมถึงธรรม ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านเร็วเพียงใด ลงมือปฏิบัติจริงได้แค่ไหนเท่านั้นเอง
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2015, 07:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron